4 สิงหาคม 2547 16:15 น.
สุชาดา โมรา
เวลาที่ผมเดินทางท่องเที่ยวไปในประเทศไทย เมื่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น เกาะสมุยหรือหัวหิน สังเกตว่ามีกลุ่มคนต่างชาติรวมตัวกันตั้งชมรมผู้รักสัตว์และคอย เป็นธุระช่วยเหลือสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาลสัตว์ที่เจ็บป่วยหรือทำการคุมกำเนิด เพื่อลดจำนวนประชากรของสุนัขจรจัดลง ในกรุงเทพมหานครเองก็มีหน่วยงานของรัฐที่ออกตระเวนจัดการคุมกำเ นิดสุนัขเช่นกัน
ดูเหมือนว่ากระแสรักสัตว์นั้น ฝรั่งเพิ่งจะมาตื่นตัวกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ทราบกันดีว่า เจ้าขุนมูลนายของฝรั่งสมัยก่อนนิยมการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ มีลูกสมุนลิ่วล้อทั้งคนและสุนัขล่าสัตว์ติดตามกันไป เป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร ในปราสาทราชวังของยุโรปนั้น มักจะมีห้องที่เป็นที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือของผู้ล่า โดยการติดหัวของสัตว์ต่างๆ ไว้เต็มผนังห้อง รวมไปถึงผืนหนังสัตว์บนพื้นด้วย พิธีการล่าสัตว์นั้นแทบจะถือเป็นวัฒนธรรมสำคัญเลยทีเดียว ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไป ถ้าผู้นำประเทศ (ฝรั่ง) ยังนิยมการล่าสัตว์อยู่ก็คงถูกประณามไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้...แต่ในทางกลับกัน ถ้าผู้นำมีบัญชาให้กองทัพไปเข่นฆ่าชาวบ้านชาวเมืองอื่นๆ ดูเหมือนผู้คนในประเทศนั้นจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ...*
ลมหนาวต้นเดือนมกราฯ หอบเอาไอเย็นมาปะทะผิวหน้าให้พอรู้สึกเย็นสบาย ขณะที่อุสราพับหน้านิตยสารปิดลงตามเดิม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ หล่อนทอดสายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย สีเขียวเข้มของแมกไม้ในสวนหลังบ้านให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่ างประหลาด เหมือนกับว่ามันได้แผ่เอารังสีแห่งความสุขุมชุ่มชื้นของธรรมชาต ิ เจือจานไปยังทุกสรรพชีวิตที่อยู่รอบข้าง คืนชีวิต คืนลมหายใจ คืนสติปัญญาหล่อนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คลื่นความคิดนับร้อยพันที่ถาโถมราวพายุบ้าคลั่งอยู่ในหัวของหล่ อนเมื่อครู่นี้ ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
...อเมริกา - อิรัก - ปาเลสไตน์ - ยิว - ระเบิด - สงคราม - เด็ก - ศาสนา - ผู้หญิง - การเมือง - ความโหดร้ายทารุณ - สหประชาชาติ - ผลประโยชน์ - ถูกผิดจริงลวง - จริยธรรม - มนุษยธรรม - การเข่นฆ่า - มหาอำนาจ - ข่าว - ผู้ก่อการร้าย - ความน่าเชื่อถือ - การกดขี่ - ความโลภ - เหยื่อ - ผู้บริสุทธิ์ - ความไม่เดียงสา - มนุษย์...
ถึงตอนนี้สมาธิของหล่อนกลับมาจดจ้องอยู่ที่คำๆ เดียว ความเคยชิน
อุสรายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบนิดหนึ่งแล้วคว้าบุหรี่รสเมนทอลที่วางอย ู่ข้างกายขึ้นจุดสูบ ในคำแรกอัดเข้าไปลึกและนาน ก่อนระบายออกมาเป็นทางยาวสีขาวขุ่น ตัดกับความมันปลาบสีเขียวเข้มของใบไม้เบื้องหน้า ติดหรือไม่ติด...หล่อนไม่รู้และไม่ได้สนใจที่จะคิดหาคำตอบ รู้แต่ว่าพอใจที่จะสูบตราบเท่าที่มันไม่ได้สร้างความรำคาญให้กั บใคร เหมือนๆ กับที่หล่อนพอใจที่จะตื่นแต่เช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างเช่นว ันนี้ แทนการนอนตื่นสายๆ สักเที่ยงหรือบ่าย ให้เต็มอิ่มและสาสมกับที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์อย่างที่ผู้ คนมากมายเขาทำกัน จะมียกเว้นอยู่บ้างก็เพียงแต่วันหลังค่ำคืนที่หล่อนออกไปพบปะสั งสรรค์กับเพื่อนเก่าบ้างในบางครั้ง ซึ่งนานๆ ทีจะมีสักหน นอกนั้นแล้วหล่อนถือเป็นวัตรปฏิบัติที่ต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี
ตื่นแต่เช้าราวหกโมง เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนเดินไปกดปุ่มต้มน้ำร้อนชงกาแฟ เดินไปหน้าบ้านหยิบหนังสือพิมพ์รายวันที่บอกรับเป็นสมาชิกอยู่ส องฉบับ ซึ่งคนส่งหนังสือพิมพ์เสียบไว้ที่ประตูรั้วกลับเข้ามา ลงมือชงกาแฟ เสร็จแล้วหนีบหนังสือพิมพ์กับอย่างอื่นที่อยู่ในความสนใจอีกสอง สามเล่ม พร้อมบุหรี่ติดมือไปซองหนึ่ง มุ่งตรงไปยังสวนหลังบ้าน ขังตัวเองอยู่ที่นั่นอย่างน้อยครั้งละหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป
สวนหลังบ้านขนาดไม่เกินสามสิบตารางเมตร ประกอบด้วยพืชทั้งไม้ยืนต้นและล้มลุก ทั้งไม้ดอกและไม้ใบ คละเคล้ากันไปหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งหมดถูกจัดวางซ้อนทับกันไปมา ระโยงระยางจนดูรกครึ้ม เหมือนจะไร้ระเบียบหากแต่เป็นความตั้งใจ ทั้งเฟิร์นข้าหลวงกอใหญ่ เฮลิโคเนีย เบิร์ดออฟพาราไดซ์ แว่นแก้ว โมก ดอกแก้ว จำปี จำปา กระดังงา ลั่นทม ไปจนถึงไม้เล็กๆ อย่างเดปกระดุมหรือหางกระรอกแคระ บริเวณสวนถูกประดับประดาไปด้วยวัตถุโบราณ ทั้งที่เก่าจริงและที่ทำให้ดูเหมือนเก่าตามแต่ที่หล่อนจะจัดหาม าได้ เมื่อทั้งหมดมาอยู่รวมกันในพื้นที่ที่จำกัด มันจึงดูคล้ายผืนป่าน้อยๆ สำหรับหล่อนแล้วมันเปรียบเสมือนโลกส่วนตัวใบย่อม มันคือความลงตัวระหว่าง Time และ Space ที่พอเหมาะพอเจาะ
เช้าวันเสาร์ ทุกคนในบ้านยังคงหลับใหลซุกกายอยู่ใต้ผ้านวมผืนอุ่น ต่างคร้านที่จะลุกจากเตียงนอน บางคนอาจกำลังฝันดี คงมีก็แต่เพียงหล่อนเท่านั้นที่ตื่นแต่เช้า นั่งอยู่คนเดียวในความเงียบ มองดูดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยตัวโผล่พ้นจากขอบฟ้าทิศตะวันออก ฟังสรรพสำเนียงของธรรมชาติรอบตัว เสียงนกร้อง เสียงลมอ่อนๆ โชยมาปะทะใบไม้กรูเกรียว...ความง่ายงามตามวิถีธรรมชาติ บางครั้งหล่อนนั่งหลับตาฟังเสียงนกร้องอยู่นิ่งนาน ไม่ต่างไปจากรถยนต์จอดนิ่งสนิทยามหยุดเติมน้ำมัน วิถีชีวิตในเมืองใหญ่ - ความเร่งรีบ - การแก่งแย่งแข่งขัน บางครั้งก็ทำให้เราหลงลืมความงดงามเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย
หลังดูดซับเอาพลังจากธรรมชาติจนพอเพียงแล้ว อุสราจะกางหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารออกอ่านอย่างละเอียดมากกว่าป กติ เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมืองและแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งในวันธรรมดา หล่อนมักไม่ค่อยมีเวลาให้กับกิจกรรมนี้มากเท่าใดนัก นาทีนั้นคล้ายกับว่าหล่อนได้กระโจนลงสู่ทะเลแห่งความคิด หลุดเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการอันไร้ขอบเขต ตัวตนของหล่อนค่อยๆ อันตรธานไปทีละนิด กลายเป็นเพียงคลื่นความคิดไหลรวมไปสู่ทะเลแห่งจินตนาการ เมื่อสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย สมาธิก่อเกิด Time และ Space มาบรรจบกันตรงจุดตัดที่ลงตัว โลกใบเล็กที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ จึงถือกำเนิด เหมือนอย่างที่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักเขียนคนโปรดของหล่อนเคยว่าไว้...หนังสือดีกับผู้อ่านที่ดื่มด่ำกับมัน มักหลอมรวมเป็นโลกอิสระใบเล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่ที่ว่างสำหรับแมลงสักหนึ่งตัว...
เมื่ออ่านหนังสือเสร็จ หล่อนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนไปทำอย่างอื่นคุยกับตัวเอง ขบคิดใคร่ครวญถึงประเด็นต่างๆ ที่อ่านเจอมา วิเคราะห์หาเหตุผลหักล้างกันเอง เพื่อสรุปเป็นแนวคิดอย่างคร่าวๆ ซึ่งสะท้อนไปสู่จุดยืนทางความคิดและท่าทีที่หล่อนมีต่อสิ่งเร้า ต่างๆ รอบตัว รวมถึงการทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่หล่อนได้คิด พูด และกระทำในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ครอบคลุมในทุกมิติทั้งการงาน ความรัก ชีวิตครอบครัว เพื่อนฝูงและสังคมรอบข้าง มันจึงเป็นชั่วโมงแห่งการพิพากษา - รับผิด ชั่วโมงแห่งการขัดเกลาความเป็นปัจเจก ชั่วโมงที่หล่อนได้คุยกับตัวเองอย่างแท้จริง
4 สิงหาคม 2547 16:13 น.
สุชาดา โมรา
เอาเลยสิ ! ข้าขอร้อง ข้าปรารถนามันมานานแล้ว ข้าขอร้อง ทำไมล่ะ...ทำไมท่านถึงไม่ยอมสนองตอบคำวิงวอนจากข้า กับผู้ที่ไม่เคยปรารถนาท่านกลับหยิบยื่นให้ ทั้งที่พวกเขายังอาวรณ์กับชีวิต แต่กับผู้ที่ต้องการจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากขื่อคาพันธน าการแห่งชีวิตอย่างข้า ผู้ที่ไม่เคยแยแสในคุณค่าของลมหายใจ ท่านกลับเหนี่ยวรั้งเอาไว้เพื่อสิ่งใดกัน !
ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่...ความเจ็บปวดทุกความเจ็บปวดที่ข้ าจ่ายไปยังไม่สาแก่ใจท่านอีกหรือ เจตจำนงที่แท้จริงของท่านคือสิ่งใด ไยจึงต้องกระทำต่อข้าเยี่ยงนี้ ได้โปรดเถอะ...ข้าขอร้อง ข้าขอคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าท่าน ข้าขอวิงวอนต่อท่าน ได้โปรดรับฟังเสียงกู่ตะโกนอันเงียบสนิทนี้ด้วยเถิด ข้าจะไม่แข็งขืน ข้าจะไม่ต่อสู้ ข้าจะไม่ดิ้นรนแสวงหาสัจจะอีกต่อไปแล้ว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน
หลังจากการเดินทางตรากตรำทางจิตวิญญาณอันยาวนาน คมดาบแห่งกาลเวลาทิ่มแทงข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเหมือนหลับตาเดินไปในความมืด บุกฝ่าดงหนามอันแหลมคมแห่งการแสวงหา มันเกี่ยวบาดข้าครั้งแล้วครั้งเล่า มันทิ่มแทงผิวกายข้าลึกไปถึงในกระดูก...เจ็บปวดเหลือเกิน เลือดข้าหลั่งริน ข้ากระหาย ไร้ทางเลือกใด นอกจากก้มลงไปดื่มกินหยาดโลหิตของข้าเอง เค็มคาวฝาดเฝื่อน ข้าสำรอกเลือดชั่วของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ข้ากระหน่ำฟันจอบลงไปในใจ ข้าขุด ข้าคุ้ยจิตใต้สำนึกของข้า ข้าต้องการเห็นข้าในมุมมืด ข้าปรารถนาจะกระชากหน้ากากของมันออกมา ข้าอยากจะเอาชนะความต้องการของตัวเอง เอาชนะข้อจำกัดของตนเอง ข้าต้องการอยู่เหนือกฎแห่งสัญชาตญาณดิบทุกข้อ แต่แรงกายแรงใจและความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทลงไปช่างดูไร้ค่า. ..ข้าเห็นตัวเองเป็นเพียงหอยทากที่กำลังคืบคลานไปบนใบมีดโกนอย่ างเชื่องช้า ค่อยๆ ฝังเนื้อของตัวเองเข้าไปในคมมีดอย่างไม่มีทางเลือก เพียงเพื่อจะพบกับความทุกข์ทรมานอันไม่มีที่สิ้นสุด ท้ายแล้วสิ่งที่ข้าได้กลับคืนมาในทุกครั้งก็คือความว่างเปล่าอั นไร้สาระไร้แก่นสาร
ข้าหมดเรี่ยวแรงและกำลังใจที่จะเดินทางเพื่อแสวงหาอีกต่อไป วัยหนุ่มอันร้อนแรงของข้าปรารถนาจะหลุดพ้น แต่จิตวิญญาณชราของข้าล้าเกินกว่าจะทำอะไรได้ สัจจะช่างแห้งแล้งดั่งทะเลทราย ข้าสงสัยนักว่าท่านให้เจตจำนงเสรีแก่ข้ามาทำไม หรือข้าเป็นเพียงสายพันธุ์ที่ถูกสาป ทำไมท่านถึงได้จงเกลียดจงชังพวกข้านัก จึงปล่อยให้พวกข้าทนทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยว เคว้งคว้าง ไร้ที่พึ่งใด ท่านสาปให้พวกข้าเป็นสายพันธุ์เดียวที่กระดูกสันหลังตั้งฉากกับ พื้นโลก ท่านสาปให้พวกข้ามีมันสมองที่ใหญ่ที่สุด แต่กลับโง่ ท่านให้ข้าตื่นในขณะที่ข้ายังหลับ ท่านให้ตาที่สามแก่พวกข้า แต่กลับแกล้งปิดมันไว้ ท่านขังข้าไว้ในคุกของความคิด คุกที่อับชื้น มืดสนิทและไร้ทางออก ท่านสนุกนักหรือไงกับการนั่งมองพวกข้าพายเรืออยู่ในอ่าง...
ท่านเป็นโรคจิตหรือไงถึงได้มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น !
ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ข้าไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ข้าไม่รู้ว่าท่านมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ข้ารู้แต่ว่าข้าไม่ชอบขี้หน้าท่าน ! ข้ารู้แต่ว่าข้าเกลียดท่านยิ่งนัก ! ท่านมันไอ้โรคจิต ! ข้าเกลียดท่าน ! อย่าให้ข้าได้เจอ ถ้าข้ามีโอกาส ข้าสาบานว่าข้าจะฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง !
ข้าจะปลดปล่อยมวลมนุษยชาติให้เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง ข้าจะใช้อำนาจของท่านเปิดดวงตาแห่งปัญญาให้กับพวกเขา ให้พวกเขายุติการดิ้นรนไขว่คว้าทั้งปวง ให้พวกเขารู้ว่าชีวิตนั้นแสนสั้นนัก...เกินกว่าที่จะเกลียดกันต ลอดไป ให้พวกเขาเลิกทำร้ายกันด้วยความไม่รู้ เลิกเอารัดเอาเปรียบกัน ให้พวกเขารักกัน
แล้วข้าจะฆ่าท่าน ! ฆ่าท่านให้ตายอย่างช้าๆ ให้ทุกข์ทรมานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะแปรเปลี่ยนความเกลียดทั้งปวงในใจให้เป็นพลังเพื่อสยบท่าน ! เพื่อทรมานท่าน ! ให้มันสาสมกับที่ท่านกระทำกับพวกข้าไว้ ข้าจะใช้ขวากหนามแห่งการแสวงหาพันธนาการท่านไว้ ข้าจะใช้ดาบแห่งกาลเวลาค่อยๆ แล่เนื้อเถือหนังท่านทีละนิด แล้วกระหน่ำแทงท่านสักร้อยครั้งพันครั้ง ! ข้าจะใช้มืออันต่ำต้อยของข้า ควักหัวใจท่านออกมาดู ข้าอยากจะรู้นักว่ามันทำด้วยอะไร ข้าจะบั่นคอท่านต่อหน้าชนทั้งปวง แล้วเอาเลือดของท่านมาใช้ล้างตีนให้มันสาแก่ใจ !
แต่ไม่นะไม่ไม่ใช่ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าขอโทษ ข้าไปไกลเกินไป ข้าขออภัย ข้าไม่ได้หมายความอย่างที่ข้าคิดได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยข้ายอมแล้ว ข้าขอหมอบศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่าน ข้าขออภัยที่ความเขลาทำให้ข้าเคยแหงนหน้ามองฟ้าแล้วตะโกนด่าท่า น ข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถปิดบังท่านได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ข้าจะไม่แข็งขืนกับท่านอีกต่อไปแล้ว ข้าจะหมอบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่านตลอดไป
แต่แต่ข้ายังสงสัยยิ่งนัก ข้าสงสัยว่าท่านให้มันสมองที่ใหญ่โตแก่พวกข้ามาทำไม ถ้ามันไม่ได้ทำให้พวกข้าแตกต่างไปจากสัตว์ ข้าเห็นคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะใช้มันนัก ข้าเคยดูถูกผู้คนที่ไม่สนใจแสวงหาสัจจะ พวกที่มีลักษณะประนีประนอมในทุกสิ่ง พวกที่สนใจแต่ในเรื่องของวัตถุ ข้าปฏิเสธทุกสิ่ง ข้าหันหลังให้กับพวกเขาแล้วเริ่มเดินทางแสวงหาสัจจะ... จนถึงวันนี้ ข้าถึงได้เข้าใจว่าในอีกนัยหนึ่งแล้ว พวกเขาก็เหมือนผู้บรรลุแล้ว...ที่หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกของผัสสะ เพราะในอีกด้านหนึ่งที่ปวงปราชญ์แสวงหา...ก็เจอแต่ความว่างเปล่ า หรือว่าสมองเป็นเพียงอวัยวะที่ถูกสาปมาให้คู่กับมนุษย์จริงๆ เช่นเดียวกับความว่างเปล่าและเสรีภาพ
โอ...ได้โปรดเถอะ ข้ายอมแล้ว ข้าขอยอมแพ้แก่ท่าน ข้าขอหมอบศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่าน ข้าขอกราบกรานต่อท่าน ได้โปรดเถอะ...ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน ได้โปรดเอามันออกไปจากหัวของข้า ข้าต้องการที่จะยุติการเดินทางอันยาวนานในหัวสมองเสียที มันช่างทรมานเหลือเกิน...ได้โปรดเถอะ ข้ายอมแล้ว ข้าขอหมอบศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าตีนของท่าน ได้โปรดหยิบยื่นมันให้กับข้าด้วยเถิด...ความตายอันแสนสุข...ข้า ปรารถนามันยิ่งนัก ได้โปรดเถอะ...ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ งับหัวแม่ตีนของท่าน !
4 สิงหาคม 2547 15:45 น.
สุชาดา โมรา
หนูนารินทร์เป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน เธอค่อนข้างจะแสนงอน ขี้น้อยใจอยู่เสมอ เวลาที่มีคนมาพูดจาแหย่เธอจนเธอไม่ค่อยพอใจเธอก็จะเดินหนีไปโดยที่ไม่สนใจว่าใครคนนั้นจะพูดหรือนินทาอะไรเธอ
หนูนารินทร์เรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอเป็นคนเรียนดี ขยันเป้นที่พึ่งพาของเพื่อน ๆ อยู่เสมอ เธอทั้งอ่อนหวานและน่ารักจนเป็นที่หมายตาของใครหลาย ๆ คนทั้ง ๆ ที่เธอไม่ใช่คนสวย แต่อาจจะเป็นเพราะความอัธยาศัยดีของเธอก็ได้ถึงทำให้เธอมีคนเข้ามารุมล้อมเธออยู่เสมอ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจผู้ชายเหล่านั้นเลย
วันนี้หนูนารินทร์ไม่มีเรียนเธอจึงเข้าไปห้องคอมพิวเตอร์ของคณะเพื่อที่จะเซริ์ทหาข้อมูลที่จะมาทำรายงาน
"ส้ม...รายงานวิชาภาษาศาสตร์เธอทำเสร็จหรือยัง"
"ยัง...เออหนูนาฉันฝากเล่นแชทแทนฉันหน่อยนะ.."
"แล้วเธอจะไปไหนล่ะ..."
"ห้องน้ำปวดท้องน่ะ"
ส้มพูดกระซิบเบา ๆ แล้วก็เดินออกไป หนูนารินทร์จึงมาเล่นแชทแทนส้ม พอแชทไปนาน ๆ ก็เกิดติดลม
"หนูนา...เป็นไงได้เบอร์โทรต่อหรือยัง"
"ยัง...แต่ฉันไม่ได้เล่นกับต่อหรอกเพราะต่อไปเรียนแล้ว"
"ว้า....!!!"
หนูนารินทร์ กลับมานั่งที่เครื่องของตัวเองแล้วก็เล่นแชทจนลืมเวลาพักเที่ยง ทุกคนออกจากห้อมคอมฯ กันไปหมดเหลือเพียงส้มกับหนูนารินทร์
หนูนารินทร์เล่นแชทกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อต้นกล้า เธอแลกเบอร์โทรกันจนวันหนึ่งต้นกล้าโทรมา
"ฮัลโหล หนูนาเหรอ นี่ต้นกล้านะจำได้ไหมเด็กอาชีวะไง"
"ต้นกล้าไหน...ไม่รู้จัก"
"ก็คนที่เล่นแชทกับเธอเมื่อวันก่อนไง จำได้ไหม"
"อ๋อ..."
ต้นกล้าโทรมาทุกวันทำให้หนูนารินทร์มีความรู้สึกว่าต้นกล้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว เกิดเป็นความผูกพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ถ้าวันไหนต้นกล้าไม่ได้โทรมา หนูนารินทร์ก็เหมือนจะร้องไห้เพราะคนเคยโทรคุยกันอยู่ทุกวัน
"ฮัลโหล ต้นกล้าเหรอเป็นอะไรไปหรือเปล่าหนูนาเป้นห่วง"
"เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไรคือไม่มีตังค์เลยไม่ได้โทรไป"
"อ๋อ..."
ทั้งคู่คุยกันทุกวัน เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ๆ ที่ทั้งคู่คบกันผ่านโทรศัพท์โดยไม่ได้เจอหน้ากันเลย
"ฮัลโหล หนูนาเหรอวันไหนว่างบ้างไปดูหนังกันไหม"
"จริงเหรอ...ไปสิ แต่เราจะเจอต้นได้ยังไงกัน"
"ไปเจอกันที่ธนาสาขาท่าพระจันทร์ หนูนาไปได้หรือเปล่า"
"ได้สิ...งั้นวันเสาร์นี้ไปเจอกันที่หน้าธนานะ หนังรอบเช้านะ หนูนาอยากดูเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ต้นกล้าชอบเรื่องนี้หรือเปล่าล่ะ"
"หนูนาอยากดูอะไร ต้นกล้าดูได้ทั้งนั้นแหละ"
ต้นกล้ามาตรงต่อเวลาทำให้หนูนาชื่นชอบในตัวต้นกล้ามาก...ทุก ๆ ครั้งที่นัดเจอกันต้นกล้าก็จะมาก่อนเวลาเสมอ ๆ
4 สิงหาคม 2547 15:42 น.
สุชาดา โมรา
ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส วันนี้มีเรียนประวัติศาสตร์โลก ฉันมีความรู้สึกว่าวิชานี้ฉันถนัดมากทีเดียว ฉันเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจจนถึงเวลาพักเที่ยง ฉันเดินลงมาจากตึกด้วยความหิว แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นโรงยิมส์ ที่หน้าโรงยิมส์มีการเปิดรับสมัครคนเข้าชมรมยูโด ฉันจึงตรงเข้าไปทันที โรงยิมส์กว้างมากมีทั้งสนามบาส สนามตะกร้อ และเบาะซ้อมเล่นยิมส์ฯ ฉันตรงเข้าไปมุมสุดของห้องแล้วก็เข้าไปสมัครทันที
"มาสมัครเข้าชมรมยูโดค่ะ"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
"หน้าอย่างนี้เหรอจะมาเล่นยูโด พี่ว่าน้องไปเรียนอย่างอื่นที่มันเรียบร้อยเหมาะกับหน้าหวาน ๆ ดีกว่ามั้ง"
"แล้วหน้าอย่างนี้เล่นยูโดไม่ได้หรือไง"
"ได้จ่ะได้...แค่นี้ก็ต้องดุกันด้วย"
ฉันกรอกใบสมัครแล้วพี่เขาก็เดินไปหยิบแฟ้มเล่มหนึ่งมา
"เอ....พี่ว่าชื่อน้องมันคุ้น ๆ นะ...นี่ไง นางสาวรุ้งรัตน์ รินทรา น้องเป็นนักกีฬาอาเซียนเชียวเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าหน้าตาจะหวานแบบนี้ พี่นึกว่าจะเป็นเด็กสาวที่เป็นทอมซะอีก ถามจริง ๆ เถอะน้องไปเอาชื่อใครมาอ้างหรือเปล่า"
พี่คนนี้พูดอย่างกับไม่เชื่อว่านี่เป็นฉัน ฉันจึงหยิบบัตรประชาชน บัตรนักกีฬาอีกหลายใบและบัตรโค้สฝึกซ้อมกีฬาของจังหวัดที่ฉันอยู่ออกมาให้ดูพี่เขาจึงทำหน้าแบบเชื่อถือ
"เอ่อ...แล้วน้องที่มาด้วยจะลงสมัครหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ...คือฉันจะไปสมัครวาดรูปค่ะ"
วีตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ฉันกับวีคุยกับพี่คนนี้อยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าพี่เขาชื่อเชิดอยู่พละศึกษาเป็นประธานชมรมที่นี่ จากนั้นฉันก็ออกมากินข้าว ก่อนออกมาฉันเหลือบไปเห็นชายสามคนเล่นบาสอยู่...นั่นมันพี่เบนซ์นี่ ดูพี่เขาเท่ห์จังเลยดั๊งก็สวยดูดีไปซะหมด แต่พอฉันเห็นหน้านายเอิร์ทฉันถึงกลับหุบยิ้มทันที ฉันรู้สึกแย่มากที่เจอนายคนนี้ ส่วนวีวิ่งเข้าไปหาพี่ชายของเขาที่เล่นบาสอยู่ นายเอิร์ทเดินเข้ามาทำท่ากวน ๆ ใส่ฉัน ฉันจึงมองด้วยสีหน้ากวน ๆ ใส่บ้าง
"มาดูพี่เหรอน้อง...เมื่อคืนทำแสบนะเย็นนี้หมายสภาจะมาถึงระวังตัวให้ดี ๆ เถอะ"
"มาเลย ฉันไม่กลัว ถ้าอยากมีเรื่องกับฉันก็เชิญไปหาอธิการบดีไป..."
"เก่งขนาดนั้นเลยไง๊...!!!"
ฉันจ้องหน้าด้วยความโมโหจนพี่เบนซ์เดินมาทางฉัน
"ว่าไงสาวน้อย คิดยังไงมาถึงนี่เชียว"
"นี่นายรู้จักยายหัวดื้อคนนี้ด้วยเหรอ"
"นี่รุ้งน้องสาวเราเอง ทำไมเหรอ..."
พี่เบนซ์ถึงกับยกระดับฉันให้เป็นน้อง ฉันรู้สึกตัวลอยบอกไม่ถูก
"คือรุ้งมาสมัครชมรมยูโดค่ะ"
"สวย ๆ แบบนี้เดี๋ยวกระดูกหักไปจะหาคนควงไม่ได้นะ เดี๋ยวก็เป็นง่อย 5555 พี่ว่ามาเล่นบาสกับพี่ดีไหมพี่จะสอนให้ตัวต่อตัวเลย" นายเอิร์ทพูดขึ้น
ฉันถึงกับฉุนจ้องหน้านายคนนี้ด้วยสายตาที่อาฆาตทีเดียว
"อุ๊ย ๆ น่ากลัวจังเลย...ยิ่งทำหน้าแบบนี้พี่ยิ่งคิดว่าน้องให้ท่านะ"
"นายเอิร์ท...!!!ไปตายซะไป๊..."
ฉันพูดเสียงเขียว ฉันรู้สึกเกลียดนายคนนี้จริง ๆ ทำไมฉันถึงซวยอะไรแบบนี้นะ ต้องมาเจอหน้าคนที่กวนอารมณ์อยู่เรื่อย ๆ นี่มันน่าปวดหัวจริง ๆ
"เออ..มาคุยกับพี่ตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวนายเอิร์ทก็กัดเอาอีก"
พี่เบนซ์เดินพาฉันมานั่งคุยที่อัฒจันทร์ เรานั่งคุยกันอยู่นานจนฉันรู้สึกท้องร้องพี่เบนซ์ก็เลยพาไปกินข้าวที่ร้านเดิม คราวนี้พี่เบนซ์ พี่วิทย์ ฉันและวีไปกันหมด แต่คนที่ฉันไม่อยากให้ร่วมโต๊ะเลยคือนายเอิร์ท ขานี้กวนโมโหอยู่เรื่อยเลย
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าหุ่นบอบบางอย่างรุ้งจะห้าวคิดที่จะเล่นยูโดเนาะ เอ...พี่ว่าชื่อของรุ้งมันคุ้น ๆ อยู่นะเหมือนพี่เคยเห็นหรือได้ยินที่ไหนเลย...รุ้ง รุ้งเป็นคน ๆ เดียวกับที่เขาเรียกตัวมาให้เรียนที่นี่หรือเปล่า ใช่คนที่อธิการบดีบอกว่าจะต้องให้มาเรียนที่นี่ให้ได้น่ะ...ใช่ไหม"
ทุกคนที่โต๊ะถึงกับเงียบกันหมด ฉันยิ้มแล้วก็ค่อย ๆ เอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแฟ้มงานช้า ๆ แล้วก็ยื่นให้พี่เบนซ์ดู พี่เบนซ์ถึงกับตกใจทีเดียว
"ใช่จริง ๆ ด้วย...!!!!"
"ไหน ๆ ขอดูหน่อย"
ทั้งสามคนผลัดกันดูหมายเรียกตัวแผ่นนั้น ฉันนั่งกินต่อเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ถึงว่าเธอถึงได้ไม่กลัวใคร ที่แท้ก็มีอธิการบดีหนุนหลังเพื่อที่จะดึงตัวมาแข่งกีฬาและฝึกซ้อมนักกีฬานี่เอง เธอนี่มันสุดยอดจริง ๆ"
นายเอิร์ทถึงกับออกปากชมฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้หวั่นไหวในคำยอของนายคนนี้หรอกเพราะฉันรู้สึกเกลียดขี้หน้านายคนนี้เข้ากระดูกดำทีเดียว ส่วนพี่วิทย์นั้นฉันรู้สึกเฉย ๆ เพราะพี่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ฉันไม่พอใจ พี่เขาเป็นคนนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดแต่เล่นกีฬาเก่ง บริหารเก่งก็เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่วีก็เชียรให้ฉันคบกับพี่วิทย์แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเพราะฉันรู้สึกว่าใจฉันทุ่มเทให้พี่เบนซ์ไปแล้ว ฉันเดินกลับหอด้วยความสบายใจ บ่ายนี้ไม่มีเรียนฉันจึงมานอนที่หอสักพักหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ฉันแต่งตัวแล้วก็ออกไปเดินเล่นที่ข้างล่างหอ ฉันเห็นนายเอิร์ทมาพร้อมกับคนหลายคน ดูท่าทางเหมือนกับจะมาหาเรื่องฉัน
"นายมาทำอะไรที่หน้าหอหญิงเนี่ย"
"ผมพาเด็กพวกนี้มาเป็นลูกศิษย์คุณไง..."
"ไม่ต้องมาทำปากดีกับฉันเลย ไหนบอกว่าจะเอาฉันไปว๊ากในสภาไง...ทำไมเย็นนี้มาแปลกพาพวกมา ฉันว่านายไปหาคนอื่นสอนให้ดีกว่าไหม..."
ฉันตอบด้วยสีหน้าที่กวน ๆ เพราะฉันไม่ชอบนายคนนี้เอามาก แต่นายคนนี้ก็ไม่ลดละยังคงอ้อนวอนให้ฉันรับพวกนี้เป็นศิษย์ราวกับคนบ้า และถึงกับบังคับให้คนพวกนี้คุกเข่าทีเดียว สงสัยจะดูหนังจีนเพ้อเจ้อ...ฉันนึกขำอยู่ในใจแล้วก็เดินไปซื้อขนมมากิน ฉันกลับมาคนพวกนี้ก็ยังไม่ยอมไป ฉันมองจนเดินขึ้นตึกไป
"รุ้ง...ไม่สงสารเขาเหรอ"
"ช่างเถอะ ไปอ่านหนังสือดีกว่า...เสียเวลา..."
ซ่า........
ฝนตกแรงขึ้น ๆ ฉันก้มลงไปมองข้างล่างตึก ฉันเห็นคนพวกนั้นยังนั่งอยู่ ฉันจึงตะโกนลงไป
"นี่จะพาคนอื่นมาตายเหรอ....!!! กลับหอไปได้แล้วเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก..."
"ไม่...จนกว่าจะรับพวกนี้เป็นศิษย์"
"งั้นก็ตามใจ...."
ฉันตะโกนลั่นสุดเสียง จึงทำให้คนพวกนั้นวิ่งไปหมดจนเหลือนายเอิร์ท ผู้ชายอีกคนและพี่ทอมคนนั้น ฉันสงสารเลยเดินลงมาเอาร่มให้ 3 คันพร้อมกับผ้าเช็ดตัว
"อ่ะ...เดี๋ยวก็ป่วยหรอก จะบ้าหรือไง..."
"เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป...!!!!...สรุปว่าจะรับพวกเราเป็นศิษย์หรือเปล่า ไม่งั้นไม่ไปนะ"
"เออ...!!!"
ฉันตอบอย่างกระแทกเสียงแล้วก็เดินขึ้นตึกไป ส่วนพี่ทอมวิ่งตามฉันมา
"พี่ก็ไปนอนได้แล้ว เสียเวลาอ่านหนังสือหมด"
"พรุ่งนี้สอนเลยนะ นะ นะ"
พี่ทอมคนนั้นเร่งเร้าจนฉันรีบเข้าห้องและปิดประตูทันทีเพราะกลัวว่าพี่คนนี้จะเข้ามาในห้อง วันนี้ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันเหมือนกับความฝัน ฉันไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยจริง ๆ
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...รับรองว่าเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ
4 สิงหาคม 2547 15:34 น.
สุชาดา โมรา
แม่จ๋าวันนี้วันแข่งแล้วหนูกลัวจริง ๆ คนที่นี่เป็นคนพื้นถิ่นทั้งนั้นหนูจะสู้ไหวไหมคะแม่...แต่ยังไง ๆ ก็จะสู้เพื่อแม่และเพื่อประเทศของเรา...แม่คะพ่อคะหนูขออธิษฐานให้แม่ส่งใจมาเชียรหนูหน่อยนะคะ หนูต้องการความหวังและกำลังใจจากแม่มากเลยค่ะ
ไม่รู้ว่าจะอีกกี่คู่กันที่ฉันต้องแข่ง แต่รู้สึกว่าผู้คนมากมายทีเดียว ไม่รู้ว่าหลั่งไหลมาจากที่ไหนกัน แต่ที่รู้ ๆ คือหัวใจฉันเต้นแรงและรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ ยังไงไม่รู้ ร่างกายฉันมันเริ่มต่อต้านการแข่งขันครั้งนี้เสียแล้ว ขามันเริ่มสั่นจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกทีเดียว ฉันชั่งน้ำหนักแล้วก็ไปฟิตร่างกาย ฉันจับคู่ซ้อมกับพี่ตุ๊กแล้วก็ไปจุดธูปขอพรต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยจิตใจที่เต้น ตุ๊บตั้มตุ่มต่อมแต่พอปักธูปแล้วก็โล่งใจ รู้สึกว่ากำลังใจดีมากทีเดียว แต่ผู้คนก็มามองดูพวกเราเหมือนกันที่นั่งไหว้รูป พวกเขาคงไม่รู้ว่ารูปของกษัตริย์ไทยนี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาก็เลยมองด้วยความประหลาดใจ...ก็น่าขำเหมือนกันนะแต่ก็อย่างว่าเรามันคนแปลกที่มาทำอะไรแบบนี้เขาก็ต้องมองเป็นตัวตลกนั่นแหละ
ตอนนี้ฉันต้องแข่งเสียแล้ว อาจารย์เรียกฉันไป ฉันไปรายงานตัวกับกรรมการและขึ้นสังเวียนทันที ฉันเดินขึ้นมาบนเบาะและยืนที่ข้างหลังเส้น คำนับและเดินข้ามเส้นไป
"ฮาจิเมะ...!!"
ฉันเดินเข้าไปกระชากคอเสื้ออย่างรวดเร็ว และจับทุ่มทันทีด้วยท่าฮิปโป้ง-เซโออินาเงะ
"ฮิปโป้ง...!!!"
กรรมการบอกว่าฉันชนะ ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินลงจากเบาะไป ฉันคิดว่าทำไมมันง่ายแบบนี้ มันเร็วเกินไปที่ฉันจะชนะ...แต่ก็เอาเถอะ ชนะก็ชนะ... อาจารย์สุพจน์ถึงกับชมฉันอย่างไม่หยุดปากทีเดียว
ต่อมาในช่วงบ่ายฉันจับสลากและเข้ามาแข่งอีกครั้ง
"ฮาจิเมะ....!!!"
กรรมการสั่งให้เริ่มต้น ฉันมองดูการสืบเท้าของคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดาเลย ลักษณะดูแก่วิชา แต่ฉันก็เข้าไปกระชากเสื้อจนได้และปัดขาทั้งสองข้างลอยแล้วกระทบลงพื้น...ปัก...
"ยูโก..."
ฉันได้คะแนนมา 1 ยูโก ฉันต้องทำให้ได้อีกเพื่อที่คู่ต่อสู้จะได้ตามมาไม่ทัน ฉันกระชากคอเสื้ออีกแล้วตามด้วยการทุ่มแต่ฉันเข้าทุ่มไม่ได้ คู่ต่อสู้หักแขนฉัน ฉันจึงถอยหลังออกมาแล้วกระชากคอเสื้อทันที จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะทุ่มแต่เกี่ยวขาในท่าไท-โอ-โทชิทันทีและตามไปล็อกด้วยท่าเกซ่า-กาตาเมะ แต่ล็อกด้วยข้างที่ถนัดที่สุดคือข้างซ้ายทันที
"โคก้า...!!!"
ฉันได้อีก 1 โคกา ทีนี้ก็เหลือแต่เวลาเท่านั้นที่ฉันจะชนะ คู่ต่อสู้ดิ้นรนจนฉันเกือบยั้งไม่อยู่ แต่ฉันก็กดไว้ได้เพราะท่านี้ไม่มีใครเคยแก้ล็อกในข้างซ้ายสักที เพราะไม่มีใครเคยสอนให้ล็อกฝั่งซ้ายนั่นเอง
"วาซารี้-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!!"
ฉันชนะมาอย่างขาวสะอาด แล้วก็เดินลงจากเบาะไป... คู่ต่อสู้คนนี้ท่าทางเหยาะแยะไม่รู้ว่าผ่านการคัดเลือกมามาได้ยังไงกัน...แต่ฉันก็คิดว่าการซ้อมที่ผ่านมาของฉัน การเก็บตัวที่แสนจะยาวนานนั้นทำให้ฉันแกร่งและพิชิตคู่ต่อสู้ได้อย่างราบรื่น หรือว่าเรายังไม่เจอคนแกร่ง ๆ เลยก็ได้นะ...ฉันคิดอย่างนั้น
ฉันไปกินข้าวแล้วก็กลับมาในหอประชุมที่กำลังแข่งขันกันอยู่ พี่ติ๊กนี่ไม่ธรรมดาเลย แข่งมา 11 คนยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเขายังอึดอยู่เลย น่านับถือจริง ๆ...อาจารย์เรียกฉันไปอีกครั้งคราวนี้ฉันต้องแข่งอีกครั้งแล้ว ฉันคิดว่าคู่ต่อสู้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ อาจารย์ถึงได้เรียกมาเทรนแบบนี้
"ฮาจิเมะ...!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันเข้าท่าทุ่มทันที แต่โดนดัดหลังหงายท้อง โชคดีที่พลิกตัวกลับทันไม่งั้นหลังโดนพื้นจะต้องแพ้แน่ ๆ ฉันจึงหักแขนและบิดตัวคู่ต่อสู้ให้หงายท้อง แต่เสื้อและสายรัดเอวหลุดซะก่อน กรรมการจึงสั่งห้ามและเอามือประสานไว้ที่หน้าขาเป็นสัญลักษณ์การแต่งตัว ทำให้ฉันคิดถึงการต่อสู้เกมส์ต่อไปได้ว่าจะชนะได้อย่างไร...
"ฮาจิเมะ...!!"
กรรมการสั่งให้เริ่มต้นอีกครั้ง ฉันจึงดัมดะตะ หรือการประชิดคู่ต่อสู้แล้วจึงใช้ท่าชั้นสูง พิชิดคู่ต่อสู้ทันทีด้วยท่าฮาเน มากิโคมิ ทำให้เป็นที่ฮือฮาของวงการยูโด
"อิปโป้ง...!!!"
จากนั้นฉันก็ต้องแข่งต่อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นคู่สุดท้ายของวันนี้แล้วเหมือนกัน เมื่อฉันยืนรออยู่ก็ต้องตกใจที่เห็นผู้หญิงสายดำคนหนึ่งเดินขึ้นมาที่เบาะ เขามาเป็นคู่ต่อสู้ของฉันเอง ฉันรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ ยังไงชอบกล
"ฮาจิเมะ...!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น
"เอี้ย..........!!!!"
ผู้หญิงสายดำส่งเสียงร้องข่มฉันอย่างน่ากลัว แต่ถึงแม้ว่าจะแพ้หรือชนะถ้าฉันเต็มที่กับมันฉันก็ถือว่าฉันชนะความกลัวได้แล้วละ...
ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้อทันทีแล้วเข้าไปทำท่าเหมือนจะทุ่มแต่หมุนออกมาเกี่ยวในท่าโอชิคาริ ลิชิการิ ทันที...ผูหญิงสายดำล้มลงไปก้นกระแทกกับพื้น
"โคกา....!!!"
ฉันได้คะแนน 1 โคกาทันที ทำให้เป็นที่ฮือฮาแก่คนอื่น ๆ จากนั้นฉันก็ตรงเข้าไปในขณะที่ผู้หญิงสายดำคนนี้กำลังลุกขึ้น ฉันจึงใส่ต่อด้วยท่าโทโมอิ-นากิอีกครั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย พลิกตัวได้ทันหลังจึงไม่กระทบกับพื้น
"โคกา....!!!"
ฉันได้ 2 โคกาแล้วแต่ยังไม่ทิ้งห่าง ฉันจึงใช้ท่าจูจิ-กาตาเมะ หรือท่ารัดคอก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะลุกขึ้นได้ จากนั้นจึงกดตัวให้หงายแล้วจับล็อกด้วยท่าพื้นฐานที่สุดทันที เกซ่า-กาตาเมะ แต่ก็ถูกแก้ล็อกได้ ฉันเป็นฝ่ายถูกล็อกทันทีทำให้มีเสียงวิพากวิจารณ์กันใหญ่ ฉันจึงแก้ล็อกทันที เมื่อแก้ล็อกได้ฉันก็ล็อกเขาด้วยท่าโททิ-ชิโฮ-กาตาเมะ ทำให้คู่ต่อสู้ดิ้นไม่หลุดจนหมดเวลา
"อิปโป้ง...!!!"
"เฮ............!!!!"
เสียงพี่ ๆ และอาจารย์ที่เชียรอยู่ข้าง ๆ ร้องดังขึ้น ฉันดีใจมาก พอเคารพและเดินลงมาจากเบาะแล้วอาจารย์ก็ชมฉันอยู่ตลอดแล้วก็พาไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารไทย ฉันรู้สึกว่าฉันได้ก้าวข้ามมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้คงไม่มีกระดูกอ่อนให้ขบเขี้ยวแน่ ๆ น่าจะมีแต่กระดูกต้นขาแล้วละมั้ง...
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...ใกล้อวสานเรื่องแล้วขอขอบคุณเพื่อน ๆ มากนะคะที่ทำให้เรื่องนี้มีคนเข้ามาอ่านมากมากจากสกุลไทย...