25 กันยายน 2554 13:21 น.
สุนทรวิทย์
อันวุฒิ-ภาวะ ในมนุษย์
มีต่ำสุด สูงสุด ดุจดำขาว
หากจำแนก เจาะจง คงยืดยาว
เพียงขอกล่าว แต่ย่อ พอเห็นนัย
คนใจสูง มองอะไร ในด้านบวก
ไม่จ้วงจวก อคติ โดยวิสัย
เห็นใครดี ดีด้วย ร่วมอวยชัย
มิเป็นภัย ต่อมิตร เพราะจิตงาม
คนใจต่ำ สันดาน เป็นด้านลบ
คิดเหมือนกบ ในกะลา น่าเหยียดหยาม
วิปริต ริษยา คอยหาความ
ดำเนินตาม แก่นแท้ แต่ละคน
วุฒิภาวะ ชี้วัด จัดลำดับ
ความมืดอับ กับสว่าง ต่างเหตุผล
ต่างคนต่าง หนทาง ต่างตัวตน
แยกกุศล ธรรมะ กับอธรรม
สังคมไหน สังคมนั้น เป็นอันเห็น
คนเยือกเย็น เน้นภาวะ อุปถัมภ์
คนหยาบช้า ถือภาวะ สาระยำ
สูงกับต่ำ ปะปน ทุกหนไป
24 กันยายน 2554 13:38 น.
สุนทรวิทย์
ดึกดื่น คืนไร้ดาว
ฉันเหน็บหนาว ปวดร้าวจิต
วาบหวาม ยามมืดมิด
ขาดคู่คิด หงุดหงิดจัง
ใต้ร่ม ชมพู่นี้
น้องกับพี่ มีความหลัง
ดูดดื่ม ลืมหรือยัง
สัมพันธ์ครั้ง นั่งเคลียคลอ
จากไกล ไปเหินห่าง
นึกอ้างว้าง บ้างไหมหนอ
พี่ยัง ตั้งตารอ
พร่ำตัดพ้อ ท้อทรวงใน
รำพึง ถึงยอดชู้
โฉมพธู เธออยู่ไหน
ป่านนี้ คงมีใคร
โลมลูบไล้ นอนใกล้เคียง
รักเอ๋ย เคยหวานฉ่ำ
ฝังจดจำ ถ้อยน้ำเสียง
ไฉน กลายเอนเอียง
ทำบ่ายเบี่ยง เลี่ยงหลบไป
หลายปี ที่ยืดเยื้อ
พอมีเหลือ เยื่อใยไหม
ขุ่นเคือง ด้วยเรื่องใด
จึงเงียบหาย ไร้ร่องรอย
ใต้ร่ม ชมพู่เก่า
พี่จับเจ่า อย่างเหงาหงอย
ทุกคืน ทนฝืนคอย
เปลี่ยวเศร้าสร้อย แสนน้อยใจ
24 กันยายน 2554 13:29 น.
สุนทรวิทย์
เทือกบรรพต ทอดภู อยู่เบื้องหน้า
สายธารา พาดผ่าน เกิดธารใส
วิหคบิน เคียงคู่ สู่พงไพร
คนเหงาใจ ยืนเดี่ยว แสนเปลี่ยวจัง
มองตะวัน จนดับ ลาลับฟ้า
ชลนา หลั่งริน สุดสิ้นหวัง
คนรักจร จากไป ไม่คืนรัง
ฉันก็ยัง เฝ้ารอ ทั้งท้อทรวง
เย็นพระพาย โลมลูบ จูบกระทบ
เหลียวมิพบ สามี ที่แหนหวง
คำสัญญา ก่อนเก่า เขาหลอกลวง
กลายเป็นบ่วง ชีวิต พาจิตตรม
รัตติกาล คืบคลาน ลาญหัวอก
น้ำค้างตก ฉ่ำชื้น ยิ่งขื่นขม
สะอื้นไห้ อ้างว้าง กลางสายลม
ทุกข์ระทม อ่อนล้า ยามราตรี
เงียบวังเวง จืดชืด เดือนมืดมิด
ทบทวนคิด ถึงคืนวัน อันสุขี
กระท่อมน้อย ชายป่า วนาลี
สองเรามี ความหลัง ครั้งผูกพัน
หากเธอจำ สัมพันธ์ ก่อนนั้นได้
กลับบ้านไร่ เถิดหนา อย่าเหหัน
ลูกอยากเห็น หน้าพ่อ รอทุกวัน
มาปลอบขวัญ ลูกรัก สักครั้งเทอญ
24 กันยายน 2554 13:10 น.
สุนทรวิทย์
พระอาทิตย์ อัสดง ลงวันนี้
รุ่งรุจี อุษา ก็มาใหม่
พร้อมสาดแสง อวดโอ่ อโณทัย
ตามวิสัย ระวี เคยมีมา
ภาณุมาศ อร่าม งามอบอุ่น
มีการุณย์ ต่อคน ชนทั่วหล้า
สรรพสิ่ง ทั้งมวล ถ้วนโลกา
ทั้งพฤกษา ป่าเขา ลำเนาไพร
อยากเอื้อมสอย รังสิมา คว้าจุมพิต
แต่เกรงฤทธิ์ สุริยะ จะเผาไหม้
จำชะงัก หักห้าม ปรามหัวใจ
สุดคว้าไขว่ ได้แต่ แค่แหงนชม
อาภากร จรูง อยู่สูงนัก
เหมือนนงลักษณ์ นางหนึ่ง ซึ่งงามสม
ข้ามีจิต พิสมัย ใคร่ชื่นชม
แต่ถูกข่ม ด้วยชนชั้น ฐานันดร
โฉมตรู อยู่ไกลแสน สุดแขนเอื้อม
ฉันจึงเชื่อม คำรัก เป็นอักษร
แทนลมปาก ฝากไว้ ในบทกลอน
หวังบังอร เห็นใจ ตอบไมตรี
23 กันยายน 2554 15:22 น.
สุนทรวิทย์
ดาวตก วาววับ แล้วลับหาย
ละม้าย ชีวิน เมื่อสิ้นแสง
ฤดู หมุนเวียน ผันเปลี่ยนแปลง
คนแกร่ง แข็งกล้า ยังราโรย
วัน,คืน แสนสั้น นั้นต่างรู้
โสดอยู่ ทำไม ให้แห้งโหย
พบคน รักชอบ พึงกอบโกย
หว่านโปรย รักแท้ มอบแก่กัน
มิมี ผู้ใด ไร้ตำหนิ
มัวติ มัวเฟ้น อาจเป็นหมัน
ใครจะ ประเสริฐ เลิศครบครัน
สำคัญ ควรจัก มีรักจริง
เลิกห่วง หวงตัว มัวอุดอู้
หาคู่ แนบกาย เถิดชาย,หญิง
ถึงครา เจ็บไข้ ได้พึ่งพิง
เป็นมิ่ง เป็นขวัญ อันกลมเกลียว
ความสุข ใดใด ล้วนไม่เหมือน
มีเพื่อน ยามแก่ ผลัดแลเหลียว
ชาติหนึ่ง ผ่านไป คล้ายแว็บเดียว
โดดเดี่ยว อับเฉา เท่าขาดทุน