23 กันยายน 2554 15:13 น.
สุนทรวิทย์
คนไหว้พระ ควรเข้าถึง ซึ่งธรรมะ
ไหนเลยจะ มัวเมา เฝ้าแต่ขอ
พกความอยาก มักได้ ไม่รู้พอ
แต่กลับงอ-มืองอเท้า มิเอางาน
จงไหว้พระ ด้วยปัญญา สมาธิ
ใช้สติ ศึกษา หาแก่นสาร
ใช่มุ่งหวัง ลาภผล เที่ยวบนบาน
แล้วนั่งรอ ปาฏิหาริย์ บันดาลดล
การไหว้พระ ให้ศักดิ์สิทธิ์ จิตต้องนิ่ง
ละวางสิ่ง งมงาย ไร้เหตุผล
สำนึกว่า วิถี ชีวิตคน
ขึ้นกับตน สนใจ ใฝ่บำเพ็ญ
ช่วยตัวก่อน ก่อนจะ วอนพระช่วย
พากเพียรด้วย อุตสาหะ พระย่อมเห็น
สักวันบุญ หนุนส่ง คงร่มเย็น
นี่จึงเป็น หลักธรรม ค้ำโลกา
แม้นเชื่อศีล เชื่อธรรม คำพุทธะ
เท่ามีพระ คุ้มครอง ป้องเกศา
กราบไหว้พระ-ไตรรัตน์ โดยศรัทธา
บุญจะพา ให้พิพัฒน์ สวัสดี
23 กันยายน 2554 14:13 น.
สุนทรวิทย์
ฉันทุกข์ร้อน อ่อนจิต คิดไม่ตก
ในหัวอก กังวล ปนแหนหึง
ความตระหนก หมกไหม้ ใจพรั่นพรึง
ใครคนหนึ่ง เธอนั้น จักผันแปร
อยู่กันมา ดีดี ไม่มีเรื่อง
พอขุ่นเคือง แดกดัน ว่าฉันแก่
พูดเกินจริง เหยียดหยัน กันแท้แท้
ฉันก็แค่ หนุ่มใหญ่ วัยกลางคน
ถึงหน้าเหี่ยว ย่นบ้าง อย่าช่างซัก
งานมันหนัก นี่หนา อย่าพร่ำบ่น
เลิกสำรวจ ตรวจบัตร ประชาชน
บอกหลายหน หล่นหาย ไปนานปี
ร่างกายฉัน ทุกส่วน ล้วนแคล่วคล่อง
ที่เดินย่อง เหยาะเหยาะ เพราะเป็นฝี
อาจบางส่วน มิแกร่ง แต่แรงมี
หยุดเซ้าซี้ งุ่นง่าน พาลพาโล
โทษว่าฉัน หงำเหงอะ เลอะจนหลง
ไม่ยอมส่ง การบ้าน มานานโข
มิรู้หรือ ว่าฉัน มันเด็กโต
ต้องหมั่นโอ๋ คลึงเคล้น จึงเห็นการ
ควรรู้จัก เคลียเคล้า เอาใจใส่
ตามลูบไล้ สำออย อ่อยคำหวาน
ฉันคงเลิก หดหู่ พร้อมสู้งาน
ส่งการบ้าน เช้าเย็น ไม่เว้นเลย
22 กันยายน 2554 12:14 น.
สุนทรวิทย์
บุคคลใด รักดี มีสติ
พึ่งหิริ-โอตตัปปะ เป็นกระสาย
บุคคลนั้น สุขสันต์ นิรันตราย
เรื่องวุ่นวาย อุปสรรค มักไม่มี
หิริคือ ละอาย ในพิษบาป
เตือนคนหยาบ ให้เห็นธรรม กรรมวิถี
การหมดอาย ขายชื่อ คือหมดดี
คนอัปรีย์ จึงจะ ขาดละอาย
โอตตัปปะ คือกลัวบาป มิหยาบช้า
เปรียบธรรมา ชั้นเลิศ ส่องเฉิดฉาย
ช่วยดับทุกข์ กลบร้อน ให้ผ่อนคลาย
มีจุดหมาย งดงาม ตามครรลอง
การมี หิริโอตตัปปะ ในมนุษย์
ประเสริฐสุด เหนือสิ่งสรรพ ทรัพย์ทั้งผอง
คนชาติหิน สิ้นอาย ใจลำพอง
ล้วนจับต้อง ไม่ถึง ซึ่งเนื้อใน
คนรู้อาย รู้หลาบ ต่อบาปนั้น
ดุจอนันต-วิญญู ผู้ยิ่งใหญ่
คนไม่ อำมหิต คิดร้ายใคร
ย่อมสุขใจ เหมือนมีธรรม คอยค้ำจุน
22 กันยายน 2554 12:05 น.
สุนทรวิทย์
ปลายรุ้ง พุ่งลิ่ว ทาบทิวสน
หยาดฝน หล่นคล้าย ไข่มุกร่วง
ลมชาย ก่ายกอด ยอดชะมวง
มะม่วง กวักช่อ ล้อแมลง
น้ำนอง คลองปริ่ม อิ่มละหาน
บัวบาน ดาษดื่น ยืนกวัดแกว่ง
กบอึ่ง งึมงำ โผล่สำแดง
สิ้นแล้ง สิ้นหม่น ยามฝนมา
ไอเย็น พะพาน ผ่านรวงข้าว
หนุ่มสาว เย้าหยอก ออกนอกหน้า
แย้มยิ้ม พริ้มเพรา เข้าวัดวา
งานเข้า พรรษา มาร่วมบุญ
วิถี ชนบท งดงามยิ่ง
แอบอิง ขนบ อันอบอุ่น
มีความ ร่มเย็น เป็นต้นทุน
ละมุน เรียบง่าย ทุกชายคา
บรรยากาศ ไทยแท้ แต่อดีต
จารีต ดีดี มีคุณค่า
มาถูก ผลักไส ไม่นำพา
แลกกับ เงินตรา และฐานะ
ปัจจุบัน ผู้คน บ่นย่ำแย่
พ่ายแพ้ ปัญหา จิปาถะ
สังคม จำนน มลภาวะ
ขยะ ระราน ผลาญทั่วทิศ
คุณภาพ ชีวิต ถูกปิดกั้น
คืน,วัน พันตู สู่วิกฤติ
คุ้มไหม เมื่อความ งามโศภิษฐ์
เปลี่ยนเป็น มลพิษ เข้าลิดรอน
22 กันยายน 2554 11:00 น.
สุนทรวิทย์
การพูดจา ผิดกาล-เทศะนั้น
ย่อมถูกหยัน ยามใคร ได้สดับ
ตัวผมเอง ผิดบ่อย ปากพล่อยครับ
ขอยอมรับ ความจริง สิ่งที่ทำ
มิได้มี เจตนา หาความใส่
กลอนพาไป นึกเห็น เป็นเรื่องขำ
คนฟังสิ อาจคล้อย ตามถ้อยคำ
รู้ว่าพล้ำ น่าตำหนิ มิแก้ตัว
เสียทีเป็น ผู้ใหญ่ วัยใกล้ฝั่ง
มาถูกชัง ถูกก่น คนยิ้มหัว
เขียนกลอนสด มือไว ใจระรัว
งานเลยมั่ว เลอะเทอะ เปื้อนเปรอะพลัน
เป็นบทเรียน สอนใจ ในยามแก่
อย่าเอาแต่ ปรารภ มุ่งขบขัน
ความคิดคน จำแนก แตกต่างกัน
ความเดียดฉันท์ เกิดจาก ปากเราเอง
เสียใจที่ ทำให้ ใครหงุดหงิด
สุนทรวิทย์ มิได้ หมายข่มเหง
เขียนไปโดย ขาดสติ มิเต็มเต็ง
อ่านแล้วเซ็ง ขอโทษ โปรดอภัย