3 สิงหาคม 2547 15:49 น.

นิยามรักแห่งสายรุ้ง

สุชาดา โมรา

เขาว่ากันว่ากาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในรัก  ฉันก็เชื่อว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น...  เพราะฉันมีความฝันในหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จ  ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างหัวดื้อเกเร  แต่ก็เป็นคนที่เข้มแข็ง  กล้าและพร้อมที่จะลุยอยู่ทุกเมื่อ...
	ฉันสอบเอ็นท์ติดมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง  ฉันเรียนอยู่คณะมนุษย์ฯ  ที่นี่มีแต่คนสวย ๆ น่ารัก ๆ และดูท่าทางจะเป็นพวกลูกผู้ดีมีชาติตระกูล  ถ้าให้เทียบกับฉันแล้วฉันมันก็แค่คนเดินดินธรรมดาคนหนึ่งซึ่งไม่อาจจะไปเทียบอะไรกับใครได้เลย
	"สวัสดีครับ...ขอนั่งด้วยคนได้ไหม"
	ชายคนหนึ่งหน้าตาน่ารักเดินมาขอนั่งที่โต๊ะฉันจึงพยักหน้า  เขานั่งลงและก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน  ชายคนนี้แต่งตัวดี  ผิวขาวตาหวานดูมีเสน่ห์เหลือเกิน  ตั้งแต่แรกที่ฉันเห็นเขาก็ทำให้ฉันแอบมองเขาบ่อย ๆ จนเขารู้สึกเขิน
	"ไม่ทราบว่าอยู่ปีอะไรครับ"
	"ปีหนึ่งค่ะ"
	ฉันตอบด้วยเสียงที่นุ่มนวล  เขายิ้มด้วยสีหน้าที่เบิกบาน  รอยยิ้มของเขาบ่งบอกถึงความเป็นมิตร  ฉันรู้สึกได้ว่าฉันหลงเสน่ห์รอยยิ้มของเขาไปเสียแล้ว
	"...อืม...พี่อยู่ปีสามนะชื่อเบนซ์...แล้วน้องชื่ออะไรครับ"
	"ชื่อรุ้งค่ะ"
	ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน  พี่เขาชวนฉันคุยไม่หยุดปากแต่ฉันก็นั่งมองพี่เขาจนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียน  เราแลกเบอร์โทรกันเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้
	ฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคน  แต่คนที่ฉันถูกชะตาที่สุดก็คือวี  วีเป็นคนน่ารักอัธยาศัยดีคุยเก่งเธอจึงสนิทกับเพื่อนได้เร็ว  แต่สำหรับฉัน  ฉันชอบเป็นเอกเทศมากว่า  แต่วีก็มักจะเข้ามาคุยกับฉันบ่อย ๆ จนทำให้เราสนิทกันภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที...  พักเที่ยงแล้วฉันเดินไปที่โรงอาหารไปร้าน 13 เขาบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก ๆ ฉันจึงต่อคิวยาวเพื่อรอซื้อข้าว  เมื่อถึงคิวของฉัน
	"เอาซุปเต้าหู้ใส่กุ้งถ้วยนึงค่ะ"
	"ของผมเหมือนเดิมนะ..."
	ชายคนหนึ่งเดินมาเบียดฉันและก็แย่งสั่งทันที  ฉันรู้สึกไม่ถูกชะตากับนายคนนี้เลย  เพราะนายคนนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย  ไม่ยอมต่อคิวแถมยังมาเบียดผู้หญิงอีก  ฉันจึงจ้องหน้าด้วยความโมโห
	"ขอโทษครับ ๆ"
	เขาหันมาพยักหน้าขอโทษอยู่หลายครั้งแต่ฉันก็ยังคงรู้สึกฉุนอยู่ดี
	"อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะพี่เอิร์ท..."
	แม่ค้าส่งอาหารให้นายคนนั้น  ฉันรู้สึกหมั่นไส้ซะเต็มประดาอยากจะเตะก้นงาม ๆ สักทีแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์  นายคนนั้นยังจะหันมายิ้มให้อีกและก็ค่อย ๆ เดินผ่านหน้าไป  ฉันรู้สึกหมั่นไส้มาก ๆ เข้าจึงแกล้งขัดขาซะเกือบล้ม
	"เอ๊ะ...!!!เธอนี่ยังไงกันมาขัดขาทำไม"
	"ไหน...ขัดขาตรงไหนคุณเดินมาสะดุดเองแล้วยังมาทำวางมาดอีก  อย่างนี้หาเรื่องกันนี่หว่า...จะเอาไงบอกมาเลย"
	ฉันถกแขนเสื้อขึ้นทำท่าแบบเอาเรื่อง
	"สวย ๆ ดุ ๆแบบนี้ระวังหา...อุ้ย...ไม่ได้นะ5555"
	"ฮื้อ...!!!"
	ฉันถึงกับฉุนทีเดียว  รู้สึกโมโหนายคนนี้จริง ๆ เกิดมาไม่เคยโกรธแบบนี้มาก่อนเลย  ฝากไว้ก่อนนะวันหลังจะเอาคืนให้ได้เลย...  ฉันหันไปมองหน้าแม่ค้าแล้วก็รับอาหารมา
	"นี่ทำไมทำกับพระเอกของมหาลัยอย่างนี้ล่ะ"
	"เนี่ยนะพระเอก...โถ่...เป็นคนนิสัยไม่ดีต่างหากล่ะ...อ่ะนี่เงินจะเอาไหม"
	ฉันส่งเงินให้แม่ค้าพร้อมกับทำท่าฉุน ๆ ฉันรู้สึกว่าแย่มาก ๆ ที่เจอคนแบบนี้ในเวลาเดียวกันถึง 2 คน  ทั้งแม่ค้านิสัยแย่กับนายคนนั้นที่นิสัยไม่ดี  ฉันนั่งลงที่โต๊ะแล้วก็ทำหน้าเครียด
	"รุ้ง...ไม่เอาน่าอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์  เดี๋ยวแก่เร็วนะย๊ะ"
	"ไม่ต้องมาทำปลอบใจเลย  เนี่ยถ้าฉันรู้นะว่าบ้านอยู่ไหนฉันจะเอาระเบิดไปลงเลย"
	"จะบ้าเหรอ...ถ้าเธอทำแบบนั้นสาว ๆ ที่มหาลัยชักตายแน่ ๆ เลย"
	"ทำไมล่ะวี..."
	"ก็พี่เอิร์ทเขาเป็นดาวของที่นี่เธอไม่รู้เหรอ  สาว ๆ ทุกคนก็ยังต้องสยบให้กับเขาเลย  มีเธอเนี่ยแหละที่จงเกลียดจงชังเขา"
	"หล่อตายละนิสัยแย่ ๆ แบบนี้เป็นดาวได้ไงกัน...กิน ๆๆๆเถอะจะได้เข้าเรียน"
	พอฉันเดินออกจากโรงอาหารฉันก็ต้องสะดุดกับผู้ชายคนหนึ่งเขาท่าทางดี  ดูสุขุม  หน้าตาจัดว่าหล่อทีเดียว  ฉันคิดว่าน่าจะหล่อกว่านายเอิร์ทอะไรนั่นเสียอีก...
	"วี...เมื่อเช้าเธอลืมหนังสือพี่เอามาให้แล้วนี่..."
	"อ๋อ...เพื่อนของวีเองค่ะชื่อรุ้ง"
	"สวัสดีค่ะ"
	ฉันไหว้ผู้ชายคนนี้ด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม  เขายิ้มอย่างคนที่ใจดี  แต่ดูท่าทางไม่ค่อยจะมีเพื่อนเพราะฉันไม่เห็นเขาเดินกับใครเลย...นายคนนี้คงเป็นพี่ชายของวีที่ชื่อวิทย์แน่ ๆ  เพราะวีพูดให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ด้วยความภาคภูมิใจที่พี่ชายเป็นประธานนักศึกษาเรียนรัฐศาสตร์การปกครอง...  
	หลังจากที่เจอพี่ชายของวีแล้ววีก็ยังพูดไม่หยุดปากว่าพี่ของเขาเป็นคนดีช่วยเหลืองานมหาวิทยาลัยเสมอ ๆ จนฉันรู้สึกว่าวียกยอพี่ชายมากไปแล้ว
	หลังจากเลิกเรียนฉันเจอพี่เบนซ์อีกครั้ง  พี่เขายิ้มให้ด้วยสีหน้าที่เบิกบาน  พี่เขาชวนฉันขึ้นรถเขาเพราะเขาจะพาฉันไปส่งที่บ้าน  ที่จริงฉันก็อยากไปด้วยเหมือนกัน  แต่ทีนี้ฉันมันเด็กหอก็ต้องอยู่หอสิจะให้พี่เบนซ์ไปส่งฉันได้ยังไงกันในเมื่อเดินอีกแค่ 30 ก้าวก็จะถึงหอแล้ว
	"ไม่เป็นไรค่ะพี่เบนซ์  รุ้งขอบคุณมากนะคะแต่ว่ารุ้งอยู่หอค่ะ"
	พี่เบนซ์ก็เลยขับรถผ่านหน้าฉันไปช้า ๆ ฉันมองรถของพี่เบนซ์จนจำทะเบียนได้ดีแล้วก็เดินไปที่หอทันที...  อย่างว่าละเด็กปี 1 ต้องอยู่หอทุกคนเพื่อที่จะได้รับน้องกลางดึกคืนนี้พอฉันเข้ามาในหอฉันจึงอาบน้ำแต่งตัวและเข้านอนทันที
	"รุ้ง...ตื่นเร็วรุ่นพี่เรียกแล้ว"
	"อะไรกันวี..."
	"ไป ๆ ลงไปรับน้อง"
	ฉันเดินลงมาจากหอแล้วก็มาเข้าแถวเพื่อโดนรับน้องกลางดึก  ฉันรู้สึกไม่ค่อยพอใจพี่นิสิตคนนี้เลย  ดูท่าทางวางอำนาจพูดจาหยาบ ๆ แล้วก็ขู่รุ่นน้อง  ฉันว่าทำแบบนี้มันไม่น่ากลัวเลยสักนิดแต่มันกลับสร้างความรำคาญมากกว่า
	"เร็ว...!!!เดินเป็ดสิ  เต้นไก่สิ...เร็ว...!!!"
	เสียงที่ตะคอกดุดันทำให้ฉันเก็บอารมณ์ไม่อยู่
	"เฮ้ย...พูดกับน้องพูดให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง...วางก้ามอย่างกับพวกต่ำ ๆ ที่ไร้การศึกษา  ถามจริง ๆ เถอะตอนแม่ท้องให้กินอะไรเหรอถึงได้ต่ำขนาดนี้"
	"นี่แก...."
	รุ่นพี่คนนั้นถึงกับโกรธจัดให้คนไปตามใครคนหนึ่งมาทันที
	"ไหนใครแข็งข้อบอกพี่มาเลยพี่จัดการให้"
	รุ่นพี่ทอมเดินมากับนายเอิร์ทคนที่เจอเมื่อกลางวันนี้  พูดจาเหมือนกับจะเอาเรื่อง  ฉันจึงถกแขนเสื้อขึ้นทำท่าเอาเรื่องเหมือนกัน
	"เธออีกแล้วเหรอ...นี่อยากเรียนจบหรือเปล่าทำไมแข็งข้อกับรุ่นพี่"  นายเอิร์ทพูด
	"นี่นายรู้จักเด็กคนนี้ด้วยเหรอ  เอาเลยจัดการเลยฉันหมั่นไส้จริง ๆ"  พี่นิสิตคนนั้นพูด
	"เฮ้ย...อย่าพี่เองน้อง"
	พี่ทอมเดินตรงมาที่ฉันเอามือมาจับคาง  ฉันปัดมือเขาก็ทำท่าเหมือนกับจะลวนลาม  ทุกคนถึงกับหยุดดูว่าฉันจะทำยังไงต่อกับรุ่นพี่  เมื่อหนักเข้า ๆ ฉันก็เกิดความโมโหฉันจึงต่อยหน้าพี่ทอมทันที
	"สวย ๆ แล้วยังจะดุอีกเนี่ยเสป็กพี่เลย..."
	"อย่าเข้ามานะ...!!!"
	ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่กลัว  เมื่อพี่ทอมเข้ามาใกล้ ๆ ฉันจึงเตะก้านคอด้วยท่าจรเข้ฟาดหางทันทีถึงกับทำให้พี่ทอมสลบ
	"นี่เธอมันไม่แรงไปหน่อยเหรอ  นิสิตอย่างเธอเห็นทีจะเอาไว้ในมหาวิทยาลัยไม่ได้ใช่ไหมพร  ผมว่าส่งสภาให้เขาตัดสินดีกว่า  จะได้รู้ว่าการถูกว๊ากในสภามันเป็นอย่างไร..."
	นายเอิร์ทพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธ ๆ แล้วก็ชี้หน้าฉัน  ฉันก็มองด้วยท่าที่เย่อหยิ่งเพราะฉันยังไม่รู้ว่าการถูกว๊ากในสภามันเป็นยังไง...  พวกเราทั้งหมดกลับขึ้นหอ  ฉันล้มตัวลงนอนด้วยความสบายใจ
	"รุ้งเธอรู้ไหมเธอทำอะไรลงไป  การถูกว๊ากในสภามันถึงกับทำให้ประวัติเสียและโดนไล่ออกง่าย ๆ เชียวนะ  ฉันว่าเธอทน ๆ เอาหน่อยจะดีกว่านะอย่าให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านี้เลย  ฉันขอร้องนะฉันยังอยากมีเพื่อนอย่างเธออยู่"
	"วี...ไปนอนได้แล้ว  ฉันรู้ว่าฉันไม่โดนไล่ออกหรอกเพราะขนาดเรียนเขายังเชิญ...."
	"เชิญอะไร"
	"นอน ๆ เถอะเดี๋ยวไม่มีแรงไปเรียนนะ"
	................................1.............................

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ  รับรองว่าเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดนะคะ...				
3 สิงหาคม 2547 15:45 น.

รักนี้เพื่อ...เธอ

สุชาดา โมรา

ฉันไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งฉันต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไปโดยที่ฉันไม่เคยบอกใครคนหนึ่งว่าฉันจริงใจ  และอยากจะทุ่มเทใจทั้งหมดไปให้เขา  มีเขาคนเดียวที่ฉันต้องการอยากอยู่ใกล้ ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฉันคิดยังไงกับเขา  แต่ฉันก็ยังอยากจะทำอะไรดี ๆ ให้เขาทั้ง ๆ ที่ใจมันเรียกร้องให้ฉันต้องเป็นไปอย่างนั้น  ฉันไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าฉันจะไม่มีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ ๆ เขาอีกแล้ว...
	งานของคุณพ่อที่อเมริกาเลื่อนออกไปอีก 5 ปีฉันกับแม่ก็เลยต้องจำใจย้ายไปอยู่กับท่านทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะจากบ้านเกิดตัวเองไปไหนเลย  ฉันกับแม่มาถึงสนามบินแล้ว  ฉันรู้สึกเคว้งคว้างมองไปทางไหนก็ไม่เห็นจะรู้จักใคร  ฉันรู้สึกว่าเหมือนโลกกำลังบีบตัวให้แคบลงทำให้ฉันใจสั่นและกลัวการจากเมืองไทยไปอยู่ที่อื่น...
	"แม่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยนะว่าอายุป่านนี้แล้วจะต้องไปอยู่ที่อื่น  ต้องไปอเมริกา  ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรง...เอ...จะพูดกับฝรั่งรู้เรื่องหรือเปล่าเนี่ย"
	คุณแม่ยังสาวของฉันบ่นไปเดินไปจนกระทั่งเดินเข้ามานั่งที่ของตัวเองแล้ว  ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่าเคยทำอะไรไปบ้างหรือยัง
	"แม่คะ...หนูขอโทษค่ะ...หนูจะอยู่เพื่อรักค่ะ...!!!"
	"จะไปไหนน่ะยายลูกปลา...กลับมาเดี๋ยวนี้นะเครื่องจะออกแล้ว...!!!"
	แม่ตะโกนลั่นเครื่องผู้คนต่างมองมาเป็นตาเดียว  แต่ฉันไม่สนหรอก  ฉันคิดแบบคนดื้อ ๆ อย่างเด็กว่าฉันจะอยู่เมืองไทยเพื่อรอใครสักคนที่เห็นในความรักของฉัน...ฉันรู้ว่าถ้าฉันวิ่งออกมาแล้วจังหวะนั้นแม่จะออกมาตามฉันไม่ทันแน่ ๆ ...ฉันวิ่งออกมาพร้อมสัมภาระใบน้อยที่มีทั้งบัตรเครดิต  บัตรเอทีเอ็มและเงินจำนวนหนึ่ง  พร้อมกับตุ๊กตาหมีอีกตัวหนึ่ง  รวมทั้งเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียง 
2-3 ชุดเท่านั้น
	ฉันขึ้นรถแท็กซี่แล้วก็นึกไปตลอดทางทีเดียวว่าครั้งหนึ่งตอนเป็นเด็กนั้น  ฉันมีความฝันและความหวังอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นญาติห่าง ๆ กับฉัน  เขาเป็นคนโอบอ้อมอารี  ใจกว่างและมีน้ำใจ  เขาคอยเลี้ยงดูฉันเมื่อตอนเป็นเด็ก  เขาคอยช่วยเหลือฉันและอยู่เป็นเพื่อนฉันในยามที่ไม่มีใคร  ฉันเจอเขาทุกวันจนกระทั่งฉันไม่ได้เจอเขามา 5 ปีกว่า ๆ ฉันมีความรู้สึกว่าฉันขาดเขาไม่ได้  ฉันอยากให้เขาคอยให้กำลังใจฉันเหมือนเดิม  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฉันบ้าหรือเปล่าที่ทำไปแบบนั้น  ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันต้องการที่จะอยู่ใกล้ ๆ คนที่ฉันรักเท่านั้น...
	ฉันจำได้ดีว่าเด็กผู้ชายตัวสูงในตอนนั้น  เล่นบาสอยู่ในสนาม  เขาทั้งเก่งและเป็นหัวหน้าทีมที่ดี  
	"ส่งมา..."
	"แจ๋วมาก  ...เฮ... ชู้ตได้สวยเหมือนเดิมเลยนัท"
	เพี๊ยะ...เสียงทั้งคู่ตีมือกันอย่างมีความสุข  ฉันจำเสียงของเขาได้ดี  จำกลิ่นน้ำหอมที่เขาใส่ได้ดี  รวมทั้งรอยยิ้มที่มีแต่ความสดใสของเขาได้ดี...
	ฉันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของเขาและค่อย ๆ เอื้อมมือไปกดกริ่ง
	ออด....ออด....ออด...
	ชายคนหนึ่งเดินมาจากทางเดียวกับที่ฉันมาเขาเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูบ้าน
	"เธอมีธุระอะไรกับบ้านนี้เหรอ..."
	เสียงนี้ทำให้ฉันต้องหยุดชะงัก  ฉันรู้ดีว่านี่คือเสียงที่ฉันถวิลหามาโดยตลอด  ระยะเวลา 5 ปีกับการรอคอยที่จะพบเขา  ฉัน...แล้วฉันก็ค่อย ๆ หันไปมองเขาช้า ๆ
	"พี่นัท...!!!"
	ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเป็นที่สุด  สีหน้าของฉันเบิกบานราวกับได้ของเล่นเมื่อตอนเป็นเด็ก ๆ ทีเดียว
	"เราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า"
	"จำลูกปลาไม่ได้เหรอคะ..."
	"อ๋อ...ลูกปลาที่เมื่อตอนเป็นเด็ก ๆ ขี้แยชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งไปฟ้องแม่น่ะเหรอ..."
	ฉันยิ้มแล้วก็พยักหน้า  ฉันมีความรู้สึกดีใจเป็นที่สุดที่ฝันของฉันเป็นจริงไปส่วนหนึ่งแล้ว  ต่อจากนี้ไปฉันจะกักตวงความรักจากเขามาให้มากที่สุดจนกว่าเขาจะรักฉัน
	"มา...เข้าบ้านก่อนเร็ว..."
	ฉันเดินตามพี่นัทเข้ามาในบ้าน  ฉันมองไปรอบ ๆ ห้องรับแขก  ไม่มีคนอยู่เลย  ฉันนั่งที่โซฟาแล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
	"สวัสดีจ่ะหนูลูกปลา..."
	"สวัสดีค่ะคุณป้า"
	"เป็นยังไงมายังไงจ๊ะถึงได้มาถึงที่นี่  เอ...ป้าได้ข่าวว่าหนูจะไปอเมริกาไม่ใช่เหรอแล้วทำไม..."
	"คือหนูไม่อยากไปค่ะ  อีกอย่างหนูไปไม่ทันขึ้นเครื่องน่ะค่ะ"
	ฉันต้องโกหกคุณป้าเพราะฉันต้องการจะอยู่ที่นี่  ฉันอยากที่จะอยู่ใกล้ ๆ พี่นัทให้นานที่สุดหลังจากที่ไม่ได้เจอพี่เขาถึง 5 ปี  ที่จริงฉันแอบชื่นชอบพี่นัทมาตั้งแต่ยังเด็ก  พี่นัทเป็นความรักครั้งแรกของฉัน  จนมาถึงตอนนี้ฉันก็ยังชอบพี่เขาอยู่  ฉันจึงอยู่ที่นี่เพื่อรักแท้...
                     
                     โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...รับรองว่าเรื่องราวจะเข้มข้นมากกว่าเดิมค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ				
3 สิงหาคม 2547 11:48 น.

ฉันมันโง่เอง... (ตอนที่4 เสนอเป็นตอนจบแล้วค่ะ)

สุชาดา โมรา

เวลาผ่านไปยาวนานเหลือเกินจนฉันลืมเรื่องราวร้าย ๆ ในชีวิตไปหมดสิ้นแล้ว  บริษัทของฉันรุ่งโรจน์ขึ้น  ฉันมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น  และฉันก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่โสด ๆ ด้วย  แหมมันช่างสบายใจดีจริง ๆ
คุณยุทธพงศ์คะ  อ่านนี่หน่อยนะคะ
พนักงานคนหนึ่งพูดเสียงดังลั่น  จนข่าวลือรู้กันไปทั้งบริษัท  มีเพียงฉันคนเดียวที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย  ยิ่งนานวันข่าวยิ่งพูดกันหนาหูมากขึ้นจนทำให้ฉันรู้จนได้ว่าเรื่องอะไรแต่ฉันก็ทำเฉย ๆ เพื่อให้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันนี้จบการประชุมเพียงเท่านี้
คุณกิ๊กครับ  ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ
ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร  แต่สิ่งที่ฉันกลัวก็คือข่าวลือที่มันก็เป็นความจริงเสียด้วย  ไดอารี่เล่มน้ำเงินของฉันหายไปเล่มหนึ่ง  ฉันหามันมาตลอดแต่ก็ไม่เจอ  แต่ก็ช่างเถอะฉันก็ทำเฉย ๆ ไว้ก็เท่านั้นราวกับว่าไม่มีอะไร  ทำใจเย็น ๆ แต่จริง ๆ แล้วหัวใจมันเต้นรัวราวกับกลองทีเดียว
กิ๊กคุณเคยรักผมบ้างไหม?
คำพูดนี้แหละที่ทำให้ฉันใจหวิว ๆ ทำอะไรไม่ถูก  ไม่รู้จะตอบยังไงดี  ฉันรู้สึกว่าฉันดีใจเหมือนกับได้ของเล่นเมื่อตอนเด็ก ๆ เลย  คำพูดประโยคนี้เป็นคำพูดที่ฉันรอคอยมานานแสนนาน  และฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนเอ่ยปากถามฉันขึ้นมาเองด้วยซ้ำ
คุณไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้นนะ  ผมอยากให้คุณมากับผมเดี๋ยวนี้เลย
เขาฉุดแขนฉันออกจากห้องประชุมและพาขึ้นรถคันหรูของเขาฉันได้แต่คิด  คิด  คิด คิดแล้วก็คิดอีกว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป  เขาจะพาฉันไปไหน  ไปทำอะไร  แล้วฉันจะวางตัวอย่างไรถูกในเมื่อเขามีคนรักของเขาอยู่แล้วฉันคิดอยู่นานจนมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเขาเปิดประตูให้ฉันลงจากรถแล้ว
ตึง
เสียงปิดประตูดังขึ้น  ฉันสะดุ้งโหยง  แต่ก็ยังตีหน้าเฉย ๆ อยู่  ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณจำได้ไหมว่าเราเคยพบกันครั้งแรกที่นี่ 
ฉันจำได้ดีว่าวันนั้นฉันเพิ่งกลับมาจากปารีสได้เพียง 2 วัน  ฉันรู้สึกเหงา ๆ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาที่แห่งนี้  มาปล่อยอารมณ์ให้ทอดไปกับสายลม  มองดูนกฝูงใหญ่  และก็มองดูว่าวมากมายที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า  และว่าวก็มาตกลงตรงหน้าฉัน  มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาเก็บจากนั้นฉันเลยได้รู้จักกับเขาคนนั้น
ใช่ฉันจำได้
ก็ดี  ผมจำได้ว่าว่าวมาตกที่ตรงหน้าคุณ  และว่าวมันก็ทำให้ผมต้องเลิกกับแฟนเก่าของผมเพียงเพราะผมเดินมาเก็บว่าวและก็คุยกับคุณ  5555  ขำจริง ๆ เลย  ผู้หญิงนี่บทจะเลิกก็เลิกง่าย ๆ นะ  จริงไหม
พอฉันได้ยินเสียงหัวเราะของเขา  มันก็ทำให้ฉันเบิกบานหัวใจ  รู้สึกอกชื้น ๆ เหมือนต้นไม้ที่มีใครเอาน้ำมารด  วันนี้ฉันจึงยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดเลยละ
กิ๊ก  ไป
ไปไหน
เขาฉุดฉันวิ่งไปรอบ ๆ พาไปดูนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า  ให้อาหารนก  ให้อาหารปลา  ฉันรู้สึกเพลิดเพลินจริง ๆ   เพราะนานมาแล้วที่ฉันไม่ได้สนุกแบบนี้
ผมมีความสุขที่สุดเลยนะ
ฉันก็เหมือนกัน
ไปไปกับผมอีกทีได้ไหม
ไปไหน
เขาพาฉันวิ่งอีกครั้ง  พาฉันไปซื้อว่าวมาเล่น
ผมจำได้ว่าคุณเล่นว่าวไม่เป็น  วันนั้นที่ผมเลิกกับแฟนผมก็มีคุณนี่แหละที่ปลอบใจผมและก็มาเล่นว่าวกับผม  วันนั้นเหมือนมันเพิ่งผ่านมาเองนะ  ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะ 10 กว่าปีมาแล้ว
 อืมจริง ๆ ด้วยนะ
เราหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุขจนตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้าไปแล้ว  ลมที่พัดแรง ๆ อยู่เริ่มพัดเอื่อย ๆ จนไม่มีลมจะพัดอีกแล้วอากาศเริ่มอึมครึม  ความหนาวเย็นเริ่มเข้ามาสู่กายฉัน  ฉันรู้สึกหนาวเหน็บจริง ๆ
กิ๊ก  คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดีและตอนนี้ผมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปไหนแล้วด้วยผมอยากจะอยู่ตรงนี้นาน ๆ ทีเดียว
วันนี้เธอแปลก ๆ นะบอย
มันไม่แปลกหรอกกิ๊ก  เพียงแต่คุณไม่ได้สังเกตผมเท่านั้นเอง
ฉันอึ้งไปหมด  ทำอะไรไม่ถูกเลย
แต่งงานกับผมเถอะนะ  ผมขอร้อง
ฉันไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น  เขายื่นแหวนวงหนึ่งออกมา  มือของเขาสัมผัสที่มือของฉัน  เขาค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนให้ฉันช้า ๆ แต่ฉันก็ต้องหดมือกลับมา
ไม่ได้นะ  แล้วคนรักของเธอล่ะ
ผมเลิกกับเขาไปนานแล้วละ  แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่
ทำไม
ฉันถามแบบงง ๆ
เพราะผมรู้ว่าใจผมคิดยังไง  และผมก็รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับผม  โดยเฉพาะเวลาที่ผมได้อ่านหลักฐานสำคัญของคุณมันทำให้ผมรู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้รู้ว่าคุณแคร์ผมมากแค่ไหน  คุณไม่ต้องพูดไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น  ผมจะบอกคุณให้ฟังว่าจิรมลนางแบบชื่อดังของคุณแอบเอาไดอารี่เล่มน้ำเงินมาให้เลขาของผม  ผมจึงได้อ่านไดอารี่เล่มนั้น  ผมจึงได้รู้ความจริงหลาย ๆ อย่างผมเลยตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม  และผมอยากจะบอกคุณว่าผมรักคุณนะ  แต่งงานกับผมเถอะนะ
ฉันรู้สึกดีใจเป็นที่สุด  จนลืมตัวเองว่าเป็นผู้หญิง  โผกอดเขาไปโดยไม่ได้คิดถึงความเสียหายใด ๆ  นักเรียนนอกหัวโบราณอย่างฉันก็ทำอะไร ๆ ที่คนรักกันหลาย ๆ คนแสดงออกต่อกันได้เหมือนกัน เฮ้อฉันอยากจะตะโกนก้องฟ้าเลยว่า   ดีใจเหลือเกิน!!!!
เขาบรรจงสวมแหวนให้ฉัน  และฉันก็รับแหวนนั้นมาโดยดีฉันมีความสุขในชีวิตมากทีเดียว  หัวใจฉันเต้นรัวราวกับกำลังดิสโก้อยู่  ฉันดีใจที่ความหวังของฉันเป็นจริง  คนไม่เคยสำคัญก็คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน  นั่นเป็นเพราะเราต้องมองหัวใจตัวเองให้เป็น  ต้องเห็นว่าใครดีใครไม่ดี  และต้องให้ความสำคัญกับคนที่เขาดีกับเราให้ดีที่สุดฉันรักเขาจริง ๆ
เฮ.
เสียงผู้คนในบริษัทมากมายโห่ร้องกันดังลั่น  งานวิวาห์ของฉันสำเร็จไปได้เพราะจิรมลนางแบบคนดังคนสนิทของฉัน  ถ้าวันนั้นฉันไม่ป่วยและจิรมลไม่ไปดูแลฉันที่บ้าน  เขาคงไม่พบไดอารี่ที่วางอยู่ตรงหัวเตียงของฉัน
ขอบใจนะจิรมล
ไม่เป็นไรค่ะ  ก็เหมือนกับที่คุณช่วยคุณอาสาฬห์แฟนของฉันไงคะ
ฉันหัวเราะอย่างมีความสุขจริง ๆ  และที่ต้องขอบคุณอีกคนก็คือแม่เลขาตัวดีของบอย
ขอบใจนะณัฐพร
เรื่องอะไรคะ
ฉันยิ้มและไม่ตอบอะไร  จากนั้นฉันก็เดินไปตัดเค้กร่วมกับบอยอย่างหวานชื่น  32 ปีกับอายุที่ไม่ใช่น้อย ๆ เลย  แต่ฉันก็มีความสุขกับชีวิตของฉันเป็นอย่างดี
ฉันโยนช่อดอกไม้สวย ๆ ให้กับคู่บ่าวสาวคู่ต่อไป  คนที่รับช่อดอกไม้ช่อนั้นได้ก็คือณัฐพรเลขาของบอย  ซึ่งก็ได้หมายมั่นไว้ว่าจะแต่งงานกับตะวันลูกชายเจ้าของสำนักพิมพ์ชื่อดังของเมืองไทย  ดูเขามีความสุขดีนะ  และเขาก็ประกาศแล้วว่าเขาจะแต่งงานเป็นคู่ต่อไป
เสียงหัวเราะกันครื้นเครงในบริษัทแห่งนี้  กับงานแต่งงานที่รู้กันเฉพาะในวงการ  มีนักข่าวมาประปราย  มีญาติผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายมาเป็นสักขีพยาน  ถึงแม้ว่าเราจะไม่เด่นไม่ดัง  งานจะไม่หรูหราจนน่าเกลียดแต่เราก็มีความสุขมาก  และก็สัญญากันไว้ว่าจะรักและใช้ชีวิตร่วมกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ช่วงเวลาต่อไปนี้แหละจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตของฉัน  ฉันจะตั้งใจเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีของเขา  ฉันจะต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ ๆ กับเขาให้ดีที่สุด

ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ				
3 สิงหาคม 2547 11:45 น.

ฉันมันโง่เอง... (ตอนที่3)

สุชาดา โมรา

จะมีใครบ้างนะที่เคยรู้ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นผู้ให้  ซึ่งเขาทำให้เราทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่าง  จนบางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฉันรำคาญ  แต่เขาทำไปเพราะเขารักฉันจริง ๆ  เหมือนความรักของพ่อแม่  เหมือนความรักของญาติผู้ใหญ่ของฉัน  เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ทำให้ฉันด้วยความจริงใจแต่ฉันกลับเป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักเขาดีพอ  ไม่รู้จักใจของตัวเองว่าคิดอย่างไร  
ฉันเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างหรือไม่สำหรับชีวิตของฉัน  ฉันเคยคิดว่าขณะนั้นฉันดูแลเขาดีพอหรือยัง  ฉันให้ความสำคัญกับคนที่รักฉันถูกคนหรือเปล่า  ฉันให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่าคนที่ให้ความรู้สึกที่ดี ๆ กับฉันบ้างหรือเปล่านะ  ฉันเกิดความสับสนในใจอยู่หลายครั้งจนทำอะไรไม่ถูก  คิดอะไรไม่ออก  สมองตื้อตึงไปหมด  เครียดจนไม่รู้จะเครียดยังไงเฮ้อแต่ก็นั่นแหละสิ่งที่ฉันได้คิดก็คือ  ฉันไม่เคยทำอะไรที่ดี ๆ กับเขาเลย  แม้แต่จะพูดจาไพเราะรื่นหูสักหน่อยก็ไม่มี  
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันคือเขา  แต่ฉันกลับมองข้ามเขาไปนั่นเป็นเพราะความโง่ของตัวฉันเอง  แต่เมื่อฉันได้คิดไตร่ตรองอะไรดี ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันต้องมองเขาด้วยหัวใจมองด้วยแง่มุมที่รับรู้ถึงการเป็นผู้ให้และผู้รับ  ซึ่งฉันไม่เคยเป็นผู้ให้เลยแม้แต่นิดเดียว  แต่ฉันก็พยายามเปิดใจให้กว้างขึ้นเพื่อที่จะมองเขาด้วยใจที่เป็นกลาง  โดยไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป  ไม่คิดเข้าข้างตัวเองฉันจึงเปิดใจและจึงรับรู้ได้ว่าเขารักฉันและฉันก็รักเขามาก  
แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าฉันไม่ควรมีความรักในตอนนี้เพราะฉันไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมองอะไรได้  นั่นเพราะฉันเพียงแค่มองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่  และฉันก็กลับมองดูความร่ำรวยและก็ความจนของคนที่ข้าวของที่เขาใช้  เขาสวมใส่  ดูในสิ่งโก้หรูแต่ฉันไม่เคยมองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้ฉันเห็นเลย  ฉันมองอะไรหลายอย่างด้วยตาแล้วฉันก็ตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5 วินาที  มันทำให้ฉันต้องสูญเสียมิตรภาพที่ดีดีจากเขาไป  เพียงเพราะฉันอ้างกับใจและตัวของฉันเองว่าไม่มีเวลา  ไม่เคยมีเวลาเลยสักนิดเดียว  นั่นเป็นเพราะฉันไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากตัวฉันเอง  ฉันไม่เคยให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้นเลย  รวมทั้งต่อคนที่เขารักฉันด้วยใจจริงคนนั้น  
ถ้าฉันได้ลองมองเขาตั้งแต่ตอนนั้น  และก็มองย้อนกลับไปดูว่าทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากมายในแต่ละวัน  ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญต่อชีวิตฉันเลย  ไม่ว่าจะเป็นงานสังคม  งานเลี้ยงสังสรรค์ในสังคมโก้หรูที่มีแต่ความจอมปลอมบนโลกใบนี้  เพราะเราให้ความสนใจและให้ความสำคัญต่อมัน  ทำไมฉันถึงไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่ฉันลืมไป  ฉันไม่เคยนึกถึงมาโดยตลอด  โดยเฉพาะกับคนที่หวังดีกับฉันคนนี้แต่ฉันกลับไม่เคยมองเขาเลยสักนิด  
ฉันจึงคิดว่าฉันต้องไม่ปล่อยให้มิตรภาพดี  ๆ  ต้องมีรอยร้าวเพราะเมื่อวันหนึ่ง  เวลาหนึ่งที่คน ๆ  นั้นต้องจากเราไปโดยมองหน้าเราไม่ติดแบบนี้   เราคงอายไม่กล้าสบตาเขาไม่กล้าพูดกับเขาทั้ง ๆ ที่เราก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา  และเขาก็มีเช่นกัน  และถ้าวันหนึ่งเราจะต้องจากกันเราก็ควรจะจากกันด้วยความรู้สึกที่ดีดีต่อกันเราจะได้ไม่รู้สึกผิดและรู้สึกแย่  ๆ  แบบนี้  โถ่!!!ไม่น่าเลยเรา  นั่นเป็นเพราะว่าเรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอใช่ไหม  เพราะฉันไม่เคยเห็นคุณค่าของเธอเลยใช่ไหม  บอย  ตอนนี้ฉันคงพูดได้แค่เพียง  ฉันขอโทษ  ฉันขอโทษจริง ๆ  ฉันเสียใจนะบอย
เธอคือสิ่งที่ไม่สำคัญกับฉันในตอนแรก  นั่นเพราะฉันไม่เคยสนใจไม่เคยเห็นคุณค่าในสิ่งที่เธอมอบให้มาเลย  ฉันขอโทษนะบอย  และตอนนี้ฉันก็รู้ตัวแล้วละว่าเธอคือคนพิเศษของฉัน  เธอคือคนที่สำคัญของฉันเสมอ  บอยได้โปรดเถอะ  กลับมาหาฉันนะฉันขอร้อง
 ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันรู้สึกอย่างไร  บอยฉัน  ฉัน  ฉัน  จะให้ฉันพูดอย่างไร  จะให้ฉันทำอย่างไรกันในเมื่อฉันเป็นผู้หญิง  ฉัน  ฉันรักเธอนะบอย
ฉันได้บันทึกเรื่องราวถึงความรู้สึกที่ฉันรู้สึกผิดรวมทั้งสิ่งที่ฉันเพิ่งค้นพบตัวเองเจอก็ต่อเมื่อสายไปแล้ว  
บรื้น
ฉันขับรถตามหาเขาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง  แต่ก็ไม่พบเขาเลย  ไม่ว่าจะเป็นบ้านเขา  บ้านญาติ ๆ ที่ฉันเคยไป  หรือแม้แต่ที่ที่เขาชอบไปด้วย  สิ่งที่ฉันได้มันคือความว่างเปล่า  ความว้าเหว่ในจิตใจ  มันทำให้ฉันรู้สึกผิดและรู้สึกว่าแย่ที่สุด  เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา  ฉันผิดหวังและสิ้นหวังจริง ๆ เธอรู้ไหมว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับเธอ  เธอรู้ไหมว่าฉันแคร์เขามากแค่ไหน
ฉันจึงกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่บริษัทอีกครั้ง  ฉันจอดรถด้วยความรู้สึกที่หดหู่สิ้นหวังเป็นที่สุด  ทำอะไรไม่ถูก  คิดอะไรไม่ออกเลย  ฉันรู้สึกว่าขณะนี้ฉันอ้างว้างเดียวดาย  หาที่พึ่งไม่ได้
	บอย
ฉันตะโกนลั่นสุดเสียง  เขาหันกลับมามองฉันช้า ๆ ฉันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอเขาอีกครั้ง
มีอะไรเหรอกิ๊ก
ฉันขอโทษนะ  กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม
เขาเงียบและก็เรียกใครคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากบริษัทของฉัน
นี่พลอยแฟนผม
คำพูดนี้แหละที่ทำให้ฉันตกใจมาก ๆ ถึงมากที่สุด  ตัวชาหน้าชาทำอะไรไม่ถูก  เหมือนใครเอาน้ำเย็น ๆ มาสาดดังโครม!!!  ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ รู้สึกยิ่งกว่าอ้างว้างเสียอีก  บอยเธอมีคนอื่นแล้วเหรอ
กิ๊กเธอเป็นอะไรไปน่ะ  กิ๊ก
เอ่อเอ่อมะไม่เป็นไร
เ.ออผมไม่โกรธคุณหรอกนะ  ที่ผมมาวันนี้ผมไตร่ตรองดีแล้วละว่าผมจะพาพลอยมาฝากงานกับคุณ  เธอเก่งเรื่องการตกแต่งภาพ  รับรองว่าเธอจะทำให้บริษัทคุณไม่ผิดหวัง
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
เสียงนี้ยิ่งทำให้ฉันขมขื่นใจยิ่งนัก  ถ้าฉันไม่รับคนชื่อพลอยอะไรนี่เข้าทำงานก็จะกระไรอยู่  มันจะดูน่าเกลียดไปมั้ง  สิ่งนี้มันทำให้ฉันคิดหนักว่าฉันควรจะทำอย่างไรดี  ถ้าปฏิเสธความสัมพันธ์ของเรามันคงจะจบสิ้นตรงนี้แน่ ๆ ฉันจึงตัดสินใจรับเขาเข้ามา
เริ่มงานเลยละกัน
วันนี้เลยเหรอคะ  แล้วเรื่องเงินเดือนล่ะคะ
อย่าเพิ่งเร่งรัดสิคุณ  เดี๋ยวเจ้าของบริษัทก็ว่าเราไม่ดีหรอก
ฉันดูทั้งคู่มีความสุขดีนะ  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วในเมื่อเขามีความสุขเราก็ควรมีความสุขไปด้วยถึงจะถูกต้องเฮ้อชีวิตของฉัน  เฮ้อ  ฉันต้องถอนหายใจหลายครั้งทีเดียวแต่ฉันก็ยังคงยิ้มรับสู้ได้นะ  เพราะอย่างน้อย ๆ ฉันก็ได้รู้แล้วว่าการพูดดี ๆ มันทำให้มิตรภาพยั่งยืน  การที่เราใจกว้างมันทำให้ได้อะไรมาหลาย ๆ อย่าง  และการที่เรารู้จักคำว่าขอโทษมันคือแรงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เรากล้าที่จะเผชิญหน้าสู้กับเขาได้  นอกจากนั้นฉันก็รู้แล้วว่ารักคือการให้  รวมทั้งการให้อภัยในหลาย ๆ เรื่องด้วย  เมื่อเราเห็นเขามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย
บอย  เธอจะกลับมาหรือเปล่า  ฉัน
ฉันส่งใบลาออกคืนให้เขา
อย่าคิดมากนะกิ๊ก  วันนั้นผมหุนหันเกินไป  ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะ  ต่อไปนี้ผมจะทุ่มเทเพื่องาน  ผมจะตั้งตัวและเตรียมพร้อมที่จะแต่งงานให้เร็วที่สุด
ถึงแม้ว่าประโยคที่ฉันได้ยินมันจะทำให้ฉันรู้สึกใจหวิว ๆ ก็ตามแต่มันก็ทำให้ฉันเข้มแข็งมากขึ้น  ฉันยิ้มรับคำพูดของเขาและยิ้มรับความรู้สึกของฉันได้ฉันก็ดีใจที่สุดแล้ว				
3 สิงหาคม 2547 11:42 น.

ฉันมันโง่เอง... (ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

ตั้งแต่หมอนี่มาอยู่กับฉัน  ทำให้ฉันมีความสุขมาก  มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน  เราร่วมกันสร้างบริษัทให้โด่งดังได้และก็ตีขนาบกับบริษัทเดิมได้  ตอนนี้แม้แต่คุณหญิงระเบียบยังมาตัดชุดที่บริษัทเราเลย  ถึงแม้ว่าบริษัทเราจะเป็นบริษัทที่เล็ก ๆ ก็ตามแต่ฉันก็มั่นใจว่าจะไปรอด  และไปได้ด้วยดี  ลูกค้าของฉันหลายคนที่ยังติดใจในฝีมืออันปรานีตของฉันกับหมอนี่ก็ทยอยมาอุดหนุนบริษัททำให้บริษัทเดิมไม่พอใจใช้ยุทธวิธีเรียกร้องความสนใจโดยหานางแบบดัง ๆ มาแสดงโชว์ชุดที่ตัดเย็บแบบหรู ๆ เพื่อที่จะมาข่มกับเราแต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอก  จริง ๆ นะ
กิ๊ก  ผมติดต่อละครเรื่องหนึ่งได้    ผมว่าถ้าเราเป็นสปอนเซอร์ให้กับละครหลาย ๆ เรื่องรับรองว่าเราจะต้องดังกว่าบริษัทนั้นแน่ ๆ แล้วก็ถ้าเราเป็นสปอนเซอร์ให้กับนางแบบดัง ๆ ชุดของบริษัทเล็ก ๆ อย่างเราต้องขายดิบขายดีแน่ ๆ เลย
ฉันเห็นด้วยกับความคิดของหมอนี่ที่สุด  เมื่อเราลงมือทำร่วมกันแล้วผลปรากฏว่าเป็นที่พอใจแก่เราทุกฝ่ายมาก ๆ เพราะเราร่วมมือร่วมใจกันสร้างฝันให้เป็นจริงจนเรามีชื่อเสียงที่ดีกว่าเก่า  และเป็นที่ยอมรับแก่วงการอื่น ๆ ฉันจึงมีโบนัสพิเศษให้แก่พนักงานทุก ๆ คนด้วย
เมื่อบริษัทเราโด่งดังเพราะการสร้างสมความดีและการพัฒนาตนเองของบริษัทเราเป็นเวลา 5 ปีที่ผ่านมานี้ฉันจึงเริ่มขยายธุรกิจให้กว้างขึ้น  ตอนนี้ก็มีนางแบบเป็นของตัวเอง  มีสตูดิโอเป็นของตัวเอง  มีช่างแต่งหน้าทำผมที่ดีเข้ามาอยู่ภายในบริษัท  ทำให้บริษัทมีเงินหมุนเวียนเข้ามามากมาย  ฉันเริ่มใส่ใจกับตัวเองมากขึ้น  เริ่มแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดีกว่าเก่า  เป็นไฮโซที่มีชื่อเสียง  ออกงานสังคมมากขึ้น
กิ๊ก  งานการไม่ทำเหรอ  จะไปออกงานสังคมอีกเหรอ
อย่ามายุ่งกับฉันน่า  นายมีหน้าที่อะไรก็ทำ ๆ ไปเถอะ  นายเป็นแค่ลูกจ้างนะ
ฉันพูดแบบไม่คิดถึงจิตใจใคร  พูดโดยไม่รู้ว่าหมอนี่จะโกรธหรือไม่ทำให้หมอนี่เดินหนีฉันไป  ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่รู้ตัวว่าฉันผิดที่พูดอะไรแรง ๆ แบบนั้น  คงอาจเป็นเพราะ  supper - ego  มันคงเข้าคอบงำจิตใจของฉันทำให้ฉันไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์และยับยั้งช่างใจที่จะไม่พูดไม่ได้
ปึง!!
อะไรเหรอบอย
ผมขอลาออก
ทำไมล่ะ
ฉันจับมือหมอนี่เอาไว้  แต่เขาก็สลัดมือฉันออก
ต่อไปนี้ผมจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว  ผมรู้สึกผิดที่มาอยู่กับคุณที่บริษัทนี้  10 ปีที่ผมอดทนกับคุณแต่ผมไม่เคยได้รับคำพูดดี ๆ จากคุณเลย  ผมไม่ต้องการให้คุณมารักผมแต่ผมขอแค่คุณพูดดี ๆ กับผมเท่านั้นแต่คุณไม่เคยเลย  ไม่เคยเลยจริง ๆ
อย่าไปเลยนะ  บอย
ฉันตะโกนลั่นจนสุดเสียง  พนักงานทุกคนมองดูฉันอย่าสมเพช  ฉันเกลียดตัวเองจริง ๆ ที่เป็นคนแบบนี้  ฉันรู้สึกเสียใจบ้างแต่ก็ไม่เท่าไรนักเพราะฉันคิดว่าถึงไม่มีเขาฉันก็ทำงานสำเร็จได้ด้วยดีแน่นอน
5 เดือนผ่านไป
โอ๊ย!!!บ้าจริง ๆ เลย  ช่วงนี้เป็นอะไรนะ  ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเลยแม้แต่นิดเดียว  บอยฉันขอโทษ  ฉันเสียใจ
ฉันรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก  รู้สึกได้ตอนนี้นี่เองว่าเราได้สูญเสียคนดี ๆ คนนึงไป  ฉันรู้สึกแย่รู้สึกไม่ดีเลยจริง ๆ ฉันคิดว่าฉันจะต้องตามหาเขาให้ได้  ต้องพาเขากลับมา  มาอยู่ร่วมกันอีกครั้งเป็นทีมเดียวกัน  เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง
ตุ๊ด  ตูด ตุ๊ด  ตุ๊ด
ฉันกดโทรศัพท์หาหมอนี่จนมือแทบหงิกแต่สิ่งที่ฉันได้คือ
หมายเลยที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ
ฉันรู้สึกหมดหวัง  รู้สึกเศร้าใจเป็นที่สุด  ขณะนี้สภาวะการณ์ทางบริษัทเริ่มแย่ลง  พนักงานลาออกไปหลายคนเพราะการพูดการจาที่เลวร้ายของฉัน  ฉันรู้สึกหัวหมุน  รู้สึกเหมือนโดนทำร้ายจิตใจอย่างทารุณ
ฉันเพิ่งรู้สึกตัววันนี้นี่เองว่าการสูญเสียเป็นอย่างไร  ฉันคิดถึงบริษัทเก่า  คิดถึงเจ้านายเก่าที่พูดดี ๆ กับฉัน  และฉันก็คิดได้ว่าแค่เพียงคำพูดคำเดียวของอดีตเจ้านายทำให้ฉันต้องลาออกในวันนั้น  และเหตุการณ์นี้ก็อีกที่เป็นฉนวนทำให้หมอนี่ไปจากฉัน  มันทำให้ฉันคิดได้หลายเรื่องว่าฉันไม่เคยพูดดี ๆ กับหมอนี่เลย
ฉันเขียนบันทึกไว้เล่มหนึ่ง  ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเขาว่า
ฉันมีชีวิตที่สุขจนไม่รู้จะเรียกว่าสุขขนาดไหน  ฉันมีหมอนี่เป็นคู่คิดที่ดี  มีหมอนี่เป็นทีมงานที่เข้มแข็งเป็นแรงและกำลังใจให้ฉันเสมอมา  ฉันมีความสุขทุกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ จนกระทั่งฉันได้แยกตัวมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง  ก็มีเขานี่แหละที่คอยมาช่วยเหลือฉันจนได้ดิบได้ดีขนาดนี้  หมอนี่เป็นแรงผลักดันพิเศษให้ฉันในทุก ๆ เรื่อง  และฉันก็เริ่มเปลี่ยนจากคำว่าหมอนี่เป็นเขาโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยสักนิด
แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้สูญเสียผู้ชายดี ๆ คนนั้นไปแล้ว  ทีแรกฉันคิดว่าก็แค่อาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง  เคยคิดอยู่หลายครั้งหลายหนว่าเราต้องการให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิมดีหรือเปล่า  แต่บางทีเราก็ไม่ได้คิดเช่นนั้นกลับจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ  เฮ้อต้องถอนใจยาว ๆ อยู่หลายครั้งทีเดียว  ไม่ใช่เพราะดีใจหรอกนะแต่ฉันเกิดความสับสนในตัวของฉันเองมากกว่า  ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันต้องการอะไร  คิดยังไงกันแน่  มันสับสนจนปัญญาไปหมดแล้ว  รู้สึกเครียดและเบื่อหน่ายตัวเองเป็นที่สุด  ทำไมฉันมันถึงได้โง่เง่าขนาดนี้  ผู้ชายดี ๆ คนหนึ่งที่เราพึ่งพาเขามาโดยตลอด  เรากลับทอดทิ้งเขาไป  เอาแต่ความสุขส่วนตัว  คิดแต่เรื่องของตัวเองโดยไม่คิดถึงจิตใจของเขาเลยสักนิด  เราเราบ้าไปแล้วจริง ๆ หรือนี่				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา