3 สิงหาคม 2547 10:22 น.
สุชาดา โมรา
.....เมื่อประมาณ 16 ปีมาแล้ว.....
"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล... แม่เราเฝ้าโอละเห่กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่นี่แหละหนาอาลัยมิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง แต่เมื่อหลังหนักกว่าพื้นฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพรากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย..."
"ฮือ ๆ ๆ ๆ"
เด็กน้อยคนหนึ่งยืนร้องไห้เมื่อได้ฟังรุ่นพี่ชั้นประถมร่วมกันร้องเพลงค่าน้ำนมเนื่องในวันแม่ เด็กน้อยมีความรู้สึกอินไปกับเสียงเพลงเพราะเด็กน้อยคนนี้มีปมลึก ๆ กับแม่ของตัวเอง
"หนูร้องทำไมลูก"
คุณครูคนหนึ่งเดินมาถามเด็กน้อยด้วยแววตาที่อ่อนโยน รักเด็ก...
"แม่....แม่ไม่มางานวันแม่...ฮือ ๆ ๆ ๆ"
"โอ๋...ไม่เป็นไรนะลูกครูอยู่ทั้งคน หนูก็เป็นลูกสาวของครูคนหนึ่ง หนูอย่าร้องนะลูก"
เด็กน้อยกอดคุณครูแล้วก็เอาใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาและขี้มูกซบไปที่เสื้อคุณครูจนเปื้อนเปอะเลอะเทอะ แต่คุณครูก็ไม่ว่าอะไร คุณครูกลับยิ้มด้วยใบหน้าที่ใจดี รักเด็ก...
"มีดอกมะลิหรือยังลูก"
เด็กน้อยควักกระเป๋ากระโปรงพร้อมกับหยิบดอกมะลิเหี่ยว ๆ ออกมา ดอกมะลิทั้งช้ำและเหี่ยว ก้านหักเหลือแต่ตัวดอก กลีบถูกเด็ดจนเกือบหมด เมื่อคุณครูเห็นก็ยิ้มละไมแล้วก็หยิบดอกมะลิดอกนั้นขึ้นมา
"ไม่เป็นไรจ่ะ ดอกมะลิไม่สวยแล้วก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวครูหาให้ใหม่นะ"
ครูสาวจึงหยิบดอกมะลิที่ทำจากสบู่ออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้เด็กน้อย จากนั้นจึงเดินจูงมือเด็กน้อยไปนั่งที่โซฟารับรองของอาจารย์ใหญ่และอุ้มเด็กน้อยมานั่งบนตัก แต่เด็กน้อยก็ยังไม่เลิกสะอื้น
งานวันแม่แห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2530 เด็กน้อยยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจมานานแสนนาน แม่หลายคนพากันมาร่วมงานแต่แม่ของเด็กน้อยกลับไม่มา ครูใหญ่ให้แม่ของแต่ละคนขึ้นไปนั่งบนเวทีจนแออัดยัดเยียด เด็กน้อยนั่งมองรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ไหว้แม่ยิ่งทำให้เด็กน้อยสะอื้นไห้ใหญ่ คุณครูสาวจึงทำหน้าที่ปลอบใจเด็กน้อยอยู่ตลอดเวลาประหนึ่งเป็นแม่ของเด็กน้อยทีเดียว
"โอ๋ ๆ ๆ....ลูกอย่าร้องนะคะ"
เด็กน้อยก็ยังสะอื้นไม่หยุดจนกระทั่งงานกำลังจะเลิก หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาจากทางเข้าประตูหอประชุมด้านหลัง สายตาเธอชะแง้แลมองใครบางคนอยู่ และจู่ ๆ เธอก็เดินมาหาครูสาวทันที
"แม่....!!!!"
เด็กน้อยกระโดดลงจากตักครูสาวแล้วก็วิ่งไปหาแม่ด้วยความดีใจ
"ร้องไห้เหรอลูก...แม่บอกแล้วว่าแม่จะมาแต่มาช้าหน่อยเพราะแม่ต้องไปธุระ ยังไง ๆ แม่ก็ต้องมา ลูกจะร้องทำไมล่ะ....เงียบซะอย่าร้องนะลูก"
แม่กอดเด็กน้อยด้วยความรัก คุณครูสาวเมื่อเห็นเด็กน้อยอยู่กับแม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุขและก็เดินเข้าไปทักทายคุณแม่ของเด็กน้อย
"สวัสดีค่ะ แกร้องหาแม่มาตลอดเลย...งานกำลังจะเลิกเชิญคุณแม่ขึ้นไปบนเวทีแล้วก็หนูเอาดอกมะลิที่ครูให้ไหว้แม่ซะนะจ๊ะ"
แม่เดินขึ้นไปบนเวที เด็กน้อยจึงกราบเท้าแม่และยื่นดอกมะลิให้กับแม่ แม่ยิ้มละไมด้วยความรักและกอดลูกเอาไว้จนกระทั่งทุกคนร้องเพลงค่าน้ำนม ทำให้แม่และเด็กน้อยกอดกันร้องไห้ด้วยความรักความผูกพันธ์ที่แน่นแฟ้น
ไม่ว่าจะอย่างไร แม่ทุกคนไม่มีใครลืมลูกของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าแม่จะติดธุระแต่ด้วยความรักแล้วแม่ก็ต้องมาให้ทันเวลาจนได้ อาจจะช้าไปหน่อยแต่แม่ก็มาด้วยความรักไม่ใช่มาเพราะหน้าที่เพียงอย่างเดียว
คุณล่ะรักแม่ของคุณเหมือนเด็กอนุบาลคนนี้หรือยัง....
ลูกที่ดีถึงแม้จะยังไม่สามารถทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้นั่นคือการตั้งใจ ขยันเรียนถึงแม้ว่าจะเรียนไม่เก่งเหมือนใคร ๆ แต่ถ้าเราตั้งใจและพยายามก้าวไปสู่ฝันให้ได้แล้วนี่ก็เป็นการทดแทนบุญคุณของท่านได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน...
3 สิงหาคม 2547 10:17 น.
สุชาดา โมรา
ความเข้าใจความรักความผูกพัน ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันและกัน ไม่ว่าจะในเวลาสุข เศร้า เหงา หรือทุกข์ก็จะมีคนอยู่ใกล้ ๆ เราคอยให้กำลังใจเราเสมอมานั่นก็คือ "เพื่อน" คำ ๆ นี้อาจจะมีความหมายมากสำหรับบางคน แต่คำ ๆ เดียวกันอาจจะไม่มีความหมายสำหรับบางคน
บางคนอาจจะมีเพื่อนที่รักกันแม้ตายก็อาจจะยอมตายแทนกันได้ บางคนมีเพื่อนก็เหมือนกับไม่มี เวลาเหงาเวลามีทุกข์ต้องการเพื่อนก็หาไม่ได้ ที่หาได้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่จะให้กำลังใจก็ตาม คนบางคนคงไม่มีความรู้สึกหรือรู้ซึ้งถึงการขาดเพื่อน หากใครเคยรู้สึกก็คงจะรู้ว่ารสชาติของมันเป็นเช่นไร
นานมาแล้วเราเคยมีเพื่อนที่รักกันมาก แม้ว่าถ้าหากยอมตายแทนกันก็ยอม มีคำสัญญาให้แก่กันว่าจะไม่ทิ้งกัน มีสุข มีทุกข์ก็จะอยู่เคียงข้างกันจะช่วยกันให้ถึงฝั่งแห่งความสำเร็จ
อาสาฬห์หรือเดย์เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากและเข้าใจเรามากที่สุด จนใครต่อใครต่างก็คิดว่าเราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ... เดย์เป็นคนเรียนเก่งและมีความเป็นผู้นำสูง มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที่การงานทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงรองหัวหน้าห้อง ม.3/5 ในขณะเดียวกันที่เราเองเป็นหัวหน้าห้อง ม.3/10 เวลามีงานหรือการบ้านอะไรเราก็จะมาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ครั้งหนึ่งที่เดย์ชวนเราเข้ากลุ่มเลือกตั้งประธานนักเรียนเราก็ร่วมด้วย ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราจะไม่ทิ้งกัน...
แล้ววันแห่งการประกาศศักดิ์ศรีก็เกิดขึ้น เมื่อศักยภาพของประธานนักเรียนล่มสลาย เราจึงทำการแทรกซึมและรวมกำลังต่อต้านประธานนักเรียนที่ไม่มีความจริงจังต่องานด้วยการก่อม็อบ ผลออกมาสำเร็จพวกเราจึงแต่งตั้งให้เพื่อนที่น่าจะเป็นผู้นำมากที่สุดขึ้นมา เดย์เป็นรองประธานนักเรียน ส่วนเราเป็นหัวหน้าคณะกรรมการตรวจสอบ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันอย่างไรเราก็ยังยิ้มสู้เสมอ และตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้...
เมื่อจบการศึกษาความคิดของเราเริ่มแตกเป็นสองฝ่าย เพราะความถนัดไม่เหมือนกัน เราอยากเรียนเทคนิค ส่วนเดย์อยากเรียนพิบูลฯ เราเริ่มห่างกันเพราะความเห็นไม่ตรงกัน แล้วจู่ ๆ สวรรค์ก็ทอดทิ้งเราเมื่อพ่อแม่ก็มีความเห้นไม่ตรงกัน...เราจึงต้องมาเรียนที่พิบูลฯทั้ง ๆ ที่เราเองไม่ได้อยากจะมาเรียนที่นี่เลย
เมื่อถึงวันสอบเราเจอกันอีกครั้ง แต่เดย์ไม่พูดกับเราเลย เรารู้สึกเสียใจที่พูดอะไรแรง ๆ ไปวันนั้น... และแล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันเดย์เข้ามาพูดกับเรา เธอรู้ไหมว่าเราดีใจเหมือนได้โล่เลย ไม่มีอะไรจะวิเศษเท่าคำ ๆ นี้อีกแล้ว "เราขอโทษนะ" เป็นประโยคที่ยังจำฝังใจเรามาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราเป็นคนผิดเองด้วยซ้ำแต่ทำไมเธอจึงมาขอโทษเรา "เรารักนายนะ นายต้องตั้งใจเรียนให้ได้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราจะอยู่หรือไม่ นายต้องรักษาตัวเองอย่าทำตัวเหมือนเรานะผึ้ง..." เรางงไปหมดทำไมเดย์ถึงพูดแบบนี้... สีหน้าที่เศร้าหมองพร้อมกับประโยคที่ย้ำและฝังใจเรา ทำให้เรารู้สึกหดหู่ราวกับญาติเสีย "เราขอร้องนะนายอย่าพูดแบบนี้ได้ไหม เรากลัวว่านายจะเป็นอะไรไป ขอร้องละอย่าพูดเป็นลาง" แต่เดย์ก็ไม่ฟังที่เราพูดเลย การที่ย้ำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิด เราจึงแสดงกิริยาไม่ดีออกไป "หยุดพูดได้ไหม!!!!" เสียงตะหวาดดังลั่นพิบูลฯ สีหน้าของเดย์ยิ่งแย่ลง... เราทำอะไรลงไปเนี่ย "ขอโทษนะเดย์ เราไม่ได้ตั้งใจ" ...
วันนั้นอากาศที่มืดครึ้ม เมฆหมอกลอยล่องบนท้องฟ้ารวมตัวกันราวกับประท้วงวาจาอันหยาบกระด้างของเรา เสียงด่าจากสวรรค์ร้องำรามดังกึกก้อง เม็ดแห่งความทุกข์ปลดปล่อยลงสู่พื้น เดย์วิ่งฝ่าสายฝนไปจับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ขับฝ่าสายฟ้าสายฝนที่คะนองออกไปนอกพิบูลฯ เรารู้สึกเสียใจที่ทำอะไรโดยไม่คิด พูดอะไรโดยไม่ตรึกตรองเสียก่อน เรารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวและพะวงกลัวว่าเพื่อนจะเป้นอะไรไป...อาสาฬห์...อย่าเป็นอะไรเลยนะ เราอธิษฐานในใจอยู่หลายครั้ง
"คำพูดที่เราเคยสัญญากันไว้มันไม่เป็นจริงแล้วใช่ไหมเพื่อน" เราพูดกับรูปราวกับคนเสียสติ ทำไมเพื่อนที่รักกันมากจึงยอมทิ้งเพื่อที่คบกันมาเกือบ 10 ปีได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นไปได้ เราได้แต่โทษตัวเองอยู่คนเดียว... มีเรื่องราวที่ยังคงเหลือแต่เพียงภาพความหลังที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน เหลือไว้แต่คราบน้ำตาและความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ
"สู่สุคติเถอะนะ..." เราไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เสียใจมาก ๆ ถ้าเรารู้มาก่อนว่าเพื่อนมีปัญหาครอบครัวเราคงไม่ด่วนทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด เราน่าจะฟังเพื่อนพูดให้จบเสียก่อน และเราน่าจะถามว่าเป็นอะไร...โธ่ไม่น่าเลย...
ถึงแม้ว่าเวลาแห่งความเศร้าจะได้ผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่ความคิดและจิตสำนึกเหล่านั้นก็ยังคงเหลืออยู่ในจิตใจของเรา ถ้าวิญญาณมีจริงเราอยากให้เดย์รับรู้ว่าเราเสียใจ เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเหตุเช่นนี้ เราผิดไปแล้ว... ถึงแม้ว่านายจะไม่กลับมาแต่เราขอให้นายรับรู้ว่าเรายังรักนายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปนะ
เมื่อเราได้สูญเสียเพื่อนที่เรารัก เราจึงได้รู้ค่าของมันว่ามีมากแค่ไหน จะต้องรักษาให้อยู่ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้คงอยู่กับเราตลอดไป จะรักษามิตรภาพกับเพื่อนใหม่ได้อย่างไร คงจะไม่ต้องบอกก็พอรู้ ๆ กันว่าจะต้องทำอย่างไร ความเจ็บปวดความเหงายามขาดเพื่อนมันคงจะฝังลึกลงในจิตใจของผู้ที่เคยสัมผัส เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร จะมีเพื่อนที่เรารักอยุ่ไหม ไม่มีใครตอบได้ แต่ในวันนี้สิ่งเดียวที่อยากให้ทุกคนรับรู้คือพยายามรักษาสิ่งที่เรารักไว้ก่อนที่สิ่งนั้นจะหายไป ให้ความรักกับสิ่งที่เราเห็นว่ามีค่า ควรรู้ว่าเรารักสิ่งไหน และควรถนอมสิ่งนั้นไว้ให้ดีที่สุด หากเมื่อมันสายเกินไปเพราะชะตากรรม เราจะได้ไม่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต... จงอย่าทำอะไรให้คนอื่นเสียใจ เพราะบางทีคนเราก็มีอารมณ์คิดชั่ววูบได้ ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินแก้เราควรรักษาคำว่า "เพื่อน" ให้ดีที่สุดตราบนานเท่านาน...