31 สิงหาคม 2554 21:18 น.
สุนทรวิทย์
ยายเล่าว่า สมัย ยายเป็นเด็ก
กรุงเทพฯเฉก เมืองแมน แสนน่าอยู่
ทั่วนคร ร่มรื่น ดื่นคลองคู
ต้นก้ามปู สูงใหญ่ เรียงรายครัน
เพื่อนบ้านมี น้ำใจ ไมตรีจิต
เยี่ยงญาติมิตร พึ่งพา สมานฉันท์
ปรุงอาหาร กับแกง ก็แบ่งปัน
คนยุคนั้น จริงใจ ไร้มารยา
ค่าครองชีพ ประจำ ยังต่ำนัก
ทองคำหนัก บาทหนึ่ง พึ่งร้อยกว่า
ทั้งข้าวสาร เนื้อหมู กุ้งปูปลา
ถูกจนน่า พิลึก ยามนึกไป
อากาศดี ถนน ไร้มลพิษ
รถไม่ติด จอแจ แม้ไปไหน
คุณภาพ ชีวิต และจิตใจ
ต่างกันไกล ลิบลับ กับเดี๋ยวนี้
ปัจจุบัน ภาพเช่นนั้น ผันแปรแล้ว
มิเหลือแวว แนวสันติ-สุขวิถี
ความเป็นไทย สืบกัน นับพันปี
ถูกแทนที่ ด้วยสังคม อันงมงาย
ฟังยายเล่า ครั้งใด ไดข้อคิด
เมื่อพินิจ ลึกไป ยิ่งใจหาย
คนรุ่นใหม่ เห็นแก่ตัว มั่วอบาย
ดูวุ่นวาย ฉุกละหุก ทุกชีวิน
น่าเสียดาย เอกลักษณ์ หลักล้ำเลิศ
มาเตลิด หันเหียน เจียนสูญสิ้น
หวังร่ำรวย ตั้งหน้า แข่งหากิน
ความโศภิน สงบ จึงลบเลือน
31 สิงหาคม 2554 19:26 น.
สุนทรวิทย์
ขอทำนาย ทายว่า อนาคต
โลกงามงด สดใส ใบกลมนี่
จักถึงกาล วิกฤต มิคสัญญี
ธรณี ระอุ คุเหมือนไฟ
น้ำหนึ่งหยด มีค่า มหาศาล
คลองลำธาร เหือดแห้ง แล้งเหนือใต้
ทุกหย่อมหญ้า ยากเข็ญ ลำเค็ญใจ
ป่าพงไพร สาบสูญ เค้ามูลเดิม
ในอากาศ เจือปน มลภาวะ
โรคาจะ คุกคาม ลามเห่อเหิม
ความอดอยาก ทรกรรม โหมซ้ำเติม
สู่จุดเริ่ม กลียุค ทุกขารมณ์
เดี๋ยวน้ำท่วม หัวระแหง เดี๋ยวแล้งฝน
จลาจล เนินโนน โคลนถล่ม
ปวงพิบัติ หายนะ ระทมตรม
ดิน,น้ำ,ลม แปรปรวน ป่วนบรรลัย
คนหลบเร้น พึ่งอุโมงค์ โพรงซอกหิน
อยู่ใต้ดิน เวทนา นิราศรัย
อัตคัด ขัดสน จนปัจจัย
ทุพภิกขภัย มรสุม โถมรุมเร้า
เหตุเพราะแรง มักมาก จากมนุษย์
แข่งประทุษ กอบโกย โดยโง่เขลา
มิจฉาจริต โมหันธ์ ปัญญาเบา
มุ่งผลาญเผา ทรัพยากร รอนแผ่นพก
ต่างปู้ยี่-ปู้ยำ ธรรมชาติ
หาโอกาส ร่ำรวย เร่งฉวยฉก
สิ่งแวดล้อม เสื่อมไป ไม่สะทก
ทับถมซาก สกปรก หมกกันไว้
ทิ้งของเสีย พรั่งพรู สู่ลำน้ำ
ปล่อยควันดำ หลายแหล่ เกินแก้ไข
ใส่สารพิษ อาหาร บานตะไท
ตัดต้นไม้ วน โค่นระเนน
สร้างอาวุธ เคมี ชีวภาพ
ตรารอยบาป สาปไว้ ให้หลานเหลน
ล้วนคนเรา เหลวแหลก แหกกฎเกณฑ์
ก่อกรรมเวร วิบาก สุมมากมาย
อีกไม่กี่ ร้อยปี ที่เปลี่ยนผัน
มวลเผ่าพันธุ์ คงดับดิ้น สิ้นเชื้อสาย
ยกเรื่องจริง สัจธรรม ขึ้นทำนาย
ผลสุดท้าย โลกจะว่าง ร้างชีวิต
นี่หรือทรัพย์ มรดก หมายตกทอด
สิ่งวายวอด ชำรุด ทุจริต
หวังมั่งคั่ง อำพราง สร้างมลพิษ
ผู้รับผิด คือทายาท อนาถนัก
31 สิงหาคม 2554 13:43 น.
สุนทรวิทย์
เหงาเหลือเกิน เกินกว่า คำว่า เหงา
เหงาเพราะเรา อยู่เดียว เปลี่ยวดวงจิต
เหงาประหนึ่ง ชีวาตม์ ไร้ญาติมิตร
เหงาด้วยขาด คู่คิด แนบชิดกาย
เหงาอ้างว้าง จับทรวง ใครล่วงรู้
เหงาหดหู่ บีบคั้น ขวัญสลาย
เหงาปวดร้าว สารพางค์ แทบวางวาย
เหงาคลับคล้าย โลกนี้ ไม่มีคน
เหงาเพราะเธอ ทิ้งขว้าง หนีห่างเหิน
เหงาเมื่อเธอ แยกเดิน เมินเหตุผล
เหงาด้วยพิษ ผิดหวัง ฝังกมล
เหงาอับจน ดังบาป สาปลงทัณฑ์
เหงาปานโรค เรื้อรัง ฝังเก็บกด
เหงาสลด เดียวดาย แม้ในฝัน
เหงาซึมเศร้า ชอกช้ำ เหลือรำพัน
เหงาอัดอั้น ระทม มานมนาน
เหงาก่อความ กลัดกลุ้ม ทุกข์รุ่มร้อน
เหงาคอยบ่อน-ทำลาย กายสังขาร
เหงาสร้างแต่ ความย่อท้อ ทรมาน
เหงาประหาร ฉันให้ ตายทั้งเป็น
31 สิงหาคม 2554 13:16 น.
สุนทรวิทย์
หนุ่มสาว วัยก้าวหน้า
พึ่งวิวาห์ มาคู่หนึ่ง
ร่วมสรรค์ ฝันคำนึง
หมายมุ่งถึง ซึ่งเส้นชัย
ความฝัน พลันสะดุด
เมื่อมีบุตร สุดวิสัย
งานหนัก จำพักไป
หันห่วงใย ในลูกแทน
ลูกเท้า เท่าฝาหอย
ตั้งแต่น้อย คอยหวงแหน
มิให้ ใดขาดแคลน
รักเปรียบแม้น แกนชีวี
หลายปี ที่โอบอุ้ม
ลูกสุขุม หนุ่มเต็มที่
พากเพียร เรียนเข้าที
อยู่ปีสี่ อาชีวะ
บ่อยครั้ง นั่งรถเมล์
พบเด็กเก-เรเกะกะ
ต้องเบี่ยง เลี่ยงปะทะ
รู้ที่จะ ระงับใจ
แต่แล้ว ไม่แคล้วคลาด
ชะตาขาด พลาดจนได้
มิรู้ ถูกผู้ใด
ลอบยิงใส่ วายชีวัน
พ่อแม่ ช็อกแน่นิ่ง
สูญเสียสิ่ง เทียมมิ่งขวัญ
เพียงว่า สถาบัน
ชื่อต่างกัน ถึงบรรลัย
อาธรรม์ อันวิกฤต
ใครเคยคิด วินิจฉัย
เอะอะ ขออภัย
อ้างเยาว์วัย ไร้น้ำยา
ต้องพลี อีกกี่ศพ
หากยังหลบ ทบปัญหา
มัวแต่ แผ่เมตตา
กี่มารดา ต้องอาดูร
31 สิงหาคม 2554 11:29 น.
สุนทรวิทย์
สุริยัน อันเจิดจ้า
ร้อนแรงกล้า บนฟ้าไกล
สาดแสง แดงอำไพ
โลมลูบไล้ ไผทดล
เมทนี อาบสีสัน
ป่าอรัณย์ พลันโสภณ
ละหาน สายธารชล
ทั่วมณฑล ยลงดงาม
ชีวิต จิตรกำเนิด
สิ่งประเสริฐ ก่อเกิดตาม
วิเศษ พื้นเขตคาม
อภิราม ยามทิวา
รวี ศรีอดุลย์
แผ่ไออุ่น พสุนธรา
เกื้อหนุน คุณนานา
ต่อโลกา เหมือนอาทร
ขาดแสง แห่งตะวัน
โลกโศกศัลย์ นิรันดร
ดุจชาย ไร้บังอร
แทบม้วยมรณ์ นอนปวดใจ
ทินกร แม้ร้อนนัก
ไหนเทียมรัก ปักทรวงใน
หลงเจ้า เฝ้าห่วงใย
เหตุไฉน เมินไมตรี
หทัย มิใหญ่หลวง
ใช่เปรียบสรวง ดวงสุรีย์
มีเพียงรัก และภักดี
ซึ่งพร้อมที่ พลีเพื่อเธอ