4 สิงหาคม 2547 16:56 น.

เส้นทางชีวิต

สุชาดา โมรา

จากอดีตสู่ปัจจุบันสังคมของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดและสิ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยได้ในทุกวันนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการการเมือง  ๑๔ ตุลา  หลาย ๆ คนคงจะจดจำความเจ็บปวดได้ดี  แต่อีกหลาย ๆ คนก็ไม่อาจจะรับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเช่นไร  ดิฉันจึงขอย้อนความหลังหลังจากที่ได้ไปศึกษามาว่า  เมื่อครั้งเหตุการณ์ ๑๔ ตุลานั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกับประชาชนจำนวนแสน เรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ปลดปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง ๑๓ คน ที่ถูกจับกุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฏหมาย มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทาง การเมืองในสาธารณะเกินกว่า 5 คน เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐเป็นกบฏภภายในพระราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์  
	ในระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ชุมนุมประท้วง โดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมสาสตร์ ในวันเสาร์ที่ ๑๓ ประชาชนเดินขบวน สำแดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูประหนึ่งว่ากระแสคลื่นมนุษย์จักท่วม ท้นถนนราชดำเนิน ในวันที่ ๑๔-๑๕ ถัดมาก็เกิดความรุนแรง เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปราบปรามด้วยอาวุธร้าย เป็นผลให้เกิดการลุกขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่อมาเผด็จการก็ล้มลง ผู้นำคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ  ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ ๑๐ คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ  เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว  จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน  กระตุ้นประชาชนให้สำนึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ ธีรยุทธ บุญมี  นำรายชื่อผู้ลงนามเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ๑๐๐ คนแรกประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ มาเปิดเผย เช่น พล.ต.ต สง่า  กิตติขจร นายเลียง ไชยกาล นายพิชัย รัตตกุล นายไขแสง สุกใส นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น ดร.เขียน ธีรวิทย์ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ดร.ชัยอนันต์ สมุทรทวณิช อาจารย์ทวี หมื่นนิกร เป็นต้น รวมทั้งจดหมายเรียกร้องจากนักเรียนไทยในนิวยอร์ค  ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความสูญเสียถึงขนาดทำให้นิสิตนักศึกษาต้องจบชีวิตลงราวกับใบไม้ร่วงโดยที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบก็ตามแต่ประเทศไทยก็มีประชาธิปไตย  ซึ่งการเมืองนั้นเปรียบดั่งก้อนหินที่แข็งแกร่ง  ถ้าหากว่าวันใดก้อนหินถูกกัดเซาะจนบุบสลาย  การเมืองไทยจะอยู่ได้อย่างไร...
	การเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน  เมื่อมีก้อนหินที่แข็งแกร่งถูกเจียรนัยให้มีความมั่นคงงดงามแล้ว  การเมืองก็จะไปได้ด้วยดี  และทางด้านอื่น ๆ ของชาติ  ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ  การเกษตร  หรืออื่น ๆ นั้นก็จะมีเสถียรภาพที่มั่นคงซึ่งเป็นเหตุมาจากการเมืองที่มีรากเง้าดั่งก้อนหินที่เจียรนัย

เอกสารอ้างอิง
วัฒน์  วรรลยางกูร.๒๕๔๓, ไขแสง  สุกใส  ลูกผู้ชายหัวใจไม่ผูกเชือก.กาญจนบุรี.สำนักพิมพ์ปลายนา				
4 สิงหาคม 2547 16:53 น.

เยียวยา...รัก

สุชาดา โมรา

คลืด....คลืด....
	เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
	"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
	เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน  มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
	การที่เราแอบรักใครสักคน  ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน   บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ  เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง   เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น   แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด  ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน  หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
	ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ  และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
	"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
	"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
	"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
	มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม  นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ  แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน  ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ  คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
	"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
	ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
	ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด  ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม   ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้  แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
	การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
	"คุณสัณหศิษฐ์คะ  ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ  โชคดีนะคะ"
	เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม  ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง  เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว  หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว  ผมดีใจจริง ๆ...
	ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน  เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน  บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์  ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน  ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
	"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ  ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
	"คือผม  ผม  ผม"
	"อาการกำเริบเหรอ"
	"เปล่าครับ  ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
	"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ  ไม่เห็นว่า...."
	"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
	"อืม....."
	เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์  เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม  ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
	ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง  เธอก็ไปกับผมทุกวัน  ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ  หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ...  รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส  อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง  ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
	หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ  ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน  แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว   แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
	วันแล้ววันเล่า  ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว  ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ  ผมรู้สึกหัวหมุน  ร่างมันลอย ๆ ชอบกล  ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว  โอ๊ย....!!!!
	ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก  ความฝัน  ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ  ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
	"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
	"คนไหนคะ"
	"คุณทิพย์"
	พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่  เสียงพูดคุยกันซอกแซก  ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่  ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
	"ทิพย์เหรอ  จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง  มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ  เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม  เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
	ผมรู้แล้วละ  สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว  เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม  ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
	"เป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ  ผมสบายดี  คุณหมอ..."
	"ว่ายังไง  อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ  ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม  ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม  สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
	"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
	"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
	เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
	"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป  ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
	"ฉัน...."
	"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย  ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว  นางฟ้าชุดขาวของผม..."
	สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้  นางฟ้าชุดขาวของผม  ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด  และตลอดไป...
	ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย  ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้  ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา  ลาก่อนนะประตูหัวใจ  ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม  โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์  ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป				
4 สิงหาคม 2547 16:47 น.

สารภาพบาป(ตอนที่3เสนอเป็นตอนจบค่ะ)

สุชาดา โมรา

ห้าทุ่มกว่า...หนังจบลงด้วยความขนพองสยองเกล้า ใจยังเต้นรัวไม่หายและความรู้สึกบางอย่างยังคงค้างคา ทั้งสองเดินออกมาจากโรงหนัง แต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ยังอิดออดที่จะล่ำลาจากกันในเวลาอันรวดเร็วเพียงนี้ จึงตกลงกันว่าจะไปหาร้านเล็กๆ เงียบๆ ที่เปิดเพลงเบาๆ นั่งดื่มกินและพูดคุยกันต่ออีกสักพัก รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอดอย่างช้าๆ เหมือนอยากจะให้เวลาในคืนนี้ยืดยาวออกไปอีกนานเท่านาน ทั้งคู่ยังคงขับรถวนไปเวียนมาอย่างไร้จุดหมาย ด้วยต่างก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกร้าน แต่กว่าจะไปถึงก็เสียเวลาขับวนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เขาสั่งเบียร์มากลั้วคอ ส่วนเธอสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่อ่อนๆ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะ ซักถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอยู่ได้ไม่นาน ก็จำใจต้องเช็คบิลเปลี่ยนไปร้านใหม่ ด้วยที่นั่นเปิดเพลงดังเกินกว่าที่จะพูดคุยกันรู้เรื่อง 
คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเลือกร้านบ้าง มันเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศดีเหมาะแก่การนั่งคุยกัน เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ทั้งร้านจึงเหลือพวกเขาอยู่เพียงโต๊ะเดียว ทั้งคู่พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกันเพื่อทำลายความเงียบงันอันน่า อึดอัด แต่ในบางครั้งต่างก็ดิ่งลึกลงสู่โลกส่วนตัวภายใน พูดคุยกับตัวเอง ขบคิดถึงปมปัญหาบางอย่าง ใคร่ครวญและหาเหตุผลมาโต้แย้งกับสำนึกของตัวเอง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในจิตใจ บางหนเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากันด้วยความบังเอิญ ต่างก็ยิ้มให้แก่กันอย่างเก้อเขิน ไม่นานนักก็ถึงเวลาต้องปิดร้าน จำใจจ่ายตังค์แล้วลุกเดินออกไปขึ้นรถ แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างที่ดึงดูดคนทั้งคู่ให้เข้าหากัน รถจึงเคลื่อนตัวออกไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฟู๊ดแลนด์สาขาที่ใกล้ท ี่สุด โดยต่างก็หวังเพียงว่าอยากจะต่อเวลาให้ค่ำคืนนี้ยาวนานออกไปอีก แม้เพียงนิด...หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกึ่งดึกกึ่งเช้าเสร็จ เขาและเธอก็กล่าวคำอำลาแก่กันในเวลาเกือบตีสี่ ก่อนนอนวันนั้นเขาได้รับเมสเสจจากเธอ เป็นการขอบคุณสำหรับหนังผีเรื่องนั้น เขากดอ่านมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วนอนหลับไปด้วยความรู้สึกสุ ขใจ...
เรื่องทั้งหมดน่าจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อโชคชะตากำหนดให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเกี่ยวพันกันไม่ว่าจะในด้านไหน ต้องโคจรมาพบกัน ตกหลุมรักกันและกัน และต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหายไปของตัว เอง ถ้าหากเพียงแต่ว่าทั้งเขาและเธอจะไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อนแล้วทั้ งคู่... หลังจากวันนั้นเขาและเธอยังคงนัดเจอ ไปกินไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงด้วยกันอีกหลายครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ กระอักกระอ่วนใจ มันทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน เพราะต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิด มันเป็นการทำร้ายความรู้สึกของบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย...ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยถามเธอว่า เคยไหมเวลาที่อยู่กับใครบางคนแล้วมันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอนิ่งไป ก่อนตอบกับเขาว่า เคย...ตอนที่อยู่กับคุณไง ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี...
ช่วงนั้นเขาผ่านพ้นแต่ละคืนวันในชีวิตไปด้วยความยากลำบาก คืนแล้วคืนเล่าที่เขาเมามายหลับใหลไปอย่างไร้สติ เขาต้องรับมือกับความว้าวุ่น สับสน และทางออกที่ดูจะมืดมิดอับจน ในที่สุดเมื่อทนอยู่กับการหลอกลวงและความรู้สึกผิดในจิตใจต่อไป ไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจพาผมก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งศีลธรรมอันดีงามทั้ งหลายทั้งปวง เขาฉีกกฎทุกกฎทิ้ง ขยี้ทำลายทุกกรอบเกณฑ์ความเชื่อลงจนป่นปี้เป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี เขาหันหลังให้กับถ้อยคำประณามหยามหมิ่น ไม่แยแสกับสิ่งใดๆ รอบตัวอีกต่อไป เพื่อความรักแล้วเขายินดีสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต... 
เขาตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดกับคนรักของเขา หล่อนรับฟังด้วยน้ำตานองหน้า เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน นึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ ด่าทอโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้เขาต้องมาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ขั นขื่น ที่ชักนำให้เขามาเจอเธอในเวลาที่สายเกินไป... ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็แยกทางกับคนรักของเขา เขาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและซื่อสัตย์กับค นรักของเขาอย่างถึงที่สุด เพราะเขาไม่อยากที่จะหลอกลวงด้วยการอยู่กับหล่อนเพียงตัวแต่ใจไ ปอยู่กับคนอื่นอีกต่อไป...
แล้วเขาก็กลายมาเป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เขาจะเลวได้มากเท่านี้อีกแล้ว...เรื่อง น่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมครับ ถ้าหากเพียงแต่ว่าเธอคนนั้นจะตัดสินใจทำในแบบเดียวกันกับเขา... บอกเลิกกับคนรักเก่าหันมาคบกับเขา แล้วก็ครองรักกันไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลายเหมือนอย่างในนิยาย...แ ต่...ฮะ ฮะ ฮะ...แน่นอนครับ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผมจะมานอนกองอยู่กับพื้น หายใจระรินอยู่อย่างนี้ได้ยังไง...เธอตัดสินใจอยู่เหมือนกันครั บ เพียงแต่คนที่เธอตัดสินใจบอกเลิกนั้น ไม่ใช่คนรักเก่าที่อยู่เมืองนอก แถมยังไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามปีแล้ว แต่กลับเป็น เขา ผู้ที่ยอมทิ้งทุกอย่างมา เพราะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอ
ฮะ ฮะ ฮะ...มันเป็นตอนจบที่โคตรจะสะใจผมเลยครับ คนเลวๆ อย่างเขาสมควรแล้วที่จะได้รับจุดจบแบบนี้ แต่แปลกแฮะ...คราวนี้ไม่เห็นว่าเขาจะร้องไห้ฟูมฟายเหมือนอย่างเ คย รู้สึกว่าแวบหนึ่งผมจะแอบเห็นรอยยิ้มในแววตาของเขาด้วยซ้ำไป ครั้งนี้ดูเขานิ่งและสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เขากระซิบกับผ มว่ามันเป็นเรื่องของ ชะตากรรม และ การลงทัณฑ์ เป็นเวลาที่เขาจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้กับผู้หญิง คนอื่นๆ เขาว่ามันเป็นการลงโทษที่สาสมดีแล้ว เขาสมควรที่จะได้รับในสิ่งนี้ เขายังบอกอีกว่า เขาไม่นึกโกรธเธอคนนั้นหรอก เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ทำทุกอย่างไปด้วยความไม่รู้ เธอเป็นเพียงเครื่องมือของใครบางคนในการลงโทษเขาเท่านั้น เขาชื่นชมในความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอ เธอตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกคนรักเก่าแทนที่จะเป็นเขา เขายินดีไปกับเธอด้วย เขายังบอกกับผมอีกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะยอมให้กับมัน - ชะตากรรม... ชีวิตนี้เขาเกิดมา อาจจะยอมให้กับอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน เขาไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อก้มหน้ายอมรับชะตากรรม...ก่อนที่จะหม ดสติไป ผมได้ยินเขาสบถออกมาเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า..._uck Destiny ! 
ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...นั่นล่ะครับ เรื่องราวของเขา...
ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง...และผมกำลังจะตาย.
...................................................
* = ภาพยนตร์เรื่อง Legend of the Fall
** = ภาพยนตร์เรื่อง Waking Life
*** = เป็นเอก รัตนเรือง (บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร Open ฉบับที่ 34)				
4 สิงหาคม 2547 16:45 น.

สารภาพบาป(ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

หากผมถามคุณว่าในเรื่องของความรัก คนเราควรใช้ Head นำ Heart หรือใช้ Heart นำ Head คุณจะตอบว่าไง แต่ถ้าเรานำคำถามนี้ไปถามคนที่ฉลาดสักหน่อยเขาอาจตอบว่า ทางสายกลาง...หาจุดกึ่งกลาง หาความพอดีให้เจอ แล้วก็ใช้มันอย่างละครึ่ง ไม่ต้องให้ใครนำใครหรอก ให้มันเดินไปพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนล่ะถ้าคุณไปถามเขา เขาจะตอบว่า ฟังเสียงของหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักที่แท้จริงนั้นคือสิ ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่า ความรักนั้นเปรียบเสมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองได้สักสองสามข้อนั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้ อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าเขาคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง... ฮะ ฮะ ฮะ นั่นล่ะ คำแนะนำในแบบของเขา แต่นั่นอาจจะเป็นข้อดีที่สุดเพียงข้อเดียวเท่าที่เขามีอยู่ก็เป ็นได้ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำและทำในสิ่งที่เขาเชื่อ และมันคือที่มาของเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักของเขา เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองเดือน
ก่อน...
เย็นวันนั้นเขานัดเจอเธอที่หน้าโรงหนังลิโดบริเวณสยามสแควร์ เพื่อเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเธอเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเขาไว้ใ นเรื่องงาน เพราะงานที่เขาทำมีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เ ธอทำงานอยู่ ก่อนนั้นเขาเคยเจอเธอแวบนึงแล้วที่ที่ทำงานของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนอกสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษนัก นอกจากกล่าวคำขอบคุณสำหรับสิ่งของที่เธอนำมาให้ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงผิวขาว หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลย หลังจากวันนั้นเขามีโอกาสได้โทรฯไปหาเธอบ้างเพื่อปรึกษาเรื่องงาน และยิ่งถี่มากขึ้นเมื่อเขามีเรื่องให้เธอต้องช่วยเหลือ การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นและเริ่มออกอรรถรสมากยิ่งขึ้นตามจำน วนครั้งที่ได้คุย ต่างฝ่ายต่างพูดคุยถูกคอกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่มีอะ ไรเกินเลยไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปกินข้าวดูหนัง... 
การนัดหมายเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขามาถึงก่อนจึงรีบขึ้นไปจองตั๋วหนังเอาไว้สองที่ แล้วกลับมายืนรอเธอตรงที่เดิม ไม่นานนักเธอก็มาถึงพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ยังจำได้ว่าด้วยความเป็นคนปากไว เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็เผลอทักเธอว่าแต่งหน้าเข้มเกินไป ดูไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย เธออายจนหูแดงก่อนรีบยกไม้ยกมือเช็ดเครื่องสำอางออกเป็นการใหญ่ เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าที่เธอแต่งหน้าเข้มเพราะตั้งใจจะเบี้ ยวดูหนังกับเขาแล้วไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ แทน... 
หลังเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารตรงหน้าแล้ว เขาและเธอจึงแยกตัวออกมาเพื่อไปดูหนัง เธอบอกเพื่อนๆ ให้ล่วงหน้าไปที่ร้านก่อน ดูหนังเสร็จแล้วเธอจะตามไป แต่สุดท้ายคืนนั้นเธอก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากเพื่อนๆ ไว้ จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าดินกำหนดมาก็มิอาจทราบได้ หนังที่พอจะมีความน่าดูอยู่บ้างสำหรับนักบริโภคภาพยนตร์อย่างเข า ที่ลงโรงฉายอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์นั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นหนังผีจากประเทศเกาหลี พอหนังเริ่มฉายไปได้เพียงสิบกว่านาทีก็เริ่มส่อแววว่าจะน่ากลัว มากกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศภายในโรงก็ชักจะอึมครึม ทุกคนนั่งตัวแข็งเกร็งเงียบกริบ สายตาจดจ้องไปกับภาพตรงหน้า ติดตามเรื่องราวลุ้นระทึกว่าจะถึงฉากน่ากลัวที่มาช็อคปลายประสา ทให้เขม็งเกลียวขนหัวลุกชันเมื่อไหร่ จะได้ไหวตัวหลบหลีกระมัดระวังทัน เขาหันไปดูก็เห็นว่าเธอเองชักจะมีท่าทีแปลกๆ จากที่เคยนั่งตัวตรงตั้งใจดูก็เริ่มเอียงตัวแทบจะหันข้างให้จออ ยู่แล้ว ขดตัวห่อไหล่ให้เล็กลีบเหลือตัวนิดเดียว แถมยังเอาฝ่ามือมากางปิดตาไว้อีก แง้มเป็นช่องเล็กๆ ไว้ระหว่างง่ามนิ้วพอให้มองเห็น ประมาณว่าถ้าถึงฉากอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัว ใจให้เรรวนเมื่อไหร่ เธอก็พร้อมที่จะปิดมันลงในทันทีทันใดเพื่อยุติการรับรู้เรื่องร าวที่ตรงหน้าเพียงชั่วขณะ 
ลักษณาการดังกล่าวก่อให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัว หงุดหงิดและรำคาญขึ้นในหัวใจของชายผู้รักภาพยนตร์ ที่เสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูหนังเพื่อเสพอารมณ์และอรรถรสต่างๆ อย่างเขาเป็นอันมาก เมื่ออดรนทนไม่ไหวเขาจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของเธอม ากุมไว้ หมายให้เธอหมดหนทางปัดป้องตัวเองจากเรื่องราวตรงหน้า พลางกระซิบเบาๆ กับเธอว่า ตั้งใจดูสิ หนังสนุกออก เธอมีท่าทีแข็งขืนเล็กน้อย พยายามฝืนตัวดึงข้อมือที่ถูกเขาพันธนาการไว้กลับไป แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามือของเขาที่จับอยู่ตรงข้อมือขวาของเธอ กลับเลื่อนลงมาสัมผัสกับฝ่ามืออันอ่อนนุ่มและกุมเอาไว้แน่นอยู่ อย่างนั้นนิ่งนาน...
แล้วในวินาทีนั้น...ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มก่อ ตัวขึ้นในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะระบุลงไป ได้ว่าคือสิ่งใด รู้แต่ว่าไม่เคยพบเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย วางใจและเติมเต็ม...ความรู้และประสบการณ์ในอดีตไม่สามารถให้ควา มกระจ่างกับเขาได้ เขารู้เพียงว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีมือข้างไหนส่งผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปยังหัวใจของเขามาก ่อน... ฉากน่ากลัวผ่านพ้นไปแล้ว เธอค่อยๆ คลายมือออกจากการยึดกุมของเขา คราวนี้เขายินยอมปล่อยมันไปแต่โดยดี ด้วยไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วที่จะทำอย่างนั้นต่อไป แต่แล้วเมื่อถึงคราที่ฉากน่ากลัววกกลับมาอีกครั้ง ลักษณาการเดิมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้มือคู่นั้นไม่เคยคลายออกจากกันและกันอีก เลย...				
4 สิงหาคม 2547 16:44 น.

สารภาพบาป(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

เขามักจะมีเหตุผลแปลกๆ แต่ฟังดูดีมาเกลี้ยกล่อมให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ว่างเปล่าและแสนสั้นนัก มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเติมเต็มความว่างเปล่านั้น ให้เป็นไปตามความหมายอย่างที่ผมต้องการ เขาผลักภาระอันหนักอึ้งนี้มาให้ตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมจึงไม่มีเวลาได้เดินเล่นกินลมชมวิวเหมือนหัวใจดวงอื่นเลย บางครั้งเขามาหาผมพร้อมกับคำถามที่ฟังดูแปลกแปร่งไม่คุ้นหู... 
เลือกเอาสิ ก่อนจะถึงลมหายใจสุดท้าย อยากจะเป็นแบบไหน อยากจะมีชีวิตหรืออยากเป็นเพียงซากชีวิต - Blank People จิตวิญญาณว่างเปล่า ศักดิ์ศรีว่างเปล่า ชีวิตที่เป็นเพียง หายใจ เดิน กิน วิ่ง นอน ทำงาน สมสู่ ก้มหน้าก้มตาทำ สั่งสมวัตถุ เงินทอง บ้านหลังใหญ่ รถคันโต เสียงชื่นชมและสายตายอมรับจากผู้คนรอบข้าง - ง่ายเพียงแค่เดินตามหลังใครๆ... หรือว่าอยากจะมีชีวิต - ชีวิตที่รู้ว่าเราต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ เกลียด ทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับความเคยชิน ทุกอย่างที่อาจจะไม่ง่าย... เลือกเอาสิ ว่าอยากจะใช้ชีวิตหรือจะให้ชีวิตมันใช้เอาเสียให้คุ้ม เลือกสิ ก่อนที่จะถึงลมหายใจสุดท้าย เลือกเอา... 
นั่นล่ะเขาล่ะ ผู้ชายคนนั้น...นายของผม ผู้มักมาพร้อมกับสไตล์การถามนำแบบประชดประชันเสียดสี แต่ไม่หรอก คราวนี้ผมจะไม่ยอมหลงกลเขาอีกต่อไป ครั้งนี้ผมขอยอมแพ้...ผมเหนื่อยเหลือเกิน ภาวนาขอให้ครั้งนี้เขาทำสำเร็จด้วยเถิด ผมจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริงเสียที
ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า บนโลกนี้มีผู้ที่เจ็บปวดอยู่สองประเภท ผู้ที่เจ็บปวดจากการขาดชีวิต และผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิตที่มากเกินไป** ผมมักจะพบว่านายของผมอยู่ในประเภทที่สอง ใช่เขาจริงๆ นั่นล่ะ...ผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิต จากการใช้ชีวิตที่มากเกินไป บางครั้งเขาก็ดูเหมือนคนเป็นโรคจิต ที่ชอบพาตัวเองและผมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสียใจ รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ ชอบแกว่งเท้าเข้าไปให้เสี้ยนมันตำเล่น บางทีเห็นความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังบอกให้ผมรีบวิ่งเข้าใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของความรัก เขาไม่เคยรีรอที่จะไขว่คว้าเอาวันเวลาเหล่านั้นไว้ เขาว่าความรักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน เป็นการเรียนรู้เพื่อจะได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต... 
ฟังดูดีใช่ไหม...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะคลานสี่ขากลับมาด้วยควา มเจ็บปวด แล้วบอกกับทุกคนว่าเป็นความผิดของผม เป็นความผิดของหัวใจ...หัวใจเป็นอวัยวะที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ใจคนมันไม่มีตรรกะ และตรงนั้นแหละที่จะนำมาซึ่งความสุขและความฉิบหายทั้งปวง หัวใจมีหน้าที่เรียกร้อง แล้วไม่รู้เป็นอะไร ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะฝืนใจมันบ้าง ถึงจุดหนึ่งก็ลืมทุกอย่างและตามใจมันทุกครั้ง ตามใจและคราวนี้ก็รอลุ้น...*** แน่ะ...ดูพูดเข้า เขายังมีหน้ามาโยนความผิดให้กับผมอีก ปรักปรำกันอย่างหน้าด้านๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจปิดการท ำงานของสมอง - เพื่อนของผม แล้วสั่งให้ผมทำตามความต้องการของเขา จนบางทีผมก็ชักจะงงๆ อยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วมันเป็นความต้องการของใครกันแน่ ของเขาหรือของผม แล้วใครเป็นนายใครกัน ผมเป็นนายเขาหรือว่าเขาเป็นนายผม... 
เขาเองก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ยังคงตอบคำถามไอ้นกแก้วไม่ได้ ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนายไอ้นกแก้วหรือว่าไอ้นกแก้วเป็นนายของเขากันแน่ ใครบงการใคร ใครเป็นคนนำ และใครเป็นคนตาม เพราะถ้าหากว่าคำตอบคือไอ้นกแก้วและผมเป็นไทแก่ตัวจริง มีสมองคิดและสั่งการเองได้ รวมถึงสั่งการเขาได้ด้วย นั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทางด้านอภิปรัชญาของมนุษย์ แสงประทีปแห่งปัญญาที่คอยส่องนำทางมวลมนุษยชาติอยู่นั้น อาจถึงกาลต้องนำลงมาปัดฝุ่นสังคายนากันเสียใหม่ เพราะคำตอบที่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า เจตจำนงเสรีของมนุษย์นั้น หาได้มีอยู่จริงไม่...
ถ้าหากว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ นอกเหนือไปจากการงาน ความหวังและความฝัน เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ผมว่าเขาคงจะนอนตายตาหลับ เพราะที่ผ่านมาเขาได้ใช้ชีวิตเสียคุ้มค่าแล้ว สมควรแก่เวลาที่เขาจะจากไปอย่างเงียบๆ ดีกว่าอยู่ต่อไปเพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญ าและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ผมว่าเขาเองก็รู้ซึ้งถึงความจริงในข้อนี้ดี จึงได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้น ช่วงวัยวันที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งยี่สิบแปดลมร้อน ยี่สิบแปดห่าฝน ยี่สิบแปดสายลมหนาว เขาเคยมีคนรักมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน เคยมีความรักเกิดขึ้นในหัวใจมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง เคยสุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ รัก-ถูกรัก หักอก-อกหัก หัวเราะ-ร้องไห้ เป็นคนดี-เป็นคนเลว โง่-ฉลาด เคยทำถูก-เคยทำผิด เคยมีความสุขจนหัวใจพองโตและเคยเจ็บเจียนตาย เคยเห็นแก่ตัวและเคยเสียสละ และอีกมากมายสารพัดที่เขาเคยเป็น เคยผ่านมาแล้วจากประสบการณ์ในอดีต... 
แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะมั่นใจได้มากขนาดนี้ ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวของผม ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้หญิงคนหนึ่งคือรักแท้ และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม จุดเริ่มต้นของการลงทัณฑ์ที่ใครบางคนกำหนดมาให้เขาต้องชดใช้ และคือจุดจบของความรักครั้งสุดท้ายของเขา รวมถึงจุดจบของชีวิตเขาเองด้วย...
ผมคงไม่รู้ว่าคุณจะตอบยังไง หากมีใครสักคนมาถามคุณว่าคุณจะเลือกรักใคร ระหว่างคนที่เขารักคุณกับคนที่คุณรักเขา แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะตอบอย่างไร เขาจะบอกว่ารักคนที่เขารักเรานั้นสุขเป็นอันประกันได้มากกว่าทุ กข์ รักคนที่เรารักเขานั้นทุกข์เป็นอันประกันได้มากกว่าสุข เพราะไม่แน่เสมอไปว่าคนที่เรารักเขานั้น เขาจะรักเราตอบเหมือนอย่างที่เรารักเขา แต่ถึงกระนั้นผู้รู้บางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักคนไหน ก็จะต้องเจอะเจอกับทุกข์อยู่ดี เขาจึงขอเลือกที่จะรักคนที่เขารักดีกว่า เพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้เลือกเอง ได้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ได้รักคนที่เขาอยากจะรัก ได้ทำตามอย่างที่เสียงของหัวใจตัวเองมันร่ำร้อง เขาจะให้เหตุผลว่า ความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนภาพแอบสแตรค เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เราจึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือตรรกะใดๆ ไปอธิบายในเรื่องของความรักได้หรอก ความรักไม่มีถูกมีผิด มีแต่รัก รักคือรัก มันเป็นเรื่องของชะตากรรม ความรักไม่เคยทำร้ายใคร คนเราต่างหากที่ทำร้ายกัน...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา