30 มกราคม 2548 01:53 น.
สุชาดา โมรา
การเดินทางไปจังหวัดลพบุรีนั้นไปได้ทั้งทางรถยนต์โดยสารประจำทางและรถไฟถ้าท่านเลือกโดยสารรถประจำทางก็ติด
ต่อสอบถามได้ที่สถานีขนส่งสายเหนือหรือหมอชิต ทั้งรถปรับอากาศและรถธรรมดาออกเดินทางตั้งแต่เวลา 5.00 น. ถึง 20.00 น. ส่วนท่านที่เลือกเดินทางโดยรถไฟก็มีรถไฟสายเหนือจากกรุงเทพฯ ที่ผ่านตัวเมืองลพบุรีวันละหลายขบวนไม่ว่าจะเป็นขบวนรถด่วน
พิเศษ รถด่วนเร็ว และมีทั้งรถนั่ง รถนอน ชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น3 เลือกตามอัธยาศัย หรือถ้าสะดวกที่จะขับรถไปเองก็ได้แต่อย่าลืมตรวจ
เช็คสภาพรถก่อนออกเดินทาง ถ้าหากตั้งต้นที่กรุงเทพฯ ก็สามารถขับรถไปได้หลายเส้นทางตามความคุ้นเคย ขออนุญาตแนะนำ
เพียงเส้นทางเดียวดีกว่า เพราะจำได้ง่ายไม่สับสน เส้นทางที่ว่านี้ก็คือจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี ผ่านอำเภอพระพุทธบาทเข้าสู่ลพบุรี ระยะทางประมาณ 153 กิโลเมตร ขับรถเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง
ลพบุรีที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นจังหวัดที่อยู่ห่างจากกรุงเทพไปทางทิศเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 6,586 ตารางกิโลเมตรพื้นที่
ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสลับเนินเขาประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นที่ราบลุ่ม ทิศเหนือมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดเพชรบูรณ์และ
นครสวรรค์ ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดสระบุรีและพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดนครราชสีมาและชัยภูมิ ทิศตะวันตก
ติดต่อกับจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง
คำขวัญของจังหวัดลพบุรี ที่มีว่า วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง เมืองแห่งดินสอพอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เกริกก้อง แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์ ทำให้สามารถมองย้อนกลับไปเห็นความสำคัญอันยิ่งใหญ่ในอดีตของลพบุรีได้
อย่างแจ่มชัด ทั้งวังนารายณ์ ศาลพระกาฬ และปรางค์สามยอด ถ้าอ่านความเป็นมาของลพบุรีจะพบว่ากษัตริย์หลายพระองค์ทรงได้
เคยเป็นส่วนหนึ่งในประวัติของจังหวัดนี้ด้วย และที่แน่ ๆ ก็คือลพบุรีเป็นเมืองเก่าแก่มากเมืองหนึ่งตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เนื่อง
จากมีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่อายุราว 2 พันถึง 4 พันปีที่บ้านโคกเจริญ ตามที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์พระยากาฬ-
วรรณดิศราช โอรสพระยากากะพัตรแห่งเมืองนครชัยศรีเป็นผู้สร้างเมืองลพบุรีเมื่อพุทธศักราช 1191 โดยตั้งชื่อเมืองว่า ละโว้ ซึ่ง
ตรงกับสมัยทวาราวดี ละโว้ในยุคนั้นมีฐานะเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปวัฒนธรรมแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เทือกเขาสมอคอนเมือง
ลพบุรีนี้มีกษัตริย์เสด็จมาศึกษาเล่าเรียน 2 พระองค์ องค์แรกคือพ่อขุนรามคำแหงเมื่อครั้งยังเป็นราชโอรสแห่งเมืองสุโขทัย และองค์
ต่อมาคือพ่อขุนงำเมือง เมื่อครั้งเป็นราชโอรสแห่งเมืองพะเยา จึงเป็นสิ่งเน้นให้เห็นว่าเมืองลพบุรีในยุคนั้นเป็นเมืองศูนย์กลางศิลป
วัฒนธรรมที่สำคัญยิ่ง หลังจากผ่านยุคความรุ่งเรืองมา ลพบุรีก็เสื่อมความสำคัญหลังจากสมัยของพระราเมศวร แต่ก็กลับมาสู่ความ
เจริญสูงสุดในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีบันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้าง
พระราชวังที่เมืองลพบุรีไว้เป็นที่ประทับเมื่อพุทธศักราช 2209 และที่สำคัญคือเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พุทธศักราช 2231 สมเด็จ
พระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ภายในพระราชวังเมืองลพบุรี เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้เป็นเหตุแห่งที่มาของ
คำว่าวังนารายณ์และแผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์ โดยทางจังหวัดกำหนดให้วันที่ 11กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันรำลึกถึงสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช เมื่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
โปรดกระหม่อมให้บูรณะเมืองลพบุรีขึ้นอีกครั้งในปีพุทธศักราช 2406 และได้สร้างพระที่นั่งพิมานมงกุฏขึ้นเป็นที่ประทับภายใน
พระราชวังของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ระหว่างเดินทางมาจังหวัดลพบุรีได้ทราบประวัติความเป็นมาอย่างย่อ ๆ ของที่นี่แล้ว สิ่งที่สำคัญและนับว่าเป็นหัวใจของ
ลพบุรีเห็นจะเป็นประวัติและบรรดาสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนารายณ์มหราชเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากว่าแผ่นดินนี้ได้ชื่อว่า
เป็นแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์ ทางจังหวัดจึงได้มีการจัดวังสมเด็จพระนารายณ์ขึ้นคือวันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปี นอกจากนี้
ยังมีสถานที่เที่ยวอีกแห่งหนึ่งคือศาลพระกาฬ ตั้งอยู่ริมทางรถไฟด้านทิศตะวันออก เดิมเรียกว่าศาลสูงเป็นเทวสถานเก่าของขอม สร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูง มีทัพหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทำด้วยศิลาทรายอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็กชั้นบน และยังพบหลักศิลาจารึก 8 เหลี่ยมจารึกอักษรมอญโบราณ ส่วนด้านหน้านั้นเป็นศาลาที่สร้าง
ขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2494 ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปประติมากรรมลอยตัว 4 กร ไม่มีเศียร อาจเป็นเทวรูปพระนารายณ์
ศิลปะแบบลพบุรีหรือรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ภายหลังมีผู้นำเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยามาสวมไว้เป็นที่เคารพ
สักการะของประชาชนทั่วไป นอกจากศาลพระกาฬจะเป็นเทวสถานที่เก่าแก่แล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ฝูงลิงที่
มีมากกว่า 300 ตัว กล่าวกันว่าแต่เดิมบริเวณโดยรอบศาลพระกาฬมีต้นไม้ใหญ่และมีลิงอาศัยอยู่ เมื่อมีคนนำผลไม้และอาหารมา
แก้บนที่ศาลพระกาฬลิงป่าเหล่านั้นก็จะเข้ามากินอาหาร เลยเชื่องคุ้นเคยกับคน
โบราณสถานหรือเทวสถานอีกแห่งหนึ่งคือพระปรางค์ 3 ยอด ตั้งอยู่บนเนินดินด้านตะวันตกของทางรถไฟใกล้กับศาลพระ-
กาฬลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกัน 3 องค์ มีทางเดินเชื่อมต่อกับปรางค์องค์กลางสูงประมาณ 21 เมตรครึ่ง เป็นศิลปะเขมรแบบบายน มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ก่อด้วยศิลาแลงและตกแต่งด้วยสาบปูนปั้นที่สวยงาม ตามซุ้มประตูเดิมนั้นคงจะมีทับหลัง แต่ที่
เหลือในปัจจุบันคือเสาประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรูปฤาษีนั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นแบบเฉพาะของขอมต่อมาได้ดัด
แปลงเป็นเทวสถานโดยมีฐานศิวลึงค์ในองค์ปรางค์ทั้ง 3 จนกระทั่งถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์จึงได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปรางค์ 3 ยอดเป็นวัดในพระพุทธศาสนา แล้วได้สร้างพระวิหารก่อด้วยอิฐลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา ในส่วนของประตูและหน้าต่างภาย
ในวิหารประดิษฐานพระรูปหินทรายปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันก็ยังคงประดิษฐานอยู่กล้างแจ้ง
สภาพของลพบุรีในปัจจุบัน
เมื่อรถเข้าตัวเมืองก็จะเห็นวงเวียนที่เป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัด ใกล้ ๆ กันจะมีสำนักงานการท่องเที่ยวเขต 7 ที่ให้
บริการข้อมูลการท่องเที่ยวของลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียง สามารถเข้าไปขอรายละเอียดแผ่นพับเกี่ยวกับการท่องเที่ยวภายในจังหวัด
ได้ หรือว่าจะไปถามเรื่องร้านอาหารอร่อย ๆ อนุสาวรีย์จะเลยตรงนี้ไปอีก 1 วงเวียน จะเป็นรูปปั้นลอยตัวท่านยืนตระหง่านเป็นสง่า
อยู่กลางวงเวียนและทางด้านขวาจะเป็นสวนสัตว์ที่อยู่ของลิง สวนสัตว์นี้เป็นของทางราชการ หน่วยงานทหารรับผิดชอบดูแลสามารถ
เข้าชมได้ทุกวัน และในวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีการการโชว์ของลิงในสวนสัตว์ เก็บค่าเข้าแค่ 10 บาท สามารถนำรถไปจอดใกล้ ๆ ได้
แล้วก็เข้าไปเดิน พื้นที่ไม่กว้างเท่าไหร่ ลักษณะสวนสัตว์ก็จัดง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนแต่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
......................................
30 มกราคม 2548 01:48 น.
สุชาดา โมรา
หลังจากที่เกิดวิกฤตวันสิ้นโลกไปได้ร่วมหนึ่งหมื่นล้านปี ผู้คนมากมายต่างล้มตายเป็นจำนวนมาก โลกทั้งใบได้สร้างเกราะป้องกันตนเองจึงทำให้มหันตภัยร้ายแรงเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน เนื่องมาจากฝีมือของมนุษย์ซึ่งได้ทั้งสร้างและทำลายสรรพสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติให้หมดสิ้นไป
จากกาลเก่าเล่าเป็นตำนานว่ามนุษย์โลกที่อาศัยอยู่บนผืนพิภพแห่งนี้ได้สร้างเทคโนโลยีล้ำสมัยจนลืมความสมดุลของระบบนิเวศที่ธรรมชาติได้สร้างมา มนุษย์ตัดไม้ทำลายป่า ปล่อยของเสียลงแม่น้ำลำคลอง ปล่อยอากาศที่เป็นพิษทำให้โอโซนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก โลกไม่สามารถที่จะทนต่อสภาพอันไร้ขีดจำกัดที่มนุษย์ได้ทำขึ้น ธรรมชาติจึงเตือนภัยมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำท่วมโลกเป็นจำนวนมาก ผู้คนล้มตายนับหมื่นชีวิต แต่มนุษย์ก็หาได้กลัวเกรงต่อภัยธรรมชาติ มนุษย์ยิ่งทำลายสิ่งที่มีอยู่จนแทบจะไม่เหลือหรอ ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์บนโลกใบนี้แทบจะไม่มีเหลือไว้ให้มนุษย์ได้ดู ถึงแม้ว่ามนุษย์จะพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้ทดแทนขึ้นก็ตาม
โอโซนที่ถูกทำลายจนแทบจะไม่มีอะไรเหลือ แสงแดดจากราชันย์แห่งอาทิตย์แผดเผาจนมนุษย์รู้สึกทนต่อสภาพอากาศไม่ได้ เกิดหนาวจัด ร้อนจัด ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายที่ธรรมชาติได้หักหลังมนุษย์ ไม่สามารถเยียวยารักษาได้ผู้คนล้มตายนับแสนชีวิต นักพยากรณ์หลายท่านและองค์กรนาซ่าจึงได้ร่วมกันคำนวณระยะทางก่อนที่จะสายจนเกินไป นักบินอวกาศจึงได้ไปสำรวจดาวอังคาร ผู้คนมากมายโยกย้ายดินแดนไปอยู่บนดาวอังคาร เหลือเพียงมนุษย์โลกกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมโยกย้ายถิ่นฐานไป
มนุษย์โลกที่เหลืออยู่ได้สร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่สืบมาเป็นตำนานที่เล่าขานมานับกว่าหมื่นล้านปี โลกมิเคยหยุดอยู่แค่นั้น มหันตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดนับเจ็ดร้อยปีได้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์หลังจากเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้วได้ทำลายมนุษย์นับแสนชีวิตจนต้องหาวิธีโยกย้ายไปอยู่บนโลกใบใหม่ ซึ่งเรียกว่าโลกแห่งดาวอังคาร เหตุการณ์ครั้งนี้ทวีความรุนแรงเป็นอย่างมาก ภูเขาไฟทั่วทั้งโลกระเบิดพร้อมกัน ผืนแผ่นดินแยกออกไปสองส่วนและบีบตัวด้วยความเร็วสูงทำให้แผ่นผืนภิภพสะเทือน ผู้คนไม่มีทางหนีได้ บาดเจ็บล้มตายนับแสนชีวิต มหาสมุทรสั่นสะเทือนเกิดการแยกตัวแบบซึนามิ ผืนแผ่นดินใต้มหาสมุทรที่เคยจมอยู่ยกตัวขึ้นสูงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเกิดปรากฏการอาฟเตอร์ช็อกขึ้น หลายเมืองจมหายไปเหลือไว้เพียงตำนานที่เล่าขานกันเท่านั้น มนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงหมื่นชีวิตได้สร้างอาณาจักรขึ้นใหม่อีกครั้ง เกิดการสู้รบกันประปรายเพื่อชิงความเป็นใหญ่ และต้องการเป็นเจ้าผู้ครองภิภพแห่งนี้จนกลายเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบเป็นตำนานแห่งอารายธรรมเก่าแก่แห่งแคว้นเก้าแคว้นซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัติริย์แห่งแคว้นอุไร ซึ่งไม่มีปรากฏแผนที่เมืองแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเมืองนี้ได้จมหายไปบนดินแดนชมพูทวีปนับหมื่นล้านปีมาแล้ว
นับจากนั้นเป็นเวลา 10 ปี ก็เริ่มเกิดอาณาจักรใหม่ขึ้นอีกครั้ง
บนผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ที่สุดห่างไกลจากชมพูทวีไม่มากนัก มีแคว้นใหญ่น้อยมากมายถึงเก้าแคว้นด้วยกันคือ แคว้นปุรนคร แคว้นสุขวดี แคว้นลวะศรี แคว้นรัตนคีรี แคว้นคีรินทร์ แคว้นเข็มราช แคว้นบุรีนคร แคว้นกัญจาศรี และแคว้นราชันย์อุไร
แคว้นราชันย์อุไร และแคว้นลวะศรี เป็นแคว้นที่มีอำนาจทางการทหารมาก ทั้งสองแคว้นมีพระมหากษัตริย์ที่สืบเชื้อสายเดียวกัน คือพระเจ้าปฐมเทพกษัตริย์แห่งราชันย์อุไร เป็นพระเชษฐราชินีแห่งแคว้นลวะศรี ต่อมาองค์มหาลาเปงกษัตริย์แห่งลวะศรีเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วองค์ราชบุตรษุปิงจึงได้ขึ้นครองบัลล์ลัง ทั้งสองเมืองจึงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากถึงแม้ว่าดินแดนของทั้งสองเมืองจะอยู่ห่างไกลกันมากก็ตาม
พระเจ้าปฐมเทพเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรด้วยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมทั้งเจ้าหญิงรัตนมณีพระราชธิดาและเจ้าชายเทวธิราชพระราชโอรส เจ้าชายเทวธิราชเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นพระราชโอรสที่เกิดจากพระนางจรัสรัตน์พระมเหสีฝ่ายขวา ซึ่งกำลังจะได้สถาปนาเป็นองค์มหาราชินีแห่งแคว้นราชันย์อุไรเนื่องจากเจ้าชายเทวธิราชได้ถูกสถาปนาให้เป็นรัชทายาทในวันนี้
เจ้าชายเทวธิราชเดินมายังหน้าท้องพระโรงท่ามกลางข้าราชบริพาลใหญ่น้อยที่ยืนเข้าแถวเรียงรายนับไม่ถ้วน พรมสีแดงปูยาวตลอดทาง นางกำนัลสามคนเดินโปรยดอกไม้สีขาวเพื่อแสดงความยินดี เสียงแตรดังขึ้นกึกก้อง พระเจ้าปฐมเทพสวมเครื่องทรงให้แก่เจ้าชายพร้อมทั้งยื่นคทาแห่งองค์รัชทายาทและตราประจำพระองค์ซึ่งสืบทอดกันมายาวนานให้ เจ้าชายคุกเข่าและยื่นมือไปรับด้วยความนอบน้อม ข้าราชบริพาลคุกเข่าคำนับและยื่นมือขวามาประสานที่หน้าอกและพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันทันที
องค์รัชทายาททรงพระเจริญ.!!!!!
พร้อมกันนั้นพระเจ้าปฐมเทพได้เรียกเจ้าหญิงรัตนมณีให้ออกมายืนใกล้ ๆ กับองค์รัชทายาท เจ้าหญิงเดินมาหยุดอยู่ตรงพื้นที่ต่ำกว่าองค์รัชทายาท ช่างภาพหลวงทำการถ่ายภาพก่อนที่ทั้งสามพระองค์จะเสด็จออกนอกท้องพระโรงเพื่อเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของราษฎร.
ประชาชนทั้งหลายเก็บดอกไม้สีขาวที่โปรยปรายอยู่ตามพื้นพรมสีแดงทางด้านนอกของพระมหาราชวัง ซึ่งเปิดให้ประชาชนมารับเสด็จ. ผู้คนต่างแย่งยื้อดอกไม้นั้นเพื่อเป็นศิริมงคลหลังจากที่กษัตริย์ทั้งสามพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว
..
แคว้นกัญจาศรีเป็นแคว้นที่เรืองอำนาจด้านเศษฐกิจ แต่ก็เป็นแคว้นที่มักจะพบกับภัยธรรมชาติอยู่เสมอ ๆ จึงทำให้แคว้นนี้ต้องการหาดินแดนใหม่ ๆ และขยายอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น แคว้นกัญจาศรีมีพรมแดนติดต่อระหว่างแคว้นราชันย์อุไรกับแคว้นลวะศรี แคว้นนี้จึงพยายามผูกมิตรกับทั้งสองแคว้นซึ่งเป็นแคว้นที่มีอำนาจทางทหารเป็นอย่างมาก และเป็นแคว้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด แต่พระเจ้าเมียงเตะกษัตริย์แห่งแคว้นกัญจาศรีก็หาได้เป็นดั่งพฤติกรรมที่ประพฤติต่อทั้งสองแคว้นไม่ พระเจ้าเมียงเตะหวังที่จะได้ดินแดนของทั้งสองเมืองเป็นของตนเอง โดยเฉพาะดินแดนทางตอนใต้ของแคว้นราชันย์อุไร ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดและไม่เคยประสบปัญหากับภัยธรรมชาติเลย
ส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นราชันย์อุไร แสดงความยินดีกับรัชทายาท
เจ้าหลวงพระย่ะค่ะ เหตุใดจึงไม่ส่งของขวัญไปเป็นบรรณาการเลยล่ะพระย่ะค่ะ
เจ้าหมายความว่า
พระเจ้าเมียงเตะกับพระมหาอุปราชราชินเสวนากันพร้อมทั้งหันลงไปมองเจ้าหญิงมินทราผ่านหน้าต่าง ซึ่งเจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้อยู่กลางอุทยานหลวง.
เป็นความคิดที่ดีมาก เสียลูกไปคนแต่ผลที่ได้นั้นคุ้มค่าที่สุด
พระเจ้าเมียงเตะทรงสรวนไม่หยุดเลยทีเดียว.
เจ้าหญิงมินทราถูกเรียกให้ขึ้นมาบนตำหนักของเจ้าหลวงเจ้าหลวงทรงตรัสรับสั่งกับเจ้าหญิง จากนั้นเจ้าหญิงก็ทำท่าทางโศกเศร้าพร้อมกับเดินกลับไปยังตำหนักเพื่อทรงเครื่องตามประเพณี
เจ้าหญิงจะเสด็จไหนมังคะ.
เจ้าพ่อทรงให้เราไปทำหน้าที่อันใหญ่หลวงที่สุด
ทำสิ่งใดมังคะ เหตุใดจึงต้องแต่งองค์ทรงเครื่องใหญ่ราวกับจะอภิเษก
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละตุงจี เราต้องไปเป็นของขวัญแห่งเมืองราชันย์อุไร เรายังไม่รู้ว่าเราจะได้อยู่ตำแหน่งใดเลย พูดง่าย ๆ ก็คือเจ้าชายเทวธิราชได้สถาปนาเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง เจ้าพ่อจึงส่งเราไปเป็นเมียของเขานั่นแหละ
พระนางประชาเทวีรู้ไหมมังคะ
ไม่มีใครรู้ นี่เป็นความลับเราอยากให้เจ้าตามเราไปด้วย เราไม่อยากไปเพียงลำพัง
รถยนต์พระที่นั่งสำหรับเจ้าหญิงขับแล่นออกจากพระราชวังหลวง ผู้คนมากมายและรถม้าที่สวนทางมาต่างก็ต้องหลบให้เพราะรู้ว่ามีเพียงกษัตริย์เท่านั้นที่ขับรถยนต์ได้ ประชาชนไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้รถยนต์เนื่องจากจะเสียปริมาณเชื้อเพลิงมาก ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญเสียไป และที่กษัตริย์ใช้รถยนต์ได้นั้นเพราะกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทรงปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน จึงจำเป็นต้องใช้รถยนต์เพื่อร่นระยะทางในการเดินทางไปปฏิบัติภาระกิจ
นี่ถึงไหนแล้ว
ถึงพรมแดนแคว้นราชันย์อุไรพะย่ะค่ะและนั่นรั้วกั้นพรมแดนของแคว้นลวะศรีซึ่งอยู่ทางขวามือพะย่ะค่ะ ส่วนของทั้งสามเมืองมีรอยต่อกันแต่ส่วนมากพรมแดนของลวะศรีจะล้อมแคว้นเราอยู่พะย่ะค่ะ
ราชองครักษ์หนุ่มตอบเจ้าหญิงมินทรา เจ้าหญิงมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความชื่นชม ความงดงามของแคว้นราชันย์อุไรทำให้เจ้าหญิงรู้สึกเหมือนกับต้องมนต์สะกดทำให้เคริ้มใจ ปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติจนกระทั่งรถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงมินทราเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นราชันย์อุไร
ชายหนุ่มบนม้าสีขาวควบม้าตามรถยนต์พระที่นั่งมา เจ้าหญิงมองเห็นชายหนุ่มบนหลังม้าก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นชายคนนั้นกล้าจ้องมองตอบเจ้าหญิง เจ้าหญิงรีบปิดม่านลงและเอาผ้าสีชมพูมาคลุมโพกผมและปิดหน้าของตนเองทันที
เกิดอะไรขึ้นมังคะ!!!!
ตุงจี ชายคนนั้นคนที่ควบม้าอยู่ทำสายตาจาบจ้วงต่อเรา มิเกรงกลัวเราผู้เป็นเจ้าเหนือหัวทุกผู้เอาเสียเลย
ข้ากระหม่อมจะออกไปถามให้รู้เรื่องมังคะ
รถยนต์พระที่นั่งจอดขวางทางชายหนุ่มคนนั้นต้องหยุดม้ากระทันหัน ตุงจีข้าหลวงฝ่ายในคนสนิทของเจ้าหญิงมินทราลงมายืนเท้าสะเอวถามชายหนุ่มคนนั้น
เจ้าบังอาจมากนะมิรู้หรือว่านี่รถเจ้า เหตุใดจึงทำสายตาจาบจ้วงเจ้าหญิงของเรา
เรามิบังอาจหรอกใครจะกล้าจาบจ้วงต่อเจ้าหญิง หากแต่เราสงสัยว่าท่านในนั้นมาจากแคว้นอะไรเท่านั้นเอง เหตุใดจึงมาเร่งด่วนนัก!!!!
ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า.
ตุงจีข้าหลวงต่อว่าต่อขานชายหนุ่มคนนั้น จากนั้นก็ขึ้นรถจากไป ม้าของชายหนุ่มควบเข้าไปถึงในวังหลังจากที่รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงเพิ่งจอดสนิทตรงบริเวณหน้าตึกพระประเทียบ ตึกรับรองของแขกบ้านแขกเมือง
เจ้าหญิงมังคะผู้ชายคนนั้น
ตุงจีชี้ให้เจ้าหญิงมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น เจ้าหญิงเห็นเขาหันมายิ้มก็รู้สึกขวยเขินแต่ก็ต้องเก็บอาการเพราะผิดต่อขัติยนารี ชายหนุ่มคนนั้นคุยกับข้าราชบริพาลคนหนึ่งซึ่งนำเสื้อคลุมมาสวมให้จากนั้นก็เดินเข้าไปในเขตพระราชฐานทันที เจ้าหญิงรู้สึกงวยงงเป็นอย่างมาก ทรงสงสัยว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันแน่
สาสน์จากพระเจ้าเมียงเตะแห่งแคว้นกัญจาศรี
ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงมินทรายื่นพระราชสาสน์ให้กับราชองครักษ์ที่เดินเข้ามาถาม ราชองครักษ์คนนั้นพาเจ้าหญิงและผู้ติดตามทั้งสองคนเข้าไปยังห้องรับรองแขกบ้านแขกเมือง จากนั้นราชองครักษ์ก็หายไปครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาพร้อมกับข้าหลวงอีกสองคน
พระราชาของเรารับสั่งให้ท่านไปพักผ่อนที่ห้องรับรองที่ทางเราจัดไว้
เจ้าหญิงและผู้ติดตามเดินมายังห้องที่ทางแคว้นราชันย์อุไรจัดให้ เจ้าหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ ข้าราชบริพาลคนนั้นบอกให้เจ้าหญิงเตรียมตัวเพื่อจะไปร่วมงานฉลองการมาเยือนของเจ้าหญิงในฐานะพระชายาในคืนนี้
อะไรมันจะเร็วขนาดนี้เรายังไม่พร้อมเลยตุงจี
ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแหละมังคะ
เจ้าหญิงมินทรากล่าวหลังจากที่ข้าราชบริพาลแห่งแคว้นราชันย์อุไรเดินนำตองมูราชองครักษ์ของเจ้าหญิงไปยังที่พักรับรองของข้าราชบริพาล
.1.
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
30 มกราคม 2548 01:42 น.
สุชาดา โมรา
มีอะไรเหรอครับ
วันนั้นที่ร้านอาหารเอ่อคุณลืมกระเป๋าสตางค์ทั้งไว้ที่ร้านค่ะ
อัปสรสวรรรค์พูดด้วยน้ำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เธอนั่งลงที่เก้าอี้และยื่นกระเป๋าให้เขาทันทีนายตำรวจหนุ่มรับกระเป๋าสตางค์มาจากนั้นก็เปิดดูข้าวของที่อยู่ในนั้นและก็ยิ้ม ๆ
ขอบคุณครับอย่างนั้นวันนั้นคุณคงจะเห็นเอ่อ
ค่ะฉันเห็นคุณสองคนไม่เข้าใจกันกระเป๋าใบนี้ขว้างมาเกือบจะถูกหน้าของฉันแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะวันนั้นฉันพยายามวิ่งตามเพื่อที่จะเอากระเป๋าใบนี้ส่งคืนแต่ก็ไม่ทัน ฉันก็เลยเปิดกระเป๋าดูแล้วก็สุ่มเลือกที่จะมาคืนให้ที่นี่ค่ะ
ขอบคุณจริง ๆ ครับ
นายตำรวจหนุ่มพูดและก็ยิ้ม ๆ เขาคุยกับเธอด้วยท่าทางเป็นมิตรจากนั้นก็เดินลงมาเป็นเพื่อนเธอเพื่อมาส่งเธอที่รถตามมารยาท
ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
เอ่อค่ะ
อัปสรสวรรค์ยิ้มละไมเธอเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่งบนรถทันที สายตาของเธอมองไปที่กระจกหลังจากนั้นจึงขับรถถอยลังออกมาจากลานจอดรถ
ก๊อกก๊อกก๊อกนายตำรวจหนุ่มเคาะหน้าต่างกระจกรถอัปสรสวรรค์เปิดกระจกรถและหันมามองเขาด้วยท่าทางยิ้ม ๆ แล้วก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
มีอะไรเหรอคะ
มีเบอร์โทรไหมครับผมหมายถึงว่าคุณจะมีเบอร์สำหรับติดต่อไหมครับแบบว่าเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไงครับสำหรับมิตรภาพที่ดี
นายตำรวจหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แขนทั้งสองข้างของเขาท้าวไปที่หลังคารถ สายตาของเขาเบิกบานและจ้องมองเธอราวกับจะโปรยเสน่ห์ ทำให้อัปสรสวรรค์ต้องหลบสายตาอยู่หลายครั้งทีเดียว
ขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ
เอาไปทำไมครับ
เถอะน่า
อัปสรสวรรค์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สายตาเธอมองเขาราวกับจะบอกเขาด้วยสายตาเชื้อชวนให้ทำตามนายตำรวจหนุ่มจึงยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องบางให้กับเธอทันทีเธอรับมาและกดเบอร์โทรของตัวเองและโทรเข้าเครื่องตัวเองทันทีเสียงโทรศัพท์ในรถดังขึ้น อัปสรสวรรค์กดสายตัดและส่งคืนให้นายตำรวจหนุ่มทันที
นี่เบอร์ของฉันค่ะ
ครับ
อัปสรสวรรค์ขับรถออกมาจากโรงพัก สภอ.เมืองลพบุรี ด้วยท่าทางเบิกบานในหัวใจนายตำรวจหนุ่มยืนมองรถบีเอ็มคันหรูที่กำลังขับออกไปนอกโรงพักด้วยสายตาหวานเยิ้มละมุนละไม เขามองจนรถคันนั้นลับสายตาออกไป จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปบนโรงพักเพื่อที่จะทำงานต่อไป
อัปสรสวรรค์ขับรถมามหาวิทยาลัยเพื่อที่จะมาเรียน เธอรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะเธอได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูดตอบโต้กับเธอ ทั้งๆที่ตัวเธอเองก็เพิ่งจะได้เจอเขาซึ่งๆ หน้าแบบนี้
ทฤษฎีการเขียนการเขียนมีหลายลักษณะแล้วแต่ความนิยมของผู้เขียนว่าจะเขียนแนวไหนนวนิยายเป็นงานเขียนที่บอกถึงทั้งอุปมาอุปไมย จินตลักษณ์และอื่นๆ ครูอยากให้ทุกคนลองเกริ่นนำนวนิยายมาตอนหนึ่งโดยที่ครูจะเขียนข้อความไว้บนกระดานไวท์บอร์ดห้าคำ
อาจารย์ทัศนีย์เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ซึ่งมีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านการแต่งนิยาย บทความ เรื่องสั้นเป็นอย่างมาก ทั้งชั้นเรียนก็เห็นจะมีแต่อัปสรสวรรค์คนเดียวที่สามารถแต่งบทความเรื่องสั้นและนวนิยายได้ แต่เธอกลับไม่สามารถที่จะเขียนเรื่องราวที่เป็นงานทางวิชาการได้กันนั่นแหละคนเรามันต้องได้อย่างเสียอย่างละอาจารย์ทัศนีย์เขียนข้อความห้าคำบนกระดานไวท์บอร์ดมีคำว่า ทานตะวัน, สายลม, ความรัก, ฉันและเธอ และการเริ่มต้น
ครูคิดว่าทุกคนคงจะแต่งเสร็จแล้วนะไหนลองอ่านทีละคนนะ ครูจะสุ่มดู
แต่ก็เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าศิษย์รักศิษย์โปรดนั้นมีเพียงไม่กี่คนกิ๊บเก๋ได้ถูกเอ่ยนามก่อนคนอื่นๆ เพราะเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์รักมากที่สุด เธอเป็นหัวหน้าห้อง ช่างประจบ เอาใจคนเก่ง และเป็นคนสวย แต่คนในห้องก็รู้ๆ ดีอยู่ว่าความสวยของเธอนั้นนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ
ฉันและเธอเราพบรักที่ทุ่งทานตะวัน สายลมพัดผ่านมาทำให้ใจเราสั่นไหว
กิ๊บเก๋พูดขึ้น อาจารย์ถึงกับส่ายหน้าทีเดียวทั้ง ๆ ที่เพื่อนทั้งห้องต่างก็ปรบมือกันยกใหญ่อาจารย์เรียกคนต่อไปคือพี่น้องฝาแฝดที่นิสัยหยาบกระด้าง เจ้ายศเจ้าอย่าง บ้าอำนาจทั้ง ๆ ที่พ่อตัวเองเป็นแค่ อบต. บ้าอิทธิพล ชอบข่มขู่ผู้อื่น ขี้ฟ้องก็เป็นที่หนึ่ง เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็เรียกกันว่าตัวอันตรายและชอบอวดร่ำอวดรวยทั้ง ๆ ที่ไม่มีดีจะให้อวดอาจารย์เรียกให้เส้นหมี่อ่านก่อน และตามด้วยปอยไหม ทั้งคู่อ่านแล้วอาจารย์ก็ต้องส่ายหน้าเพราะท่านยังรู้สึกว่ามันยังเหมือนกับการเรียงประโยคแบบเด็กๆ อยู่
อาจารย์เรียกเพื่อน ๆ ไล่ทีละคน คนแล้วคนเล่า แต่แกก็ไม่หันกลับมาเรียกอัปสรสวรรค์เลยเพราะแกค่อนข้างจะชิงชังกับนักศึกษาที่เก็บตัว ไม่ค่อยพูดกับใคร ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคมอย่างเธอและอาจารย์เองก็ได้ฟังจากปากของศิษย์รักสามคนแล้วด้วยกับข่าวลือที่ว่า เธอมีคู่หมั้นแล้ว ขับรถยนต์คันหรูไม่ซ้ำคันมาเรียน และเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นว่าเล่นจึงทำให้อาจารย์คิดว่าอัปสรสวรรค์เป็นผู้หญิงไม่ดี มีอาเสี่ยเลี้ยงเพราะเธอเป็นคนสวย พูดจาหวานๆ หนุ่ม ๆ จึงเข้ามารุมล้อมเธอมากมาย เธอถึงได้มีกิ๊กถึง 16 คน
คนสุดท้ายไหนอ่านสิ
ในยามที่แสงสุริยากำลังจะโผล่จากฟากฟ้าไอหมอกที่ฟุ้งกระจายเต็มอยู่ทั่วบริเวณท้องทุ่ง หญิงสาวเดินลัดทิวเขาเพื่อลงมาพบกับชายหนุ่มที่ตนเองรักอยู่เป็นประจำทุกเช้าทั้งคู่แอบลักรอบได้เสียกันจนเกิดเป็นรักต้องห้ามเพราะทั้งสองหมู่บ้านนั้นไม่ลงรอยกันความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะพยายามพรากทั้งคู่ออกจากกันอย่างไรแต่ทั้งคู่ก็ยังแอบมาเจอกันที่นี่เป็นประจำวันไหนที่หญิงสาวไม่ได้ลัดทิวเขาลงมานั้น ชายหนุ่มก็จะชะเง้อคอรอสาวเจ้าอยู่ทุกเมื่อทั้งคู่มีสัญญารักต่อกัน ณ ทุ่งทานตะวันแห่งนี้
อัปสรสวรรค์อ่านให้ทุกคนฟัง เพื่อน ๆ ปรบมือกันกราวเลยทีเดียว อาจารย์ทัศนีย์จึงเรียกเธอไปพบเพราะเห็นแววนักเขียนในตัวของเธอ
ครูจะให้เธอแต่งเรื่องอะไรก็ได้ตามถนัดมาให้ครูอ่าน ครูจะลองปรับแก้งานของเธอดู ถ้าหากงานนั้นดีจริง ๆ ครูจะส่งสำนักพิมพ์ที่ครูรู้จัก
ค่ะ
อัปสรสวรรค์รับคำ เธอยิ้มหน้าระรื่นออกมาจากห้องพักครูและเดินตรงมาที่ลานจอดรถ จากนั้นจึงขับรถออกไปทานอาหารข้างนอกกับแม่ว่าที่สามีของเธอก่อนที่จะกลับมาเรียนในตอนบ่าย
..2..
โปรอดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
30 มกราคม 2548 01:38 น.
สุชาดา โมรา
กิ๊กฟื้นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าอันหมองเศร้าเธอโผกอดเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้และร้องไห้ฟูมฟายเลยทีเดียว
ร้องออกมาเสียให้หมดเถอะอย่าเก็บเอาไว้อีกเลย แนนซี่พูดขึ้น
คุณภูริแอบยืนมองอยู่ห่าง ๆ ที่ตรงริมหน้าต่าง เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับหยิบรูปที่หล่นอยู่ที่พื้นใบเดียวมาให้ ภาพนั้นยิ่งทำให้กิ๊กรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคนในภาพนอนเคียงข้างอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่มีความสุข
นี่คุณไม่รู้เรื่องเลยหรือไงเพื่อฉันยิ่งเสียใจอยู่ คุณมาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
ผมขอโทษเพียงแต่ผมคิดว่าผมอยากให้คุณกิ๊กตัดใจให้ขาดเสียเถอะก่อนที่จะสายจนเกินไป
หมายความว่าอย่างไรคุณพูดให้มันดี ๆ นะ
กัญญาจูงแขนคุณภูริออกไปข้างนอกเพื่อคุยกัน คุณภูริจึงเล่าเรื่องที่ไปเห็นคุณเอกนายตำรวจหนุ่มสามีของกื๊กพาคุณรัชนีตำรวจหญิงไปฝากท้องที่โรงพักในวันที่กิ๊กคลอดลูกพอดีกัญญารู้สึกตกใจมาก เธอคิดมาตลอดว่าทำไมนายตำรวจหนุ่มจึงมีสีหน้าไม่ยินดียินร้ายที่ได้เป็นพ่อคนแบบนั้น
ฉันคิดอยู่แล้วเชียว
กัญญาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เธอกำหมัดแน่นแล้วก็หันไปมองกิ๊ก สายตาของเธอเริ่มอ่อนโยนลงจากนั้นก็หันมามองคุณภูริด้วยสายตาที่เหมือนกับจะบอกว่าขอบคุณที่ทำให้เธอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกิ๊กได้กระจ่างมากยิ่งขึ้น
กิ๊กเลิกฟูมฟายเสียอกเสียใจ เธอเริ่มเปลี่ยนเป็นคนใหม่หลังจากที่มีที่ปรึกษาดีอย่างแนนซี่แนนซี่แปลงโฉมให้กิ๊กใหม่ทำให้เธอดูสาวสวย และสวยกว่าที่เป็นอยู่เสียด้วยซ้ำจนคุณภูริถึงกับตกตะลึงทีเดียว
นี่คุณเพื่อนฉันย่ะห้ามมอง
หึงละสิจะให้ผมมองแต่คุณคนเดียวใช่ไหมล่ะ
คุณภูริพูดขึ้นพร้อมกับทำสายตาหวานเยิ้มใส่ กัญญารู้สึกเขิน ๆ เธอหันไปตีไหล่คุณภูริเบา ๆ ทันที
อย่ามาทำตาหวานเยิ้มใส่ฉันนะ
คุณภูริจึงหันมาตีไหล่ตอบบ้าง แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายทำให้เผลอทิ้งแรงออกไปมากกัญญาจึงหันมาตีตอบ หนักเข้า ๆ ก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มทะเลาะกัน แนนซี่จึงต้องมาห้ามศึกทั้งคู่เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้
นี่หยุดหยุดหยุดได้แล้ว
แนนซี่ตะเบงเสียงดังลั่นจนทั้งคู่ต้องหยุด กิ๊กถึงกับหลุดขำออกมาทันที
เออยายกัญญาไปแต่งตัวซะ ฉันมีอะไรจะบอกละ กิ๊กพูดขึ้น
อะไรเหรอมีอะไรก็พูด ๆ ออกมาสิ
ก็ยายหนูนาติดไปสัมภาษณ์สดที่ระยองน่ะเขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อสักพักได้มั้ง
กิ๊กและแนนซี่พูดไปเดินไปจนถึงห้องแต่งตัว
แล้วอย่างนี้ใครจะไปเป็นเพื่อนเจ๊ล่ะ โดนเจ๊อีกสองคนเบี้ยวแล้วใช่ไหม เพราะมองหาไม่เห็นทั้งหนูนาและก็ยายแป้งส่วนยายต่ายก็คงจะมาเพราะขานี้ไม่มีทางพลาดหรอก
ก็ฉันไงล่ะ
กิ๊กพูดขึ้นพร้อมกับยิ้ม สีหน้าที่โศกเศร้านั้นเหือดหายไปภายในพริบตา ทั้งกัญญาและแนนซี่ถึงกับฉีกยิ้มดีใจที่เห็นกิ๊กกลับมาสดใสเหมือนเดิมอีกครั้ง
เดี๋ยวนะคืนนี้ยายหนูนาเขาจะออกทีวีว้าย...ใช่...ใช่เลย...แล้วนี่แนนซี่ลืมได้ยังไงเนี่ย...ว้า...เสียดาย
เสียดายอะไรย๊ะหล่อน
เสียดายที่ไม่ได้ไปด้วยน่ะสิย๊ะถ้าไปด้วยฉันคงได้เห็นคุณภูวดล เพราะเขาคงจะต้องตามยายหนูนาไปทำข่าวแน่ ๆ เลย
หล่อนรู้ได้ไงใครบอกหล่อน วันนี้คุณภูวดลมาที่นี่ย่ะเธอน่ะพลาดข่าวแล้ว
จริงเหรอจริงเหรอ!!!!
แนนซี่ทำท่าดีอกดีใจมากเป็นพิเศษ เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดซ้ายบิดขวา สายตาของเธอเหม่อมองไปข้างนอกราวกับจะสร้างวิมานในอากาศอย่างนั้นแหละกิ๊กจึงต้องสะกิดให้แนนซี่นั่งลงมาช่วยแต่งตัวให้กับกัญญาซึ่งเป็นเจ้าของงาน
คืนนี้เธอต้องสวยที่สุด นางฟ้าสีขาวของฉัน
ของเธอที่ไหนของผู้ชายที่นั่งรออยู่ข้างล่างต่างหากล่ะ
เออใช่
แนนซี่พูดและหันไปค้อนควับกับกิ๊ก ทั้งคู่ช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับกัญญาราวกับเจ้าหญิง จากนั้นแนนซี่ก็พากัญญาไปเก็บตัวในห้องและเดินลงไปเรียกให้คุณภูริมาแต่งตัว แต่คุณภูริไม่ยอมเพราะกลัวว่าแนนซี่สาวประเภทสองจะทำมิดีมิร้าย
อย่าดึงราวบันไดสิคะตามฉันมา ฉันไม่ทำอะไรหรอก
แนนซี่ฉุดกระชากลากถูคุณภูริจนมาถึงห้องแต่งตัว แนนซี่จึงให้คุณภูริแต่งตัวใหม่เพื่อให้เข้ากับกัญญาเจ้าของงาน
ใส่นี่ซะ ฉันจะไปรอข้างนอก
ทำไมต้องใส่
ไม่อยากเป็นคู่ควงกับเจ้าหญิงของเราหรือไง
คุณภูริถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นแนนซี่ออกไปนอกห้อง เขาแต่งตัวด้วยความระมัดระวัง สายตาของเขาจ้องมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความหวาดระแวงเพราะกลัวว่าแนนซี่จะแอบมองเขาขณะที่เขากำลังใส่กางเกงอยู่นั้นแนนซี่ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา เขาถึงกับตำใจดึงผ้าผ่อนที่วางระเกะระกะอยู่มาปิดช่วงล่างของเขาทันที
ลืมของค่ะ
แนนซี่พูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปที่คุณภูริแบบขำ ๆ เมื่อแนนซี่ออกไปนอกห้องแล้วคุณภูริจึงวิ่งไปล็อกประตูทันที เขาสวมเสื้อผ้าจนเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดล็อกประตูเขาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ทีเดียว
นึกว่าจะเสร็จกระเทยซะแล้วสิคุณภูรินึก
แนนซี่เดินมาเคาะประตูสามครั้ง คุณภูริยังไม่ทันได้ตอบอะไรแนนซี่ก็เดินตรงเข้ามาโปะแป้งให้กับเขาทันที
ผู้ชายน่ะไม่ต้องแต่งตัวอะไรมากหรอก ยังไง ๆ ก็หล่ออยู่ดีนั่นแหละ
แนนซี่พูดขึ้นพร้อมกับพาคุณภูริเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและพามาที่ลานกลางงานในตอนหัวค่ำผู้คนเข้ามาในงานมากมาย คุณภูริหันไปมองหลายคนที่สวมหน้ากาก เขาพยายามมองหากัญญาแต่ก็ไม่พบ
พี่ภูริ
ไงดลหล่อเชียวนะแก
ไม่ได้หรอกวันเกิดหวานใจผมทั้งทีผมก็ต้องมาสิ
เดี๋ยวแกได้หวานใจแน่นั่นไง
คุณภูริพูดแล้วก็อมยิ้มพร้อมกับหันไปมองแนนซี่ซึ่งเดินมาพร้อมกับกิ๊กในชุดเจ้าหญิงสีขาว แต่แนนซี่สวมชุดซูสีไทเฮาเดินตรงมายังคุณภูวดลซึ่งบังเอิญสวมชุดฮ่องเต้ตามคำบอกเล่าของหนูนาซึ่งก็เป็นไปตามแผนที่แนนซี่วางไว้ให้หนูนาไปปล่อยข่าวว่างานนี้สวมชุดแฟนซีและกัญญาจะสวมชุดจีนให้คุณภูวดลแต่ตาม
คุณภูริถึงกับหลุดขำออกมาทันที เขาไม่ยอมบอกสิ่งที่เขารู้ให้กับน้องชายทราบเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ขำเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง กิ๊กพาคุณภูริเดินมาใกล้ ๆ กับต้นพิกุลจากนั้นก็ชี้ให้คุณภูริเห็นผู้หญิงชุดขาวที่สวมหน้ากากขนนกยืนอยู่ทางด้านหน้าของเขา
นั่นไงคะไปสิ
คุณภูริเดินเข้าไปคุยกับกัญญา แต่เธอไม่ยอมตอบอะไรเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดหน้ากากคุณภูริพากัญญาเดินเข้าไปเต้นรำที่กลางลานที่จัดเตรียมเอาไว้ในขณะที่คุณภูวดลกำลังเต้นรำเพลิดเพลินอยู่กับแนนซี่กระต่ายเต้นรำกับพี่โอสามีของเธอแป้งเต้นรำกับพี่นันต์สามีของเธอส่วนกิ๊กนั้นก็มีชายหนุ่มแต่งกายชุดสีขาวเดินมาโค้งขอเต้นรำกับเธอ เธอจึงเดินออกไปเต้นรำกับเขาที่กลางลาน
เพื่อน ๆ ทุกคนมากันพร้อมหน้า ขาดเพียงหนูนาคนเดียวที่มาร่วมงานไม่ได้ ช่างภาพจับภาพผู้คนในงาน กล้องหลายตัวจับจ้องไปยังกัญญาและคุณภูริ ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีนักข่าวแอบปะปนเข้ามาในงานด้วย
..8..
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
30 มกราคม 2548 01:34 น.
สุชาดา โมรา
จริงเหรอคุณน้ำผึ้งที่คุณมีสัมผัสที่ 8 สามารถถอดจิตไปยังอดีตได้ ผมว่ามันวิเศษมาก ๆ เลย เพราะตัวผมเองเวลาที่หลุดออกไปต้องอาศัยการนั่งสมาธิแต่คุณจู่ ๆ ก็ไปโดยที่ไม่รู้ตัว
มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ มันเหมือนกับฝัน แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คือฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันรู้สึกว่าฉันเห็นคนในอดีตในโลกปัจจุบัน
เนื้อคู่หรือเปล่า
คงไม่หรอกค่ะอาจารย์เพราะในอดีตชาติฉันเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของฉัน
ผมว่านะจิตของคุณอาจจะสื่อถึงกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัวก็เป็นได้ชาติที่แล้วคงจะผูกพันธ์กันมากถึงได้มาเจอกันอีกถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะฝันถึงคุณบ้างนะ แต่เขาคงไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวว่าคุณหรือใคร ๆ จะหาว่าเขาบ้า
น้ำผึ้งเดินออกจากมหาวิทยาลัยและกลับมายังบริษัททัวร์ของตัวเอง สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย
สวัสดีค่ะ
ผึ้งเธอรู้ไหมว่าพระเอกของเธอรถคว่ำอาการสาหัสมาก รีบมาด่วนเลยนะ
ที่ไหน
ลพบุรี
ขอบใจนะส้มฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละ
ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องรีบไป แต่ที่รู้ ๆ คือฉันคงนั่งเฉย ๆ รอฟังข่าวของเขาไม่ได้ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย
น้ำผึ้งรีบขับรถจากกรุงเทพฯ มายังลพบุรี เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เธอก็ตรงไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อถามถึงเขา แต่เธอเจอส้มเสียก่อน
ผึ้ง!!!! ทางนี้
น้ำผึ้งวิ่งตรงมายังส้มทันที เธอมาถึงหน้าห้องผ่าตัด
ใครเป็นอะไรเหรอ
คุณแก้มแฟนของผู้หมวดพระเอกของเธอกำลังเจาะเอาเลือดคั่งในสมองออก ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด
แล้วผู้หมวดล่ะ
อยู่ห้องไอซียู ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย
น้ำผึ้งนั่งรอหน้าห้องผ่าตัดอยู่ครู่หนึ่งแพทย์ก็ออกมา
ใครเป็นญาติของคุณรัศมีครับ
ผมเองครับ
ผู้หมวดดำรงพูดขึ้นเขาเป็นพี่ชายของคุณแก้มแฟนสาวของผู้หมวดหนุ่มคนนั้น
ตอนนี้ต้องรอผลต่อไปนะครับต้องดูกำลังใจของเธอว่าเธอจะอยู่ได้นานแค่ไหนเพราะอาการสาหัสมาก หมอไม่สามารถบอกได้ว่าเธอจะรอดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็ต้องรอดูใจกันไปก่อนนะครับ
น้ำผึ้งฟังแล้วก็ตกใจ เธอรีบวิ่งไปยังห้องไอซียูทันทีเพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้หมวดหนุ่ม เธอจับมือของเขาไว้แล้วก็ร้องไห้ เธอกระซิบข้าง ๆ หูของเขาเบา ๆ แล้วก็หยิบเครื่องรางที่ได้มาจาก ดร.เกษม ใส่ที่ข้อมือของเขา เธอนั่งมองเขาแล้วนึกอยู่ตลอดเวลาว่าต้องไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร
แม่หญิงเจ้าคะแม่หญิง!!!
น้ำผึ้งแก้วหันมายิ้มแล้วก็ถือพานดอกไม้เดินเข้มาในเขตพระราชฐานชั้นใน ในขณะที่คุณหลวงบดินทร์นฤนาถยืนมองหล่อนอยู่จนกระทั่งประตูเขตพระราชฐานฝ่ายในปิด
คุณหลวงมาแอบมองอะไรตรงนี้ขอรับ!!!
ไม่ได้มองอะไร แล้วหมวกลอมพอกของข้าอยู่ไหนส่งมาเร็วเดี๋ยวข้าเข้าไปร่วมประชุมไม่ทันเดี๋ยวอ้ายฝรั่งมันก็หลอกเราอีกหรอก
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถสวมหมวกลอมพอกพร้อมกับเสื้อคลุมเดินเข้าไปในท้องพระโรงสมเด็จฯ ท่านรับสั่งให้เขาไปอยู่ดูแลติดตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์คุณหลวงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเอาเสียเลยที่ต้องไปรับใช้ฝรั่งมังค่า เขาเดินตามหลังเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไป จากนั้นก็เคี้ยวหมากคำใหญ่ด้วยความโกรธ
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลต้องไปเรียนภาษาฝรั่งกับพวกสอนศาสนาเพื่อนให้รู้เท่าทันฝรั่ง เขานั่งเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระสั่งอ่านออกเขียนได้
คุณหลวงคุณหลวงขอรับ
มีอะไรรึอ้ายมิ่ง
แม่หญิงน้ำผึ้งแก้วกำลังลงเล่นน้ำกับพระสนมและหม่อมห้ามที่ท่าน้ำหลังวังขอรับ
เดี๋ยวก็หัวขาดหรอกถ้าใครรู้เข้าต้องแย่แน่ ๆ เลยเอ็งจะให้ข้าไปแอบมองอย่างนั้นรึ
กระผมขออภัยขอรับ กระผมเห็นว่าคุณหลวงชอบไปแอบมองแม่หญิงอยู่บ่อย ๆกระผมเห็นท่านมองมาตั้งแต่แม่หญิงยังไม่ตัดจุกเลยนะขอรับ
อย่าทำเป็นสู่รู้ข้าจะเรียนเอ็งมีอะไรทำก็ไปไป๊!!!
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถดุนายมิ่งบ่าวคนสนิทเสียเสียงเขียว จากนั้นก็ทำท่าอ่านตำราฝรั่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จนนายมิ่งเดินออกไปจากห้องนานพอควร คุณหลวงจึงกระโดดออกจากหน้าต่างตึกบ้านหลวงรับราชทูตของเจ้าพระยาวิชาเยนต์แล้วก็เดินหลบออกไปยังท่าน้ำทันทีเพื่อขึ้นเรือเก๋งโดยพายไปชะลอใกล้ ๆ กับที่นางในอาบน้ำกัน เขาแอบมองเห็นสาว ๆ หลายคนลงเล่นน้ำ สายตาของเขาสอดส่ายจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
น้ำผึ้งแก้วอยู่ไหนนะเขานึกอยู่ในใจจนกระทั่งเขาเห็นหล่อนกำลังถูกขัดสีฉวีวรรณด้วยขมิ้น หลังขาว ๆ ของหล่อน เนื้อนวลละมุมนละไมน่ากอดยิ่งนัก รูปร่างบอบบางดูมีทรวดทรงองเอว หล่อนไม่ต่างจากหม่อมห้ามเท่าไรนักเพราะผิวพรรณของหล่อนสมกับเป็นลูกผู้สืบเชื้อสายมาจากวังเดิม หล่อนมีเชื้อสายสุโขทัยแห่งราชวงศ์พระร่วงเจ้า
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถแอบมองหล่อนอยู่นานจนหระทั่งเหลือบไปเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายในหรือคุณท้าวจันทร์แก้วยืนจ้องมองมายังเรือเก๋ง เขาจึงรีบพายเรือกลับไปเก็บยังท่าทันที
สาว ๆ นางในแตกตื่นเมื่อคุณท้าวจันทร์แก้วตะโกนว่ามีคนแอบมอง เหล่าทหารมากมายรีบตามจับผู้ที่ล่วงละเมิดเขตหวงห้ามแต่ก็ไม่พบ พวกเขาพบแต่เรือเก๋งที่จอดอยู่ที่ท่าน้ำของเจ้าพระยาวิชาเยนต์หลายลำก็เท่านั้น เมื่อมีคนเข้ามายังตึกรับรองก็พบคุณหลวงบดินทร์นฤนาถนั่งอ่านหนังสืออยู่ ทุกคนจึงไม่กล้าไต่ถามอะไร แล้วก็กลับไปในที่สุด
เฮ้อ!!!! โล่งอกไปทีโชคดีนะที่พายเรือกลับมาทันเวลาพอดีคุณหลวงนึก ใจของเขาเต้นรัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวความผิด เขาสงสัยอยู่ว่าคุณท้าวจันทร์แก้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาแอบมองหรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนกระทำแบบนี้แล้ว
คุณหลวงตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไปยังพระราชวัง เขาเห็นสาว ๆ นางในหลายคนตื่นเต้นดีใจกับน้ำพลุที่ผุดขึ้นจากสระน้ำ เขาจึงเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็นน้ำอะไรที่โผล่ขึ้นมาจากสระเหมือนกัน
อุ๊ย!!!!
น้ำผึ้งแก้ว!!!!
คุณหลวงเดินชนน้ำผึ้งแก้ว เขาเกือบจำหล่อนไม่ได้เพราะหล่อนดูเป็นสาวได้รวดเร็วเหลือเกิน ผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง กลิ่นน้ำอบจันทร์หอมรัญจวนไปหมด หล่อนคงปรุงน้ำหอมขึ้นมาใช้เองได้แล้วตามตำรับชาววัง
ขออภัยเจ้าค่าคุณหลวงบดินทร์นฤนาถ!!!!
หล่อนก้มหน้าก้มตาขอโทษ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณหลวงยืนยิ้มอยู่ หล่อนถึงกับเรียกชื่อด้วยความตกใจ
ดูอะไรรึเจ้า
ดูน้ำผุดจากสระเจ้าค่า
ฝรั่งเขาเรียกว่าน้ำพลุเจ้าเคยได้ยินหรือไม่
หล่อนส่ายหน้า คุณหลวงจึงคุยให้ฟังหลายเรื่อง จนเจ้าพระยาวิชาเยนต์เดินเข้ามาอธิบายเรื่องน้ำพลุให้หล่อนฟัง หล่อนทำท่าเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพระยาวิชาเยนต์พูดมากกว่าที่คุณหลวงพูดให้ฟังเสียอีก
พี่ต้องไปหอพระก่อนนะพรุ่งนี้เจ้าว่างรึไม่
อิฉันต้องกลับบ้านเจ้าค่าพอมีเวลาว่างบ้างมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ
เจอกันที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนะเจ้าพี่จะพาเจ้าไปกราบพระ
หล่อนยิ้มอย่างอาย ๆ แล้วก็เดินไปกับนางในที่มาด้วยกันในบรรดานางในทั้งหมดน้ำผึ้งแก้วเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่งดงาม และเป็นคนที่งามที่สุดงามยิ่งกว่าหม่อมห้ามหลายองค์เสียด้วย จนทำให้คุณหลวงรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเจ้าของวังจะเห็นดอกไม้ในสวนเขาจึงพูดกับเจ้าพระยาวิชาเยนต์เรื่องการสู่ขอนาง
เอาเถอะเราจะช่วยท่าน แต่ท่านอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ล่ะ
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถมารอน้ำผึ้งแก้วที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุแต่เช้า เมื่อหล่อนมาถึง คุณหลวงก็จับมือจูงหล่อนเข้าไปในวัดทันที หล่อนสะบัดมือออกแล้วก็เดินนำหน้าคุณหลวงไป เมื่อก้มลงกราบพระคุณหลวงก็อธิฐานให้หล่อนได้ยินทันที
พี่สาบานว่าจะไม่รักใครนอกจากแม่
น้ำผึ้งแก้วขยับหลบเพราะกลัวว่าใครจะครหา คุณหลวงก็ขยับตาม
เจ้าจักเชื่อพี่หรือไม่
อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกไม่อย่างนั้นอิฉันจะฟ้องเจ้าคุณย่าว่าคุณหลวงพูดจาลวนลามอิฉัน
พี่ไม่ได้ลวนลามเจ้าดอกพี่เพียงแต่พูดไปตามที่ใจปรารถนาเท่านั้นเองพี่จะไปสู่ขอเจ้าให้เป็นหน้าเป็นตา
อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกเลย หากคุณหลวงยังเห็นว่าอิฉันเป็นหลานถ้าหากพูดอีกอิฉันจะไม่เกรงใจ อิฉันจะทูลฟ้องเสด็จฯ ท่าน พระองค์คงกริ้วถ้าหากรู้ว่าคุณหลวงพูดจาหยาบหยามกับนางห้ามตำหนักในที่วัดเยี่ยงนี้
พี่ให้คำสัจจริงว่าพี่จะรักเจ้าทุกชาติ ๆ ไปนี่กำไลของพี่ พี่ไปขอหลวงพ่อมาเพื่อเจ้า พี่นั่งถักร้อยกำไลด้วยตัวเองเชียวนะ พี่ให้เจ้าไว้ป้องกันภัย
หล่อนไหว้แล้วก็รับมา คุณหลวงจึงใส่กำไลให้หล่อนทันที
กำไลนี้มีอานุภาพยิ่ง เขาว่ากันว่ากำไลนี้จะทำให้คนรักกันจำกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนชาติไหนก็จะตามไปพบเจอ
กำไลสวยนะเจ้าคะจริงหรือที่พูด
จริงสิ
อิฉันจะรอคุณหลวงมาสู่ขอเจ้าค่า
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลถึงกับยิ้มหน้าบานทันที เขารีบกราบพระและเดินตามหล่อนออกไปนอกโบสถ์ เขาพาหล่อนชมบริเวณวัดจนสายจากนั้นก็ให้บ่าวพายเรือไปส่งหล่อนถึงบ้าน เขาเข้าไปคุยกับเจ้าคุณย่าอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็ลากลับไป
3.
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ