2 กุมภาพันธ์ 2548 02:23 น.
สุชาดา โมรา
เขาเรียกชื่อนี้ขึ้นมาทำให้เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีใครเรียกชื่อนี้ได้อีก เธอคิดว่ามีเพียงเธอคนเดียวเสียอีกที่รู้จักชื่อนี้
นั่นก็ต้องหมายความว่าเขารู้แล้วว่าเราเป็นหลานเขาในชาติที่แล้วแน่ ๆ.น้ำผึ้งนึก
ขณะที่นายตำรวจหนุ่มเงยหน้ามองน้ำผึ้งแก้วนั้นเขาเห็นเธอใส่ไสบสีทองทับสไบแพรสีเหลืองนวล ผมของเธอประบ่าสวมเข็มขัดทองประดับไปด้วยเพชรนิลจินดานุ่งผ้าจีบนางสีเขียวขี้ม้าราวกับที่เขาเห็นในความฝันทำให้เขานึกถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ภาพความทรงจำในนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจเขาตลอดเวลา เมื่อเขามองไปที่ข้อมือของตัวเอง เขาก็เห็นกำไลที่เขาให้เธอในความฝันเขาถึงกับตกใจเพราะไม่คิดว่ากำไลวงนี้จะมีจริง เพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่าฝันไปเท่านั้น
กำไลเชือกเส้นนี้มาจากไหน
ของผึ้งเองค่ะพี่เอกดร.เกษม อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยให้มาเมื่อวานนี้ ผึ้งก็เลยเอามาใส่ให้พี่พี่รู้ไหมว่าพี่หลับไปวันหนึ่งเต็ม ๆ เลย
เหรอแล้วแก้มแฟนพี่ล่ะ
นอนรอดูอาการอยู่ค่ะไม่รู้ว่าเธอจะฟื้นหรือเปล่า
ทำไมก็เธอไม่รู้สึกตัวเลยเหมือนที่พี่เอกเป็นนั่นแหละค่ะ
น้ำผึ้งนั่งคุยกับนายตำรวจหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ค่ะค่ะค่ะ
น้ำผึ้งต้องลากลับก่อนเธอรีบไปที่สำนักงานสาขา 2 เธอไปพบคุณอุดมซึ่งเป็นนักโบราณคดี ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองโบราณ เธอคุยกับเขาและไปเป็นไกด์พาเขาเที่ยวชมโบราณสถานของลพบุรี
คุณทำงานที่นี่มานานแล้วเหรอครับ
ก็ไม่นานเท่าไรค่ะแต่อาศัยเป็นคนเกิดที่นี่โตที่นี่ก็เลยรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีอีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นไกด์หรอกนะคะ ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของกรมศิลปากรมากกว่า
แล้วทำไมคุณไม่ไปสอบล่ะครับ
ฉันคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นโอกาสทางธุรกิจคงจะไม่เติบโตพอดีมีเพื่อนเรียนนิเทศศาสตร์ก็เลยคุยกันแล้วก็ตั้งสำนักงานทัวร์เล็ก ๆ ขึ้นมา พอมีลูกค้ามากขึ้นรายได้เริ่มอิ่มตัวก็ขยายสาขา ที่จริงฉันคุมอยู่ที่กรุงเทพฯ นะแต่ว่าตอนนี้เพื่อนฉันลาคลอดก็เลยต้องวิ่งไปวิ่งมา 2 ที่
อืมลูกน้องไม่มีใครมาช่วยเหรอครับ
ก็มีเหมือนกันค่ะ แต่ว่าใครล่ะจะรู้เรื่องลพบุรีได้เท่าฉันกับยายนุชเพื่อนของฉัน
มันก็จริงอยู่หรอกครับคุณน่ะเก่งออกขนาดนี้
ไม่ได้เก่งอะไรนักหรอกนะเพียงแต่ชอบก็เลยทำตรงนี้ คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้จบทางด้านนี้มาโดยตรง
อ้าว!!!!
ฉันเรียนจบคณิตศาสตร์มาค่ะ แต่พอชอบและคลั่งไคล้ในศิลปะและพวกสถาปัตยกรรมฉันก็เลยมาต่อโทโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ฉันก็เลยอาศัยช่วงที่ว่าง ๆ อยู่ศึกษาให้เข้าถึงแก่นเลย
เหรอครับแล้วตรงนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ
นี่เป็นหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎค่ะ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2405 สมัยรัชกาลที่ 4 ค่ะ แต่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ลองเข้าไปดูหน่อยไหมคะ
น้ำผึ้งพาคุณอุดมชายหนุ่มผิวขาวท่าทางสมาร์ทหน้าตาคมคายเดินขึ้นไปบนตึกและพาชมรอบ ๆ พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองพอจะทราบให้เขาฟัง เมื่อเดินลงมาจากตึกเธอก็พาเขาไปชมบริเวณหมู่ตึกพระประเทียบ จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาที่พระที่นั่งจันทรพิศาล เธอถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังกิริยา เมื่อเธอเห็นรูปเหมือนขององค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เธอก็หมอบกราบทันทีทำให้คุณอุดมต้องหมอบกราบตามไปด้วย
ไม่รู้ทำไมนะคะ ทุกทีที่ฉันเห็นรูปปั้นหรือรูปเหมือนของพระองค์ ฉันเป็นต้องหมอบกราบทุกทีเลย
คุณอุดมยิ้มแล้วก็เดินเข้าไปภายในห้องโถงด้านใน น้ำผึ้งแนะนำพร้อมทั้งบอกเรื่องราวต่าง ๆ ของข้าวของที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อย่างละเอียด
โอ๊ย!!!!
คุณอุดมคะเป็นอะไรไปคะ
คุณอุดมจู่ ๆ ก็ทรุดตัวล้มลงกับพื้น เธอหันซ้ายหันขวาพยายามหาคนมาช่วยแต่ว่าบนนั้นไม่มีใครเลย เธอจึงยกหัวของเขาขึ้นให้หนุนตักและเอายาดมให้ดม
คุณอุดมคะคุณอุดม
เสียงน้ำผึ้งเรียกอยู่ตลอดเวลา คุณอุดมก็ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
เสียงปี่พาดดังลั่นทั่ววังไปหมด สาว ๆ นางในนุ่งผ้าหน้านางไม่สวมเสื้อมีแต่ผ้าพาดบ่าสีทองผืนเดียวที่พอจะปกปิดกายา ในบรรดาหมู่สาวนางในนั้นน้ำผึ้งแก้วเป็นหญิงนางเดียวที่สวมใส่สไบนุ่งห่มมิดชิด วางจริตกิริยาอย่างนางหงส์ ผ้าที่หล่อนนุ่งห่มสมกับเป็นลูกผู้ถือยศศักดิ์ หล่อนเดินนำเหล่านางในทั้งมวลเดินเข้าไปในประตูชั้นในเพื่อตรงไปยังพระที่นั่งสุทธาสวรรย์
ขุนนางใหญ่น้อยที่มาเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงมักจะไปแอบยืนมองนางในเสมอ ๆ โดยเฉพาะน้ำผึ้งแก้วซึ่งเป็นหลานของคุณท้าวเยาวลักษณ์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าทางสุโขทัย หล่อนจึงแต่งกายสมกับที่มีเชื้อสายเจ้าหล่อนเหมือนกับดอกฟ้าที่อยู่ท่ามกลางดอกหญ้าในสวนสวรรค์
นั่น.แม่หญิงมาแล้ว
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนบอกพวกข้าราชการที่มายืนอยู่หน้าตึกท้องพระโรง
สมเด็จฯ ท่านเล่าแม่หญิง
ทรงพระทรงอักษรอยู่เดี๋ยวจะเสด็จมา รอก่อนนะเจ้าค่า
น้ำผึ้งแก้วตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล หล่อนเดินมายังเบื้องหลังของท้องพระโรงโดยมีนางในอีก 2 คนเดินตามมาติด ๆ
หล่อนทำไมถึงแต่งตัวไม่เหมือนหญิงใด ๆ คนอื่น ๆ เล่าขอรับท่านเสนาฯ
หล่อนเป็นผู้ทรงศักดิ์ บรรพบุรุษของหล่อนสืบเชื้อสายเจ้ามาจากสุโขทัย พ่อของหล่อนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แม่ของหล่อนเป็นคุณท้าวนางห้ามข้างใน ส่วนที่ใหญ่ที่สุดนั้นเห็นทีจะเป็นเจ้าคุณย่าของหล่อน
ทำไมหรือขอรับ
ก็เจ้าคุณย่าของหล่อนเป็นคนที่เลี้ยงดูพระปีย์และยังเป็นคนสนิทของสมเด็จฯ ท่านอีกด้วย ฉะนั้นคนที่จะเกี้ยวแม่หญิงก็คงจะยากหน่อย ยกเว้น
ยกเว้นอะไรหรือท่านเสนาฯ
มีคน ๆ หนึ่งที่เข้าออกบ้านนั้นได้เห็นทีคงจะเป็นคุณหลวงบดินทร์นฤนาถญาติห่าง ๆ เชื้อสายราชวงศ์พระร่วงนั่นกระมัง
คนไหนหรือขอรับ
คนที่ยืนถือลอมพอกอยู่ใต้ต้นพุดจีบนั่นไง
ท่านเสนาฯ และคุณหลวงอุมศักดิ์มนตรียืนมองไปทางคุณหลวงบดินทร์นฤบาลที่ยืนทำท่าเหมือนกับรออะไรอยู่ใต้ต้นพุดจีบ ครู่หนึ่งแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วก็เดินออกมาหล่อนแอบยิ้มมุมปากแล้วก็ให้นางในคนหนึ่งนำห่อผ้าสีแดงเล็ก ๆ ยื่นให้คุณหลวง คุณหลวงก้มหัวแสดงความขอบคุณจากนั้นแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วก็เดินกลับเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน คุณหลวงบดินทร์นฤบาลแกะห่อผ้าสีแดงนั่นแล้วก็ยิ้ม
หล่อนเอาหมากให้คุณหลวงบดินทร์นฤบาลด้วย!!!!
ตกใจอะไรเขาอาหลานกัน
ข้าราชบริพารทุกคนเดินเข้าไปยังท้องพระโรง จากนั้นก็หมอบกราบ คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีนั่งใกล้กับคุณหลวงบดินทร์นฤบาล เขาจึงแอบกระซิบกับคุณหลวงบดินทร์ฯ เพื่อจะพูดเรื่องแม่หญิงน้ำผึ้งแก้ว
คุณหลวงขอรับ กระผมขอคุยกับคุณหลวงได้ไหมขอรับ
ได้สิ ใต้ต้นพุดจีบนะ
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลมายืนรอคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีอยู่ใต้ต้นพุดจีบ เมื่อคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีมาถึงเขาก็เริ่มพูดเรื่องแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วทันที
ไม่ได้!!!! หล่อนยังเด็ก
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลพูดหนักแน่นแล้วก็เดินออกจากเขตพระราชฐานมาทันที ปล่อยให้คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรียืนงงอยู่ที่ใต้ต้นพุดจีบ
คุณหลวงเจ้าคะ
แม่หญิง.!!!!
คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเมื่อเจอหน้าแม่หญิงน้ำผึ้งแก้ว
อ้าวขออภัยเจ้าค่ะ อิฉันคิดว่าเป็นคุณหลวงบดินทร์นฤบาล
น้ำผึ้งแก้วเดินกลับไปยังเขตพระราชฐานชั้นในทันทีเพราะหล่อนไม่มีธุระที่จะคุยกับคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรี
เดี๋ยว.!!!! แม่หญิงเดี๋ยวก่อน
น้ำผึ้งแก้วหยุดชะงักแล้วก็หันกลับมาทันที หล่อนยืนนิ่งรอให้คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีเดินมาหา
มีอะไรหรือเจ้าคะ
นี่ให้แม่หญิง
อิฉันคงรับไว้ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ
ทำไมรึเจ้า
มันไม่งามเจ้าค่า
ถือว่าพี่ให้ไว้เพื่อผูกมิตรก็แล้วกัน
น้ำผึ้งแก้วจึงรับดอกพุดจีบมาแล้วก็แอบอมยิ้มนิด ๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในเขตพระราชฐานฝ่ายในทันที
เดี๋ยว!!!! แม่หญิง
มีอะไรหรือเจ้าคะ
น้ำผึ้งแก้วหยุดเดิน หล่อนไม่ยอมหันกลับมา
พี่หลวงอุดมศักดิ์มนตรีบุตรชายเจ้าพระยาธรรมรัตน์เจ้ากรมเวียงอย่าลืมพี่เล่าเจ้า หากเจอกันก็ทักทายพี่บ้างนะเจ้า
เท่านี้ใช่ไหมเจ้าคะอิฉันต้องรีบกลับตำหนัก
น้ำผึ้งแก้วเดินลับสายตาเข้าไปในประตูเขตพระราชฐานฝ่ายใน คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรียืนมองอยู่หน้าตึกท้องพระโรง เขาเดินยิ้มออกมาจนกระทั่งมาหยุดชะงักเมื่อเจอหน้าคุณหลวงบดินทร์นฤบาล เขาทำหน้าตาดุดันจนคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีรู้สึกกลัว
คะคะคุณหลวง!!!!!
บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับหล่อน!!!
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลทำเสียงดุดันใส่ ในตาของเขาดูน่ากลัวเหลือเกินจนคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีตกใจ
..
เฮ้ย..!!!!!!!!
คุณอุดมคะเป็นอะไรคะ
น้ำผึ้งเห็นคุณอุดมผวาจึงเรียกด้วยความตกใจคุณอุดมศักดิ์ลุกขึ้นจากตักของเธอแล้วก็ทำหน้างง ๆ
ผมเป็นอะไรไปครับ
ไม่ทราบเหมือนกันค่ะจู่ ๆ คุณก็สลบ ฉันไปตามคนมาช่วยก็ไม่มีใครอยู่ฉันก็เลยให้คุณหนุนตักแล้วก็เอายาดมให้ดมคุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ไปหาหมอไหมคะ
เอ่อไม่ครับผมคงเพลียเพราะผมนอนดึกมาหลายคืน ขอโทษด้วยนะครับ
ไม่เป็นไรค่ะนี่ก็เย็นมากแล้วเรากลับกันเถอะนะคะ
น้ำผึ้งเดินนำหน้าคุณอุดมออกมาหน้าพิพิธภัณฑ์ เธอยิ้มนิด ๆ แล้วก็เดินคุยกับคุณอุดมไปตลอดทาง
4
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
2 กุมภาพันธ์ 2548 02:21 น.
สุชาดา โมรา
เนื้อคู่หรือเปล่า
คงไม่หรอกค่ะอาจารย์เพราะในอดีตชาติฉันเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของฉัน
ผมว่านะจิตของคุณอาจจะสื่อถึงกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัวก็เป็นได้ชาติที่แล้วคงจะผูกพันธ์กันมากถึงได้มาเจอกันอีกถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะฝันถึงคุณบ้างนะ แต่เขาคงไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวว่าคุณหรือใคร ๆ จะหาว่าเขาบ้า
น้ำผึ้งเดินออกจากมหาวิทยาลัยและกลับมายังบริษัททัวร์ของตัวเอง สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย
สวัสดีค่ะ
ผึ้งเธอรู้ไหมว่าพระเอกของเธอรถคว่ำอาการสาหัสมาก รีบมาด่วนเลยนะ
ที่ไหน
ลพบุรี
ขอบใจนะส้มฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละ
ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องรีบไป แต่ที่รู้ ๆ คือฉันคงนั่งเฉย ๆ รอฟังข่าวของเขาไม่ได้ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย
น้ำผึ้งรีบขับรถจากกรุงเทพฯ มายังลพบุรี เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เธอก็ตรงไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อถามถึงเขา แต่เธอเจอส้มเสียก่อน
ผึ้ง!!!! ทางนี้
น้ำผึ้งวิ่งตรงมายังส้มทันที เธอมาถึงหน้าห้องผ่าตัด
ใครเป็นอะไรเหรอ
คุณแก้มแฟนของผู้หมวดพระเอกของเธอกำลังเจาะเอาเลือดคั่งในสมองออก ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด
แล้วผู้หมวดล่ะ
อยู่ห้องไอซียู ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย
น้ำผึ้งนั่งรอหน้าห้องผ่าตัดอยู่ครู่หนึ่งแพทย์ก็ออกมา
ใครเป็นญาติของคุณรัศมีครับ
ผมเองครับ
ผู้หมวดดำรงพูดขึ้นเขาเป็นพี่ชายของคุณแก้มแฟนสาวของผู้หมวดหนุ่มคนนั้น
ตอนนี้ต้องรอผลต่อไปนะครับต้องดูกำลังใจของเธอว่าเธอจะอยู่ได้นานแค่ไหนเพราะอาการสาหัสมาก หมอไม่สามารถบอกได้ว่าเธอจะรอดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็ต้องรอดูใจกันไปก่อนนะครับ
น้ำผึ้งฟังแล้วก็ตกใจ เธอรีบวิ่งไปยังห้องไอซียูทันทีเพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้หมวดหนุ่ม เธอจับมือของเขาไว้แล้วก็ร้องไห้ เธอกระซิบข้าง ๆ หูของเขาเบา ๆ แล้วก็หยิบเครื่องรางที่ได้มาจาก ดร.เกษม ใส่ที่ข้อมือของเขา เธอนั่งมองเขาแล้วนึกอยู่ตลอดเวลาว่าต้องไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร
แม่หญิงเจ้าคะแม่หญิง!!!
น้ำผึ้งแก้วหันมายิ้มแล้วก็ถือพานดอกไม้เดินเข้มาในเขตพระราชฐานชั้นใน ในขณะที่คุณหลวงบดินทร์นฤนาถยืนมองหล่อนอยู่จนกระทั่งประตูเขตพระราชฐานฝ่ายในปิด
คุณหลวงมาแอบมองอะไรตรงนี้ขอรับ!!!
ไม่ได้มองอะไร แล้วหมวกลอมพอกของข้าอยู่ไหนส่งมาเร็วเดี๋ยวข้าเข้าไปร่วมประชุมไม่ทันเดี๋ยวอ้ายฝรั่งมันก็หลอกเราอีกหรอก
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถสวมหมวกลอมพอกพร้อมกับเสื้อคลุมเดินเข้าไปในท้องพระโรงสมเด็จฯ ท่านรับสั่งให้เขาไปอยู่ดูแลติดตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์คุณหลวงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเอาเสียเลยที่ต้องไปรับใช้ฝรั่งมังค่า เขาเดินตามหลังเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไป จากนั้นก็เคี้ยวหมากคำใหญ่ด้วยความโกรธ
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลต้องไปเรียนภาษาฝรั่งกับพวกสอนศาสนาเพื่อนให้รู้เท่าทันฝรั่ง เขานั่งเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระสั่งอ่านออกเขียนได้
คุณหลวงคุณหลวงขอรับ
มีอะไรรึอ้ายมิ่ง
แม่หญิงน้ำผึ้งแก้วกำลังลงเล่นน้ำกับพระสนมและหม่อมห้ามที่ท่าน้ำหลังวังขอรับ
เดี๋ยวก็หัวขาดหรอกถ้าใครรู้เข้าต้องแย่แน่ ๆ เลยเอ็งจะให้ข้าไปแอบมองอย่างนั้นรึ
กระผมขออภัยขอรับ กระผมเห็นว่าคุณหลวงชอบไปแอบมองแม่หญิงอยู่บ่อย ๆกระผมเห็นท่านมองมาตั้งแต่แม่หญิงยังไม่ตัดจุกเลยนะขอรับ
อย่าทำเป็นสู่รู้ข้าจะเรียนเอ็งมีอะไรทำก็ไปไป๊!!!
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถดุนายมิ่งบ่าวคนสนิทเสียเสียงเขียว จากนั้นก็ทำท่าอ่านตำราฝรั่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จนนายมิ่งเดินออกไปจากห้องนานพอควร คุณหลวงจึงกระโดดออกจากหน้าต่างตึกบ้านหลวงรับราชทูตของเจ้าพระยาวิชาเยนต์แล้วก็เดินหลบออกไปยังท่าน้ำทันทีเพื่อขึ้นเรือเก๋งโดยพายไปชะลอใกล้ ๆ กับที่นางในอาบน้ำกัน เขาแอบมองเห็นสาว ๆ หลายคนลงเล่นน้ำ สายตาของเขาสอดส่ายจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
น้ำผึ้งแก้วอยู่ไหนนะเขานึกอยู่ในใจจนกระทั่งเขาเห็นหล่อนกำลังถูกขัดสีฉวีวรรณด้วยขมิ้น หลังขาว ๆ ของหล่อน เนื้อนวลละมุมนละไมน่ากอดยิ่งนัก รูปร่างบอบบางดูมีทรวดทรงองเอว หล่อนไม่ต่างจากหม่อมห้ามเท่าไรนักเพราะผิวพรรณของหล่อนสมกับเป็นลูกผู้สืบเชื้อสายมาจากวังเดิม หล่อนมีเชื้อสายสุโขทัยแห่งราชวงศ์พระร่วงเจ้า
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถแอบมองหล่อนอยู่นานจนหระทั่งเหลือบไปเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายในหรือคุณท้าวจันทร์แก้วยืนจ้องมองมายังเรือเก๋ง เขาจึงรีบพายเรือกลับไปเก็บยังท่าทันที
สาว ๆ นางในแตกตื่นเมื่อคุณท้าวจันทร์แก้วตะโกนว่ามีคนแอบมอง เหล่าทหารมากมายรีบตามจับผู้ที่ล่วงละเมิดเขตหวงห้ามแต่ก็ไม่พบ พวกเขาพบแต่เรือเก๋งที่จอดอยู่ที่ท่าน้ำของเจ้าพระยาวิชาเยนต์หลายลำก็เท่านั้น เมื่อมีคนเข้ามายังตึกรับรองก็พบคุณหลวงบดินทร์นฤนาถนั่งอ่านหนังสืออยู่ ทุกคนจึงไม่กล้าไต่ถามอะไร แล้วก็กลับไปในที่สุด
เฮ้อ!!!! โล่งอกไปทีโชคดีนะที่พายเรือกลับมาทันเวลาพอดีคุณหลวงนึก ใจของเขาเต้นรัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวความผิด เขาสงสัยอยู่ว่าคุณท้าวจันทร์แก้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาแอบมองหรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนกระทำแบบนี้แล้ว
คุณหลวงตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไปยังพระราชวัง เขาเห็นสาว ๆ นางในหลายคนตื่นเต้นดีใจกับน้ำพลุที่ผุดขึ้นจากสระน้ำ เขาจึงเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็นน้ำอะไรที่โผล่ขึ้นมาจากสระเหมือนกัน
อุ๊ย!!!!
น้ำผึ้งแก้ว!!!!
คุณหลวงเดินชนน้ำผึ้งแก้ว เขาเกือบจำหล่อนไม่ได้เพราะหล่อนดูเป็นสาวได้รวดเร็วเหลือเกิน ผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง กลิ่นน้ำอบจันทร์หอมรัญจวนไปหมด หล่อนคงปรุงน้ำหอมขึ้นมาใช้เองได้แล้วตามตำรับชาววัง
ขออภัยเจ้าค่าคุณหลวงบดินทร์นฤนาถ!!!!
หล่อนก้มหน้าก้มตาขอโทษ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณหลวงยืนยิ้มอยู่ หล่อนถึงกับเรียกชื่อด้วยความตกใจ
ดูอะไรรึเจ้า
ดูน้ำผุดจากสระเจ้าค่า
ฝรั่งเขาเรียกว่าน้ำพลุเจ้าเคยได้ยินหรือไม่
หล่อนส่ายหน้า คุณหลวงจึงคุยให้ฟังหลายเรื่อง จนเจ้าพระยาวิชาเยนต์เดินเข้ามาอธิบายเรื่องน้ำพลุให้หล่อนฟัง หล่อนทำท่าเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพระยาวิชาเยนต์พูดมากกว่าที่คุณหลวงพูดให้ฟังเสียอีก
พี่ต้องไปหอพระก่อนนะพรุ่งนี้เจ้าว่างรึไม่
อิฉันต้องกลับบ้านเจ้าค่าพอมีเวลาว่างบ้างมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ
เจอกันที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนะเจ้าพี่จะพาเจ้าไปกราบพระ
หล่อนยิ้มอย่างอาย ๆ แล้วก็เดินไปกับนางในที่มาด้วยกันในบรรดานางในทั้งหมดน้ำผึ้งแก้วเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่งดงาม และเป็นคนที่งามที่สุดงามยิ่งกว่าหม่อมห้ามหลายองค์เสียด้วย จนทำให้คุณหลวงรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเจ้าของวังจะเห็นดอกไม้ในสวนเขาจึงพูดกับเจ้าพระยาวิชาเยนต์เรื่องการสู่ขอนาง
เอาเถอะเราจะช่วยท่าน แต่ท่านอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ล่ะ
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถมารอน้ำผึ้งแก้วที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุแต่เช้า เมื่อหล่อนมาถึง คุณหลวงก็จับมือจูงหล่อนเข้าไปในวัดทันที หล่อนสะบัดมือออกแล้วก็เดินนำหน้าคุณหลวงไป เมื่อก้มลงกราบพระคุณหลวงก็อธิฐานให้หล่อนได้ยินทันที
พี่สาบานว่าจะไม่รักใครนอกจากแม่
น้ำผึ้งแก้วขยับหลบเพราะกลัวว่าใครจะครหา คุณหลวงก็ขยับตาม
เจ้าจักเชื่อพี่หรือไม่
อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกไม่อย่างนั้นอิฉันจะฟ้องเจ้าคุณย่าว่าคุณหลวงพูดจาลวนลามอิฉัน
พี่ไม่ได้ลวนลามเจ้าดอกพี่เพียงแต่พูดไปตามที่ใจปรารถนาเท่านั้นเองพี่จะไปสู่ขอเจ้าให้เป็นหน้าเป็นตา
อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกเลย หากคุณหลวงยังเห็นว่าอิฉันเป็นหลานถ้าหากพูดอีกอิฉันจะไม่เกรงใจ อิฉันจะทูลฟ้องเสด็จฯ ท่าน พระองค์คงกริ้วถ้าหากรู้ว่าคุณหลวงพูดจาหยาบหยามกับนางห้ามตำหนักในที่วัดเยี่ยงนี้
พี่ให้คำสัจจริงว่าพี่จะรักเจ้าทุกชาติ ๆ ไปนี่กำไลของพี่ พี่ไปขอหลวงพ่อมาเพื่อเจ้า พี่นั่งถักร้อยกำไลด้วยตัวเองเชียวนะ พี่ให้เจ้าไว้ป้องกันภัย
หล่อนไหว้แล้วก็รับมา คุณหลวงจึงใส่กำไลให้หล่อนทันที
กำไลนี้มีอานุภาพยิ่ง เขาว่ากันว่ากำไลนี้จะทำให้คนรักกันจำกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนชาติไหนก็จะตามไปพบเจอ
กำไลสวยนะเจ้าคะจริงหรือที่พูด
จริงสิ
อิฉันจะรอคุณหลวงมาสู่ขอเจ้าค่า
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลถึงกับยิ้มหน้าบานทันที เขารีบกราบพระและเดินตามหล่อนออกไปนอกโบสถ์ เขาพาหล่อนชมบริเวณวัดจนสายจากนั้นก็ให้บ่าวพายเรือไปส่งหล่อนถึงบ้าน เขาเข้าไปคุยกับเจ้าคุณย่าอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็ลากลับไป
3.
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
2 กุมภาพันธ์ 2548 02:17 น.
สุชาดา โมรา
ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย ฉันไม่อยากจะเติบโตเป็นสาวเลยจริง ๆ เพราะฉันจะไม่มีโอกาสได้มาวิ่งเล่นเป็นเด็ก ๆ แบบนี้อีกแล้วน่ะสิ
เจ้าคุณย่ายืนคุยอยู่กับแขกเหลื่อที่มาในงาน น้ำผึ้งแก้วแอบมองทุกคนทางหน้าต่างห้องด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายตามประสาเด็ก
เมื่อถึงเวลาพระสวดน้ำผึ้งแก้วก็นั่งพับเพียบประนมมือรอการตัดจุก สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความทุกข์อันแสนสาหัสจนกระทั่ง
เดี๋ยวขอรับ
เจ้าคุณพ่อ!!!!
น้ำผึ้งแก้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมาก
ลูกนึกว่าเจ้าคุณพ่อจะไม่มาเสียแล้ว
มาสิลูกพ่อต้องมาให้ทันเจ้าตัดจุกเรื่องสำคัญแบบนี้เป็นอะไรพ่อจะไม่มาเล่า
น้ำผึ้งแก้วกอดเจ้าคุณพ่อไว้แน่น เธอเหลือบไปเห็นคุณมาลีเมียรองของเจ้าคุณพ่อ เธอจึงละแขนออกจากเอวของท่านแล้วก็จ้องหน้าท่านด้วยความรู้สึกที่เจ็บใจ
เจ้าคุณแม่ของลูกไปไหนทำไมเจ้าคุณพ่อถึงทำแบบนี้
น้าเขาอยากจะมาดูลูกน่ะพ่อก็เลย
น้ำผึ้งแก้วไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น หล่อนนั่งนิ่งจนพิธีตัดจุกเป็นอันว่าเสร็จสิ้น หล่อนเดินกลับไปยังห้องของหล่อนจากนั้นก็ไม่ยอมออกมาเลย หล่อนนอฟุบอยู่ที่เตียงแล้วก็ร้องไห้ ไม่มีใครตอบได้ว่าหล่อนเป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าคุณพ่อของหล่อนจะถามบ่าวไพร่กี่คนก็ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนทำไมถึงไม่ยอมออกมาจากห้อง เจ้าคุณพ่อรู้สึกผิดหวังมากที่ลูกสาวทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
..
เจ้าคุณย่าเจ้าคะ หลานอยากจะไปอยู่ในวังกับเจ้าคุณแม่เสียวันนี้เลย
ทำไมมารบย่าแต่เจ้าล่ะลูกทุกทีเจ้าบอกเองไม่ใช่รึว่าไม่อยากไปอยู่ในวัง เจ้ากลัวว่าจะไม่มีเพื่อนไม่ใช่รึ
หลานโตแล้วนะเจ้าคะ ไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้เพียงแต่หลานไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว หลานอยากจะไปเป็นข้าหลวงของสมเด็จฯ ท่าน เจ้าคุณย่าจะให้หลานไปไหมเจ้าคะ
เอาก็เอา รีบไปเปลี่ยนผ้านุ่งแล้วตามย่ามา
เจ้าคุณย่านั่งกรองดอกไม้ใส่พานพร้อมธูปเทียนแพ เมื่อน้ำผึ้งแก้วแต่งตัวเสร็จ เจ้าคุณย่าก็นำสังวาลเส้นโตมาคล้อง จากนั้นก็ส่งพานให้หล่อนและเดินนำไปยังท่าน้ำเพื่อลงเรือเก๋งที่จอดเทียบท่าอยู่
เจ้าคิดดีแล้วรึ
เจ้าค่ะ
รู้จักโตสักทีถ้าไปถึงก็อย่าร้องโยเยกลับบ้านล่ะ
นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำผึ้งแก้วจะได้เข้าวังไปถวายตัวเพื่อเป็นข้ารองบาทสมเด็จฯ ท่าน หล่อนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืนหลังจากที่หล่อนรู้สึกได้ว่าเหตุใดเจ้าคุณแม่ของหล่อนจึงไม่ยอมกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าคุณพ่ออีก
น้ำผึ้งแก้วลงจากเรือที่ท่าขุนนาง หล่อนเดินตามหลังเจ้าคุณย่าไปติด ๆ พร้อมทั้งนางม้วน นางไลบ่าวรับใช้คอยติดตามเดินถือสัมภาระตามไปด้วย
น้ำผึ้งแก้วเดินเลาะกำแพงวังตามเจ้าคุณย่าไป หล่อนมองซ้ายมองขวาก็เห็นผู้คนเรียงรายจับจ่ายซื้อของกันให้จ้าละหวั่น หล่อนเดินข้ามประตูที่สองมาก็เห็นมีแต่ผู้หญิงร่างใหญ่ยืนเฝ้าประตูดูท่าทางขึงขังหล่อนรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก แต่หล่อนก็ต้องเดินต่อไปเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าคุณแม่ที่กำลังรออยู่ข้างในนั้น
แม่นิ่ม
เสียงเจ้าคุณย่าเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังกรองมาลัยอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ หันมาแล้วก็ยิ้มละไมจากนั้นก็กราบเจ้าคุณย่าด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม
ทายสิใครมาด้วย
ฉันเดินออกจากข้างหลังของเจ้าคุณย่า เจ้าคุณแม่ถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ น้ำผึ้งแก้วจึงเดินเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบ 2 ปี
เอาละอย่ามัวดีใจอยู่เลยข้าหลวงตัวน้อยกำลังจะเข้าเฝ้าถวายตัวไปน้ำผึ้งแก้วเอาพานนั่นถือตามมาและอย่าลืมทำตามที่ย่าบอกล่ะ
น้ำผึ้งแก้วเดินตามไปยังพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทหล่อนค่อย ๆ หมอบคลานมายังหน้าพระที่นั่งท่ามกลางขุนนางใหญ่น้อยที่มาเข้าเฝ้ายามออกว่าราชการ
นั่นคุณท้าวนางเยาวลักษณ์ใช่หรือไม่
เพคะหม่อมฉันพาข้าหลวงคนใหม่เข้าเฝ้าถวายการรับใช้เพคะ
เด็กนั่นน่ะหรือบะ!!!ยังเด็กอยู่เลยจะใช้การได้รึ
ได้เพคะ หม่อมฉันสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
หลานสาวเจ้ารึ
เพคะ
ดีมาใกล้ ๆ ข้า ส่งพานนั่นมา
เสียงสมเด็จฯ พระองค์ทรงสรวญดังลั่น น้ำผึ้งแก้วค่อย ๆ คลานเข่าพร้อมทั้งยกพานขึ้นไว้เหนือหัวใบหน้าก้มมองพื้นตลอดเวลา หล่อนชำเลืองไปเห็นคุณหลวงบดินทร์นฤนาถซึ่งนั่งมองมายังหล่อนพร้อมกับยิ้มหวาน ๆ ให้ หล่อนหันกลับมายังพระที่นั่งและยกพานยื่นให้มหาดเล็กรักษาพระองค์ มหาดเล็กนำพานนั้นทูลเกล้าถวายให้กับสมเด็จฯ ท่าน พระองค์ทรงสรวญดังเข้าไปอีกแล้วก็ตรัสรับสั่งถามต่าง ๆ นานา
มาลัยนี่กรองเองหรือไม่
เจ้าคุณย่าท่านกรองเพคะ
รู้จักพูดเพคะเพขา หัดจากใครเล่าเจ้า
ไม่ได้หัดจากใครเพคะ หม่อมฉันฟังจากเจ้าคุณย่าท่านพูดเจ้าค่า
ทำอะไรเป็นบ้านเล่าเจ้า
ทำเป็นหลายอย่างเพคะ
หลายอย่างน่ะอะไรบ้าง
ก็สุดแล้วแต่จะรับสั่งเพคะ หากทำไม่ได้ก็หัดทำได้เพคะ
อืมหลานเจ้าคนนี้ช่างพูดช่างจาผิดกับแม่ของมัน
เจ้าคุณย่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นสมเด็จฯ ท่านทรงพอพระทัยจากนั้นก็คลานหลบไปทางอื่นปล่อยให้หลานสาวนั่งหมอบกราบอยู่ที่หน้าท้องพระโรงจนกว่าสมเด็จฯ ท่านจะตรัสสั่งให้ไป
ชื่ออะไรเล่าเจ้า
น้ำผึ้งแก้วเพคะ
อายุเท่าไรกัน นี่เพิ่งตัดจุกใช่ไหมเจ้า
เพคะ
น้ำผึ้งแก้วข้าหลวงที่อายุน้อยที่สุดของข้า ข้าจะให้เจ้ามีหน้าที่ล้างบาทข้าตามตื่นนอน และก่อนนอนจะได้หรือไม่ ทำเป็นหรือไม่เจ้า
เป็นเพคะ
น้ำผึ้งแก้วรับคำพร้อมทั้งยกปลายมือกระดกขึ้น
เอาอย่างนี้เจ้าตามคุณเท้านางเยาวลักษณ์ไปแล้วไปฝึกซ้อมมา ข้าจะให้เจ้าทำงานวันนี้แหละ หวังว่าเจ้าคงไม่ทำข้าวของเสียหายอย่างนางรื่นข้ารองบาทคนก่อนของข้าหรอกนะ
น้ำผึ้งแก้วค่อย ๆ คลานกลับมาหาเจ้าคุณย่าของหล่อน จากนั้นก็เดินออกจากท้องพระโรงไปท่ามกลางขุนนางใหญ่น้อยที่แอบอมยิ้มอยู่ หล่อนหันกลับมามองคุณหลวงบดินทร์นฤนาถแล้วก็อมยิ้มจากนั้นก็หันกลับไป
ผึ้งผึ้งผึ้งมือขยับแล้ว!!!!
เสียงผู้คนมากมายคุยกันจอกแจกหญิงคนหนึ่งเรียกชื่อของฉัน ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้เหลือเกิน
ฟื้นแล้วค่ะไปตามหมอมาเร็ว!!!!
ฉันรู้สึกสะลึมสะลือ มึนงงไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อกี้ฉันยังอยู่ที่วังกำลังเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่พระที่นั่งจันทรพิศาลอยู่เลยแล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้หรือว่าเราฝันไปกันแน่
เป็นอย่างไรบ้างพวกเราตกใจแทบแย่จู่ ๆ เธอก็ฟุบล้มลงพวกเราคิดว่าเธอเป็นลมแต่ก็เปล่า เธอหลับไปถึงสองวันเชียวนะ
จริงเหรอมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เธอเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมส้ม
ก็ตอนที่เธอกำลังบรรยายเรื่องเขตพระราชฐานในวังให้กับผู้หมวดณรงค์และเพื่อน ๆ ของตำรวจของเขาที่มาจากกรุงเทพฯ ฟัง พอเธอเดินมาที่พระที่นั่งจันทรพิศาล เธอกำลังพูดถึงเรื่องการส่งพระราชสารที่ชาวฝรั่งเศสชื่ออะไรนะ
เชอวาเลียร์ เดอ โชมองค์
เออใช่!!!นั่นแหละเธอหันไปเห็นตาผู้หมวดหล่อ ๆ นั่นแล้วเธอก็หยุดพูดทันที จู่ ๆ เธอก็เดินเข้าไปหาเขา เธอจ้องเขาเหมือนกับคนรู้จักแล้วจู่ ๆ เธอก็เป็นลมฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอเป็นอะไร นี่พวกเรายังงง ๆ อยู่เลยว่าเธอทำไมถึงได้หลับไปนานถึงสองวัน
เธอเชื่อไหมว่าฉันไปอดีตมา
หมายความว่าไงอย่าบอกนะว่าเธอปิ้งรักกับตาผู้หมวดหล่อนั่นแล้วก็เก็บไปฝันถึงสองวันแบบนี้โธ่เพื่อนเราไม่น่าเลย
บ้าเหรอส้ม!!! ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าตาผู้หมวดคนนั้นที่ไหนสักแห่ง ฉันก็เลยจ้องมอง แต่ฉันคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนแล้วจู่ ๆ มันก็วูบไปอย่างนั้นแหละแต่ฉันกลับเห็นจุดที่ฉันยืนอยู่เป็นภาพที่แตกต่างจากปัจจุบันเหลือเกิน ฉันเห็นเขา เห็นครอบครัวของฉันทุกคน เห็นสมเด็จพระนารายณ์มหาราชฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ฝันเพราะมันดูจริงจังเหลือเกิน
ฉันว่าเธอคงเรียนหนักไป เพราะเธอทำปริญญาโทโบราณคดีใช่ไหมเธอถึงได้คลั่งขนาดนี้ฉันว่าเธอน่าจะไปพบจิตแพทย์นะ
นี่ฉันไม่ได้บ้านะ
ฉันก็ไม่ได้ว่าเธอบ้านี่เพียงแต่ฉันคิดว่าเธอเครียดมากไปก็เท่านั้นเอง
น้ำผึ้งนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรเธอมองจ้องหน้าส้มเพื่อนรักของเธอ แล้วก็มองไปที่ต่าย โอ แป้ง และหนูนา
ฉันเชื่อเธอ
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ทุกคนหันไปมองกันหมด ฉันยิ้มทันทีเมื่อเห็นยาหยีเดินมา
จริงเหรอ
จริงเพราะว่าอดีตกับปัจจุบันมันขนานกันอยู่ ฉันก็คนหนึ่งละที่ครั้งหนึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ แต่พอฉันได้ไปอยู่วัดและได้ตัดกรรมในครั้งนั้น มันทำให้ฉันเห็นภาพในอดีตชาติ และฉันก็เชื่อว่านั่นคือเรื่องจริงฉันคิดว่าเธอคงเป็นเหมือนที่ฉันเคยเป็น
ใช่ฉันเห็นภาพเมื่อสองร้อยกว่าปี ฉันเห็นเรื่องราวในอดีตชาติ
อย่าบอกนะว่าที่ยายผึ้งหลับไปสองวันนี่เธอถอดจิตไป
เสียงส้มพูดดังขึ้น น้ำเสียงของเธอพูดเหมือนกับไม่เชื่อว่าเป็นแบบนั้น
ใช่นี่เขาเรียกว่าการถอดดวงจิต บางทีเราก็ถอดดวงจิตไปโดยไม่รู้ตัว เพราะบางทีในขณะที่เรากำลังยืนอยู่ในจุดที่อดีตชาติกำลังดำเนินอยู่นั้น เกิดการทับรอยระหว่างเส้นลิขิต จึงทำให้ดวงจิตในชาตินี้หลุดลอยไปหาอดีต ทำให้เกิดนิมิตภาพเรื่องราวต่าง ๆ และดวงจิตของเรานั้นก็ได้ไปรวมกันมันจึงทำให้ภาพที่เห็นนั้นเป็นจริง
เชื่อเขาเลยว่าทั้งคู่น่าจะไปหาจิตแพทย์
ส้มยิ้มเยาะแล้วก็เดินไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ที่โซฟา
แอ๊ด..
เสียงประตูห้องพยาบาลเปิด ผู้หมวดณรงค์เดินมาพร้อมกับผู้หมวดอีกหลายคนเพื่อมาเยี่ยมน้ำผึ้ง ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส น้ำผึ้งพยายามมองหาผู้หมวดคนนั้น คนที่เธอเห็น คนที่เธอสงสัยว่าจะเป็นคนในอดีตชาติเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคยเห็น
มองหาใครอยู่เหรอครับ!!!
ผู้หมวดณรงค์ถามน้ำผึ้งขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัย
จะมองหาใครล่ะ ก็มองหาพระเอกคนที่อุ้มเธอมาส่งโรงพยาบาลน่ะสิ
อ๋อผู้หมวดสุเมธน่ะเหรอวันนี้เขาไปหาแฟนน่ะชอบเหรอผมติดต่อให้ได้นะ
นี่ผู้หมวดณรงค์เพื่อนฉันไม่ชอบสามีของชาวบ้านหรอกนะ
ผมก็ไม่ได้ว่าเขามีเมียซะหน่อย แค่แฟนเท่านั้นเองผมติดต่อได้นะ
ฉันไม่ได้ชอบเขาหรอกค่ะ คือฉันจะขอบคุณเขาเท่านั้นเอง
น้ำผึ้งตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ครู่หนึ่งแพทย์ก็มาขอตรวจอาการของเธอ
อาการของคุณไม่เป็นอะไรครับ กลับบ้านได้เลย แต่ผมสงสัยอยู่ว่าทำไมคุณถึงหลับไปนานขนาดนั้นถ้าคุณมีอาการไม่ค่อยดีให้โทรติดต่อผมได้เลยนะนี่นามบัตรของผม
ขอบคุณค่ะ
น้ำผึ้งออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมเพื่อน ๆ และตำรวจอีกหลายนาย ทุกคนคุยกันอย่างสนุกสนาน นาจับคู่กับผู้หมวดทิน ส้มคุยกับผู้หมวดณรงค์ ยาหยีคุยกับผู้หมวดเปรม ต่ายคุยกับโอแฟนของเขา ส่วนน้ำผึ้งนั้นไม่ยอมพูดจาอะไร เธอก้มหน้าก้มตาไปตลอดทางจนกระทั่งเธอเดินออกมาพ้นประตูโรงพยาบาลไปแล้ว เธอได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยที่สุด เธอรู้สึกว่าน้ำหอมกลิ่นนี้เหมือนกับกลิ่นของคุณหลวงบดินทร์นฤนาถ เธอจึงหยุดเดินและหันกลับมาหากลิ่นน้ำหอมกลิ่นนั้น เธอเดินเข้าไปจับแขนผู้ชายคนนั้นทันที
คุณ.
อ้าว!!! ผมกำลังจะไปเยี่ยมคุณอยู่พอดีเลย จะกลับบ้านเหรอครับ
ค่ะ
น้ำผึ้งแก้วยิ้มแล้วก็ยืนคุยกับผู้หมวดหนุ่มคนนี้ด้วยสีหน้าที่สดชื่นราวกับได้คุยกับแฟนเพื่อน ๆ และผู้หมวดหลายคนจึงหันกลับมามองแล้วก็ยิ้ม
คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผม
ฉันได้กลิ่นน้ำหอมค่ะ
จำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ!!!!
..2..
2 กุมภาพันธ์ 2548 02:15 น.
สุชาดา โมรา
ดาวประดับรักก็ยังคงเป็นดาวที่สว่างอยู่กลางหัวใจดวงน้อย ๆ กับสายเลือดที่รักชาติของนายตำรวจหนุ่มคนนี้ตลอดไป
อวสาน.
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ...
2 กุมภาพันธ์ 2548 02:10 น.
สุชาดา โมรา
ประวัติของโสภาค สุวรรณ
โสภาค สุวรรณ เป็นนามปากา จริง ๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิง ชื่อ รำไพพรรณ สุวรรณสาร ภายหลังแต่งงานจึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลสามีคือ ศรีโสภาค
บิดา คือ นายสุนทร สุวรรณสาร
มารดา คือ นางจำนรรจ์ ( วสันตสิงห์ ) สุวรรณสาร
การศึกษา
จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์
จบมัธยม 8 ที่โรงเรียนเซนโยเซฟคอนแวนต์
จบปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยเวียนนา ออสเตรีย
สถานภาพครอบครัว
สมรสกับ นายแพทย์มงคล ศรีโสภาค
มีบุตร 3 คนคือ ชิดศุภางค์ วีคส์ หรือ เก้า
อภิรมย์รัช โรสแลนสกี้ หรือ ฟาง
นทสรวง ศรีโสภาค หรือ นก
การทำงาน
รับราชการที่โรงพยาบาลศรีธัญญา กองสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เริ่มนำวิธีใช้ดนตรีในการรักษาผู้ป่วยทางจิตและปัญญาอ่อนเป็นแห่งแรกของกองสุขภาพจิต ตลอดจนใช้ดนตรีช่วยในการวินิจฉัยโรคของจิตแพทย์ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการประชุมจิตบำบัดระหว่างประเทศ ณ กรุงเวียนนา ประเทศ ออสเตรีย เมื่อ พ.ศ.2521
เริ่มต้นการเขียน
จากการติดตามบิดาซึ่งเป็นฑูตไปหลายประเทศ ทำให้ผูกพันธ์นวนิยายขึ้นในแนวต่าง ๆ กัน และได้เริ่มงานเขียนในสตรีสารเป็นฉบับแรกขึ้นชื่อเรื่อง เสียงกระซิบจากริมหาด
ผลงานการประพันธ์
- มนต์นางฟ้า
- น้ำคำ ( รางวัลนวนิยายปี 2530 )
- หนังหน้าไฟ ( รางวัลนวนิยายปี 2526 )
- เกนรี มายรี
- รักในสายหมอกล
- สีคีริยา
- ลมหวน
- พรานทะเล
- จินตปาตี
- ระบำหงส์
- เจ้าชาย
- เงาราหู
- หนังหน้าไฟ
- สงครามดอกรัก
- น้ำคำ มนต์นางฟ้า
- สิคีริยา
- ทรายสามสี
- ฟ้าจรดทราย
- หิมะสีแดง
- พรานทะเล
- เสียงกระซิบจากริมหาด
ฯลฯ.
การนำความรู้จากเรื่องต่าง ๆ มาแต่งเป็นนวนิยาย
ด้วยความที่เป็นนักเดินทางตัวยงและเป็นนักเก็บข้อมูล เธอจึงมีเรื่องราวมากมายในการเขียน นอกจากนั้นเธอยังเป็นคนที่รอบรู้เรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี ดังนั้นผลงานที่เธอได้ถ่ายทอดออกมานั้นจึงมีผู้สนใจเป็นอย่างมาก จากประสบการณ์และจินตนาการมาผนวกกับความรู้ที่มีอยู่นั้น ผลงานในเรื่องสายโลหิต หรือแม้แต่เรื่องอื่น ๆ ของเธอจึงเป็นผลงานที่มีคุณค่ายิ่งนัก
วิเคราะห์กลวิธีการเขียนเรื่องสายโลหิตของโสภาค สุวรรณ
กุหลาบ มัลลิกามาส ( 2520, หน้า 2 ) กล่าวว่า การวิจารณ์วรรณคดีคือ การให้อรรถาธิบายในแง่ต่าง ๆ เกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ ของวรรณคดีที่นำมาวิจารณ์ พร้อมทั้งประเมินค่าของวรรณกรรมนั้น ๆ โดยใช้กฏเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างไม่มีอคติ
วิทย์ ศิวะศริยานนท์ ( 2518, หน้า 217 ) กล่าวว่า การวิจารณ์คือการพิจารณาลักษณะของบทประพันธ์ ควรแยกแยะส่วนประกอบที่สำคัญ และหยิบยกออกมาแสดงให้เห็นว่าไพเราะ งดงามเพียงใด วิเคราะห์ความหมายของบทประพันธ์นั้น ๆ ให้ละเอียดงานวิเคราะห์จึงจะได้ชื่อว่าเข้าถึงแก่นและเจตนคติ
วิเคราะห์องค์ประกอบที่สำคัญของนวนิยายเรื่องสายโลหิต
โครงเรื่อง
ดาวเรืองเกิดและเติบโตในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นหลานสาวที่คุณย่านิ่มรักและเอ็นดูที่สุดเพราะกำพร้าแม่ตั้งแต่ แรกเกิด หลวง สุวรรณราชาผู้เป็นบิดาเป็นช่างทองหลวง จึงให้ดาวเรืองอยู่ในความดูแลของคุณย่านิ่มตั้งแต่นั้นมา ดาวเรืองมีพี่ชาย อีกหนึ่งคนชื่อหลวงเสนาสุรภาค และพี่สาวอีกคนหนึ่งชื่อลำดวน
พ.ศ. 2301 ดาวเรืองอายุได้ 10 ปี ลำดวนอายุ 20 ปี ตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกับหลวงเทพฤทธิ์อริศัตรูพ่าย ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตกับขุน ไกร ตำแหน่งกองทะลวงฟัน เป็นบุตจรชายของพระยาพิริยะแสนพลพ่ายกับ คุณหญิงศรีนวล หมื่นทิพเทศาบุตรชายโทนของพระวิชิตกับคุณหญิงปริกเป็น ทหารฝ่ายพระยา รัตนาธิเบศร์เป็น ผู้ชายมักมากในกาม มีเรื่องในเชิงชู้สาวกับผู้หญิงนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ แล้วยังบังคับ ให้ดาว เรืองช่วยแอบส่งเพลงยาวให้กับ แม่หญิงเยื้อนน้องสาวคนสุดท้องของขุนไกร แต่ดาวเรืองถูกขุนไกรจับได้ก่อน
ดาวเรืองยอมรับกับขุนไกรว่าที่ยอมถูกบังคับให้แอบส่งเพลงยาวให้แม่หญิงเยื้อนนั้นเป็นเพราะ หมื่นทิพรู้มา ว่าเธอ แอบหนี ไปเที่ยวที่คุกกับ แม่ครัว ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม ขุนไกรจึงยึดเพลงยาวไว้แล้วขออนุญาตย่า นิ่มพาดาวเรือง เที่ยวรอบกรุงศรีอยุธยา ความช่างซักช่างถามและช่างจดจำในสิ่ง ต่าง ๆ รอบตัวเกินเด็กวัยเดียวกัน ทำให้ขุนไกร เอ็นดูดาวเรืองเป็นอันมาก
ฝ่ายหมื่นทิพพอรู้เข้าก็แค้นขุนไกรที่ขัดขวางทางรักของเขา หมื่นทิพจึงประกาศว่าจะต้องสู่ขอแม่ หญิงเยื้อน น้องสาวขุนไกร มาเป็นเมียให้ได้ ต่อมาขุนไกร หลวงเสนาสุรภาคและพระยาพิริยะ แสนพล พ่ายต้องออกทัพ ไปป้องกันศึกพม่าที่มาตี ระหว่างที่ขุนไกรไม่อยู่นี้ หมื่นทิพจึงได้โอกาสไปมา หาสู่แม่หญิงเยื้อน และแม่หญิง เยื้อนก็มีทีท่าพอใจในตัวหมื่นทิพไม่น้อย ทำให้ขุนไกรแค้นเคืองหมื่นทิพมาก พ.ศ. 2304 ดาวเรืองอายุได้ 13 ปี พม่าเริ่มรุก หนักอีกครั้ง ขุนไกรอาสาออกไปรบ พันสิงห์ลูกน้องคนสนิทของขุนไกร พลัดกับขุนไกร หนีตายกลับเข้า มากรุงจนถึงเขตบ้านของดาวเรือง คุณย่านิ่มจึง ช่วยรักษาโดยให้นางเยื้อนพี่เลี้ยงดาวเรืองช่วยดูแล จนหายป่วย แล้วก็เลยตกลงแต่งงานกันในที่สุดส่วนขุนไกรซึ่งสู้รบจนบาดเจ็บสาหัสก็ถูกหามกลับมารักษาตัวที่บ้านครูดาบ ยังไม่ทันหายดีก็อาสาออก ไปรบอีก เพราะ ดู อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เมื่อ รู้ว่าพม่าใกล้จะเข้าประชิดกรุงเต็มทีแล้ว ขุนไกรตัดสินใจขอย้ายราชการ ไปอยู่ที่หัว เมืองเหนือเพื่อที่จะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับหมื่นทิพ เนื่อง จากแม่หญิงเยื้อนน้อง สาวขุนไกรยอมตกลงรับ หมั้น หมื่นทิพ พันสิงห์กับนางเยื้อนจึงติดตามไปอยู่หัวเมืองกับขุนไกรด้วย ปลายปี พ.ศ. 2309 ศึกพม่ายิ่ง รุกหนัก หลวงไกรลงมาส่งข่าวราชการที่กรุงศรีแล้วเผอิญไปได้ยินขุนทิพหลุดปากพูด ด้วยความเมาเรื่องที่เคยฉุดดาวเรือง ไปลวนลามใต้น้ำ ทำให้หลวง ไกรโกรธมาก หลวงไกรจึงตัดสินใจกล่าวสู่ขอดาวเรือง จากหลวงสุวรรณราชา ด้วยตนเองและหลวงสุวรรณราชาก็ตอบตกลงด้วยความยินดี
ขุนทิพแค้นใจมากที่ดาวเรืองจะแต่งงานกับหลวงไกร ขุนทิพจึงกลั่นแกล้งมีคำสั่งให้หลวงไกรไปรักษา เมืองธนบุรี ตั้งแต่ ในคืนวันแต่งงาน ดาว เรืองจึงต้องอยู่เฝ้าเรือนหอตามลำพัง คุณย่านิ่มสงสารดาวเรืองจึงตัดสินใจมาอยู่ด้วย แล้วก็สิ้นใจตายที่นั่น โดยก่อนตายคุณย่านิ่มได้ดูดวงบ้านเมือง แล้วบอกว่ากรุงศรีอยุธยาจะแตก แล้วในที่สุด พม่าก็บุกประชิดเผากำแพงเมืองพังราบ จนเข้าสู่เมืองชั้นใน ขุนทิพก็ตายที่นั่นเพราะนายมิ่งบ่าวรับไช้ไม่ยอมเข้าฝ่ายพม่าจึงฮึกสู้แล้วก็ตายพร้อมกับขุนทิพที่ป้อมประตูเชิงเทิน แต่ถึงอย่างไรอยุธยาก็ต้องสิ้นลง
ต่อมาดาวเรืองและขุนไกรก็ถูกจับเป็นเชลยอยู่ในกลุ่มพม่า ดาวเรืองในขณะนั้นตั้งท้องอ่อน ๆ เมื่อขุนไกรรู้ว่าดาวเรืองท้องก็จัดแจงพาหนี แล้วก็หนีจนสำเร็จ ขณะที่เดินทางหนีนั้นขุนไกรจึงได้พบกับเจ้าพระยาจันทบุรี แล้วก็ร่วมรบจนสำเร็จ เจ้าพระยาจันทบุรีต่อมาขึ้นครองราชย์ ณ ธนบุรี ให้ขนานนามว่าพระเจ้าตากสินมหาราช แต่ก็ครองราชได้ไม่นานเพราะท่านวิกลจริต เจ้าพระยาจักรีจึงตั้งกรุงใหม่แล้วสถาปนากรุงเป็นรัตนโกสินทร์เริ่มยุคแรกแห่งราชวงศ์จักรี ขนานนามว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ในที่สุดขุนไกรก็อยู่ได้ไม่นานเพราะแก่มากแล้ว และต้องมาออกรบดาวเรืองและลูก ๆ ถึงกับร้องไห้เสียใจ แล้วต่อมาไม่นานดาวเรืองก็สิ้นใจตายตามขุนไกรไปด้วยโรคชรา ลูกหลานของดาวเรืองและขุนไกรที่เหลือก็รอวันที่ดาบของบรรพบุรุษทั้งสองเล่มจะได้มาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง และยังคงรับราชการแผ่นดินสืบไป
แก่นเรื่อง
ผู้เขียนต้องการที่จะเล่าเหตุการณ์ของกรุงศรีอยุธยาก่อนที่กรุงจะแตก แสดงให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน ความแตกแยกของคนไทยเลือดเดียวกัน ความเดือดร้อนของผู้คน การพ่ายแพ้ต่อสงครามที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าเห็นอกเห็นใจคนในสมัยนั้น
การดำเนินเรื่อง
เป็นการอาศัยการเล่าเรื่องโดยตัวละครตัวเอก และค่อย ๆ ขยายเรื่องราวออกมา จากนั้นก็ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อเรื่องราวและความเป็นไป สอดแทรกมากับตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นการเสียใจ ยินดี หรือแม้แต่เรื่องราวความรักก็ตาม ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน มีเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกเรื่องราว เป็นเรื่องที่เล่าถึงศึกสงคราม กรุงแตก มีเรื่องราวของวิถีชาวบ้าน การรบ ซึ่งมาจากตำรายุทธพิชัยสงคราม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซึ่งมาจากของกรมพระยาดำรงฯ มีการบอกเรื่องราวเป็นฉาก ๆ โดยอาศัยการจินตนาการสูงในเรื่องของบ้านเรือนผู้คนสมัยนั้น ในเรื่องของป่าในขณะที่หนีข้าศึก
ฉาก
เป็นการใช้จินตนาการผนวกกับการสับระหว่างตัวละครกับภาพเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นจริงตามการบันทึกทางประวัติศาสตร์ มาดึงดูดความสนใจทำให้เรื่องนั้น ๆ มีความสมบูรณ์ทั้งภาพและเรื่องราว ทำให้ผู้อ่านมีจินตนาการคล้อยตาม มีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร รู้สึกอินไปกับตัวละครหลาย ๆ ตัว ทำให้เรื่องราวชวนติดตาม มีการวางแบบแผนการเปลี่ยนฉากได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ผู้อ่านไม่เบื่อ นอกจากนี้ยังได้สอดแทรกข้อคิดและคติเอาไว้มากมายอีกด้วย
ตัวละคร
ตัวละครเป็นตัวสร้างสีสรรค์ให้แก่เรื่องทำให้เรื่องราวนั้นชวนติดตาม น่าสนุกมากยิ่งขึ้น ในเรื่องนี้จะใช้ตัวละครอยู่ไม่กี่ตัว แต่ก็สามรถเล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เช่น ดาวเรืองในวัยเด็ก เป็นเด็กที่ซุกซนตามประสาเด็ก ผู้เขียนสามารถสื่อในเรื่องของนิสัยใจคอเด็กด้วยการสร้างตัวละคร บุคลิกลักษณะที่มีความสัมพันธ์กันกับความเป็นจริงทำให้เรื่องนี้มีความน่าสนใจมาก และเมื่อดาวเรืองเติบโตขึ้นเป็นวัยสาวแรกเริ่ม ผู้เขียนก็บรรยายถึงลักษณะตัวละครได้เป็นอย่างดี มีการบอกเล่าถึงความเชื่อที่แทรกไปกับตัวละคร คือตอนที่ดาวเรืองมีรอบเดือน คุณย่าก็บอกให้ไปนั่งกลั้นหายใจแล้วก็ถัดบันไดลงมา จุดนี้จึงทำให้เรื่องราวเข้าถึงความเชื่อของคนในปัจจุบันเช่นกัน
ตัวละครตัวต่อมาคือ ขุนไกร เป็นทหารผู้องอาจ กล้าหาญ มีความหนักแน่น รักพวกพ้อง มีรักเดียวใจเดียว เมื่อครั้งไปรบก็คิดแต่เรื่องรบ เมื่อครั้งห่างศึกสงครามก็คิดถึงนางอันเป็นที่รัก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของผู้ชายในเรื่อง และเป็นที่แปลกใจคือผิดกับคำกล่าวที่ว่าผู้ชายโบราณชอบมีเมียเยอะ ตัวละครตัวนี้จึงผิดกับตัวร้ายของเรื่องคือ หมื่นทิพย์ ซึ่งเป็นคนเจ้าชู้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตัวละครตัวที่สาม คือหมื่นทิพย์ เป็นคนเจ้าชู้ คิดการใหญ่ ขี้โกง เมื่อได้แม่เยื้อนน้องสาวของขุนไกรไปแล้วก็ยังจะไม่เลิกบ้าตันหา มัวเมามั่วกามรมณ์ ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ชายโบราณที่มักจะมีเมียเล็กเมียน้อย และยังจะมีเมียบ่าวอีก โดยเฉพาะลูกคนรวยหรือขุนนางก็มักจะชอบมีเมียเยอะเหมือนกับจะอวดบารมีว่าตัวเรานี้ยิ่งใหญ่มีเมียเยอะแยะ หรือตัวเรานี้รวยสามารถเลี้ยงคนได้มากมาย ซึ่งคำกล่าวนี้กลับผิดถนัดเพราะสิ่งนี้น่าจะมาจากนิสัยของคนที่ไม่รู้จักพอเสียมากกว่า
บทสนทนา
เป็นบทที่สร้างสีสรรค์ให้แก่งานเขียนมากเพราะถ้างานเขียนใดไม่มีบทพูดก็ดูจะจืด ๆ ไม่ชวนอ่าน หรือไม่สามารถที่จะบอกเรื่องราวของตัวละครได้ละเอียดมากนักเพราะมีเนื้อหาที่เรียบ ๆ ไม่มีลักษณะอาการของคนในแต่ละบทบาทเลย
ในเรื่องนี้บทสนทนาจึงเป็นบทสำคัญที่ถ่ายทอดตัวละครได้อย่างชัดเจน ถ่ายทอดทั้งอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การกระทำ รวมทั้งลักษณะบุคลิกของตัวละครอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะสื่อให้คนอ่านติดตามอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังได้พบคำเก่า ๆ ในเรื่องซึ่งปัจจุบันอาจจะมีคนใช้บ้างแต่ก็ไม่มากนัก มีดังนี้
1. ออกเรือน หมายถึง การแต่งงานออกไปมีครอบครัวใหม่
2. ชายผ้าห่มผ้าผวย ชายผ้าคลุมเตียง
3. เจ้าค่ะ
4. ซองพลู
5. รอบกรุง
6. น่ะรึ
7. อิฉัน
8. ขอรับ
9. รึ ทีรึ
10. นักดอกเจ้า
11. อ้าย อี มึง กู
12. ทั้งสิ้นทั้งอัน ทั้งหมดทั้งสิ้น
13. เป็นเยี่ยงนี้เทียวรึ
14. งั้นซีวะ
15. บ๊ะไอ้นี่
16. อุเหม่อีไพร่
17. คะ ขา
18. ดอกรึ
ฯลฯ.
นอกจากนี้ในบทสนทนายังสอดแทรกความเชื่ออีก คือ เรื่องราวของเพลงยาวพยากรณ์ ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นผู้แต่ง แต่เมื่อในเรื่องมีสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นรางร้ายก็ทำให้ผู้คนพูดถึงเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอย่างหนาหนู ดังนี้
จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ คือเดือนดาว ดินฟ้าจะอาเพศ อุบัติเหตุจะเกิดทั่วทุกทีศาน มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตรพิศดารทุกบ้านเมือง พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินเป็นบ้าเพราะฟ้าเหลือง ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองก็จะออกไปอยู่ไพร พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี พระกาลกุลีจะเข้ามาเป็นไส้ พระธรณีจะตีอกให้ อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม ในลักษณะทำนายไว้บ่อห่อนผิด เมื่อวินิจพิศดูก็เห็นสม มิใช่เทศการร้อนก็ร้อนระงม มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด เกิดวิบัตินานาทั่วสากล
ผู้ประพันธ์ใช้วิธีการบรรยายสลับกับการพูดของตัวละคร และกล่าวถึงพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องที่เผชิญกับเหตุการณ์เป็นตอน ๆ ไป สลับกับการดำเนินเรื่องราวตามที่กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์สลับกันเป็นฉาก และบทพูดก็สลับกันทำให้เหตุการณ์ในเรื่องรวบรัดมากขึ้น โดยที่ผู้ประพันธ์ไม่ต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวละครเท่าที่ควร เหตุการณ์จากประวิติศาสตร์นั้น ผู้ประพันธ์จะนำมาสลับกับเนื้อเรื่องอยู่เสมอจนทำให้ผู้อ่านได้รับทั้งความเพลิดเพลินและความรู้ไปในคราวเดียวกัน จากนั้นก็อาศัยตัวละครโดยสร้างขึ้นสลับกันไป จนทำให้นวนิยายเรื่องนี้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ความผูกพันธ์ระหว่างตัวละครกับเนื้อเรื่อง ตัวละครกับผู้อ่านจึงเกิดขึ้นเพราะบทสนทนาที่เป็นไปอย่างราบรื่นนี่เอง
ท่วงทำนองการเขียนของโสภาค สุวรรณ
การเขียนนวนิยาแต่ละเรื่องผู้เขียนมักจะใส่ลีลาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้เขียนเอาไว้ มีคุณลักษณะพิเศษของการเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนและผู้อ่านสื่อถึงการได้ดี มีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกัน ทำให้เรื่องราวในนวนิยายนั้นชวนอ่าน
เปลื้อง ณ นคร ( 2517, หน้า 156 ) กล่าวว่า สำนวนหรือสไตล์ แปลอย่างง่ายที่สุดว่า แบบ ได้แก่รูปทรง หรือลักษณะเฉพาะของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางคนแปลคำ สไตล์ว่า แบบเขียนบ้าง ทำนองบ้าง เดิมเราใช้คำง่าย ๆ ว่า ฝีปาก การเขียนหนังสือต่างก็มีแบบของตัวโดยเฉพาะ สำนวนของใครก็ของคนนั้น จะเลียนแบบใครหรือให้ใครเลียนแบบก็ไม่ได้ ต้องสร้างและบำรุงสำนวนด้วยตนเอง ถ้าจะให้คำจำกัดความอย่างสั้นที่สุดของคำว่าสำนวนคือ วิธีแสดงความคิดของเราออกมาเป็นภาษา
การใช้คำ
โสภาค สุวรรณ นั้นเป็นนักประพันธ์ที่สามารถใช้คำในบทประพันธ์ของตนได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ตลอดจนสถานภาพของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่การใช้คำก็ดูจะอ่อนน้อมถ่อมตน มีเอกลักษณ์สร้างความรู้สึกดี ๆ ให้แก่ผู้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดจาให้เกียรติผู้อื่น การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ของคนสมัยนั้นที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจนนั้นทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้ว่าตัวละครตัวนั้นเป็นคนที่มีจริต มีการวางตนให้เหมาะสม ในนวนิยายเรื่องสายโลหิตนั้นเป็นเรื่องราวที่ย้อนยุคไปเป็นเวลายาวนานจึงทำให้ภาษานั้นค่อนข้างเก่าและยากที่จะหรืออ่านได้ แต่ โสภาค สุวรรณ ก็ยังสามารถที่จะนำเอาองค์ความรู้ต่าง ๆ และประสบการณ์ทางด้านภาษา รวมทั้งความรู้ความสามารถประวัติศาสตร์เข้ามาผนวกกันจนกลายเป็นนวนิยายที่น่าอ่านเล่มหนึ่ง ซึ่งได้ใช้คำที่พ้นสมัยเหล่านั้นเข้ามาใช้กับตัวละคร เช่น
อุเหม่อีไพร่ มึงจักยอมกูรึไม่ยอม ถ้ามึงไม่ยอมกูจักให้ไอ้ไพร่นี้ลากมึงไปขย่ำให้หนำเทียว
( คำพูดของหมื่นทิพย์ )
บ๊ะอีไพร่นี่ กูสั่งให้มึงทำมึงก็ไปทำสิ รอช้าอยู่ใย
เจ้างามจริงใจพี่จักขาดเสียแล้วน้องดาวเรืองเอ๋ย แต่หน้าที่รอช้ามิได้ ขอสไบผืนนี้แนบกายใจไปทัพ ไม่ตายนักจักกลับมาเชยชมเจ้าให้สมใจ
คุณพระจ่ะพี่เยื้อน โปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็นพระสีหราชฤทธิไกรแล้ว
ได้ข่าวป่วย เขาว่าไปลากกันมาหลังจอมปลวกเจียนตาย ได้ยาดีลุกขึ้นเดินเหินไหวจริง ขุนไกร น่านท่านขึ้นม้าถือดาบจักไปไหน แขนขายังเดินพลิกแพลงอยู่เลยไม่ใช่รึ
ถึงแขนขาพลิกก็เพราะสู้รบ มิได้ถอยหนีไอ้พวกข้าศึกเหมือนอ้ายพวกกระต่ายตื่นตูมทั้งหลายไม่ใช่รึ
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เชิญขอรับ
สำนวนภาษา
ภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้ค่อนข้างโบราณ อ่านข้อนข้างยากต้องอาศัยการแปลในบางช่วง ซึ่งนับว่าผู้แต่งนั้นถ่ายทอดเรื่องราวทางภาษาสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี และต้องมีความรู้ในด้านโบราณคดีค่อนข้างสูง ไม่เช่นนั้นจะแต่เรื่องทำนองนี้ไม่ได้ดีถึงขนาดนี้ เช่น
ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย มีผัวผิดก็คิดจนตัวตายพี่ลำดวนฉันเจ็บอยู่ข้างในนี้พี่จ๋า
สาว ๆ เมืองเหนืองามอยู่ขอรับ
น้าปริกว่าอย่างไรจ๊ะพี่เยื้อน
จะว่ากระไร เขาว่าผัวเขายังเป็นลูกเขาก็ต้องเป็น ดีแต่ให้อดทน พี่จักทนไม่ได้อยู่แล้วละน้องเอ๊ย
แม่มีใจเอนเอียงอยู่แล้วขอรับคุณอา
เปล่าขอรับ
ประทานโทษขอรับ ข้าศึกมาถึงแล้วขอรับจักไม่ให้ยิงปืนใหญ่ได้กระไรกัน
หลวงท่านว่ามันจักเปลืองเปล่า ๆ ยิงสั่ว ๆ ไม่โดนเทียว
วู่วามน่ะพ่อไกร ไม่อยู่บ้านจะไปอยู่ที่ไหนพ่อ
คนพรรณนั้นมันเห็นแก่ตัว
บ๊ะ ยะโสโอหังเกินเทียวนะมึง กูจักให้มึงตายเสียให้สมใจ
เช้าตรู่นักคงออกมาส่งไม่ได้ เพราะเข็ดตั้งแต่หนีคุณย่าออกไปส่งพี่ไกรแต่ครั้งนู้นละค่ะ ถูกกำชับกำชาเป็นหนักหนา ถ้าผิดซ้ำโทษคงหนัง
เพลานี้จักมานั่งหัวเราะไห้ได้กระไร เตรียมตากข้าวปลาอาหารให้ครบครันเผื่อกันไว้จักดีกว่า อย่าให้ต้องอดตายเลยเจ้า
ยังกูยังไม่คิดเรื่องนั้น
อีไพร่พวกมึงไปเสียให้พ้นหน้ากู กูเบื่อเต็มตนแล้ว
พ่อด้วงของแม่ ลูกเป็นกระไรบอกแม่สิเจ้า
คราแม่ก็ช่วยลูกไม่ได้ดอก ลูกต้องไปทัพ
ได้สิได้ลูก แม่จักไปคุยกับพระนายท่านเอง
ดูแก้มเป็นลูกตำลึงสุกเทียว
โถ่พี่ไกร
แม้นไม่เห็นหน้าเจ้าพี่ก็กินข้าวบ่ลง
ก็พี่ไกรอยากให้ฉันดูดวงชะตาของเจ้าพระยาจักรีไง
พ่อจันทร์หมายถึงอะไรหรือลูก
สักวันหนึ่งหรอกขอรับแม่ อาจไม่สำเร็จรุ่นลูกแต่อาจจะไปสำเร็จในรุ่นหลาน เหลน โหลน
สำนวนโวหาร
สำนวนโวหารที่อาริตาเขียนในนวนิยายเรื่องนี้นั้น ส่วนใหญ่จะใช้การบรรยายมากกว่าการพรรณาเรื่องราว เพราะเป็นเรื่องที่มีบทพูดมากกว่าตัวเนื้อหาบรรยาย แต่ก็ยังคงปรากฏโวหารที่ผู้ประพันธ์คนอื่น ๆ เขาแต่งดังนี้
1. การพรรณาโวหาร บทนี้จะแสดงถึงการรำพึงรำพันถึงธรรมชาติรอบข้างได้อย่างละเอียดลออ เช่น ฉากที่ขุนไกรพาดาวเรืองเที่ยวชมรอบ ๆ พระราชวัง
2. โวหารอุปมา คือการเปรียบเทียบ เช่น เหมือน เพียง คล้าย เปรียบ ดั่ง เป็นต้น
สภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในเรื่อง
สภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในเรื่องนี้อาจแบ่งได้สองส่วนดังนี้
สภาพสังคมสมัยนั้น
ความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย การคมนาคมส่วนใหญ่เป็นทางน้ำมากกว่าทางเท้า บ้านทุกครัวเรือนจะมีเรือเอาไว้เป็นพาหนะไปไหนมาไหนก็สะดวก มีโม่โม่ข้าว มีกระเดื่องตำข้าว ภาชนะที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นหม้อดินและกระเบื้องดิน มีการกินหมากกันตั้งแต่รุ่นแรกเริ่มเป็นสาวเต็มตัวจนถึงวัยชรา บ้านเรือนเป็นไม้เสียส่วนใหญ่ ส่วนบ้านที่เป็นตึกนั้นก็มีอยู่เพียงไม่กี่หลัง และส่วนใหญ่จะเป็นบ้านของคนจีน หลังคาบ้านบางหลังก็มุงด้วยแฝก บางบ้านก็ใช้กระเบื้อง บ้านไหนที่ร่ำรวยก็จะมีศาลาท่าน้ำที่ใหญ่โตสมฐานะ
สภาพสังคมในสมัยนั้นมีดังนี้
1. วิถีชาวบ้าน ซึ่งบ้านเรือนทุกหลังจะอยู่ติดริมแม่น้ำ มีการอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน
2. เรื่องราวของลูกผู้ดีส่วนใหญ่มักจะเข้าไปรับใช้ในวังเพราะจะได้เป็นหน้าเป็นตาแก่ครอบครัว นอกจากนี้ยังจะได้เรียนหนังสือและการเรือน
3. การทหาร การรบ การปกครองคน
4. พระมหากษัตริย์สมัยโบราณเชื่อคนง่าย ชอบฟังความข้างเดียว
5. การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในวงราชการและกษัตริย์ จนทำให้แตกความสามัคคี
6. ความวุ่นวายในขณะที่กรุงแตก
7. ความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ขาดแคลนอาหารเนื่องจากภัยสงคราม มีข้าศึกมาประชิดเมือง
8. ความเดือดร้อนขณะที่ตกเป็นเชลยศึก
9. การกอบกู้เอกราชซึ่งในเรื่องนี้ได้ยกย่องพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นมา และยกย่องเจ้าพระยาจักรี
10. การเปลี่ยนกรุงโยกย้ายเมืองหลวงเพราะเปลี่ยนยุคสมัย เกิดกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นในตอนจบเรื่อง
วัฒนธรรม
สิ่งที่พบในเรื่องนี้คือเรื่องราวของคนในยุคสมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงพบเห็นอยู่ในทุกวันนี้คือ
1. พิธีสงกรานต์
2. ประเพณีลอยกระทง
3. การฝังลูกนิมิต
4. วันเข้าพรรษา
5. วันมาฆบูชา
6. วันอาสาฬหบูชา
7. วันวิสาขบูชา
8. การบวช
9. การโกนจุก
10. การเทศน์มหาชาติ
11. การแต่งงาน
12. การจัดงานศพ
13. การขึ้นบ้านใหม่
14. การทอดกฐิน
15. การทอดผ้าป่า
นอกจากนี้เรื่องของการแต่งกายนั้น เรื่องนี้สื่อให้เห็นว่าผู้หญิงชาวอยุธยาไว้ผมประบ่า ห่มสไบถึงสองชั้น ส่วนบ่าวหรือทาสที่ติดตามนั้นนุ่งโจงห่มสไบชั้นเดียว บางคนก็นุ่งผ้าแถบคาดอกคือพันไปรอบ ๆ อกแบบแน่น ๆ เพื่อไม่ให้หลุด ส่วนผู้ชายนั้นไว้ผมทรงปีกนกปีกกา นุ่งโจงสวมเสื้อพื้น ถ้าเป็นขุนนางก็สวมเสื้อตามยศ แต่ถ้าเข้าเฝ้าก็ถอดเสื้อคลานหมอบ
เรื่องของภาษาที่ใช้นั้นค่อนข้างโบราณ ฟังยากอ่านยาก เรื่องของพระพุทธศาสนานั้นทุกคนต้องเข้าวัดฟังธรรม ทำหน้าที่ของชาวพุทธที่ดี และต้องร่ำเรียนวิชาความรู้เพื่อนำไปใช้กับการงานราชการ การหมอบคลานเมื่อเข้าไปหาผู้ใหญ่ การเดินอย่างระมัดระวัง การกล่าววาจาที่นุ่มนวลอ่อนหวาน การเข้ารับราชการของผู้หญิงซึ่งลูกผู้ดีส่วนใหญ่มักจะเข้าฝากเนื้อฝากตัวไปเป็นนางใน ต้องเข้าไปศึกษาหรือเรียนการเรือนมาจากในวัง การลาออกจากราชการ ในที่นี้หมายถึงการลาเพื่อไปแต่งงานการยิ้มการหัวเราะก็ห้ามเห็นไรฟันเพราะจะดูไม่งาม การไม่ชิงสุกก่อนห่าม การรักนวลสงวนตัว เป็นต้น
คุณค่าที่ได้รับจากเรื่องนี้คือ
1. ได้ทราบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
2. ได้ทราบขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง
3. ได้ทราบถึงวัฒนธรรมอันดีงามในสมัยนั้น
4. ได้ทราบเรื่องราวของความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น
สรุปและอภิปลายผล
นวนิยายเรื่องสายโลหิตเป็นนวนิยายที่อิงประวัติศาสตร์ชาติไทย ในช่วงปลาย ๆ กรุงศรีอยุธยา ก่อนเสียกรุงให้แก่พม่า สิ่งที่ทำให้เสียกรุงในครั้งนี้เกิดเพราะความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในราชสำนัก มีไส้ศึกมากมาย ทำให้เป็นช่องโหว่ของการแตกความสามัคคี จึงทำให้พม่าเห็นช่องทางตีเมืองไทยสำเร็จ การทำลายฆ่าฟันกันเอง อันเป็นผลให้คนดีมีฝีมือลดน้อยลง ซึ่งเป็นเหตุสำคัญและอาจเป็นอุทาหรณ์สอนใจเพื่อไม่ให้ชนรุ่นหลังทำเช่นนี้ ไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้ ถึงแม้ว่าจะต่างวาระกันก็ตาม
การวิเคราะห์นวนิยายเรื่องสายโลหิตของ โสภาค สุวรรณ นั้นมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกลวิธีการเขียนของผู้ประพันธ์ในด้าน
- การสร้างโครงเรื่อง
- แก่นของเรื่อง
- การดำเนินเรื่อง
- ฉาก
- การสร้างตัวละคร
- บทสนทนา
ส่วนการการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับท่วงทำนองการเขียนของผู้ประพันธ์ได้ศึกษาในด้านสำนวนภาษาและโวหารที่ใช้ในนวนิยายเรื่องนี้ นอกจากนั้นยังศึกษาสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ผู้ประพันธ์ได้สอดแทรกเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน
ผลการวิเคราะห์วิจารณ์พบว่า นวนิยายเรื่องสายโลหิตเป็นนวนิยายที่กล่าวถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอาศัยตัวละครในการบอกเล่าเรื่องราวและดำเนินเรื่องไปได้ด้วยดี พร้อมทั้งสอดแทรกวิถีชีวิตชาวบ้านตามชนบทรวมทั้งความเป็นอยู่ของคนโบราณ และวิถีชีวิตของคนในรั้ววังเพื่อให้เปรียบเทียบความแตกต่างกันระหว่างปัจจุบันกับอดีต ซึ่งผู้เขียนสามารถถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวได้อย่างดีมาก โดยเฉพาะสภาพความเป็นอยู่ซึ่งคนโบราณมักจะอาศัยเรือเป็นภาหนะในการไปไหนมาไหน โดยมีกลวิธีการเขียนเรื่องและการผูกเรื่องเชื่อมโยงกับวงการรบ ความรัก ความแค้น เพื่อให้เรื่องราวน่าสนุกมาขึ้น สอดแทรกคติและสุภาษิตไทยไว้กับนวนิยาย ซึ่งสะท้อนสภาพสังคมและวัฒนธรรมออกมาได้อย่างชัดเจนสมเหตุสมผล มีการดำเนินเรื่องไปตามลำดับเวลา เน้นเรื่องเ ความรัก ความกตัญญู เรื่องราวของครอบครัว ความมีเลือดรักชาติ รักในวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ส่วนเรื่องของบทบาทตัวละครนั้น ผู้ประพันธ์ได้กำหนดลักษณะตามฐานะโดยชี้ให้เห็นความแตกต่างทั้งเรื่องการแต่งกาย ภาษาที่ใช้ การกินอยู่ที่แตกต่างกัน และแนวคิดที่แตกต่างกันอีกด้วย
สำหรับท่วงทำนองการเขียนนั้น ผู้ประพันธ์เลือกใช้คำและสำนวนภาษาที่เหมาะสม ใช้โวหารทั้งการบรรยาย และการพรรณนา เพื่อให้เห็นถึงสภาพแวดล้อม และสภาพสังคมที่ปรากฏได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
มีการบอกเล่าเรื่องราวในตอนรบ การบอกเล่าขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือกันมาแต่โบราณ คุณลักษณะของคนดีและคนเลวซึ่งชี้ให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนที่สุด
แต่ในเนื้อเรื่องจะติดอยู่เรื่องหนึ่งคือ
1. เมื่อขุนไกรไม่ได้ไปบางระจันทร์ในครั้งที่หล่อปืน แต่หมื่นทิพย์ได้ไปในครั้งนั้นเหตุใดประวัติศาสตร์จึงไม่มีเรื่องราวของขุนทิพย์อยู่เลย
2. ที่กล่าวว่านวนิยายเรื่องนี้มาจากประวัติครอบครัวของผู้แต่ง เหตุใดเรื่องราวของขุนไกรจึงไม่ได้ลงในประวัติศาสตร์ และเหตุใดขุนไกรจึงหนีจากการเป็นเชลยศึกในครั้งนั้นได้ในเมื่อพม่าน่าจะมีการป้องกันเป็นอย่างดี ไม่น่าปล่อยให้รอดพ้นไปได้ เพราะตามประวัติศาสตร์แล้วพม่ามักจะเอาหวายร้อยที่เอ็นข้อเท้าจึงมีคำว่าเอ็นร้อยหวายเกิดขึ้น ขุนไกรกับดาวเรืองก็เช่นกันน่าจะโดนกระทำเช่นนั้นด้วย มิน่าที่จะเดินเหินสะดวกและหนีรอดออกไปได้ง่าย ๆ ถึงเพียงนั้น
3. ขุนไกรอายุห่างจากดาวเรืองถึง 10 ปี เหตุใดในเรื่องจึงกล่าวถึงตอนแต่งงานว่าหน้าตาไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก
4. พี่เยื้อน พี่เลี้ยงของดาวเรืองแก่กว่าดาวเรืองถึง 16 ปีเหตุใดตอนดาวเรืองเติบโตเป็นสาวพี่เยื้อนยังดูกระปรี้กระเปล่านักทั้ง ๆ ที่อายุน่าจะเยอะแล้ว
ดังนั้นเรื่องราวในเรื่องสายโลหิตจึงมีการจินตนาการในเรื่องของผู้คนในสมัยนั้นได้อย่างแยบยล มีการพัฒนาในด้านความคิดของตัวละครดังจะเห็นได้จากในวัยเด็กกับในวัยสาว ซึ่งแนวความคิดนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง