30 กรกฎาคม 2547 09:24 น.
สุชาดา โมรา
นี่ใครกันคะพี่กอล์ฟ
นี่น้องชายของผมเอง นายกฤษ
ไม่เห็นคุณเคยบอกเลยว่ามีน้องชาย
ผมอึ้งอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ชวนทุกคนให้ทานอาหาร พอทานเสร็จผมก็เดินไปหยิบการ์ดน่ารัก ๆ ใบหนึ่งมาให้เธออ่าน เธอก็อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นผมจึงหยิบเครื่องประดับออกมาช้า ๆ
หลับตาก่อนสิมีอะไรจะให้ ต้องหลับตาจริง ๆ นะ
พอเธอหลับตาผมก็เอาสร้อยมาใส่ให้ จากนั้นก็เอากำไลมาใส่ให้ ใส่ต่างหูให้เธอ น้องชายของผมเดินไปหยิบกระจกมาให้ผม จากนั้นผมจึงบอกให้เธอลืมตา
อะไรกันคะเนี่ย
เธอถามอย่างแปลกใจและก็ดีใจเป็นที่สุด เธอกอดผมไว้แน่นทีเดียว น้องชายกับคุณแม่ท่านก็ปรบมือให้จากนั้นท่านก็พานายกฤษเดินไปคุยในห้องรับแขก เหลือเพียงผมและเธอเท่านั้น ผมจึงพาเธอเดินออกไปที่สวนหลังบ้าน พาเธอออกมาดูดาวและแสงจันทร์ ไม่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเธอเหมือนกันแต่ด้วยความที่ผมค่อนข้างจะเป็นคนโรแมนติก ผมจึงกอดเธอเอาไว้แน่น ๆ แล้วก็โยกตัวไปมาด้วยความรัก
สุขสันติ์วันเกิดนะคนดี
คืนนี้เป็นคืนที่ผมมีความสุขที่สุดอีกวันหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเหมือนโลกนี้มีเพียงเราเท่านั้น จะมีใครบ้างนะที่มีความสุขแบบผม ถึงแม้ว่าชีวิตของผมจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างทรหดเพียงใดแต่ผมก็สำเร็จได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัวหรือหน้าที่การงาน แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ใจของผมยังคงต้องการอยู่เสมอก็คือลูก ผมอยากมีลูกกับเธอจนใจจะขาด แต่ผมก็ยังไม่สมหวังเสียที เธอก็ไม่ยอมไปตรวจกับผมด้วยสิ สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องชวนเธอไปโรงพยาบาลอยู่เสมอ ๆ ผมไม่เข้าใจเธอเลยจริง ๆ
ตั้งแต่มีน้องชายมาอยู่ด้วย ผมก็ติดต่อกับพ่อมากขึ้น เพราะดูท่าทางคุณพ่อคงเป็นห่วงหมอนี่มาก ๆ เพราะท่านเลี้ยงของท่านมา ส่วนพวกผมมันโต ๆ กันหมดแล้วนี่ท่านจะต้องมาห่วงอะไร ผมได้รู้จักกับภรรยาใหม่ของคุณพ่อ ได้รู้จักกับครอบครัวนี้มากขึ้นจึงทำให้ผมรู้ว่านายกฤษต้องการอะไร นายกฤษดูจะเกรงใจผมมากถึงได้ไม่ออกปากขอไปเรียนต่อปริญญาโท ผมก็เลยต้องออกปากเอง และก็ส่งน้องเรียนอีกคนหนึ่งด้วยความภาคภูมิใจ ที่จริงผมอยากให้น้องบวชแต่น้องบอกว่าน้องบวชไปแล้ว พอผมซักไซร้ไล่เรียงจนได้รู้ว่ายายกิ๊กเป็นแม่งานให้ แหมยายนี่ก็ไม่เคยบอกเราเลยน่าตีจริง ๆ นะ มีอะไรก็ปิดกันเงียบไปหมด แล้วนี่ก็ไม่รู้ว่ายายกิเขารู้เรื่องหรือยังว่ามีน้องชายเพราะดู ๆ แล้วยายนี่เขาขยันทำงานจนไม่คิดจะหาแฟนใหม่เลย
น้องชายของผมคอยสอดส่องดูแลบ้านช่องให้จนวันหนึ่งเขาก็มาเอ่ยปากพูดกับผม
พี่รู้จักคนชื่อต้นหรือเปล่า พี่รู้ไหมเขามาที่บ้านเราบ่อยมาก ๆ มาหาพี่ลูกแก้วแล้วก็ชวนกันขึ้นไปข้างบน ทะเลาะกันเป็นประจำราวกับเป็นคู่รักกันเลย แล้วพี่รู้ไหมว่าพี่ลูกแก้วเขาเอาเงินให้หมอนี่อยู่เรื่อย ๆ แล้วยังมีอีกเรื่องก็คือพี่เขากินยาคุมด้วย
แล้วนายรู้ได้ไง
นี่ถังขยะพี่ พี่ลูกแก้ววานให้ผมเอาไปทิ้งให้ตอนผมขอไปทำความสะอาดในห้องของพี่
ผมอึ้งตั้งแต่คำแรกที่หมอนี่พูดถึงไอ้เพื่อนคนนั้น สิ่งที่ผมสังหรใจมันก็กำลังจะเป็นความจริงแต่มันยังไม่มีหลักฐานเท่านั้นเอง วันนี้ผมจึงไม่พูดอะไรกับใครพอทานข้าวเสร็จผมก็โทรจ้างแม่บ้านให้มาทำงานที่บ้านเพื่อให้น้องชายของผมเรียนได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องมาทำงานบ้าน ทีแรกผมคิดว่าภรรยาผมจะทำอะไรเองไปหมด แต่ที่ไหนได้ก็ใช้น้องชายผมให้ทำงาน ผมรู้สึกแย่จริง ๆ จากนั้นผมก็ไปหยิบกล้องดิจิตอลมาซ่อนไว้หลังหนังสือเล่มหนึ่งที่ชั้นวางหนังสือ พอเช้าผมก็เปิดกล้องทิ้งไว้
วันนี้ทั้งวันผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมไปรับน้องชายจากมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ปรึกษาเรื่องของเธอ แต่หมอนี่ก็ให้คำปรึกษาอะไรไม่ได้มากเพราะเขายังไม่มีประสบการณ์ดีพอ ผมไม่รู้จะทำยังไง รู้สึกเครียด ๆ ยังไงบอกไม่ถูก ผมก็เลยพานายกฤษไปโชว์รูมรถ แล้วก็เลือกรถให้คันนึงเพื่อที่จะขับไปเรียน เพราะหมอนี่ก็ขับรถเป็นแล้วน่าจะมีรถได้แล้ว ผมโทรบอกที่บ้านว่าผมกับน้องจะกลับดึก ไม่ต้องให้พวกเขารอผม ผมกลัวว่าแม่จะรอนานเดี๋ยวจะเสียสุขภาพ
ผมกลับบ้านมาอย่างคนที่ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย ผมไม่ได้เมานะเพราะผมไม่ได้ดื่มสักนิด ภรรยาผมหลับสนิท ผมจึงเดินไปหยิบกล้องออกมาเปิดดูกับน้องชาย จะว่าผมรวมหัวกันก็ใช่นะเมื่อผมดูภาพที่เห็น ผมถึงกับตกใจมาก ๆ เขาทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินที่ผมจะคิดได้ เขาพูดถึงเรื่องเงิน พูดถึงเรื่องข้าวของที่ผมซื้อให้ เพื่อนของผมตีท้ายครัวผมเต็มที่ ผมรู้สึกแค้นใจจริง ๆ ยิ่งได้เห็นไอ้เพื่อนคนนี้ตบหน้าเธอ ผมก็ยิ่งปวดใจยิ่งนัก ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลย มันอะไรกันเนี่ย!!! มันเกิดอะไรขึ้น ผมทำไมถึงได้เจอเหตุการณ์อะไรเลวร้ายปานนี้ หมอนี่ทั้งข่มขู่และก็ปอกลอกเธอ ผมส่ายหน้าแล้วก็นั่งกุมขมับอยู่นาน น้องชายผมปลอบใจผม และก็กอดผมไว้แน่น ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องเสียน้ำตาให้กับความพ่ายแพ้แก่ตัวผมเอง ดีนะที่ผมเป็นคนฟังหูไว้หูไม่งั้นผมคงเชื่อภรรยาเสียจนหัวปักหัวปำทีเดียว ผมนี่มันโง่จริง ๆ โดนสวมเขามาตั้งนานแต่ก็ไม่เคยรู้เลย ผมก็มีพร้อมทุกอย่างนี่แต่ทำไมเธอถึงทำแบบนี้กับผมคืนนี้ผมต้องมานอนห้องน้องชายเพราะผมทนไม่ได้ ผมรู้สึกแขยงผู้หญิงอย่างเธอจริง ๆ
หลาย ๆ คนที่เกิดมาต่างก็ต้องผ่านช่วงชีวิตและประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย และเหตุการณ์หนึ่งที่คนในวัยหนุ่มสาวมักจะต้องประสบคือการรู้สึกชอบ หรือถึงกับรักใครคนหนึ่ง และบางคนก็ไม่อาจสมหวังในความรักนั้นได้ ต้องเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับขึ้นมาทันที แต่สำหรับผมนี่มันอะไรกันแน่เนี่ย ทีแรกก็ว่าสมหวังในความรักและชีวิตครอบครัว แต่แท้ที่จริงแล้วก็เปล่าเลยสักนิด ผมแก่เกินไปที่จะว่าเป็นหนุ่มสาว แต่ผมก็มีหัวใจมีความรักเหมือนคนอื่น ๆ เขาแล้วทำไมผมถึงไม่ได้อะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ผมทุ่มเทไปให้เธอขนาดนี้
เมื่อหาทางออกในชีวิตไม่ได้ก็หันมาใช้วิธีการระบายปัญหาของคนสิ้นหวัง ด้วยการหันไปหาเพื่อน และของมึนเมาต่าง ๆ หรือสิ่งเสพติดเพื่อประชดตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ผมหมดอะไรตายอยากในชีวิต แต่ผมโชคดีที่ไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะผมมีน้องชายที่เป็นคู่คิดที่ดี คอยปลอบใจผมทำให้ผมไม่ลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่จอมปลอม ผมได้ดูรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับคนอกหักซึ่งจำลองถาพเหตุการณ์มาให้ชมมีความว่า
การที่หนุ่มสาวส่วนหนึ่งจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลก็มักจะทำให้สูญเสียอนาคตไปได้ ผมอยากจะเล่าเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่อกหักจากความรัก แต่เธอคนนั้นได้คิดและมีสติ เพราะเธอรู้ว่าผู้ชายที่รักเธอมากที่สุด โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเป็นความรักที่บริสุทธิ์ 100% คือคนที่เธอควรไปปรึกษาปัญหาอกหักนี้ และคนๆ นั้นคือคุณพ่อของเธอ เรามาฟังคำบอกเล่าของเธอกันนะครับ
เมื่อสามวันก่อนฉันอกหัก..แยกทางกับผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุด.....เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าอาการผิดหวังในความรัก มันทำให้เราเศร้า แล้วก็หดหู่ขนาดนี้ โตมาจนป่านนี้เพิ่งจะรู้...... น้ำตามันเอ่อออกมาตลอดเวลา แค่นึกขึ้นมาว่าเค้าได้พูดอะไรกับเราก่อนทุกอย่างจะจบลง มันก็ไหลออกมาเป็นทางหยุดไม่ได้ ฉันไม่อยากนอนเพราะกลัวฝัน ขนาดฝันยังร้องไห้เลยมันเศร้าจริง ๆ เมื่อคืนนี้.....พ่อมานั่งลงตรงเก้าอี้สนามข้างๆ ฉัน เอามือมาขยี้หัวฉัน แล้วถามฉันว่า ลูกจำได้รึเปล่าว่าลูกเคยเสียใจมากที่สุดเรื่องอะไร ฉันกลั้นน้ำตาตอบพ่อโดยไม่ต้องคิดเลย ครั้งนี้แหละค่ะ หนูเสียใจ แล้วก็ร้องไห้ มากที่สุดในชีวิตเลย หนูไม่มีทางลืมความเจ็บปวด ความเสียใจคราวนี้ง่ายๆ ค่ะพ่อ หนูรักเค้ามากเหรอลูก พ่อยังคงถามฉันต่อ พ่อคะ.....มีผู้ชายแค่สองคนที่หนูรักเท่าชีวิตของหนู คนแรกก็คือพ่อ คนที่สองก็คือ เค้า หนูไม่รู้จริงๆ ว่าวันข้างหน้า หนูจะรักใครได้เท่านี้อีกรึเปล่า พ่อยิ้มแล้วดึงฉันเข้าไปนั่งใกล้ๆ คราวนี้ฉันกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว พรั่งพรูความเจ็บช้ำ เสียใจทุกอย่าง พ่อโอบฉันไว้นิ่งๆ จนฉันหยุด พ่อก็ถามฉันว่า ลูกว่าตอนที่พ่อตีลูก เพราะจับได้ว่าลูกขโมยเงินพ่อน่ะ ลูกเจ็บมากรึเปล่า น่าจะเจ็บนะ ก็พ่อฟาดหนูด้วยเข็มขัดนี่นา ตีทีเดียวแต่น่องหนูแดงเป็นปื้นไปหลาย วันเลย หนูจำได้ว่าย่าต้องแอบเอายามาทาให้หนู แต่พ่อคะมันเจ็บไม่ถึงครึ่งของครั้งนี้ เลย หนูเจ็บมาก เจ็บจนบอกไม่ถูก ลูกจำไม่ได้หรอก พอพ่อตีลูกแล้ว ลูกก็ขึ้นไปนอนร้องไห้ พ่อตามไปถามว่าลูกจะ ทำอีกมั๊ย....ลูกบอกพ่อว่าลูกเข็ดแล้ว ลูกเสียใจมาก จะไม่ทำอีกแล้ว ครั้งนั้นลูกก็ เสียใจใช่มั๊ยล่ะ ฉันรับคำพ่อเบาๆ เพราะความเสียใจครั้งนั้นมันเลือนลางมากแล้ว แล้วตอนลูกเอ็นท์ไม่ติดล่ะ ลูกจำได้รึเปล่า ว่าลูกเสียใจขนาดไหน ครั้งนั้นหนูผิดหวัง โกรธตัวเองที่ทำไม่ได้ เสียใจที่ทำให้พ่อผิดหวัง ฉันจำได้ดีว่าฉัน เสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นที่สอบไม่ได้ ร้องไห้ พ่อแม่ต้องปลอบอยู่เป็นอาทิตย์กว่า ฉันจะทำใจได้ อืม...เทียบกับครั้งนี้....ตอนไหนเสียใจมากกว่ากันล่ะ ฉันยังคงยืนยันว่าครั้งนี้ฉัน เสียใจมากจริงๆ มันคงต้องอาศัยเวลานานกว่าทุกครั้งกว่าฉันจะทำใจได้ พ่อโอบฉันแน่นขึ้น แล้วพูดว่า นานแค่ไหน ลูกก็จะลืมมันได้ จะช้าหรือเร็วมันก็จะ ผ่านไป กลายเป็นแค่ความทรงจำเก่า ต่อไปพอลูกนึกถึง ลูกก็แค่จำได้ว่าลูกเสียใจ แต่ลูกจะไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้ว เชื่อพ่อสิ....เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา....อนาคตมัน ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกลูก วันข้างหน้าลูกก็อาจจะเจอเรื่องร้ายๆ กว่านี้ ลูกก็จะบอก พ่อว่าลูกเสียใจที่สุดในชีวิต ลูกทำใจไม่ได้อีก ฉันนิ่งฟังพ่อ เข้าใจดีถึงสิ่งที่ท่านพยายามจะบอกฉัน ฉะนั้นอะไรที่ลูกคิดว่า รักที่สุด เสียใจที่สุด มันไม่จริงหรอกลูก วันข้างหน้าลูกก็จะ เจอสิ่งที่เป็นที่สุดของที่สุด และทางที่ลูกยังต้องเดินมันอีกยาวไกล ลูกต้องแข็งแรง แล้วก็ตั้งสติดีๆ ฉันกอดพ่อนิ่ง ไม่รู้จะขอบคุณด้วยวิธีไหนได้ดีกว่านี้ เช้าวันนี้......ฉันยิ้มได้อีกครั้ง.........กลับเป็นฉันคนเดิม..... มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ คือสิ่งที่ฉันยังไม่ได้บอกพ่อ พ่อคะ จริงๆ ครั้งที่หนูเสียใจมากที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ตอนที่พ่อตีหนู ไม่ใช่ตอนที่หนู เอ็นไม่ติด แล้วก็ไม่ใช่ตอนที่หนูเลิกกับเค้า.....แต่มันคือตอนที่พ่อจากหนูไปต่าง หาก หลับให้สบายนะคะพ่อ....อย่าเป็นห่วงหนูเลย.....หนูจะเข้มแข็งและดูแลตัวเองให้ดีที่ สุด..หนูรักพ่อที่สุดค่ะ พ่อคะ....ขอบพระคุณมากค่ะ
โปรดจำไว้เถอะว่า หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า...ฉันเหนื่อยเหลือเกินแล้ว โปรดห้ามใจเถอะ ก่อนที่ฉันจะอ่อนล้าไปกว่านี้... การรักใครซักคน ไม่ต้องการความพยายาม การตัดใจ ต่างหาก ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า ความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า อันไหนมันหนักหนากว่ากัน ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ หนึ่งตลอดเวลา เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้ จงจำไว้ว่าตลอดเวลา มีคนที่คิดถึงเรา โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน คน ๆ นั้นคือคุณพ่อและคุณแม่ของเรานั่นเอง รายการของเราต้องจบแต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าเวลาเดียวกัน สวัสดีครับ
เมื่อผมดูจบผมก็รู้สึกว่าผมโล่งใจเหมือนได้ระบายอะไรออกมาเลย แต่ผมก็ยังไม่เลิกเครียดเพราะชีวิตของผมมันหนักกว่าเรื่องราวในรายการเสียอีก วันนี้ผมทำฟอร์มว่าไปทำงานแต่จริง ๆ แล้วผมไม่ได้ไป ผมพยายามจะจับชายชู้ให้ได้ เมื่อสบโอกาสผมกับน้องชายจึงเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปทันที ภาพที่ผมเห็นคือพวกเขากำลังจะทำอะไรต่อมิอะไรกันในนั้น ผมหวั่นใจมาก และทั้งคู่ก็ตกใจมาก ๆ ด้วย
ทำอะไรกันน่ะ!!!!
ทั้งคู่เงียบโดยเฉพาะเธอ เธอทำหน้าซีดมาก ๆ จนผมใจอ่อน แต่ผมก็ได้สติคืนมาเพราะน้องชายของผม
นึกแล้วเชียวว่าพี่ 2 คนเป็นอะไรกัน
ต้นทำไมนายทำแบบนี้ นายตีท้ายครัวเราเหรอ
เราไม่ได้ตีท้ายครัวนาย นายนั่นแหละที่ทำร้ายเราก่อน
เราไปทำร้ายนายตรงไหน
นายแย่งเมียเรา นายรู้ไหมว่าเราได้กันมาตั้งแต่เราเรียนด้วยกันเมื่อ ป.ตรี แต่นายนั่นแหละที่มาแย่งเธอไป
นายนาย
ผมพูดไม่ออกเลย ผมไม่คิดว่าคนที่เงียบ ๆ เคร่งขรึมที่จะเรียนกลับเป็นคนที่เร็วมาก ๆ คบกับเธอและยังได้ทั้งใจและตัวเธอไปอีก ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมเครียดมากและแค้นใจที่สุด รู้สึกเสียหน้ามาก ๆ
คุณทำเป็นไร้เดียงสา ผมจำได้ดีว่าคืนแรกวันส่งตัวเป็นยังไงผมผิดหวังในตัวคุณมาก ทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่วันนั้น ผมจะได้ไม่ดึงคุณดิ่งมาอยู่กับผมผมเสียใจเหลือเกิน
ฉัน
คุณไม่ต้องพูดแก้ตัวแล้ว ผมถามคุณหน่อยเถอะ คุณเคยรักผมบ้างไหม!!!!
ฉันรักคุณตลอด ถึงตอนนี้ฉันก็ยังรักคุณอยู่
ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอว่ารักผมคุณนี่มันนางวันทองสองใจจริง ๆ เลยเอางี้ดีกว่าผมว่าคุณเตรียมเก็บของกลับบ้านคุณไปได้เลย ผมไม่อยากอยู่ร่วมกับคนหลอกลวงอย่างคุณ ผมขยะแขยงคุณจริง ๆ ผมอยากรู้นักว่าผู้หญิงอย่างคุณหัวใจมันทำด้วยอะไร
ผมเห็นเธอคุกเข่าร้องไห้ผมก็สงสารเธอ แต่สิ่งที่เธอทำกับผมมันร้ายแรงเหลือเกินผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี มันท้อแท้สิ้นหวังไปหมด ยิ่งตอนเธอเดินถือกระเป๋าออกจากบ้านไปกับเขาผมยิ่งปวดใจมาก ๆ ผมพ่ายแพ้ให้กับชีวิตแล้ว
เวลาผ่านไปหลายเดือนผมไม่ได้ติดต่อกับเธอเลย ผมไม่ได้หย่าเพราะผมยังอาลัยอาวรเธออยู่ผมเพียรทำงานโดยไม่สนใจอะไร ชีวิตผมทุ่มเทให้กับงานมากมายจนแทบจะไม่รู้จักใครแล้วผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ยายกิน้องสาวของผมมาให้สติผม ผมถึงได้มองโลกกว้างขึ้นและเห็นความสำคัญของตนเองมากขึ้น ตอนนี้ผมใช้ชีวิตดูแลน้องชายต่างมารดาของผม และดูแลแม่จนวาระสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากผมไปด้วยโรคชรา คุณพ่อท่านเสียใจมากแต่ท่านก็ยังคงเก็บอารมณ์ ส่วนน้องสาวที่น่าเป็นห่วงอีกคนคือยายกิ๊กหลังจากที่แต่งงานได้เพียง 5 เดือนแม่ก็เสียดูเธอเสียใจที่สุดเพราะเธอผูกพันธ์กับแม่มาก แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันในงานศพของคุณแม่ก็คืออดีตภรรยาผมเดินมาใส่ดอกไม้จันทร์ เธอร้องไห้เสียใจมากเพราะเธอก็ผูกพันธ์กับท่านเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ใจหนึ่งก็ยังรักเธออยู่แต่ใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าอย่าเลยอย่าทำให้อะไร ๆ มันต้องเจ็บปวดอีก
เธอมองหน้าผมแล้วก็จากไป คุณพ่อนี่แหละที่เป็นคนเรียกสติผมกลับมา
รักเขาจริงหรือเปล่าถ้ารักเขาจริงต้องให้อภัยเขาแล้วกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปสิไปตามหัวใจของตัวเอง อย่าให้เธอต้องจากไปเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย มันไม่ร้ายแรงมากนักหรอกอภัยให้เธอแล้วกลับมาใช้ชีวิตให้มีความสุขเหมือนเดิมไปสิลูกไป
ผมวิ่งไปหาเธอ ผมเห็นเธอนั่งร้องไห้ที่ท่าน้ำ นั่งเหม่อลอยดูปลาและก็ทำสีหน้าอย่างคนสิ้นหวัง ท้อแท้ในจิตใจ ยิ่งผมใกล้เธอผมก็ยิ่งเห็นว่าเธอซูบผอมไปมาก ผมสงสารเธอจริง ๆ ผมส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอแล้วลงไปนั่งใกล้ ๆ ผมกอดเธอไว้และปลอบใจเธอ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันถูกต้องหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าพ่อต้องแนะนำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเธอจะผิดพลาดแค่ไหนแต่ผมรักเธอ ผมต้องให้อภัยเธอ ผมมั่นใจว่าถ้าเธอกลับมาชีวิตของผมต้องมีความสุขที่สุดผมเชื่ออย่างนั้น
คุณมาหาฉันทำไม
ผมมาตาสิ่งที่ผมขาดหายไปตลอดระยะเวลา 5 เดือนกว่า ๆ ผมไม่มีความสุขเลย ผมขาดคุณไม่ได้ คุณเป็นคนที่ผมรักที่สุดผมยังรักคุณอยู่นะกลับมาหาผมได้ไหม
คุณไม่โกรธ ไม่เกลียดฉันเหรอ
ไม่แล้วละ ผมให้อภัยคุณในทุก ๆ เรื่องมาอยู่กับผมเถอะนะคนดีลืมเรื่องในอดีตซะแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ไหม
เธอยิ้มแล้วกอดผมไว้แน่น ผมดีใจที่สุด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ตอบผมแต่ผมก็รู้ทันทีว่าใช่แน่ ๆ เธอกลับมาอยู่กับผมแน่ ๆ ต่อจากนี้ไปผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ผมจะเริ่มต้นใหม่กับเธอจะรักและอยู่กับเธอตลอดไป ผมจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเธอได้อีก
บรื้น.
มีรถคันหนึ่งขับตามผมมา เหมือนกับจะเอาชีวิตผม มันขับไล่บี้ผมมาตลอดทาง ผมใจคอไม่ดีเลย ผมสังหรใจยังไงชอบกล ผมหันไปมองกระจกข้าง ผมก็เห็นทะเบียนรถคันนั้นผมจึงรู้ว่านายต้นหมายที่จะเอาชีวิตผม ผมจึงให้ลูกแก้วโทรแจ้งความ แต่ไม่ไหวแล้วเขาขับรถแรงเหลือเกิน ชนท้ายรถผมหลายครั้งจนรถเสียหลักด้วยกันทั้งคู่ รถของต้นข้ามฝั่งไปถูกรถพ่วงชนประสานงานแรงมาก ส่วนรถของผมหักหลบไปชนกับต้นไม้ แต่โชคดีที่กันชนดีรถจึงไม่เป็นอะไรมาก ส่วนภรรยาผมปลอดภัย เมื่อตำรวจมาเรื่องต่าง ๆ ก็คลี่คลายด้วยดี
ซ่า.ซ่าซ่า
เสียงคลื่นลมทะเลค่อนข้างสงบ ผมเอากระดูกของแม่ไปลอยอังคารในทะเลจากนั้นก็ไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ผมมีความสุขมากที่ได้จูงมือผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเหมือนมันสดชื่นและดูอะไร ๆ ก็สวยงามไปหมด ผมรักเธอมากจริง ๆ
อวกอวกอวก
ลูกแก้วคุณเป็นอะไรไปน่ะ
ฉันเวียนหัวอยากจะ
อวกอวกอวก
ผมจะพาคุณไปห้องน้ำนะ ถ้าคุณไม่ชอบอาหารที่นี่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวไปทานกันที่อื่นนะ
ไม่เป็นไรค่ะ
อวกอวกอวก
ผมถามหน่อยเถอะคุณเป็นอะไรกันแน่เนี่ย
ฉันกำลังจะมีเด็ก
หา
ผมดีใจที่สุด ผมรู้แน่ ๆ ว่าเด็กคนนี้คือลูกของผม ผมมั่นใจอย่างนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรยัง ๆ ผมก็รับได้อยู่แล้วละ เพราะผมรักเธอ ผมกอดเธอแน่นมาก ๆ ไม่อยากให้หลุดมือไปเลย ผมรอคอยสิ่งนี้มานานมาก ผมผมตื้นตันใจจริง ๆ จะมีใครสักกี่คนนะที่มีความสุขได้ขนาดนี้ก็คงมีแต่คนที่กำลังจะเป็นพ่อคนอย่างผมเนี่ยแหละ
30 กรกฎาคม 2547 09:19 น.
สุชาดา โมรา
ผมมีความสุขกับชีวิตคู่ของผมมาก ผมตั้งใจไว้ว่าจะมีลูกสาว และก็ลูกชายที่น่ารักเอาไว้อุ้มชู ส่งให้เขาเรียนมีงานมีการทำ และผมก็คิดเลยไปถึงอนาคตที่ผมจะต้องมาเลี้ยงหลาน นึกแล้วก็มีความสุขไม่น้อยเลย
ฟืด
ตื่นได้แล้วค่ะ สายแล้ว
แม่ศรีภรรยาของผมหอมแก้มเหม็น ๆ ของผมแต่เช้า เธอปลุกผมตั้งแต่แสงพระอาทิตย์ยังไม่โผล่ออกมาเลย เธอเดินลงไปทำอาหารเช้ามาให้ทานถึงที่ห้อง วันนี้เธอทำข้าวต้มกุ้งมาให้ผมทาน ใส่เห็ดหอมน่ากินทีเดียว แต่พอผมกินเข้าไปคำนึงนะถึงกับตาตั้งทีเดียว เพราะไม่คิดว่ามันจะเค็มขนาดนี้
เป็นไงบ้างคะ อร่อยไหม นี่เป็นการทำกับข้าวครั้งแรกของลูกแก้วเลยนะคะ
ถึงแม้ว่าจะเค็มขนาดทะเลเรียกพระเจ้าเลยแต่ผมก็ต้องตอบอย่างรักษาหน้าภรรยาว่าอร่อย อร่อยมาก ๆ เพราะพอผมมองสีหน้าที่อยากรู้ของเธอแล้วผมก็ต้องตอบอย่างนี้ทุกทีว่าดีดีครับผมยอมก้ำกลืนฝืนทานจนหมด พอผมดื่มน้ำเข้าไปถึงกับโล่งเลยทีเดียว
อืมพี่กอล์ฟคะเมื่อคืนคุณพ่อของพี่ท่านว่าอะไรเหรอคะ
ที่จริงพี่ไม่อยากจะตอบเลยนะเพราะมันเป็นความลับ แต่โอ๋ ๆ ๆ อย่างอนนะคนดีผมบอกก็ได้นะไหน ๆ เราก็เป็นคนคนเดียวกันแล้วนะ
ก็ตอบมาหน่อยสิคะ ต่อมอยากรู้มันกระตุกจะแย่อยู่แล้ว
ผมยิ้มแล้วก็ต้องตอบ
คุณพ่อท่านบอกว่า ถ้าใจไม่ถึงอย่าเลยลูก
ยังไงคะ ไม่เข้าใจ
ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะดูเธอไร้เดียงสาไปซะหมด ผมจึงยิ้มแล้วก็ต้องถามเธอ
เคยเล่นตา หู คัน ดัง บะไหม
เคย ทำไมเหรอ
เล่นกันไหม งั้นพี่ขอเป็น
ลูกแก้วเลือกก่อนได้ไหมคะ ลูกแก้วขอบะ แล้วก็หูได้ไหม
ได้สิ งั้นที่เหลือพี่จองนะตา หู คัน ดัง บะ
ตานี้ผมยอมเธอไปก่อน ผมถูกเธอดึงหูอย่างเต็มแรงเกิดจนหูชาทีเดียว แต่ตานี้ผมไม่เอาไว้แน่ ๆ พอผมได้ดังแล้ว ผมจึงให้เธอหลับตาแล้วผมก็โผกอดแล้วหอมแก้มเธอไม่หยุดเลย
ขี้โกงนี่
ช่วยไม่ได้นี่นา
วันนี้ผมจึงไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปไหน จนได้เวลาเที่ยง ผมอาบน้ำแต่งตัวรีบวิ่งลงมาทำอาหารให้เธอทานก่อนที่เธอจะตื่นลงมาทำ เพราะผมกลัวฝีมือเธอเหลือเกิน
ที่รัก ทานข้าวได้แล้ว มาตื่นเร็ว
ผมปลุกเธอให้ตื่นแล้วก็ชวนเธอลงไปทานข้าวด้วยกัน เธอชมผมไม่หยุดปากเลยว่าทำอร่อย ผมรู้สึกเขินจริง ๆ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลยผมทำตามคำพูดของคุณพ่อแล้ว ก็เหลือเพียงเรื่องเดียวที่ต้องทำตามที่ท่านบอกผมจึงเดินจูงมือเธอไปที่สวนหลังบ้านแล้วก็มองไปที่ต้นราตรี จากนั้นจึงแหงนมองหน้าต่างห้องตัวเองเพื่อมองตามที่พ่อบอก ผมเห็นกล่องของขวัญกล่องหนึ่งแขวนอยู่ที่ขอบหน้าต่างห้อง ผมจึงวิ่งขึ้นไปบนห้องเพื่อที่จะดูว่ากล่องนั้นมีอะไร ผมและเธอช่วยกันแกะกล่อง ผมอ่านจดหมายที่พ่อเขียน ผมรู้สึกสำนึกว่าผมไม่เคยทำอะไรให้พ่อเลย แต่พ่อกลับห่วงหาผมและแม่มาโดยตลอด ถ้าวันนั้นพ่อไม่ขี้เมา ชีวิตครอบครัวเราคงจะมีความสุขมากกว่านี้
พี่กอล์ฟคะ ดูนี่สิคะ!!!!.
เธอร้องเสียงหลงทีเดียว ผมจึงต้องหันไปดู พ่อเปิดบัญชีให้ผมไว้ใช้หลังแต่งงาน ผมตื้นตันใจที่สุด และก็เกิดคิดได้ขึ้นมาว่าพ่อไปทำอะไรมาถึงได้มีเงินมากมายขนาดนี้ ผมจึงไปหาพ่อตามที่อยู่ที่พ่อทิ้งไว้ ผมจึงได้รู้ว่าพ่อเป็นลูกเจ้าของโรงทอผ้า แต่พ่อหนีออกจาบ้านตั้งแต่หนุ่ม ๆ เพราะไม่เข้าใจกับครอบครัว พ่อจึงกลายเป็นขี้เมาไม่ได้สติ พวกเราเลยลำบาก แต่พอพ่อเลิกกับแม่พ่อเสียใจมาก พ่อจึงกลับไปตายรังที่เดิม จากนั้นพ่อก็เลยมีกินมีใช้ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องในนิยายน้ำเน่ามันจะมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม พ่อบอกว่าอยากคืนดีกับแม่ แต่ผมรู้ว่าแม่คงไม่ยอมแน่ ๆ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เรื่องนี้ก็สุดแล้วแต่วาสนาของพ่อกับแม่ก็แล้วกัน ว่าจะลงเอยกันหรือเปล่า
เวลาผ่านไปยาวนานเหลือเกิน ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่สุดแสนจะ happy ที่สุดแต่ภรรยาผมก็ไม่ยอมมีลูกให้ผมสักที ผมไม่รู้จะทำยังไงดี จะพาเธอไปตรวจเธอก็ไม่ยอม ผมอดใจจะเป็นพ่อคนไม่ไหวอยู่แล้ว ผมไปปรึกษาหมอมาหลายที่ รวมทั้งตรวจภายในร่างกายผมด้วย ผลก็ออกมาว่าผมปกติดี หมอบอกว่าอาจจะเป็นภรรยาผมที่มีลูกยากหรือเปล่า
วันนั้นพอหลังจากที่ผมกลับมาจากไปหาหมอ ผมเดินตรงเข้าไปในสวนหลังบ้านก่อนที่จะขึ้นไปบนบ้าน มันทำให้ผมต้องตกใจเพราะได้ยินภรรยาผมร้องไห้ และใครคนหนึ่งกำลังข่มขู่ภรรยาของผม ได้ฟังแต่เสียงก็รู้ทันทีว่าเธอกลัวชายคนนั้นมาก ๆ
มึงจะว่ายังไง ไอ้กอล์ฟผัวมึงไปไหน มันไม่เคยให้อะไรมึงเลยเหรอ!!!!
โถ่พี่ต้น พี่ก็เอาไปหมดแล้วนี่ เมื่อวันก่อนพี่ก็มาเอาไปทีนึงแล้วแล้วพี่จะมาเอาอะไรอีกได้โปรดเถอะนะขอร้องละ เดี๋ยวพี่กอล์ฟเธอมาละจะยุ่งนะ
มึงไม่ต้องมาขู่กู ไม่ต้องมาทำท่าทางอ้อนวอน กูไม่สนหรอกว่ามันจะมาหรือไม่มา กูมาก่อนมันด้วยซ้ำ มันน่ะแย่งมะ
พี่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รีบออกไปได้แล้ว
ทีแรกผมก็สงสัยอยู่ว่าใครมันมาทำอะไรในบ้านของผม ในห้องนอนของผม ตอนนี้ผมเริ่มไม่แปลกใจเลยเธอคงสนิทคุ้นเคยกันเพราะผมเห็นเธอเอามือไปปิดปากเจ้าหมอนั่นไว้ ถ้าเมื่อกี้ผมเกิดโผ่งผ่างขึ้นไปช่วยผมคงไม่ได้ยินทั้งคู่คุยกัน และขณะนี้ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่เสียด้วย เมื่อหมอนั่นไปได้พักหนึ่งผมจึงขึ้นไปบนบ้าน ค่อย ๆ เดินเข้าไปที่ห้องและแง้มประตูดูเธอ ผมเหลือบมองไปรอบ ๆ ห้อง ผมก็เห็นเธอยังคงสวมชุดนอนและก็นั่งร้องไห้ ดูเธอน่าสงสารเหลือเกิน ผมจึงแง้มประตูปิด ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี ผมรู้สึกสับสนและสงสัยกับคำพูดของหมอนั่น ไอ้ต้นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่มันเป็นคนค่อนข้างเงียบ ๆ ไม่หวือหวาในเรื่องที่คนอื่นเขาเฮกัน ดูมันขรึม ๆ แก่เรียน เคร่งเครียด แต่มันมาทำอะไรที่บ้านผม ผมไม่เข้าใจเลย
ผ่านมาอีกหลายวันผมก็โทรนัดไอ้ต้นออกมากินเหล้า ผมก็คุยกันเรื่องต่าง ๆ นานา เพราะผมอยากรู้เรื่องอะไรหลาย ๆ อย่างเลยค่อย ๆ ตะล่อมถาม แต่หมอนี่มันคอแข็งจริง ๆ จากที่ผมจะถามมันกลายเป็นผมเมาจนถูกมันถามซะเอง
เมื่อไรนายจะมีเมียวะ งานการก็ดีนี่ทำไมวะ
ก็มันยังหาที่ถูกใจไม่ได้นี่นาเพราะรักเก่ามันยังตราตรึงอยู่
รักเก่ายังไงวะ แกอกหักด้วยเหรอไอ้ต้น
อย่าพูดถึงมันเลย แล้วชีวิตครอบครัวพี่ล่ะสุขสบายดีไม่ใช่เหรอ เป็นไงศรีภรรยาของพี่เขาทำกับข้าวอร่อยไหม ทำอะไรเป็นมั่งล่ะ555555.
ผมต้องสะดุดกับคำหัวเราะของเจ้าหมอนี่ แต่ผมก็ยังคิดอะไรไม่ออกเพราะผมรู้สึกโงนเงนไปหมดแล้ว ผมคงจะเมาจนเลอะเทอะไปแล้วละ วันนี้หมอนี่เลยต้องมาส่งผมที่บ้าน
ขอบคุณนะพี่ต้น เนี่ยไม่น่าพากันไปดื่มเลย.
เป็นห่วงมันมากขนาดนี้เลยเหรอหา.!!!
อย่าเอ็ดไปเลย เดี๋ยวคุณแม่ท่านตื่นลงมาจะยุ่งพี่นี่ก็
จริง ๆ แล้วถึงผมจะเมามายแค่ไหน แต่ผมก็ยังคงรับรู้ในสิ่งที่ทั้งคู่พูดกันอยู่อย่างชัดเจนทีเดียว ผมเริ่มรู้สึกสังหรใจยังไงชอบกล ครุ่นคิดตลอดเวลาว่าลักษณะการพูดแบบนี้มันคืออะไรกันนะมันเหมือนคนที่เกินสนิทกันแล้วนะ เพราะตอนสมัยที่เรียน ป.โทอยู่ก็ไม่เห็นทั้งคู่จะสนิทกันเลย ทำไมคำพูดเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นได้เล่า!!!!
วันที่ 18 มิถุนายน วันนี้วันเกิดของภรรยาผม ผมไปหาซื้อข้าวของมาจัดเตรียมที่จะประดิษฐ์อะไรสักอย่างให้กับเธอ แต่พอผมเห็นร้านที่ออกแบบดีไซน์เสื้อผ้าของน้องสาวผมบนห้าง ผมก็สะดุดตาสะดุดใจกับเสื้อผ้าสวย ๆ ทันที ผมคิดไปคิดมาก็เปลี่ยนใจแล้วที่จะประดิษฐ์ของให้เธอ ผมว่าผมอุดหนุนชุดสวย ๆ ของน้องสาวผมดีกว่า
ไงกิ๊กขายดีไหม แล้วที่บริษัทล่ะเป็นยังไงบ้าง
ก็พอไปได้ค่ะ ตอนนี้ที่บริษัทก็หัวหมุนอยู่เลย ต้องตัดชุดให้คุณหญิงระเบียบอี โอ้โหวุ่นวาย แล้วพี่กอล์ฟรู้ได้ไงคะว่ากิ๊กมาเปิดร้านที่นี่ปกติพี่ก็ไม่เคยสนใจเดินห้างเลยนี่นา ผีเข้าเหรอคะ
น้องสาวผมยิ้มอย่างมีไมตรี หลังจากที่เปิดบริษัทเป็นของตัวเองได้ แล้วก็มาเปิดร้านเพื่อที่จะขยายสินค้าให้สู่ตลาดมากขึ้น ก็ดูหน้าบานไม่ยอมหุบเลย คงมีความสุขกับงานมากทีเดียว
พี่มาดูของขวัญวันเกิดให้คุณลูกแก้วน่ะ
แล้วพี่สนใจอะไรในร้านบ้างไหมล่ะ
อืมพี่ชอบชุดนี่น่ะอยากได้มาก ๆ อยากให้เธอใส่ที่สุดเลย
เดี๋ยวนะคะพี่กอล์ฟ บอย บอยคะมาดูลูกค้าหน่อยเร้ว
น้องสาวหัวดื้อของผมเรียกดีไซน์เนอร์คนนึงออกมา คน ๆ นี้เคยตัดชุดเจ้าสาวให้กับผมมาก่อน แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาย้ายบริษัทมาตั้งแต่เมื่อไร แต่เท่าที่ดู ๆ แล้วหมอนี่คงจะชอบยายกิ๊กแหง ๆ ละเพราะทั้งคู่เคยอยู่บริษัทเดียวกันมาก่อนนี่นะ
สวัสดีครับอ้าว!!!คุณกอล์ฟ นึกว่าใครที่ไหน วันนี้จะรับชุดอะไรครับ เนื่องในงานอะไร ตัดไซท์เท่าเดิมหรือเปล่า
เอ่อ.ไม่ใช่ของผมหรอก แต่เป็นของภรรยาผมน่ะ
อ๋อของคุณลูกแก้วน่ะเหรอ คุณอยากได้แบบไหนล่ะ
ผมชอบชุดนี้ครับ
อ๋อเดี๋ยวผมแก้ให้ คุณลูกแก้วยังไซน์เท่าเดิมหรือเปล่าครับ
ครับ
พอผมได้ชุดราตรีสีฟ้าสดใสแล้ว ผมก็ตรงดิ่งไปที่ร้านจิวเวอร์รี่ทีเดียว เพื่อที่จะเลือกกำไลสักวง ต่างหูสักคู่ และก็สร้อยเพชรอีกเส้นให้เธอ ผมเลือกไม่ถูกเลยเพราะดู ๆ มันก็สวยจนผมเลือกให้ภรรยาไม่ถูก
สวัสดีครับ คุณต้องการเครื่องประดับแบบไหนครับ และใช้ในงานอะไร
ผมสะดุดกับป้ายชื่อของนายคนนี้จริง ๆ นามสกุลเขาเหมือนผมเหลือเกิน แล้วนามสกุลนี้พ่อผมเป็นคนตั้งขึ้นมาเองด้วย ก็มีแต่ลูกของท่านเท่านั้นที่จะได้ใช้ ผมจึงถามอย่างไม่ลีรอเลย
น้องครับ น้องหน้าตาคุ้น ๆ มากเลยนะ พี่ถามจริง ๆ เถอะนามสกุลนี้น้องเอามาใช้ได้ยังไง
โถ่พี่นี่ก็นามสกุลพ่อผมนี่จะให้ผมใช้นามสกุลใคร พี่นี่ก็ถามแปลก ๆนะ
พ่อน้องชื่ออะไร
พี่จะถามไปทำไมกัน
ก็พี่อยากรู้ พี่เห็นเราใช้นามสกุลเดียวกันเผื่อจะเป็นญาติกัน
พี่อย่ามาอำเลย ถึงพี่มีนามสกุลเดียวกับผมก็ใช่ว่าผมจะลดราคาให้พี่นะ ผมน่ะเป็นแค่ลูกจ้างเขาเท่านั้นแหละ
ผมกลัวว่าหมอนี่จะไม่เชื่อผมก็เลยเอาบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้หมอนี่ดู
เหลือเชื่อเลยนะ พี่นามสกุลเดียวกันกับผมเหรอ อย่าบอกนะว่าพี่เป็นพี่ผมอีกคน
ทำไมเหรอ
ผมถามอย่างสงสัย คำว่าอีกคน แสดงว่าต้องไม่ใช่แค่ผมคนเดียวแน่ ๆ เลย หมอนี่อาจจะเจอยายกิ หรือยายกิ๊กแล้ว ผมอาจจะตกข่าวแล้วก็ได้ หมอนี่เป็นใครกันแน่นะทำไมถึงใช้นามสกุลนี้ได้ ผมรู้สึกแปลกใจจริง ๆ เลย
นายไปเจอใครมา
ก็เมื่อ ปีก่อนผมได้รู้จักกับดีไซน์เนอร์คนนึงเขาชื่อกิ๊ก พี่เขาก็มาถามผมแบบเดียวกันกับคุณพี่นี่แหละ แล้วถามไปถามมาจนผมรู้ว่านี่คงเป็นลูกสาวคนเล็กของคุณแม่พิมพ์ใจ กับคุณพ่อแน่ ๆ ส่วนผมน่ะถ้าพี่อยากรู้ผมก็จะบอกให้ ผมเป็นลูกของคุณพ่อวศิลป์ กับคุณแม่กระจง แต่ผมจะบอกให้ว่าคุณพ่อมีผมหลังจากที่เลิกกับคุณแม่พิมพ์ใจแล้วได้ปีหนึ่งนะ ผมไม่ใช่ลูกเมียน้อยนะ
แล้วนายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร
ถ้าคุณเป็นลูกของคุณแม่พิมพ์ใจละก็ ผมว่าคุณต้องเป็นลูกคนโตของท่าน คุณชื่อกีรตฤณใช่ไหม อย่าบอกนะว่าคุณคือกอล์ฟน่ะ
ใช่
ผมตอบด้วยเสียงที่หนักแน่น เพราะผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะมีน้องชายกับเขาด้วย ยายกิ๊กไม่เห็นบอกผมเลย ถ้าวันนี้ผมไม่เปลี่ยนใจที่จะเลือกของละก็ผมคงไม่ได้เจอหมอนี่ และก็คงไม่รู้ว่าหมอนี่คือน้องชายของผม คุณพ่อนี่ก็เหลือร้ายนะ ปากก็บอกว่าอยากจะคืนดีกับคุณแม่แต่ดูสิการกระทำแบบนี้น่ะเหรอจะอยากมาคืนดีด้วย สงสัยจะยาก
นายเรียนจบอะไรถึงได้มาขายจิวเวอร์รี่เนี่ย
ผมจบวิศวกรรมโยธา แต่ตกงาน ไม่มีใครรับผมเพราะตอนนี้สภาวะการเลิกจ้างมันสูง ผมเลยหางานทำลำบาก หัวก็ไม่ดี เรียนก็แค่สองกว่า ๆ จะไปทำอะไรกินได้
ไปอยู่กับพี่ไหม ที่บ้านพี่ก็ไม่มีใคร ถ้ามีเราไปอยู่ด้วยมันคงคึกครื้นดีนะ แล้วอีกอย่างที่บริษัทพี่ก็ยังว่างอยู่ตำแหน่งนึงคือผู้ช่วยวิศวะ สนใจหรือเปล่า
ครับ ๆ ๆ
น้องชายคนนี้ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมาก ๆ ดูท่าทางจะเป็นคนดีไว้ใจได้นะเนี่ย
แต่ตอนนี้นายต้องขายของให้พี่ก่อนนะ
ครับ จะเลือกแบบไหนดีครับ เอาไปให้พี่ลูกแก้วเหรอครับ
นายนี่รู้ไปซะทุกเรื่องเลยนะ
ผมได้เพชรสวิตมาชุดนึง สวยมาก ๆ แต่ราคาค่อนข้างสูง เพื่อคนที่ผมรักแล้วจะราคาเท่าไรผมก็ทุ่มไหว แล้วผมก็ให้นายกฤษน้องชายของผมมาอยู่กับผมด้วยเลยวันนี้
ไงจ๊ะที่รัก ไม่สบายหรือเปล่า ตาแดงอีกแล้ว อย่างอนพี่นะวันนี้พี่มีอะไรอยากให้แปลกใจน่ะ ไปอาบน้ำก่อนนะ
ผมหลอกล่อให้ภรรยาเข้าไปอาบน้ำแล้วผมก็เอาชุดราตรีออกมาวางที่เตียงและเขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้ หวังว่าเธอคงใส่ได้พอดีใจจริงผมก็รู้ว่าไอ้ต้นต้องมาแน่ ๆ หมอนี่นี่แย่จริง ๆ ทำให้เธอร้องไห้อีกแล้ว แต่ก็ช่างเถอะวันนี้วันเกิดของเธอผมจะต้องทำให้เธอมีความสุขที่สุดทีเดียวผมคิดอย่างนั้น
ภรรยาของผมเดินลงมาด้วยชุดราตรีสีฟ้าสวย ผมยืนรอเธอที่บันได้เตรียมพร้อมที่จะทานอาหารกัน คุณแม่และน้องชายของผมก็นั่งรอที่โต๊ะแล้ว
30 กรกฎาคม 2547 09:15 น.
สุชาดา โมรา
ชีวิตของผมตั้งแต่วัยเรียนผมก็เจอเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาเป็นมรสุมของชีวิต ทั้งเรื่องปัญหาทางการเงิน ปัญหาครอบครัวที่แตกร้าว แต่ผมก็ไม่เคยเก็บมาคิดเป็นปัญหาชีวิต ผมกลับพรากเพียรขยันอดทนจนเรียนจบปริญญาตรีได้ทำให้ทางบ้านชื่นชมยินดีในตัวผมกันใหญ่
ผมเป็นลูกคนโตของบ้าน เมื่อเรียนจบออกมาแล้วก็ต้องช่วยแม่ส่งน้องเรียน ส่วนพ่อน่ะเหรออย่าไปถามถึงเลยดีกว่า คนขี้เมาพันนั้นเหรอจะมาช่วยอะไรพวกเราได้ พอเมามาทีไรก็ซ้อมแม่ทุกทีผมละเซ็งจริง ๆ เลย แต่ก็ดีนะที่แม่เลิกกับพ่อไปไม่งั้นผมคงเรียนไม่จบ และก็คงติดหยุกติดยาไปแล้วละ แต่จะว่าไปฐานะอย่างผมเหรอจะมีปัญญาไปซื้อยามาเสพ แค่ลำพังจะกินซาลาเปาลูกละ 5 บาทยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย
ผมเคยอิจฉาใครหลายคนที่มีดีกว่าผม มีพร้อมทุกด้าน ชีวิตครอบครัวร่ำรวยมีความสุข แต่ตอนนี้ผมไม่คิดแบบนั้นแล้วละเพราะตอนนี้ผมก็จัดว่าผมถีบตัวเองมาเต็มที่แล้ว มีกินมีใช้มากขึ้น บางทีอาจจะดีกว่าคนที่ผมเคยแอบอิจฉามาด้วยซ้ำ
ผมจบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมโยธามาได้ 6 เดือนผมก็ไปทำงานอยู่กับกรมทางหลวง ช่วงนั้นผมเบื่อมาก ๆ สุดที่จะทนกับเจ้านายที่อวดฉลาดถือว่าเป็นผู้ดีเก่า เรียนจบนอกมาแต่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเมืองไทยเลย ปากก็พูดดีเข้าตัวแต่ความเลวเข้าคนอื่นหมด ผมละเบื่อจริง ๆ แต่ก็ต้องทนเอาหน่อยละเพราะเงินเดือนมันดีนี่นา จะให้ทำไงได้ล่ะผมต้องส่งน้องเรียนอีก 2 คน
เมื่อน้องสาวคนต่อจากผมชื่อยายกิเรียนจบปริญญาด้านมัคคุเทศก์เขาก็ไปเป็นไกด์ ตอนนี้ได้แฟนรวยเปิดบริษัททัวร์จนร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีไปแล้วละ เพราะแฟนเขาเสียไปแล้วเนื่องจากเป็นมะเร็งลำไส้แล้วไม่ยอมไปรักษา โชคดีนะที่ไม่มีลูกด้วยกันไม่งั้นเด็กคงขาดความอบอุ่นแย่เลย ส่วนน้องสาวคนเล็กนะโอ้โหไม่น่าเชื่อเลย ผู้หญิงอะไรฉลาดเป็นกรด แต่เสียเรื่องเดียวคือไม่ชอบเข้าเรียน ผมต้องตามจิกเทียวรับเทียวส่งจนจบ ม.ปลายได้เนี่ยก็บุญแล้ว จนแล้วยังไม่เจียมตัวอยากได้มือถือผมก็ซื้อให้ ใช้วันเดียวขายไปแล้ว อยากได้นั่นอยากได้นี่แต่เอาไปทีไรขายหมดทุกทีจนผมไม่มีปัญญาจะซื้อให้แล้ว ให้เงินค่าเทอมก็เอาไปผลาญหมด ผู้หญิงอะไรแย่ที่สุดเลย ถ้าใครได้ไปเป็นเมียนะคงจะต้องเลิกลากันไปข้างหนึ่งละ แต่ก็ยังดีที่ยายคนนี้เขาหัวดีเลยเรียนจบปริญญาตรีมาอย่างไม่คาดฝันเพราะที่บ้านคิดว่าน่าจะเรียนไม่จบเพราะเกเรเหลือเกิน ยายคนนี้เขาจบออกแบบดีไซน์ตอนนี้ขอไปเรียนที่ปารีสเพราะกลับมาจะได้เป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ท่าว่ายายกิ๊กนี่คงอนาคตดีกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ แน่ ๆ เพราะดูท่าทางตอนนี้มุ่งมั่นเหลือเกิน พักหลังบอกว่าไม่ต้องส่งเงินไปให้แล้วเพราะได้งานทำที่นั่นเป็นผู้ช่วยดีไซน์เนอร์ไปแล้ว ก็ดีเหมือนกันที่ยังกลับตัวทัน แต่ยายนี่ก็ยังเสียอยู่อีกเรื่องก็คือการพูดจา แก้ไม่หายซะที บอกทีไรไม่เคยฟังซักทีอย่างนี้คงเข้ากับคนได้ยาก
ตอนนี้แม่อยู่กับผมแต่ก็ดูท่านไม่ค่อยจะมีความสุขเลย ท่านบ่นทั้งวัน บ่นว่าอยากกลับไปขายส้มตำแต่ผมก็ไม่อยากจะให้ท่านไป แต่ถ้าท่านไม่ไปท่านก็จะบ่นอยู่อย่างนั้นแหละ บ่นจนผมต้องยอมเพราะผมมีแม่อยู่แค่คนเดียว ผมจะหาแม่ที่ดี ๆ แบบนี้ได้ที่ไหนไม่มีอีกแล้วละ
ผมทำงานอยู่กับนายคนนี้ได้ 7 ปีผมก็ต้องไปเพราะผมหมดภาระเรื่องน้องสาวที่กำลังเรียนแล้วผมจึงเปิดบริษัทรับเหมาโยธาขึ้นมา ช่วงนี้ก็กิจการค่อนข้างดีเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว แต่ผมก็อยากจะถีบตัวเองขึ้นไปอีกละเพราะวุฒินี้มันไม่เพียงพอสำหรับหัวหน้างาน หรือเจ้าของบริษัทได้ ผมจึงไปเรียนต่อโท เรียนไปทำงานไป สาว ๆ ที่คณะสวยดี จีบๆ ๆ ๆ ๆ มาให้หมดแต่ก็ไม่มีใครที่จะสนใจเป็นจริงเป็นจัง เพราะเขาก็รู้ว่าผมแก่แล้ว อายุก็ปาเข้าไปจะ 50 แล้วจะไปเอาอะไรมากมายนักหนาเล่าสู้จีบเล่น ๆ จะดีกว่า แต่ผมก็ไม่เคยจะคิดมากกว่าการทำตัวเป็นหมาปากเปราะยืนอยู่หน้าคณะทุก ๆ วันเพื่อที่จะเรียกร้องความสนใจจากคณะวิทยาการจัดการ แต่สิ่งที่ได้รับคือสาว ๆ เมินหน้าใส่ทุกวัน นี่ก็เป็นความสุขของคนอายุมากคนหนึ่งละ
แล้ววันนี้ผมก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งสวยมาก ๆ ไม่เคยเห็นใครสวยขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งคณะวิศวะไม่เห็นมีใครจะสวยบาดตาบาดใจขนาดนี้เลย หนุ่ม ๆ หลายคนตามจีบเธอแต่เธอก็ทำไม่สน เธอคงถือว่าเธอสวยละมั้ง แต่ไม่ได้หรอกผมถือว่าผมแก่ขนาดนี้แล้วถ้ายังหาเมียไม่ได้ก็ไปตายได้แล้วละ ผมนึกแบบนั้นมันจึงทำให้ผมเทียวหาเธอทุกวัน แอบตามเธอไปที่บ้าน แต่ก็ต้องถูกกีกกันด้วยฝูงหมา เพราะที่บ้านเธอเลี้ยงหมาไว้เยอะเหลือเกิน แต่ผมก็ยังไม่ท้อ อุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม ผมก็ตามเธออยู่เรื่อยเป็นเวลา 5 เดือน จนเธอเห็นใจเธอจึงยอมขึ้นรถคันหรูของผม ผมไปบ้านเธอ พาเธอมาบ้านผม จนเรายอมตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน หนุ่ม ๆ ที่คณะหลายคนถึงกับตาโตทีเดียว เพราะไม่คิดว่าผมจะได้คบกับคนสวย ๆ และเด็ก ๆ แบบนี้
พี่กอล์ฟ พี่ทำได้ไงเนี่ย ยายลูกแก้วถึงได้ยอมเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้พี่ควงไปควงมา
เฮ้ย!!!พูดให้มันดี ๆ หน่อย คุณลูกแก้วเขาไม่ใช่ตุ๊กตาหน้ารถหรอกโว๊ย! แต่เขาเป็นแฟนข้าเว้ย
หา.แฟน.แฟนเหรอ
พวกนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันทีเดียวทำให้ผมต้องยืนยิ้มกริ่มอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนของคณะ
พะ พะ พี่ทำได้ไงเนี่ย
ดักรอบตั้งหมั่นกู้ เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยวเว้ย55555.
ผมนะหัวเราะชอบใจที่สุดเพราะ ผมกลายเป็นคนชนะในหมู่เด็กวิศวะ ป.โท ทีเดียว
พอผมทำวิทยานิพนธ์เสร็จ และก็รู้แล้วว่าเรียนจบแน่ ๆ ผมจึงไปฉลองกับเพื่อน ๆ แล้วก็พาเธอไปด้วย วันนั้นเราสนุกกันมากทีเดียว เพื่อน ๆ เกรียวกราววู้ฮู้กันราวกับคนป่า แต่ก็ดูทุกคนมีความสุขกันดี พูดตามตรงเลยนะว่าทั้งห้องมีผมคนเดียวนี่แหละที่อายุมากสุด ที่จริงอายุของผมก็เท่ากับอาจารย์ที่สอนน่ะแหละ ผมยังไม่เคยคิดเลยว่าเธอคนนั้นจะตกลงปลงใจที่จะเป็นแฟนผม แต่วันนี้ผมก็เมามากจริง ๆ ขับรถส่ายไปส่ายมา ปวดหัวจริง ๆ ทนไม่ไหว..
อวก อวก อวก!!!
ของดีและไม่ดีหลายอย่างกำลังจะพุ่ง ผมต้องจอดรถข้างทางเพื่อที่จะเอามันออก เธอจึงขับรถลากเกียมาส่งผมที่บ้านแล้วเธอก็อยู่ที่บ้านผมทั้งคืน แต่ว่าเราไม่ได้มีอะไรกันนะเพราะเธอไปนอนห้องของน้องสาวผมที่ยังว่างอยู่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูแต่เช้าเลย ผมเดินงัวเงียงัวเงียมาเปิดประตูห้อง แม่และเธอเข้ามาในห้อง
นี่แน่ ไอ้ลูกคนนี้
อะไรกันแม่เขกหัวผมทำไม
ก็แกเมาไม่ได้สติกลับเองไม่ได้ เห็นไหมเดือดร้อนถึงหนูลูกแก้วเลยเห็นไหม เนี่ยแม่เขาก็โทรมาตามแล้วจะว่ายังไง แล้วพ่อแม่เขาก็ไม่ฟังด้วยจะเอาตำรงตำรวจมาจับหาว่าแกไปกักขังหน่วงเหนี่ยวลูกสาวเขาไว้เนี่ย แกจะว่ายังไงหา!!!
แม่พูดจบก็บิดหูผมต่อเลย ผมก็ได้แต่ร้องโอย โอยไปเพราะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แล้วผมก็เหลือบไปมองเธอ ผมเห็นเธอทำหน้าซีดเซียวทีเดียว
สักพักตำรวจก็มา ผมและเธออธิบายยังไงเขาก็ไม่ฟัง วันนั้นผมจึงต้องขึ้นโรงพักเป็นครั้งแรก พ่อแม่เธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดี พูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกเลย
เนี่ยลูกสาวฉันเสียหายน่ะเธอจะว่ายังไง เธอจะรับผิดชอบไหมหา!!!
คุณแม่หนูไม่ได้เสียหายอะไรเลยนะคะ พี่กอล์ฟเขาก็ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย คุณแม่
นี่แกหุบปากไปเลยนะ นี่มันเรื่องใหญ่เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาจัดการเองเป็นเด็กก็อยู่เฉย ๆ
คุณครับคุณจะว่ายังไงครับ คุณครับ
เสียงตำรวจพูดอื้ออึงไปหมด ผมไม่รู้จะตอบยังไงแล้ว ทั้งโกรธทั้งยั๊วะที่ไม่มีใครฟังผม ผมจึงกระแทกโต๊ะอย่างแรงทีเดียว
ปึง
ทุกคนเงียบกันหมด เพราะคงตกใจ สักแป๊บก็อื้ออึงต่ออีก
นี่คุณฟังผมบ้างสิ!!!
ผมตะโกนเสียงดังลั่นโรงพัก ทุกคนจึงสงบลง
คุณลูกแก้วครับ แต่งงานกับผมเถอะครับ!!!
ผมตะโกนสุดเสียง ทุกคนถึงกับอึ้งเพราะไม่คิดว่าผมจะพูดขอแต่งงานบนโรงพักดื้อ ๆ แบบนี้ ทำให้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจให้คนอื่นต้องมามุงดู ผมนั่งลงกราบแทบเท้าของพ่อแม่ฝ่ายหญิงเพื่อขอสมา
ผมขอโทษครับที่ผมล่วงเกินอะไรไป ผมกราบละครับถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ได้ล่วงเกินคุณลูกแก้วเลยแต่ผมก็ยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่างเพราะผมทำให้ชื่อเสียงของเธอเสียหาย และอีกอย่างผมก็รักเธอด้วย
ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไม่ขัดข้องลูก แล้วพ่อล่ะ ยอม ๆ เขาเถอะ ลูกเขยดี ๆ จะหาได้ที่ไหน
แม่ของเธอใช้ข้อศอกสะกิดพ่อของเธอให้พูด
อืม
พ่อของเธอพยักหน้ารับ ผมจึงหันไปคุกเข่าขอเธอแต่งงานอีกครั้ง
คุณลูกแก้วครับ แต่งงานกับผมเถอะนะ
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ผู้คนที่มุงดูพากันยิ้มแล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกันไปหมด
แต่งเลย แต่งเลย แต่งเลย
เมื่อเธอยื่นมือมาจับมือผม ผมจึงลาตำรวจ แล้วก็ขอบคุณคนที่เชียร์ผมอยู่ข้าง ๆ จากนั้นผมก็พาเธอไปจดทะเบียนสมรสทันที เธอก็ตกลง ผมสัญญากับเธอว่าหลังจากนี้อีก 7 วันผมจะมาสู่ขอเธอแบบเป็นทางการ ให้เธอรอผม
เมื่อหลังจากนั้นได้ 7 วันเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น ขบวนเจ้าบ่าวมาถึงหน้าบ้านฝ่ายหญิงมีคนวิ่งมาเปิดประตูรับ กว่าผมจะผ่านเข้าไปถึงตัวเธอได้ผมต้องเจอประตูเงินประตูทองถึง 16 ชั้น ตักบาตรเสร็จ สวมแหวน ทำอะไรต่อมิอะไรในงานจนเสร็จ จนกระทั่งถึงพิธีส่งตัวเข้าหอ เพื่อน ๆ มาเชียรกันใหญ่ วันนี้ผมจึงได้หอมแก้มเธอเป็นครั้งแรก และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือน้องสาวทั้ง 2 คนของผมมาร่วมงานด้วย ครอบครัวเราอยู่กันพร้อมหน้า แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันอีกเรื่องก็คือพ่อของผม ซึ่งผมไม่ได้เจอท่านมานานมาก ท่านมาร่วมงานด้วย ดูท่านแต่งตัวดีเป็นพิเศษ
ว่าไงไอ้ลูกชาย แต่งงานแล้วดีใจด้วยนะลูก
พ่อตบไหล่ผม 2 ทีแล้วก็กระซิบข้าง ๆ หูผม ผมถึงกับยิ้มทีเดียว ทุกคนต่างถามกันว่าพ่อพูดว่าอะไรแต่ผมก็ไม่ตอบเพราะเรื่องนี้มันเป็นความลับของเราพ่อ ลูก
ได้เวลาส่งตัวแล้ว ขอให้ลูกทั้งสองรักกันมาก ๆ นะ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดจากัน กอล์ฟแม่ฝากน้องด้วยนะ
ลูกแก้วแม่ฝากพี่เขาด้วยนะ
ไอ้ลูกชายอย่าลืมที่พ่อสั่งนะ
พ่อพูดจบแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง ผมยิ้มแล้วก็เผลอหลุดขำออกมา เมื่อทุกคนออกไปหมดผมจึงมานั่งคุยกับเธอ เราคุยกันอยู่นานจนผมเริ่มง่วงรีบไปอาบน้ำแล้วก็มานอนทันที คืนนี้ผมตั้งใจไว้ว่าผมจะไม่แตะต้องตัวเธอ
พี่กอล์ฟคะ พี่กอล์ฟ เมื่อกี้นี้คุณพ่อท่านว่าอะไรคะพี่กอล์ฟ
ผมทำฟอร์มหลับทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ตัวว่าเธอพูดอะไรจนเธอทนไม่ไหวเดินมานอนข้าง ๆ ผม แต่ก็ดูเธอนอนไม่หลับ เธอเดินลงจากเตียงเดินไปเดินมาอยู่นานแล้วเธอก็เดินไปเปิดประตูห้องเพื่อจะออกจากห้อง เธอคงเหงาเพราะไม่มีใครคุยด้วย แต่ก่อนที่เธอจะเปิดประตูผมก็วิ่งไปจับมือเธอก่อน
อะไรกันคะ
จะไปไหนเหรอ
ก็มันเหงานี่นา เลยจะไปดูข้างล่างเห็นเขากำลังสนุกกัน
ไปไม่ได้โบราณเขาถือ ส่งตัววันแรกจะออกไปนอกห้องไม่ได้นะ
ผมเดินประคองตัวเธอเข้ามานั่งที่โซฟาในห้อง เธอนอนหนุนตักผมเหมือนเด็ก ๆ เลย
อยู่บ้านนอนกี่ทุ่มกัน นี่มันเที่ยงคืนแล้วไม่ง่วงเหรอคนดี
ผมถามขึ้นอย่างสงสัย
ไม่ง่วงค่ะ เพียงแต่ไม่เคยชินกับที่นอน แล้วก็ปกติคุณแม่จะมาเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเพราะฉันชอบฟังค่ะพี่กอล์ฟ
ผมถึงกับหลุดขำออกมาทีเดียว แล้วผมก็มองหน้าเธอ เธอทำหน้าเหมือนกับไม่พอใจผมก็เลยต้องเล่านิทานให้เธอฟังจนหลับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปสรรหานิทานมาจากไหน อาจจะเป็นเพราะผมชอบอ่านหนังสือด้วยหรือเปล่านะ มันถึงทำให้ผมมีเรื่องเล่าให้เธอฟังเยอะแยะ เพราะกว่าเธอจะนอนได้ผมก็เล่านิทานปาเข้าไป 5 เรื่องแล้ว พอเธอหลับสนิทผมจึงอุ้มเธอมานอนบนเตียง ผมมองหน้าเธอจนเคลิ้มหลับไป
30 กรกฎาคม 2547 09:11 น.
สุชาดา โมรา
พิมพ์ใจหัวหน้าฝ่ายการตลาด เธอเป็นคนทำงานคล่องแคล่วว่องไว รับผิดชอบงาน เธอทำงานแต่ละชิ้นด้วยความว่องไวใช้เวลารวดเร็วในการทำงานทำให้ผู้จัดการพอใจมาก ฉะนั้นทุกครั้งที่พิมพ์ใจเสนองานในที่ประชุมเธอก็เสนอผลงานรวดเร็วทำให้วินัยผู้จัดการอารมณ์ดีทุกครั้ง แต่ตรงกันข้ามกับเมื่อชุติมาหัวหน้าฝ่ายการเงินเสนอผลงาน เธอทำให้ผู้จัดการอารมณ์เสียทุกครั้งเพราะชุติมาเป็นคนทำงานชักช้าอืดอาด เวลาเสนอผลงานในที่ประชุมก็ช้า ถึงแม้ว่าจะถูกต้องชัดเจนเหมือนกันแต่ผู้จัดการก็หงุดหงิดทุกครั้งและทำให้เขาต้องหลุดปากออกมาว่า
"ชุติมา คุณนี่ช่างอืดอาดยืดยาดจริง ๆ ผมแทบจะหลับทีเดียวเวลาคุณรายงานเสร็จ"
ชุติมารู้สึกเสียใจมากที่ผู้จัดการพูดทำนองนี้ทุกครั้งที่เธอรายงานในที่ประชุม ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลาออกจากบริษัท ทำให้ผู้จัดการรู้สึกตกใจมาก เขาพยายามทัดทานไม่ให้เธอลาออกแต่เธอกลับบอกว่า
"ที่ฉันตัดสินใจลาออกเพราะบริษัทของคุณจำนงค์ต้องการฉัน และฉันก็ทนไม่ได้ที่คุณว่าแดกดันฉันทุกครั้ง ฉันรับไม่ได้"
ผู้จัดการมาทราบทีหลังว่าบริษัทของคุณจำนงค์เสนอเงินเดือนให้ชุติมาถึง 20,000 บาท ในขณะที่ปัจจุบันนี้ที่เธออยู่บริษัทเก่าได้แค่ 12,000 บาท แต่สิ่งนั้นก็ไม่สำคัญเท่าผู้จัดการคนใหม่เข้าใจเธอ...
วินัยรู้สึกเสียดายชุติมามาก เพราะชุติมาหัวหน้าฝ่ายการเงินเป็นคนที่รอบคอบละเอียดลออ ทำการเงินไม่เคยผิดพลาด ผิดกับหัวหน้าฝ่ายการเงินที่เป็นคนรวดเร็วคล่องแคล่วแต่ผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา...
30 กรกฎาคม 2547 09:04 น.
สุชาดา โมรา
บุกเดี่ยวมาก็หลายครั้งหลายหนคราวนี้ขอบุกเป็นทีมก็แล้วกัน... ฉันยังมีความฝันอีกหลาย ๆ อย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จเพื่อจะได้ชนะใจตนเองเสียที ฉันอยากที่จะไปคว้าดวงดาวที่กำลังรอฉันอยู่บนนั้น ถ้าหากว่าแม็ทนี้ฉันมีชัย ฉันจะได้ก้าวเข้าไปสู่การแข่งขันระดับใหญ่ ๆ คราวนี้ละฉันจะสร้างชื่อเสียงให้ทั่วประเทศได้รับรู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแค่เศษกระดูกอ่อนที่จะถูกพวกรุ่นใหญ่ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามเมื่อไรก็ได้... ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องทำได้
ทุก ๆ เย็นฉันรีบไปสมาคมเพื่อซ้อมยูโดด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่วันนี้เป็นวันที่ฉันตั้งใจเป็นพิเศษ ฉันเข้ากลุ่มกับพี่ขวัญ และพี่โบ ฉันรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดี แต่เสียอย่างเดียวคือเราต้องไปแข่งระดับรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักเพราะน้ำหนักแต่ละคนไม่เท่ากันเลย ฉันจึงต้องฟิตร่างกายเป็นพิเศษ ฉันจะอดทนและตั้งใจเพื่องานนี้โดยเฉพาะ...
"เอี้ย....!!!"
เราหัดทำเสียงข่งขู่คู่ต่อสู้ให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น นับว่าเสียงพวกเรานี่ใช้ได้ทีเดียว ดังกระหึ่มห้องไปหมด ทำให้เรารู้สึกว่ามีกำลังใจขึ้นเยอะ เราแรนโดรี่กัน หาจังหวะทุ่ม หาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ และก็หาเทคนิคใหม่ ๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะคิดท่าไม้ตายออกมา แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันมันก็แค่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นได้ไม่ถึง 7 เดือน ก็เลยไม่มีหัวพลิกแพลงอะไรใหม่ ๆ ออกมาใช้
หลังจากเลิกซ้อมแล้วอาจารย์ดนัย อาจารย์โจ อาจารย์ยอร์ท อาจารย์ไก่ อาจารย์เขียง อาจารย์ปุ๋ย และอาจารย์นิพนธ์ เรียกฉันไปพบ
"ดาว...ครูว่าเธอยังขาดทักษะอยู่มากทีเดียว รวมทั้งเทคนิกพิเศษด้วยอืม...ครูปรึกษากันแล้วพวกครูจะฝึกซ้อมให้เธอเป็นพิเศษเพราะเธอเป็นคนหัวเร็ว มองแป๊บเดี๋ยวก็ทำได้"
อาจารย์ดนัยพูดขึ้นท่ามกลางผู้คนมากมายในเบาะยูโด อาจารย์ทั้ง 7 ท่านจึงขึ้นไปเล่น
แรนโดรี่ให้ดู ฉันเองก็นั่งอยู่ที่ขอบเบาะสีแดง คู่แรกเป็นอาจารย์โจกับอาจารย์ยอร์ท พอฉันมองฉันก็เริ่มจับจุดได้ หลังจากนั้นอาจารย์ดนัยก็ให้ฉันขึ้นไปเล่นกับอาจารย์โจ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านั่นเขาเรียกว่าท่าอะไรแต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันทำได้
ฉันเดินหาจังหวะของอาจารย์โจ พอจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออาจารย์ก็หลบได้เร็วทำให้ฉันต้องเร่งความเร็วมากขึ้น ภายในระยะเวลา 2 วินาทีฉันก็สามารถจับคอเสื้อของอาจารย์ได้ แต่ว่าเสียทีโดนอาจารย์ทุ่มตลอด 5 ครั้ง เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่ากระดูกแขวนคอ ระดับทีมชาติอย่างอาจารย์โจแล้วใครจะหาญไปสู้ได้ ถ้าทุ่มได้สักครั้งก็คงเป็นบุญของคน ๆ นั้นแล้วหละ....
"อิปโป้ง....!!!!"
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ในท่าที่อาจารย์ยอร์ทได้ทำให้ดูเมื่อกี้นี้ โอ้...ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย...ฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ฉันโค้งคำนับอาจารย์โจ แล้วก็หันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์ยอร์ทที่นั่งอยู่ที่ขอบเบาะแดง ทุกคนในเบาะถึงกับปรบมือกราวเลยทีเดียว
"นี่เป็นท่าที่ครูคิดขึ้นเองเรียกว่าท่ากุซุซิ-อุคิวาซายอร์ทดัมดะตะ แปลว่า การทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวแล้วใช้จังหวะเผลอเข้าประชิดพร้อมกับใช้สีข้างทุ่มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว"
เสียงปรบมือในเบาะดังแบบไม่หยุด ฉันมีความรู้สึกว่าอาจารย์แต่ละคนนี่เก่งสมกับเป็นทีมชาติจริง ๆ... อาจารย์ดนัยเรียกอาจารย์ยอร์ทและอาจารย์โจขึ้นไปอีกครั้งเพื่อเล่นแรนโดรี่ คราวนี้เป็นทีของอาจารย์โจบ้าง ฉันตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างเบาะแดงด้วยความสนใจ ฉันดูจังหวะในการทุ่มและการเข้าประชิดคู่ต่อสู้ จนกระทั่งฉันมองเห็นในจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์โจเห็นจุดอ่อนอาจารย์ยอร์ทจากนั้นฉันก็ตั้งใจดูลีลาจนกระทั่งอาจารย์โจทุ่มอาจารย์ยอร์ทได้
"มาแววดาว...ขึ้นมา"
ฉันเดินไปโค้งคำนับอาจารย์ยอร์ทแล้วก็เข้าประชิดตัวทันที ฉันพยายามกระชากคอเสื้อของอาจารย์แต่ก็โดนหักแขนจนรู้สึกว่าเจ็บ... ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกครั้งแต่คราวนี้ฉันใช้มืออีกข้างป้องกันแล้วสืบเท้าปัดตาตุ่มจนอาจารย์ลอย แต่อาจารย์มีเทคนิกสูงสามารถพลิกตัวกลับมาได้จากนั้นฉันจึงใช้ท่าที่อาจารย์โจทำให้ดูเมื่อกี้แล้วเข้าไปทุ่มอาจารย์โดยท่าต่อเนื่อง
"อิปโป้ง....!!!"
ฉันก็ไม่คิดไม่ฝันอีกเหมือนกันว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ทั้ง ๆ ที่ฉันพ่ายให้อาจารย์มาโดยตลอด นี่ถ้าไม่ได้อาจารย์ยอร์ทแนะแนวทางนะฉันคงไม่รู้หรอกว่าจุดอ่อนของอาจารย์โจอยู่ตรงไหน ที่แท้จังหวะเผลอนี่เอง คราวหน้าเราต้องทำให้อาจารย์เสียหลักแล้วตามไปทุ่มอย่างต่อเนื่องทันทีเพื่อไม่ให้ไหวตัวทันทั้ง ๆ นี่ก็เป็นเพียงท่าง่าย ๆที่มีการผสมผสานและการทำให้เสียการทรงตัว
เสียงปรบมือจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่อยู่ข้างล่างเบาะดังอย่างกึกก้องไปหมด ทุกคนไม่มีใครยอมกลับบ้าน แต่ทุกคนมานั่งดูและให้กำลังใจฉัน...
ฉันคำนับอาจารย์ยอร์ทและหันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์โจ
"ท่านี้ครูผสมผสานระหว่างอาราอิ-โกชิกับท่าโอโกชิ-กูโรม่า ครูเรียกมันว่าท่าฮาซูมิอาราอิ-กูโรม่า จำไว้ให้ดี ๆ นะเพราะท่านี้จะเป็นจังหวะที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่แกร่งมาก ๆ และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเสียการทรงตัวเท่านั้น"
ทุกคนปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ดนัยให้อาจารย์ไก่กับอาจารย์เขียงขึ้นไปแรนโดรี่กัน ฉันอาศัยความจำจำท่าที่อาจารย์สอนและมาใช้กับอาจารย์จนสำเร็จ อาจารย์คู่ต่อมาคืออาจารย์นิพนธ์และอาจารย์ปุ๋ย ฉันก็สามารถเอาสิ่งที่อาจารย์สอนมาใช้ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่หนักใจก็คือการที่ต้องขึ้นไปแรนโดรี่กับอาจารย์ดนัยโดยไม่มีใครชี้แนวทางก่อน มันทำให้ฉันรู้สึกว่ายากจริง ๆ ฉันทำยังไงก็ไม่ผ่านด่านนี้ได้เลยจนรู้สึกว่าเหนื่อยมาก อาจารย์จึงพูดขึ้นประโยคนึง
"เธอเป็นแค่เศษหิน ครูเป็นภูผา"
ประโยคนี้มันทำให้ฉันรู้ทันทีว่าการที่แกร่งกับแกร่งมาเจอกันมันก็ไม่สามารถที่จะหักล้างกันได้ ฉันจึงใช้จังหวะของอาจารย์หลาย ๆ คนมาช่วย จากนั้นก็หาเทคนิกพิเศษของตัวเองและเอาท่าที่ใช้ความนุ่มนวลเข้าโจมตี ฉันจึงนำท่าของไทเก๊กมาใช้ผสมผสานกันและก็คิดท่า ๆ หนึ่งออกมาใช้ท่านี้เรียกว่า ไทเดบะ-ดุซุชิการิ และท่านี้ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฉันเอง...
เช้าวันใหม่ที่เต็มไปด้วยความสดใส ฉันรู้สึกว่าร่างกายกระปี้กระเป่าพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันนั่งรถของ ร.พ.ศ 2 มาจนถึง ม.รามคำแหง หัวหมาก ฉันรู้สึกว่าที่นี่ใหญ่โตสวยงาม พอมาถึงฉันก็ไปส่งใบสมัครและชั่งน้ำหนักดูว่าเราน้ำหนักรวมกันเท่าไร แต่ที่จริงพวกเราเล่นรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องชั่งก็ได้ แต่ฉันอยากจะรู้เพื่อจะได้คำนวณว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขนาดไหน ฉันรู้สึกว่าเมื่อ 2 วันก่อนอาจารย์ทุกคนมาช่วยสร้างฝันและให้กำลังใจฉันจนฉันมั่นใจ ไม่กลัวและพร้อมที่จะสู้เพื่อชิงถ้วยพระราชทานมาให้ได้ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและสมาคมฯ
เมื่อจับสลากฉันก็ได้รู้ว่ารุ่นไม่จำกัดน้ำหนักทั้งหมดมี 11 ทีม ทีมของฉันจับได้แม็ทที่ 5 ถ้าเกิดว่าแข่งชนะก็จะเหลืออีก 3 ทีมแล้วก็จะต้องไปแข่งอีก 2 ทีมแล้วถึงจะได้ถ้วยฯ ฉันก็ฝันไว้อย่างนั้นว่าฉันจะต้องได้มาสักเหรียญก็ยังดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถ้วยไปครองก็ตาม... ที่จริงเมื่อฉันเห็นหุ่นคู่ต่อสู้แล้วมันทำให้ใจหวิว ๆ เหมือนกัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อฉันก้าวมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปจะถอยหลังไม่ได้...
ฉันมองดูหลาย ๆ ทีมแข่งกันจนเย็น ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาเลย ดู ๆ แล้วน่ากลัวชะมัด... และแล้วก็มาถึงทีมของฉันจนได้ ฉันรู้สึกจุก ๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งกินสปาเก็ตตี้มา รู้สึกว่าท้องจะอืดเสียด้วย... เมื่อมือหนึ่งของทีมคือพี่ขวัญสายน้ำตาลปลายดำแข่ง ทั้งคู่ดูสูสีกันมากเพราะพวกเขาสายเดียวกัน ลีลาทั้งคู่ถึงกับทำให้หลาย ๆ คนจับจ้อง นักข่าวก็ถ่ายภาพอย่างไม่หยุด ฉันรู้ว่าแสงแฟตมีผลต่อประสาทตาของพี่ขวัญแต่พี่ขวัญก็ยังคงตั้งสติใช้สมาธิจนสามารถทุ่มคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าถึง 15 กิโลได้สำเร็จ
......เฮ........!!!! เสียงผู้คนที่มาเชียรดังสนั่นหอประชุม ม.รามคำแหง 1 ฉันรู้สึกว่ากำลังใจเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง มือที่ 2 รองจากพี่ขวัญก็คือพี่โบ พี่โบเป็นนักยูโดระดับอาเชียระดับสายน้ำตาลปลายดำเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพี่โบต้องทำได้... พี่โบใช้เทคนิกชั้นสูงเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่เป็นสายดำแล้วก็ถูกคู่ต่อสู้ทุ่มได้พลายในพลิบตาด้วยท่ากาต้า ซึ่งท่านี้ถ้าเล่นไม่ดีถึงกับตายได้เชียวนะ แต่โชคดีที่อาจารย์สอนการพลิกตัวและตบเบาะแน่นจึงทำให้พี่โบพลิกตัวทันและไม่ถูกอิปโป้ง การแข่งขันนั้นดุเดือดมากขึ้น ฝ่ายตรงข้ามคำรามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเกร็ง ๆ กลัว ๆ แต่ก็ยังคิดว่าจะสู้ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ความมั่นใจเริ่มลดลงแล้วเพราะคนสุดท้ายก็เป็นสายดำเช่นกัน ฉันหวั่นใจเหลือเกิน แต่ก็คิดถึงอาจารย์ที่สอนจนฉันมีแรงและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
"อิปโป้ง......!!!!"
เผลอแป๊บเดียวพี่โบก็ชนะแล้ว คู่ต่อไปเป็นฉัน ฉันออกไปยืนหลังเส้นแดง คาดสายแดงทับสายฟ้า จากนั้นก็คำนับและก็ก้าวข้ามสายแดงที่ขีดเส้นไป
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันได้ยินเสียงคำรามของคู่ต่อสู้ถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ยังเดินต่อไปเพื่อที่จะไปจับคอเสื้อ ด้วยความที่สายข้างหน้าเป็นสายดำ เขาทั้งเก่งและแกร่ง ฉันพยายามจับคอเสื้อแต่ก็ทำไม่ได้ ในตอนนั้นฉันนึกถึงอาจารย์ดนัยและอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ฉันจึงนำท่าที่ฉันเรียนมาใช้รวมทั้งท่าของฉันด้วย ฉันทั้งเกี่ยว ปัด ทุ่มจนคู่ต่อสู้เสียการทรงตัว จากนั้นฉันจึงเข้าไปซ้ำโดยที่คู่ต่อสู้ไม่ทันจะตั้งตัวทันด้วยท่าที่ฉันคิดขึ้นเองคือท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิ
"อิปโป้ง......!!!!"
เสียงปรบมือและเสียงเฮ...ดังกึกก้อง ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินมาที่ขอบเบาะแดงจากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ขอบเส้นแดงและคำนับพร้อม ๆ กันเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก ผู้ชายคนที่ฉันทุ่มเมื่อกี้เดินมาถามฉัน
"ท่าเมื่อกี้ไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอ..."
"ท่านั้นฉันคิดขึ้นมาเอง"
เขาถึงกับตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าเด็กอย่างฉันจะคิดท่าขึ้นมาเองได้ เขาจึงขอแลกที่อยู่กับฉัน และฉันก็ได้รู้ว่าเขาชื่ออ้น อยู่มหิดลแต่มาร่วมทีมกับทีมพระจอมเกล้าฯ เขาสัญญาว่าจะอยู่เชียรฉัน... ที่จริงเมื่อกี้จุกมาก ๆ เพราะเพิ่งกินอิ่ม ๆ แต่เพราะความจุกเนี่ยแหละถึงทำให้ฉันรีบ ๆ แข่งเพื่อที่จะได้พักท้อง พวกเราจับสลากกันอีกครั้ง ฉันได้พักแค่อึดใจก็ต้องไปแข่งต่อหลังจากที่เหลือเพียง 2 ทีมสุดท้าย ฉันรู้ว่ายังไง ๆ ฉันก็ต้องได้ถ้วยใดถ้วยหนึ่งไปครองแน่ ๆ แต่ฉันก็จะแสดงวิญญาณของนักยูโดที่ดีออกมาจนได้ละ
พี่ขวัญมือ 1 ของทีมเริ่มแข่ง คราวนี้คู่ต่อสู้แกร่งกว่าเดิม ต้องใช้สมาธิและเทคนิกส่วนตัวเข้าช่วย จนกระทั่งชนะได้อย่างไม่คาดฝันทั้ง ๆ ที่คู่ต่อสู้เป็นถึงสายดำ ต่อมามือ 2 พี่โบแข่ง คู่ต่อสู้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันเพราะเขาเป็นสายดำ พี่โบดูท่าทางเอาจริงเอาจังมาก กรรมการก็ดูท่าทางจะลุ้นจนสุดตัวทีเดียว ฉันเหลือบไปมองคนที่จะแข่งกับฉันที่ขอบเบาะแดง ฉันรู้สึกว่าฉันโล่งใจที่เห็นคู่ต่อสู้เป็นผู้หญิงและใช้สายระดับเดียวกับฉัน ฉันหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นพี่โบยังคงแข้าท่าทุ่มคู่ต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละ พี่โบร้องคำรามดังลั่นจนคู่ต่อสู้สะดุ้ง ฉันคิดว่าเขาคงหนวกหูเลยสะดุ้งนะ แต่นั่นเป็นความคิดในตอนนั้น พี่โบจัดการงัดมือออกมาจากที่เขานั่งขดตัวล็อกตัวเองเพื่อป้องกันการถูกล็อก พี่โบจึงใช้ขาหนีบที่รักแร้และงัดมือออกมาหักแขนจนฝ่ายนั้นต้องตบเบาะ 3 ทีเพื่อยอมแพ้
"วาซาริ-วาซาเตะ-อิปโป้ง....!!!!"
เสียงปรบมือดังกันเกรียวกราว จากนั้นฉันจึงลุกขึ้นคำนับคู่ต่อสู้และเข้าใส่ทันที ดู ๆ แล้วคู่ต่อสู้ไม่เท่าไร แต่เทคนิกดีเหลือเกิน ฉันเข้าท่าทุ่มด้วยท่าไท-โอ-โทชิ แล้วปล่อยให้เขาลุกขึ้น ฉันรู้ตัวว่าฉันได้แค่วาซาริ แต่ฉันก็อยากจะยื้อเวลาออกไปอีกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกแรงมาก ฉันตั้งใจจะใช้แรงของคู่ต่อสู้ทำลายตัวเองและฉันก็ทำได้สำเร็จ เมื่อคู่ต่อสู้ออกแรงมาฉันจึงมุดเข้าคว้าขาจากนั้นก็ใช้แรงคู่ต่อสู้แล้วยกขึ้นทุ่มด้วยท่ากาต้าที่เพิ่งเห็นมาเมื่อกี้นี้ได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยมีใครเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่สายระดับต่ำใช้ท่าชั้นสูง และสามารถทุ่มคนที่น้ำหนักมากกว่าถึง 8 กิโล ทุกคนจึงปรบมือเกรียวกราว
ฉันรู้สึกภูมิใจมากวันนี้ได้คว้าถ้วยไปครองจนได้ เฮ....ฉันกู่ก้องร้องในใจด้วยความดีใจ เมื่อรับถ้วยเสร็จก็ค่ำพอดี ฝนก็ตกโปรยปรายอ้นผู้ชายคนเมื่อกี้เขามาชวนฉันไปเที่ยวห้าวฝั่งตรงข้าม ฉันจึงได้ถ่ายรูปสติกเกอร์เป็นครั้งแรก เพราะขณะนั้นการถ่ายรูปสติกเกอร์เพิ่งเข้ามา แต่ยังไงก็ตามเด็กลพบุรีอย่างฉันก็มีโทรศัพท์ใช้ก่อนที่ใครหลาย ๆ คนในกรุงเทพฯจะมีใช้เสียอีก เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก นอกจากจะมีมือถือแล้วยังมีเพจเจอร์อีกด้วยเพราะช่วงนั้นเขากำลังเป็นที่นิยมกัน
ฉันมีความสุขมากที่ได้เที่ยว เพราะนาน ๆ ที่ฉันถึงจะได้มาเที่ยวกับเพื่อนและผู้ชาย ปกติแล้วก็ไม่เคยไปไหนกับใครนอกจากแม่ พี่นัทและพี่ดอน เมื่อพูดถึงพี่นัทมันก็ยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหว ฉันรู้สึกว่าอยากเจอพี่เขาเหลือเกิน...
กลับจากกรุงเทพฯคราวนี้ ได้บทเรียนหลายอย่างเหลือเกิน ได้ท่าใหม่ ๆ มาเล่น ได้เพื่อนใหม่และยังได้เที่ยวด้วย ฉันนั่งรถมาจนง่วงและก็หลับไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงบ้านของพี่โบ ฉันจึงบอกกับอาจารย์นิพนธ์ว่าฉันจะนอนบ้านพี่โบ ทุกคนลงบ้านพี่โบกันหมด 11 คนที่ไป พวกเราจึงนอนที่นั่นเพราะบ้านพี่โบมีห้องเยอะ กว้างขวางเพราะเขารวย ฉันจึงได้รู้จักพี่ชายของพี่โบซึ่งเป็นนัก
บาสชื่อพี่แบต รวมทั้งเพื่อน ๆ ของพี่เขาด้วยเราจึงสนิทกัน...ฉันง่วงแล้วก็นอนในห้องกับพี่ทิพย์ พี่ขวัญจนลืมโทรไปบอกที่บ้านว่าฉันอยู่ซอย 8 ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน
ตอนเช้าที่สดใส ฉันตื่นมาอาบน้ำทำกับข้าวให้ทุกคนทาน พ่อแม่ของพี่โบบอกว่าฉันทำกับข้าวอร่อยเสียอย่างเดียวคือหวานไปนิด พอทุกคนทานกันเสร็จฉันก็เดินออกไปดูว่าวันนี้มีรถผ่านมาหรือเปล่า ฉันจึงมาเก็บข้าวของเตรียมที่จะกลับบ้านพร้อมถ้วยพระราชทานที่เมื่อวานเพิ่งไปรับมาจากพระบรมฉายาลักษณ์ ฉันเดินลงบันไดบ้านอย่างมีความสุข ส่วนพวกพี่แบตไปกันหมดแล้ว ฉันมีความรู้สึกว่าใครกำลังมองฉันอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นพ่อยืนอยู่ที่บันไดบ้าน พ่อขึ้นไปคุยกับพ่อแม่ของพี่ขวัญแล้วก็เดินยิ้ม ๆ ลงมา จากนั้นก็พาฉันกลับบ้าน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทุกคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า แม่ดุฉันตลอดเลย ส่วนย่าไม่ยอมพูดกับฉันเอะอะก็บอกว่าจะตีฉันจึงคุกเข่าแล้วคลานเข้าไปใกล้ ๆ
"คุณย่าขา...ดาวขอโทษนะคะ เมื่อคืนมันง่วงค่ะ ฝนก็ตก ดาวเลยนอนบ้านพี่โบ ไม่อันตรายสักนิด จริง ๆ นะคะไม่เชื่อถามคุณพ่อสิคะ"
"อย่ามาทำปากหวานให้ย่าใจอ่อนเลย เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็มา..."
"อย่าตีหนูเลยนะคะ นี่ค่ะหนูมีของมาฝาก"
ฉันคว้ากระเป๋าและเปิดออกมาเอาถ้วยพระราชทานยกขึ้นมาให้ย่าดู ย่าถึงกับวางไม้เรียวแล้วก็ยิ้มจนร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ ย่ากอดฉันและให้ฉันมานั่งใกล้ ๆ ย่ากอดฉันไว้แน่นทีเดียว ส่วนแม่กับพ่อถึงกับน้ำตาไหล ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงได้ร้องไห้ แต่ฉันรู้อย่างเดียวก็คือฉันไม่ถูกตีก็พอใจแล้วละ....
"เก่งมากลูก ย่าอยากให้เจ้ามีฝันแบบนี้ตลอดไป ฝันแล้วต้องทำให้ได้..."
คำพูดของย่ายังคงอยู่ในหัวใจของฉันตลอดมา... ชื่อเสียงของบ้านเราเริ่มดังขึ้น หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวหน้า 1 ทุกฉบับ ทำให้ชาวบ้านต่างก็มาซักถามและอยากเรียนยูโดมากขึ้น ขณะนี้ฉันมีความสุขเหลือเกิน คราวหน้าจะมีการแข่งอะไรนะ ฉันรู้สึกว่าเลือดและวิญญาณในตัวฉันเรียกร้องที่จะสู้เต็มทนแล้วละ
แววดาวจะไปได้ถึงดวงดาวหรือไม่ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เหมี่ยวจะยังตามราวีเธอหรือเปล่า...โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ รับรองว่าเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ทีเดียว...
อย่าลืมอ่านตอนต่อไปนะคะ ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ....