12 พฤศจิกายน 2554 10:50 น.
สุนทรวิทย์
ลือว่า เขาสามารถ
ดั่งทายาท ปราชญ์เมธี
อักษร กลอนกวี
รู้ถ้วนถี่ ดีเหนือใคร
เป็นสื่อ ถือปากกา
สืบคุณค่า ภาษาไทย
แต่ฉัน กลับหวั่นใจ
นึกสงสัย ในผลงาน
เขาไย ไม่พิทักษ์
ฉันทลักษณ์ หลักบุราณ
มักง่าย ไร้เชิงชาญ
ทิ้งแก่นสาร ลาญครรลอง
นี่หรือ คือแบบอย่าง
ผู้สรรค์สร้าง ทางร้อยกรอง
ผิดทิศ ผิดทำนอง
ข้อบกพร่อง ฟ้องชัดเจน
ศักดิ์ศรี กวีพจน์
มาถอยถด เสียกฎเกณฑ์
ด้วยมือ สื่อเบี่ยงเบน
เหมือนมิเห็น เป็นสำคัญ
ชะตา ภาษาศิลป์
เจียนหมดสิ้น กลิ่นสุคันธ์
มธุรส บทประพันธ์
ถูกแปรผัน บั่นไชชอน
ใครเลย เคยทักท้วง
สำนึกหวง ห่วงอาวรณ์
ชุบฟื้น-คืนกาพย์กลอน
ให้สุนทร ก่อนสูญไป
ผู้รู้ ครู,บัณฑิต
โปรดมีจิต คิดห่วงใย
กวดขัน โดยทันใด
ร่วมแก้ไข ให้ฟื้นฟู
มรดก-ชาติตกทอด
ควรต่อยอด ปลอดริปู
ช่วยกัน หมั่นค้ำชู
เพื่อคงอยู่ คู่ไผท
12 พฤศจิกายน 2554 10:27 น.
สุนทรวิทย์
ทำไม คนทำดี กลับมีทุกข์
ทำไม คนอยากสุข ดันขุกเข็ญ
ทำไม แค่เลี้ยงปาก ยังยากเย็น
ทำไม เป็นลูกหนี้ ชั่วชีวา
ทำไม เหน็ดเหนื่อยใจ มิได้พัก
ทำไม อุปสรรค มักสู่หา
ทำไม ต้องเวียนว่าย ในโรคา
ทำไม เบื่อระอา สารพัด
ทำไม ห่วงกังวล จนหงุดหงิด
ทำไม ธุรกิจ หมั่นติดขัด
ทำไม บังคับตน จนเคร่งครัด
ทำไม ความซื่อสัตย์ โดนทัดทาน
ทำไม ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้
ทำไม ไร้สมบัติ-พัสถาน
ทำไม ถูกโยนข้าม ความต้องการ
ทำไม ความสำราญ มิผ่านมา
ทำไม หลงรักเขา เขาไม่รัก
ทำไม ช่างอกหัก บ่อยนักหนา
ทำไม ใครพบเห็น เป็นเย็นชา
ทำไม เจอะเจอหน้า หมายังเมิน
11 พฤศจิกายน 2554 11:03 น.
สุนทรวิทย์
ฉันเกิดมา พิการ สังขารเสื่อม
มิอาจเอื้อม ไขว่คว้า ความผาสุก
เศร้าระทม อับจน บนกองทุกข์
เรื่องสนุก ใดใด ไม่เคยรับ
แสนอ้างว้าง โดดเดี่ยว จิตเหี่ยวแห้ง
ขาดเรี่ยวแรง ขมขื่น แม้ตื่น,หลับ
กระไรหนอ ชีวา ช่างอาภัพ
จมอยู่กับ คืน,วัน อันเดียวดาย
เป็นยาจก อับจน คนหยามหมิ่น
ขอเขากิน เรื่อยไป ไร้จุดหมาย
ค้ำไม้เท้า เปะปะ พยุงกาย
หิวกระหาย อิดโรย โหยเมื่อยล้า
ยามนี้ฉัน เจ็บป่วย จวนม้วยมอด
นอนก่ายกอด เศษผ้า อนาถา
ขาดอาหาร ประทัง ทั้งหยูกยา
จะอำลา ดับลง แล้วตรงนี้
ลมหายใจ สุดท้าย ใกล้จบสิ้น
แว่วได้ยิน เสียงอาทร ก่อนเป็นผี
คำสังเวช เมตตา กล่าวปรานี
จากผู้ที่ มุงล้อม ห้อมวิจารณ์
เมื่อตอนอยู่ ไปไหน ถูกไสส่ง
เจียนปลดปลง ดาหน้า มาสงสาร
แค่อยากรู้ อยากเห็น เป็นสันดาน
เคยให้ทาน แก่ใคร บ้างไหมคุณ
11 พฤศจิกายน 2554 10:56 น.
สุนทรวิทย์
ชลธี สีคราม ยามกระฉอก
ริ้วระลอก ดอกคลื่น แลดื่นดาษ
นทีรัย กรีดกราย ส่ายลีลาศ
กัปนาท ร้องรำ ขับทำนอง
นาวาน้อย ลอยลำ กรำแดดฝน
ฝ่าวังวน อุปสรรค หนักทั้งผอง
ยามพายุ กระหน่ำ คลื่นลำพอง
คงประคอง แล่นไป แม้ภัยมี
เปรียบมวลชน ผจญ บนโลกกว้าง
ต่างคนต่าง ตรากตรำ ทำหน้าที่
เพียงไร้โรค ไร้โศก คือโชคดี
ดั่งนาวี ราบรื่น ผ่านคลื่นลม
ทะเลทุกข์ ทะเลสุข ปนคลุกเคล้า
ท้าให้เรา กลั้วเกลือก เลือกสั่งสม
ตอนมั่งมี ฟุ้งเฟ้อ เห่อสังคม
พอล่มจม คิดได้ มักสายไป
ท้องทะเล แปรปรวน ป่วนเนืองนิตย์
ห้องชีวิต แท้จริง ยิ่งอ่อนไหว
เห็นแต่คน ดิ้นรน บ่นทุกข์ใจ
ล้วนอยากได้ อยากมี ชั่วชีวิน
11 พฤศจิกายน 2554 10:44 น.
สุนทรวิทย์
ตรากตรำ ร่ำเร่รัก
ตะลอนปัก เล็งหลักหมาย
หาหมุด จุดหย่อนกาย
แหล่งสืบสาย ในปลายทาง
บ่มเพาะ เสาะดำเนิน
เป้าเผชิญ อันเหินห่าง
เที่ยวเฟ้น ไม่เว้นวาง
ด้วยอ้างว้าง ร้างคู่อิง
ยากนัก หนอรักแท้
จิตแน่วแน่ แค่หนึ่งหญิง
มิจำ ล้ำเพริศพริ้ง
เพียงรักจริง ยิ่งผู้ใด
เมื่อหนุ่ม สาวรุมล้อม
ทำเนื้อหอม มิยอมใกล้
ล่วงกาล ผ่านพ้นวัย
มิเหลือใคร ใคร่ชื่นชม
โศกา คราโดดเดี่ยว
ตัวคนเดียว เปลี่ยวขื่นขม
สำแดง แสร้งรื่นรมย์
ซ่อนระทม ข่มอยู่ใน
ทุกข์ใด ใช่ท่วมท้น
เท่าผจญ โรคหม่นไหม้
ขาดชู้ เพื่อนคู่ใจ
ตรมฤทัย ไหนจะปาน