29 กรกฎาคม 2547 00:34 น.
สุชาดา โมรา
หลังจากที่เป็นข่าวอื้อฉาวในวงการกีฬา ฉันมีความรู้สึกว่าฉันกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป ข่าวทุกฉบับต้องพาดหัวเรื่องของฉันตลอดจนฉันไม่อยากจะเดินไปไหนอีกแล้ว เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนถาม...ฉันรู้สึกเบื่อจริง ๆ เวลาไปโรงเรียนเพื่อน ๆ รวมทั้งอาจารย์ก็ฮือฮากัน มีแต่คนถามจนฉันไม่รู้จะตอบคำถามยังไงดี...
"แววดาว...ครูถามหน่อยเถอะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ เธอไปเป็นนักกีฬาระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรทำไมไม่บอกครู"
ฉันไม่รู้ว่าจะตอบปัญหายังไงดีเลย อาจารย์คนนั้นก็ถามคนนี้ก็ถามจนฉันรู้สึกไม่อยากจะเรียนอีกแล้ว...ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงชอบยุ่งกับฉันนักนะ ทำไมไม่เอาเวลาเพ้อเจ้อแบบนี้ไปทำอะไรให้มีประโยชน์บ้าง ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
"แหม...ดังนักนี่ได้ออกทีวีทุกช่อง ได้ลงหนังสือพิมพ์...นึกว่าเธอแน่นักเหรอไงหา..."
แก๊ง 7 ห้าวนี่ช่างสอดจริง ๆ เลย นี่คงยังไม่เข็ดที่โดนไปวันนั้นสิท่า...
"ระวังตัวเองไว้ให้ดีเถอะ ฉันจะเอาพวกมารุมโทรมแก...!!!"
"เอามาเลย...ฉันไม่กลัวหรอกนังต้อม ถ้าแน่จริงเรียกพวกมาเลยฉันจะได้ไปแจ้งความไว้ก่อน ถ้าฉันเป็นอะไรแกคนแรกนั่นแหละที่จะโดน รวมทั้งคนในกลุ่มแกด้วย"
ฉันยืดอกพูดอย่างเต็มปากเต็มคำทันที ตอนนั้นถึงแม้ว่าฉันจะหวั่นใจนิด ๆ แต่ฉันก็ต้องข่มใจพูดไปว่าไม่กลัว อีกอย่างฉันพูดด้วยความโมโหด้วยมันจึงทำให้ฉันพลั้งปากพูดไปแบบนั้น
ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันมีความรู้สึกว่าฉันหดหู่ยังไงชอบกล ไม่สนุกอย่างที่คิด วันนี้ดู ๆ แล้วเรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแถมยังโดนพวกปากไม่อยู่สุขพร่ำทั้งวันจนอารมณ์แทบจะระเบิดออกมา เนี่ยถ้ายั้งไม่อยู่นะฉันอาจจะเป็นฆาตกรเลยก็ได้... แต่ดีนะที่แม่สอนว่าต้องมีสติยั้งคิด รู้จักระงับอารมณ์ของตัวเอง วันนี้ฉันเลยนั่งนับเลขในใจจนกระทั่งลืมไปว่าพวกนั้นด่าอย่างไรบ้าง ฉันนะเบื่อพวกเดนสังคมจริง ๆ เชียว...
ฉันเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนทางฝั่งตะวันออกซึ่งไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก ฉันก็ต้องหยุดชะงักเพราะกลุ่ม 7 ห้าวนี้
"ไง...แกแน่นักเหรอ...นี่ฉันเอาพวกมาลงแขกแกแล้วไง"
ฉันรู้สึกขวัญเสียมาก ๆ ที่ยายพวกนี้คิดปองร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้ ฉันรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายสามคนนี้ต้องเป็นพวกหื่นกาม เพราะท่าทางมันบ่งบอกว่าต้องใช่แน่ ๆ แต่ถึงฉันจะรู้สึกกลัวแต่ฉันก็ทำเป็นไม่กลัว ฉันเดินหลบออกไปอีกทางเพื่อที่จะไปออกประตูกลางแต่ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าเอาไว้
"ไงน้อง...กลัวเหรอจ๊ะ ไม่ต้องกลัว ๆ มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองไม่เหงา...เดี๋ยวสิจะไปไหน"
ฉันเบี่ยงตัวหนีออกมาอีกแต่คนพวกนั้นยังตามมาราวีฉันอีก เห็นทีว่าถ้าฉันไม่สู้ก็คงไม่ได้ซะแล้ว ฉันจึงหันกลับไปมองด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างโกรธ
"สวย ๆ แบบนี้ตอนโกรธนี่ก็น่ารักดีนะ ใช่ไหมพวกเรา"
"จะทำอะไรก็ทำ ๆๆๆเถอะเดี๋ยวฉันจะไปดูต้นทางให้ว่าจะมีใครผ่านมาเส้นนี้หรือเปล่า"
ฉันรู้สึกเกลียดคำพูดของนังต้อมเพื่อนเลวคนนี้จริง ๆ เลย พูดตามตรงนะว่าตั้งแต่เรียนมาฉันไม่เคยถูกชะตามันเลย ให้ตายสิ...ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบนังต้อมนี่มันจะเลวได้ถึงขนาดนี้
"ไงน้องยืนมองอะไรอยู่ ไปหาความสุขกันดีกว่านะ หรือว่าอาย ไม่ต้องอายเดี๋ยวพี่ให้พวกผู้หญิงที่เหลืออีก 6 คนนี่ออกไปดูต้นทางก่อน ก็จะเหลือแต่พี่ 3 คน แฟไหม"
"ไอ้เลว...!!!!"
ฉันตอบด้วยเสียงที่โกรธจนถึงขีดสุด ฉันแทบจะคลั่งจึงเดินหนีออกมาอีก ฉันย่ำเท้าด้วยความเร็วแต่ชายคนนี้มันมาคว้าแขนฉันไว้ โชคดีที่วันนี้ใส่ชุดกีฬามันจึงทำให้ฉันเตะได้สูง ฉันกระโดดกลับหลังเตะก้านคอทันที ชายคนนั้นถึงกับมึนลงไปกองอยู่กับพื้น และฉันก็เดินหนีออกมา แต่ชายอีก 2 คนก็ยังคงตามฉันมา ถ้าฉันไม่สู้เห็นทีคนพวกนี้ก็จะต้องทำร้ายฉันแน่ ๆ ฉันจึงหันกลับไปสู้อย่างคนที่เลือดร้อน
"หันมาทำไมจ๊ะ อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม...!!!"
"แกอย่ามาทำเป็นตะคอกใส่ฉันนะ...ไอ้เลว...!!!"
เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามาล็อกคอฉันไว้ ส่วนอีกคนหนึ่งหวังที่จะเข้ามาต่อยลิ้นปี่ฉัน ฉันจึงเนี่ยวคอชายคนที่จับฉันและก็ถีบทันที ทำให้ชายคนที่จะมาต่อยนั้นถึงกับหงายท้องทีเดียว จากนั้นฉันก็ย่อตัวพร้อมกับเหนี่ยวคอชายคนที่ล็อกคอฉันไว้ด้วยท่าทุ่มโคชิ-กูโรม่าทันที ชายคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศประมาณ 3 วินาทีแล้วก็หล่นลงมาด้วยความเร็วทำให้หลังไปกระแทกกับเหล็กที่กั้นขอบถนน เพราะช่วงนี้เขากำลังทำถนนกันอยู่ ทำให้ชายคนนั้นลุกไม่ขึ้น ส่วนชายที่ถูกเตะก้านคอไปคนแรกกลับลุกขึ้นได้ เดินกลับมาตบหน้าฉันจนเกือบล้มแต่ฉันก็หันกลับไปเอาคืนด้วยการหักแขนแล้วก็ต่อยที่เบ้าตา จากนั้นฉันก็ใช้สันมือตบที่ทัดดอกไม้โดยการกระโดดขึ้นไปตบทำให้ชายคนนั้นหูแดงกล่ำและฟุบตัวลง ส่วนชายที่ถูกถีบนั้นลุกขึ้นมา
"มึงแน่นักเหรอ...หา...!!!"
พอฉันเงื้อหมัดขึ้นมาตั้งท่าว่าจะต่อยชายคนนั้นจึงหันไปคว้าคอของแนนแล้ววิ่งหายไปทันที ส่วนชายที่เหลืออีก 2 คนก็วิ่งตามไปด้วย ฉันจึงรีบไปที่สมาคมฯเพื่อไปขอคำปรึกษาจากพี่ดอน ฉันทั้งกลัวและตกใจเป็นอย่างมาก ฉันเดินไปนึกไปตลอดทางจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
"หา...จริงเหรอดาว"
"จริงสิถ้าไม่จริงจะเล่าทำไม...เนี่ยดาวไม่รู้จะทำยังไงดีเลย พี่ดอนช่วยคิดหน่อยได้ไหม ดาวกลัว..."
"จะกลัวอะไรเก่งขนาดนี้"
"ต่อให้เก่งแค่ไหนสักวันก็คงจะพลาด...หรือว่าไม่จริง"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลนลานจนใคร ๆ ที่เล่นยูโดต่างก็มานั่งฟังและลงมติว่าต้องไปแจ้งความ ฉันจึงไปกับพวกพี่ ๆ และอาจารย์ ตำรวจซักซะหมดเปลือก ตำรวจบอกว่าข้อหานี้มันไม่ใช่เล็ก ๆ นี่มันเป็นการขู่พยายามฆ่า และยังเป็นการทำร้ายร่างกายอีก ตำรวจจึงบอกว่าจะตามจับมาให้ได้ ฉันจึงบอกรูปพรรณสันฐานไป รวมทั้งบอกรายชื่อเพื่อน 7 คนนั้นด้วย
วันนี้ฉันจึงมีความรู้สึกที่โล่งใจมากเมื่อได้แจ้งความไปแล้ว ฉันจึงกลับไปที่สมาคมฯอีกครั้งและเก็บข้าวของกลับบ้าน
"พี่ไปส่งนะดาว..."
"ไม่เป็นไรหรอกดาวกลับเองได้...ขอบคุณนะพี่ดอน"
ตอนนี้ฉันรู้สึกคิดถึงพี่นัทมากทีเดียว เมื่อไรนะที่พี่นัทจะกลับมา ถึงแม้ว่าปากฉันจะบอกว่าเลิกกับเขาแต่ภายในใจลึก ๆ แล้วฉันหวั่นไหวเหลือเกิน ฉันจะทำอย่างไรดีนะ แววดาวเอ๊ย...ทำไมถึงไม่ลืมพี่นัทอีกนะ เนี่ยถ้าพี่นัทอยู่เขาคงให้คำปรึกษาได้มากกว่านี้ทีเดียว โถ่เอ๊ย...
พี่ดอนมาส่งฉันที่บ้าน คุณแม่ทำท่าไม่ค่อยพอใจเพราะท่านคงดูออกว่าพี่ดอนเป็นคนอย่างไร คุณแม่บอกให้เลิกกันซะเพราะถ้าคบกันต่อไปมันจะทำให้เกียรติเราต่ำลงสักวันหนึ่ง...ฉันก็คิดว่าฉันไม่เหมาะกับพี่ดอนเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อฉันคบกับพี่ดอนเพื่อให้ลืมพี่นัท ถ้าไม่มีพี่ดอน ชีวิตฉันคงหักเหมากไปกว่านี้ เพราะพี่ดอนคอยเป็นเพื่อนเวลาฉันท้อแท้ ถึงแม้ว่าพี่ดอนจะเป็นคนก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ก็ตามแต่ความดีของเขาก็คือการเทคแคร์เรา เขาดูแลเราถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าพี่นัทก็ตามเถอะ...
เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส ฉันมาเข้าแถวเคารพธงชาติทันเป็นวันแรก อาจารย์ประจำชั้นเรียกฉันไปพบพร้อมกับกลุ่ม 7 ห้าว แต่ว่าวันนี้กลุ่ม 7 ห้าวขาดแนนไปคนหนึ่ง ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแนนหายไปไหนจนกระทั่งมาถึงห้องพักครู
"มากันแล้วเหรอ นี่ตำรวจมาขอพบพวกเธอ และนี่ก็ผู้ปกครองของยายจุฑาทิพย์ ก็คุย ๆ กับตำรวจนะครูจะคอยเป็นคนกลาง"
พออาจารย์ทองพูดเสร็จตำรวจก็ซักทันที ตำรวจให้ข้อห้าเด็กทั้ง 6 คนว่าสมรู้ร่วมคิดและพยายามฆ่า รวมทั้งทำร้ายร่างกายด้วย นี่ก็เป็นข้อหาทางอาญาทั้งนั้น ส่วนผู้ปกครองของแนนบอกว่าแนนหายไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับเลยฉันจึงบอกกับผู้ปกครองของแนนไป
"เมื่อวานตอนที่พวกนี้มาดักทำร้ายหนู แนนก็อยู่ด้วย แนนเป็นหนึ่งในนั้นที่ตามผู้ชาย 3 คนนั่นมา และพอผู้ชายคนนั้นทำอะไรหนูไม่ได้เขาก็เลยคว้าคอแนนแล้ววิ่งไป"
แม่ของแนนถึงกับเป็นลมทันที ฉันไม่รู้ว่าฉันจะพูดตรงไปหรือเปล่า แต่ฉันก็ได้บอกความจริงไปแล้ว ก็สุดแล้วแต่ว่าผู้ปกครองเขาจะรับได้หรือเปล่า
"ไม่จริงหรอก เธอนี่คงจะแสบน่าดูเลยเพื่อน ๆ ถึงไม่ชอบขี้หน้า เธอนี่มันเด็กกาลีบ้านกาลีเมืองจริง ๆ ลูกสาวกูไม่เป็นแบบนั้น"
พ่อของแนนพูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบทำให้ตำรวจต้องเข้าไปดึงตัวไว้และแจ้งข้อหาพ่อของแนนว่าหมิ่นประมาทและประทุสร้าย...
วันนี้พวกเราทุกคนจึงต้องขึ้นโรงพักพร้อมกับผู้ปกครอง แม่ของฉันถึงกับปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าฉันจะโดนทำร้ายร่างกาย แต่ย่าของฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ย่าบอกว่าถ้าใครมันทำหลานให้ต้องเจ็บย่าจะไม่ยอม ย่าจะเอาคืนให้สาสม...ถึงแม้ว่าย่าจะเป็นคนชอบด่าอยู่เสมอ แต่ย่าก็รักหลานและก็ไม่ยอมยอมความง่าย ๆ ย่าบอกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอม ทำยังไงก็ไม่ยอมให้ลูกหลานต้องเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี และต้องถูกปองร้ายแบบนี้
ตำรวจถามว่าจะยอมความไหม แต่ย่าไม่ยอมย่าเรียกเงินถึงหัวละ 50,000 บาท แต่ผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมจ่าย เด็กทั้งหมด 6 คนจึงถูกขังให้ไปนอนมุ้งสายบัว ฉันก็รู้สึกเห็นใจพวกนั้นเหมือนกันแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อพวกนั้นทำกับฉันก่อน ถึงจะให้อภัยแต่ถ้าเราให้อภัยพวกนี้ก็ไม่ยอมเลิกลา ต้องให้มันรู้รสชาติของการกระทำที่ก่อเอาไว้บ้าง...แต่สักพักผู้ปกครองของสาก็มาขอประกันตัวและยอมความ ตกลงยอมจ่ายเงินทันที สาไม่ยอมพูดจากับเพื่อนที่อยู่ในคุกเพราะสาคงรู้สึกโกรธ สาเป็นคนนิสัยดีที่สุดในกลุ่มนั้น ที่จริงฉันก็รู้ว่าสาไม่อยากจะทำแบบนั้นแต่สาติดเพื่อน นี่ก็เป็นโทษของการติดเพื่อนนะมันจึงทำให้สาต้องมารับผลกรรมโดยที่ไม่ได้อยากจะทำเลย
"ขอโทษนะดาว...ยกโทษให้ฉันนะฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"อย่าไปยกโทษให้มันอีเพื่อนแบบนี้ย่ารับไม่ได้"
คำพูดของย่าถึงกับทำให้สาร้องไห้โฮทีเดียวแล้วก็เดินไปกอดแม่ของเธอ สาหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสารภาพผิดทั้งหมดแล้วก็เดินลงบันไดโรงพักไป สายไปเสียแล้วละสา เธอคบเพื่อนไม่ดีเองมันจึงทำให้ชีวิตต้องตกต่ำ...น่าสงสารเหมือนกันนะ
วันนี้ฉันไม่ได้เรียนทั้งวัน นั่งอยู่ที่โรงพักกับผู้ปกครอง ตำรวจสอบปากคำต้อมจนรู้ว่าผู้ชาย 3 คนนั้นต้อมรู้จักเป็นอย่างดีและก็เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งด้วย ผู้ปกครองของต้อมถึงกับรับไม่ได้ การให้การของต้อมทำให้ต้อมต้องโดนข้อหาหลายคดี เพราะต้อมเป็นหัวหน้าเด็กแม็ทหรือแม่เล้านั่นแหละ นอกจากนั้นตำรวจยังให้ต้อมสาวไปถึงขบวนการใหญ่ที่ต้อมต้องส่งส่วยให้เสี่ยยุทธนาอีกด้วย ต้อมหมดหนทางจึงต้องบอกกับตำรวจทั้งหมด อนาคตต้อมจึงดับลงในตอนนั้น ถึงแม้ว่าแม่ของต้อมจะยอมความจ่ายเงินให้ฉันแต่ว่าต้อมต้องติดคุกยาวเพราะข้อหาค้าประเวณีมันร้ายแรงนัก แม่ของต้อมต้องมาลาออกให้ต้อมที่โรงเรียน ส่วนอ้อมนั้นพ่อของอ้อมมาประกันตัวและยอมความในที่สุด ที่เหลือก็ยังคงอยู่ในคุกเพราะไม่มีผู้ปกครองมายอมความ
สาแม่พาย้ายไปอยู่ลำปาง อ้อมพ่อบอกให้เลิกเรียนเพราะถึงเรียนก็ดีแต่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนจริง ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะทำแบบนั้น...
วันนี้ฉันไปซ้อมยูโดแต่วัน พี่ ๆ หลายคนในเบาะไม่ว่าจะเป็นพี่เอก พี่แท็ก พี่โจ พี่โก้ พี่โอม พี่ป๋อง พี่ทิพย์ พี่ขวัญ พี่ตูน พี่แทน พี่จง พี่ออฟ พี่ตั้น พี่ไก่ พี่อั๋น พี่ตา พี่ทิพย์ พี่เต้ พี่ดอนและอาจารย์ก็มานั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโรงพักวันนี้ ฉันเล่าไปนั่งซึมไปจนอาจารย์ยอร์ท
พูดขึ้น
"อย่าคิดมาเลยมันเป็นเวรกรรมของคนที่ทำมาไม่เท่ากัน ชาติที่แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเขาแต่เขากลับมาทำเราในชาตินี้เขาก็ควรรับกรรม อย่าเศร้าเลยมันไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย"
ฉันรู้สึกว่าการปลอบใจของอาจารย์ไม่เป็นผลกับฉันเลย กลับทำให้เครียดหนักกว่าเก่า วันนี้ฉันจึงซ้อมยูโดเหมือนคนที่ไม่มีหัวใจรักที่จะเล่นเลย
"แววดาวมานี่หน่อย"
อาจารย์ดนัยพูดขึ้น ฉันจึงลงจากเบาะและไปหาอาจารย์
"ทำไมวันนี้เล่นไม่ดีเลย อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียน เราจะต้องไปแข่งอีกไกลเข้าใจไหม เราจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เอาวิญญาณของนักกีฬาที่ดีออกมาสำแดงให้รู้ว่าเราไม่เคยแพ้ใคร เข้าใจไหม..."
อาจารย์ดนัยพูดด้วยเสียงที่เข้มงวดจนฉันรู้สึกกลัว แต่แววตาของอาจารย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ที่จริงอาจารย์ดูจะเอ็นดูฉันเป็นพิเศษเพราะฉันเป็นคนหัวเร็ว สอนอะไรก็เป็นเลยจึงทำให้อาจารย์ไม่ต้องมาบ่นฉันหรือสอนมาหลาย ๆ รอบ แค่ฉันดูครั้งเดียวฉันก็เล่นได้ฉันจึงเป็นที่รักของอาจารย์ในเบาะยูโด...
เย็นวันนี้พี่ดอนมาส่งฉัน แต่ฉันให้เขามาส่งแค่หน้าปากซอยเพราะแม่ไม่ชอบพี่ดอน พี่ดอนจึงทำหน้าเศร้า ๆ ฉันก็รู้สึกว่าพี่ดอนเสียใจแต่จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย นับวันเราก็ยิ่งจะไม่ค่อยลงลอยกันเพราะพี่ดอนอยากไปส่งที่บ้านแต่ฉันไม่ให้ไปเพราะฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน
ฉันดูข่าวโทรทัศน์พบว่าแนนตายแล้ว ถูกรุมโทรมแล้วก็ฆ่า ชาย 3 คนนั้นคงแค้นที่ไม่ได้ฉันในวันนั้นมันจึงเอาแนนไป ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนมากเลย พ่อแม่ของแนนคงอกสั่นและเสียใจมากทีเดียวเพราะแนนเป็นลูกคนเดียวของท่านเสียด้วย เนี่ยแหละหนาเขาถึงได้บอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ฉันถึงได้รู้ซึ้งวันนี้นี่เอง... แต่ก็ยังดีที่ตำรวจจับชาย 3 คนนั้นได้ พวกนั้นเลยต้องเข้าไปอยู่มุ้งสายบัวด้วย...
เย็นวันนี้ตำรวจโทรมาบอกว่าผู้ปกครองของฝ้าย เก๋และก็ฟ้ายอมความแล้ว ฉันก็ดีใจมาก แต่ 3 คนนี้ไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว ผู้ปกครองให้ย้ายไปเรียนที่อื่น เพราะสร้างความอับอายให้ครอบครัวจนแทบจะซุกแผ่นดินหนี ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยจริง ๆ นะ ฉันต้องขอโทษด้วยละกันนะ... ต่อไปนี้ก็คงไม่มีแก๊ง 7 ห้าวในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว คนในห้องก็จะเหลือแค่ผู้หญิง 9 คนนอกนั้นก็ผู้ชายอีก 15 คน แต่ถ้าคิดกลับมุมมันก็ดีไปอย่างนะที่ในห้องจะไม่มีอันธพาลขูดรีดเพื่อนและทำร้ายเพื่อน... แต่มันก็ยังมีเสี้ยนที่ตำหัวใจฉันมาตลอดก็คือเหมี่ยว ฉันละสงสันจริง ๆ เลยว่าคนท้องอะไรไปเล่นยูโดได้ แล้วทำไมฉันถึงไม่สืบความจริงให้มันรู้แน่นะ...
บทเรียนในวันนี้มันมีความหมายกับฉันเหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าการคบเพื่อนมันต้องดูให้แน่ชัด การทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ตรองแบบกลุ่ม 7 ห้าวนั้นมันถึงกับทำให้อนาคตดับวูบทีเดียว...
เวลาผ่านไปได้เพียงข้ามคืนฉันก็รู้ข่าวของต้อม ต้อมถูกชายนิรนามฆ่าตายหลังจากที่ชายคนหนึ่งเข้าไปในโรงพักและเอาอาหารให้ต้อมกิน ทำให้ตำรวจไม่มีพยานที่จะจับเสียคนหนึ่งได้ในข้อหาค้าประเวณี
ชีวิตของคนเรานี่น่าหดหู่เหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องอาศัยการทำดี ถ้าหากว่าเราไม่ทำดีแล้วชีวิตเราก็อาจจะเป็นอย่างคนพวกนี้ก็ได้ ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องทำให้คนทุกคนเห็นว่าฉันเป็นคนดีคนเก่งให้ได้ ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ฉันจะตั้งใจเรียนและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล....!!! นัดต่อไปจะเป็นการแข่งยูโดรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก ฉันจะไม่ยอมแพ้พวกอ้วน ๆ นั่นหรอก ฉันจะเอาเหรียญทองมาฝากครอบครัวให้ได้ การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานนี้ฉันต้องทำให้ได้....แววดาวสู้ตายค่ะ...
อย่าพลาดตอนต่อไปนะคะ แววดาวจะทำอย่างไร เธอจะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิต ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้สาวน้อยมหัศจรรย์ของเราด้วยนะคะ โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ...
27 กรกฎาคม 2547 18:58 น.
สุชาดา โมรา
ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด.... เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า ฉันกดนาฬิกาแล้วนอนหลับต่อ จนกระทั่งฉันผวาตื่นขึ้นมา
"เฮ้ย...!!!วันนี้ต้องไปคัดสายที่กรุงเทพฯนี่หว่า ตายแล้ว...!!!"
ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที พ่อฉันมาส่งที่ บ.ข.ส. แต่ฉันมาไม่ทันเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันจึงโทรไปหาพี่ดอน
"ฮัลโหล พี่ดอนเหรอคะ อยู่ไหนคะ หา...ค่ะ ๆ ๆ เดี๋ยวจะตามไปนะคะ พี่นั่งรถ ป.2 เหรอเดี๋ยวดาวไป ป.1 งั้นเจอกันที่อนุเสาวรีย์ชัยนะคะ"
"พ่อคะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวหนูไปเองได้สบายมาก แค่จรัญสนิทวงศ์เอง...ไปนะคะ"
พ่อยิ้มแล้วก็ขับรถกลับไป ฉันนั่งรถ ป.1ไปกรุงเทพฯ คนเดียวทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ คนเดียวซะที เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลยต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวบนรถ มองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีแต่คนแปลกหน้า... ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายหาที่พึ่งไม่ได้เลย ฉันนั่งมาเรื่อย ๆ มองไปข้างทางจนรถจอกที่ป้ายหินกองเพื่อรอเวลา
"ขอโทษนะคะ ขอโทษนะคะ..."
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเหลือเกินดังขึ้น และดังอยู่เรื่อย ๆ จนใกล้เข้ามาถึงฉัน ฉันจึงเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้น
"ย่า...!!!!"
ฉันตกใจมาก ย่ามาได้ยังไงกันเนี่ย!!!
"ดาว...แกมาคนเดียวได้ยังไงรู้ไหมย่าเป็นห่วง พ่อแกก็เหมือนกันปล่อยแกมาได้ไง เดี๋ยวก็ถูกหลอกไปขาย เฮ้อ...!!!"
ย่าตามฉันมาด้วยความเป็นห่วง ย่ายืนบ่นอยู่นานจนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันลุกขึ้นให้ย่านั่ง ย่าก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนฉันหูชาทีเดียว ไม่เพียงบ่นแต่ฉันยังหันไปบ่นให้คนอื่นฟังอีก ทำให้กระเป๋ารถถึงกับหัวเราะออกมาทีเดียว...จากที่นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวบนรถ ก็เหมือนกับฟ้าสั่งให้ย่าตามฉันมาด้วยทำให้ฉันไม่เหงาและเดินทางอย่างไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
"พอย่ารู้ว่าพ่อแกให้แกมาคนเดียวย่าก็เลยสั่งให้ขับรถตามมา โชคดีนะพ่อแกมันช่างสังเกตจำทะเบียนรถได้เลยขับตามมาทันพอดี ไม่งั้นย่าต้องช็อกตายแน่ ๆ เพราะย่าก็มีหลานสาวอยู่แค่คนเดียวย่าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ส่วนแม่แกน่ะเหรอไปส่งตาแกที่สุราษฎร์ยังมาไม่ถึงเลย ถ้ารู้นะว่าแกมาคนเดียวสงสัยแกจะโดนหยิกแขนเขียวแหง ๆ ละ"
คำพูดของย่าทำให้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันรู้สึกได้ว่าที่บ้านทุกคนเป็นห่วงฉันจริง ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่น ไม่เหงาไม่เดียวดายกลับมีความสุขมากที่ได้รู้จากปากย่าซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านรักฉันมากกว่าใคร ๆ ฉันจึงโผกอดย่าด้วยความรัก...
รถมาถึงสถานีหมอชิดใหม่ ฉันพาย่าเดินไปตามทางถนนคอนกรีตผ่านหน้าเซเว่นแล้วเดินไปหารถ ข.ส.ม.ก. ทันที แต่ว่ารถสาย 38 ออกไปแล้วคงอีกนานที่จะได้ขึ้น
ติ๊ดตี่ตีติ๊....!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันรับโทรศัพท์ทันที
"ฮัลโหล...จ่ะ ๆ ๆ ๆ มาถึงแล้ว จ่ะ ๆ ๆ ๆ..."
"ใครโทรมาเหรอดาว"
"พี่ดอนพี่ที่เบาะน่ะแหละค่ะ เขาเป็นห่วงกลัวจะมาไม่ทันแข่ง"
ฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าพี่ดอนเป็นแฟนฉัน เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคบผู้ชาย ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนกะว่าถ้าถึงเวลาเมื่อไรแล้วจะบอกกับทุกคน เพราะฉันต้องการความแน่ใจว่าพี่ดอนจะไม่เป็นแบบพี่นัท... ที่จริงใจจริงลึก ๆ แล้วฉันยังอาลัยอาวรพี่นัทอยู่ เพราะถ้าให้ฉันเทียบระหว่างพี่นัทกับพี่ดอนแล้ว พี่ดอนไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่นัทเลยสักนิด แต่พี่ดอนเป็นคนที่จริงใจและมั่นคงจึงทำให้ฉันคบกับพี่ดอนได้...
"ดาวสายแล้ว ไปคันนี้ก็ได้ผ่านอนุเสาวรีย์เหมือนกัน"
"แต่หนูว่าไปแท็กซี่ดีกว่าเพราะมันเร็วดี"
ฉันพาย่าเดินมาขึ้นรถแท็กซี่
"ไปไหนครับ"
"ซอยจรัญสนิทวงศ์ โรงเรียนบูรณวิทย์"
ฉันนั่งรถมาเรื่อย ๆ คนขับก็คุยกับย่ามาตลอด ย่าก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง คนขับรถหัวเราะไม่หยุดทีเดียว ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกคนกรุง! ที่จริงย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกแต่ท่านพูดไปตามประสาคนแก่ขี้บ่นนิด ๆ ละ
"อ้าวทำไมไม่เลี้ยวขวาเข้าซอยจรัญล่ะ ทำไมเลี้ยวมาทางนี้ จอด ๆ ๆ ๆเดี๋ยวนี้นะ"
ฉันร้องตะโกนลั่นรถ คนขับแท็กซี่จอดรถจนหน้าทิ่ม
"ก็น้องบอกว่าไปโรงเรียนบวรวิทย์ไม่ใช่เหรอ"
"ไม่ใช่ บอกว่าไปบูรณวิทย์...เห็นเป็นคนบ้านนอกแล้วไม่รู้เรื่องในกรุงเทพฯ หรือไง มักง่ายที่สุด ฉันจะลงแล้ว จะไปขึ้นคันอื่น"
ฉันพูดด้วยความโมโห เลือดในตัวสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว ดวงตาฉันจับจ้องไปที่คนขับแท็กซี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว
"ใจเย็น ๆ ลูก"
ย่าเตือนฉัน
"นั่งคันนี้ก็ได้ แต่ต้องปรับมิเตอร์ใหม่ก่อนเพราะฉันรู้ว่าถนนสายนี้ต้องกลับไปที่สะพานพระปิ่นเกล้าก่อนถึงจะมาได้"
คนขับรถขอโทษขอโพยแล้วก็เก็บเงินในมิเตอร์ตอนแรกก่อนแล้วสัญญาว่าจะพาไปส่งที่โรงเรียนนั้น และจะไม่เก็บเงินส่วนที่เหลือนี้ ...คนขับแท็กซี่พามาจอดที่ในโรงเรียน ฉันเจอหน้าเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันถึงกับโผกอดพี่ขวัญทันที
"นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว...กินข้าวมาหรือยัง...ไปกรอกใบสมัครก่อนไหม"
ฉันรีบจนลืมแนะนำย่ากับพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ เลย...ฉันกรอกใบสมัครและชั่งน้ำหนักทันที น้ำหนักของฉันลดไปอีก 2 กิโล ฉันแข่งในรุ่นเล็กลงไปอีก... ฉันเริ่มหิวก็เลยไปทานข้าวแถว ๆ นั้นซึ่งเป็นร้านประจำที่เรามาทานกันบ่อย ๆ
"นี่...ทุกคนนี่ย่าของดาวเอง"
ทุกคนสวัสดีย่า แต่พี่ดอนเริ่มเข้ามาตีสนิทย่าจนฉันดูออกว่าย่ารำคาญพี่ดอนมาก ๆ ฉันจึงต้องสะกิดเตือนอยู่บ่อย ๆ แต่พี่ดอนก็ไม่รู้ตัวหรอกยังคิดว่าฉันแอบแตะอั๋งเสียอีก...เมื่อหนักเข้าย่าก็เริ่มยิ้มแบบชักสีหน้า ฉันรู้ทันทีว่าย่าโกรธ ฉันจึงต้องออกปากพูดเองก่อนที่ย่าจะระเบิดออกมา
"พี่ดอน ว่างนักเหรอไปนั่งที่ของตัวเองแล้วทานข้าวซะ...!!!"
พี่ดอนทำท่าเหมือนไม่พอใจมาก ๆ ทำจมูกฟุตฟิต ตาแดงจนฉันสงสาร แต่ฉันก็ต้องวางตัวเฉย ๆ เพราะฉันกลัวว่าย่าจะไม่พอใจไปมากกว่านี้... ปกติแล้วย่าไม่ค
27 กรกฎาคม 2547 18:29 น.
สุชาดา โมรา
คลืด....คลืด....
เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
การที่เราแอบรักใครสักคน ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้ แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
"คุณสัณหศิษฐ์คะ ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ โชคดีนะคะ"
เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว ผมดีใจจริง ๆ...
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์ ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
"คือผม ผม ผม"
"อาการกำเริบเหรอ"
"เปล่าครับ ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ ไม่เห็นว่า...."
"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
"อืม....."
เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์ เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง เธอก็ไปกับผมทุกวัน ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ... รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
วันแล้ววันเล่า ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ ผมรู้สึกหัวหมุน ร่างมันลอย ๆ ชอบกล ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว โอ๊ย....!!!!
ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก ความฝัน ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
"คนไหนคะ"
"คุณทิพย์"
พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่ เสียงพูดคุยกันซอกแซก ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
"ทิพย์เหรอ จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
ผมรู้แล้วละ สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
"เป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ ผมสบายดี คุณหมอ..."
"ว่ายังไง อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
"ฉัน...."
"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว นางฟ้าชุดขาวของผม..."
สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้ นางฟ้าชุดขาวของผม ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด และตลอดไป...
ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้ ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา ลาก่อนนะประตูหัวใจ ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์ ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป
26 กรกฎาคม 2547 17:53 น.
สุชาดา โมรา
ครั้งหนึ่งในชีวิตอันงดงาม ฉันอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของผู้คนมากมาย ฉันมีความสุขเหลือเกิน ฉันได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าอ่อนละมุนและอบอุ่นของแม่และญาติพี่น้องที่ไม่เคยลืมว่าฉันเกิดมาจากไหน อยู่เพื่ออะไรกับครอบครัวนี้
บ้านที่ฉันอยู่ไม่ใหญ่โตสวยงาม แต่มันก็เป็นบ้านที่อบอุ่นและยังมีความรักที่ฉันได้จากผู้ชายคนนี้อีกด้วย ผู้ชายที่ใครต่อใครก็หวงแหน และใครหลาย ๆ คนก็อยากอยู่ใกล้ ๆ เขา
ฉันเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนโยน น่ารัก (แหมชมตัวเองมากไปหรือเปล่าเนี่ย ) กิริยามารยาทก็อ่อนช้อยงดงาม สีหน้านั้นเบิกบานอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่เขาอยู่ใกล้ ๆ ฉันแบบนี้
ฉันรู้สึกอิ่มเอมกับความรักมันทำให้ฉันมีความสุขสดชื่น...ไปหมด
ฉันรู้สึกอบอุ่นเสมอเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ เอาใจใส่ฉัน ฉันจึงรักและหวงแหนเขามาก และรู้สึกว่าจะมากกว่าใคร ๆ เสียด้วย
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ....เช้าสดใส ฝูงนกกาออกหาอาหารแต่เช้า ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่มีแต่ความแจ่มใส ผู้ชายในฝันของฉันตื่นแต่เช้า เขามากวาดเศษใบไม้ใบหญ้า ฉันแอบดูเขาทุกวันฉันรู้สึกว่าเขาขยันดีจริง ๆ ถ้าใครได้เขาไปก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว เขาก็รู้นะว่าฉันแอบมองเขาทุกวัน แต่เขาก็กล้าที่จะมาพูดกับฉัน ร้องเพลงให้ฉันฟังเป็นประจำ ฉันมีความสุขมากทีเดียว
"ผมคิดถึงคุณจังเลยชมพู่ เธอช่างสวยสง่าเหลือเกิน เมื่คืนหลับสบายไหม...เธอทำงานทั้งวันเลยนี่ เธอคงเหนื่อยสินะเพราะช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วมันก็คงใกล้เวลาของเธอแล้วสิ... อ้อ...รักษาสุขภาพด้วยนะ แล้วก็มีลูกเร็ว ๆ"
เขามาพูดแบบนี้กับฉันทุกวัน ฉันเองก็ได้แต่เขินอายไม่กล้าแม้แต่จะบอกหรือถามว่าเขาชื่ออะไร ถ้าจะถามตัวเองว่ารักเขาไหม...ฉันรู้แต่เพียงว่าเขาห่วงใยฉัน ฉันคงขาดเขาไม่ได้แน่ ๆ
ผู้ชายคนนี้เป็นคนหล่อมาก ใบหน้าขาวสวย สวยจนผู้หญิงอายเลยทีเดียว ไม่มีริ้วรอยใด ๆ ริมฝีปากสวย สูงยาว คงประมาณ 190 ซ.ม.ได้ละมั้ง เขาเป็นผู้ชายที่หลาย ๆ คนหมายปองเพราะเขาเป็นคนปากหวาน
เขาชอบมายุ่งกับทรงผมของฉัน เขาชอบตัดผมทรงต่าง ๆ ให้ฉัน หลายรูปแบบ...ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเทห์ดีนะ เพราะสิ่งที่เขาทำให้ฉันก็เหมือนการที่เขาตอบรับรักจากฉันไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เขารู้จักชื่อของฉันดี แต่น่าอายที่สุดที่ฉันกลับไม่รู้จักชื่อของเขาจนกระทั่งวันนี้
"ผมคิดถึงคุณจังเลย..."
"ศักดิ์....มาตัดแต่งกิ่งไม้ต้นนี้ให้แม่หน่อยนะลูก รู้สึกว่ากิ่งมันจะยาวเกินไปแล้ว มันจะดูไม่สวย อ้อ...ทำพุ่มสวย ๆ ด้วยล่ะบางอย่างจะได้ขายได้"
"ครับแม่...ไปก่อนนะชมพู่แล้วจะมาคุยด้วยอีก"
ฉันรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขามาอยู่ใกล้ ๆ พูดหวาน ๆ กับฉันทุกวัน เขาเป็นคนน่ารักจริง ๆ รูปก็งามนามก็ไพเราะ ดูเขาเป็นแมนดีจริง ๆ เลย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวปีนี้ใบไม้ร่วงเต็มพื้น เขาก็มากวาดเศษใบไม้เช่นเดิม
.....................................
ฉันรู้สึกเกิดอาการใจสั่น ๆ หา...ฉันท้องเหรอนี่ เป็นไปได้ยังไงกันที่จู่ ๆ ฉันจะท้องได้... ฉันรู้ตัวดีว่าฉันต้องทำหน้าที่รักษาเผ่าพันธ์ ฉันจึงต้องสละชายคนนี้ไว้ข้างหลังเพราะยังไง ๆ ฉันกับเขาก็คงรักกันไม่ได้ เพื่ออนาคตที่ดีของฉัน ฉันจึงต้องทำหน้าที่สืบสันติวงศ์ เพื่อลูก ๆ ของฉัน หลาน ๆ ตัวน้อย ๆ ของฉันที่กำลังจะถือกำเนิดมาในไม่ช้านี้....
ไม่นานนักฉันก็ได้ถือกำเนิดลูกหลานขึ้นมา ฉันดีใจมากที่ลูกหลานฉันมีมากมาย ฉันดีใจเหลือเกินที่ลูก ๆ หลาน ๆ มีความสุขอยู่กับฉันตลอดเวลา...
ฉันดีใจนะที่เขาไม่รังเกียจฉัน ฉันรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ฉันได้ทำประโยชน์ให้แก่เขา ลูก ๆ หลาน ๆ ของฉันถูกสอยลงเข่งหลายใบทำให้เป็นที่พอใจแก่เขา ฉันคิดไว้เสมอว่าต้นชมพู่อย่างฉันก็สามารถที่จะทำประโยชน์ให้แก่เขาได้ ฉันรักศักดิ์เจ้านายของฉันเหลือเกิน ฉันขอสัญญาว่าจะให้ผลผลิตแก่เขาให้มากที่สุด...
25 กรกฎาคม 2547 20:04 น.
สุชาดา โมรา
"คุณพล ๆ ตอนที่คุณไม่อยู่มีคนมาขอทำข่าวถึง 6 รายการเชียวค่ะ" ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับคุณพลราวกับสนิทกันมาก แต่ก็ดูท่าทางเขายำเกรงคุณพลไม่ใช่น้อย
"พล...เด็กคนนี้ใช่ไหมที่คุณเดย์บอกว่าจะต้องพาตัวมาให้ได้...เออน่ารักดีนะ ชื่อไรน่ะ"
"อย่าเพิ่มถามน่า...เดี๋ยวคุณเดย์ก็บอกเองนั่นแหละ"
คุณพลตอบชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ขึงขัง ดู ๆ ทุกคนที่นี่จะยำเกรงคุณพลเหมือนกัน
"....เอ๊ะ...!!! ทำไมทุกคนจึงมองเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาด..." จิรมลนึก
..........แอ๊ด..........คุณพลเปิดประตูให้ลงไปในทางแคบ ๆ มีเพียงแสงไฟที่เป็นสีแดงดูน่ากลัวมาก ทางตรงนี้เป็นทางห้องใต้ดินบรรยากาศตามทางก็วังเวงดูน่ากลัวทำให้จิรมลรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ จนพูดไม่ออก
"....รู้สึกกลัว ๆ ยังไงบอกไม่ถูก หนาว ๆ ด้วยแฮะ...สงสัยจังว่าคุณพลพามาที่นี่ทำไม ฉันรู้สึกตื่นเต้นและก็หวาดกลัวเป็นพิเศษ...มันน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ฉันเจอมาซะอีก"จิรมลนึก
เมื่อคุณพลเปิดประตูอีกบานและพาจิรมลเข้าไปข้างใน แอร์ที่เปิดเย็นเฉียบ มีแสงและลานเวทีที่ดูเหมือนจริง ทั้งฉากและผู้คนที่แต่งกายทำให้จิรมลรู้ทันที่ว่านี่มันคือโรงซ้อมละคร
"เอ๊ะ....!!!คุณพลนี่มันโรงซ้อมละครนี่คะ"
"ครับ" คุณพลตอบด้วยท่าทางขึงขัง
"ยังไม่ได้!!!....แสดงให้ดีกว่านี้เป็นหรือเปล่า!!!.......?" เสียงชายคนหนึ่งดังเกรี้ยวกราดขึ้นมาทำให้จิรมลยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่
"คุณต้องพบพ่อที่เคยเกลียดใช่ไหม คุณเป็นคนทำให้พ่อต้องสูญเสียอนาคตไปใช่ไหม และคุณต้องโผเข้ากอดเขาด้วยความรู้สึกที่ผิด จำได้หรือเปล่า...!!!....ไม่ใช่ว่ามายืนแข็งเป็นตอไม้....โถ่...ไม่ได้เรื่องเลย....ซ้อมใหม่...!!!!"
เสียงชายคนนั้เกลี้ยวกราดจนจิรมลรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ แต่จิรมลก็อยากที่จะเห็นหน้าชายคนนั้นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมจึงดุดันได้ขนาดนี้
"ทำไมยังไม่ดีขึ้นอีก..ใบ้กินหรือไง...!!!ตอบมาเร็ว หลับอยู่หรือไง...หา....!!!...โถ่โว้ย...นี่ผมจะบ้าตายเพราะพวกคุณอยู่แล้วนะ" ชายคนนั้เกรี้ยวกราดอีกครั้ง แล้วก็ค่อย ๆ สบัดผมและหันมาช้า ๆ
"....ผู้หญิงคนนั้นเขาแสดงดีแล้วนี่นา ทำไมถึง...อ๊ะ...!!!คุณเดย์นี่...ทำไมดูน่ากลัวจัง...ฉันกลัวไปหมดแล้วนะ..." จิรมลยืนดูอยู่กับกลุ่มนักแสดงข้างล่างพร้อมกับคิดเรื่องที่เห็นคุณอาสาฬห์เกรี้ยวกราดกับนักแสดงด้วยความกลัว
"คุณพล...ฉันว่าเราควรออกไปก่อนดีกว่านะวันนี้อย่าเพิ่งมาพบเขาเลยเขาอารมณ์ไม่ดี กำลังโมโหโกธาอยู่อย่าไปยุ่งดีกว่านะนะ..." จิรมลค่อย ๆ กระซิบ
"เปล่า...เขาปกติไม่ได้โมโหหรืออะไรหรอก แต่เขาเป็นคนที่จริงจังเกินไป นี่เขาแค่พูดตรง ๆ เท่านั้นนะเนี่ย กลัวเหรอ"
จิรมลถึงกับอึ้งทีเดียวที่ได้ยินคุณพลพูดแบบนั้น
".....เนี่ยเหรอที่บอกว่าปกติ น่ากลัวจริง ๆ เลย ไม่อยากอยู่แล้ว..." จิรมลนึกและค่อย ๆ แทรกตัวออกจากที่นั่นทันที
ผู้หญิงคนนั้นยังคงแสดงต่อ
"พ่อคะ..."
พรวด...ซ่า...คุณอาสาฬห์ถึงกับเอาน้ำมาสาดหน้าผู้หญิงคนนั้นทันที ยิ่งสร้างความน่ากลัวจิรมลเป็นอย่างมาก จิรมลถึงกับยืนตัวเกร็งอยู่ที่มุมห้องทีเดียว
"ตาสว่างหรือยัง...!!! ผมจะซ้อมให้เองหันมานี่...!!!" คุณอาสาฬหืกระชากบทออกจากมือผู้หญิงคนนั้นแล้วก็โยนเอาไว้ที่ข้างเวที แล้วก็พูดขึ้น "ในเรื่องพ่อของคุณตามใจคุณมาก คุณอยากได้อะไรก็จะหามาให้ วันหนึ่งพ่อขับรถออกไปซี้อของตามที่คุณต้องการ จึงขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งรถเบรคไม่อยู่ชนคนตาย พ่อของคุณจึงมีชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องติดคุกหลายปี พอออกมาจากคุกผู้คนก็เฉยเมยกับเขา เขาตกงาน ครอบครัวก็ขับไล่ เขาจึงต้องทิ้งครอบครัวและหนีจากสังคมไปอยู่ในป่า มีชีวิตที่โดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนคนที่อยู่แล้วตายทั้งเป็น..."
เมื่อจิรมลได้ยินก็ทำให้เธอคิดถึงพ่อทันที
"ตอนแรกคุณก็โกรธพ่อและเฉยเมยต่อเขา ต่อมาเมื่อคุณโตขึ้นมีความคิดมากขึ้น คุณอยากพบพ่ออีกครั้ง...ในตอนนี้เองพอคุณได้พบพ่อคุณจะเรียกเขาว่าอะไร ต้องใช้อารมณ์ไหน...!!!"คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
"พ่อคะ...." ผู้หญิงคนนั้พูดขึ้น
จิรมลคิดว่าถ้าเธอได้พบพ่ออีกครั้งตอนที่ท่านยังอยู่เมืองไทย เธอจะขอโทษพ่อเพราะเธอรู้สึกผิดและโทษตัวเองมาโดยตลอดว่าเพราะเธอพ่อจึงต้องป่วยหนัก เธออยากเจอและทำดีกับพ่อของเธอให้มากกว่านั้น... "...คุณพ่อคะ..." จิรมลนึกและก็น้ำตาคลอเบ้า
"พอก่อน...!!! เมื่อกี้คุณใช้อารมณ์ไหน...ลืมบทหรือไง...!!! ถ้าคุณคิดว่าคนที่แสดงเป็นพ่อได้แค่ลมปาก คุณมองเห็นเขาเป็นเพศตรงข้าม เป็นคู่รักหรือคนที่คุณสนใจมันก็จบ...ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริง ๆ ....คุณถูกปลดแล้ว..." คุณอาสาฬทำท่ากุมขมับเดินออกไปที่ขอบเวทีจากนั้นก็หันกลับมาชี้หน้าผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับขว้างบททิ้ง "โถ่โว้ย...!!!!"
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับร้องไห้โฮทีเดียว ทำให้จิรมลทั้งสงสารผู้หยิงคนนั้นและก็อินกับบทที่คุณอาสาฬห์พูดให้ฟัง เธอถึงกับร้องไห้โฮเสียงดังเพราะสงสารผู้หญิงคนนั้นและคิดถึงพ่อของเธอมาก
"ใครร้องไห้น่ะ...ผมถามว่าใคร...!!! ขึ้นมานี่ซิ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นพร้อมกับเสียงที่เกรี้ยวกราด ท่าทางขึงขังเหมือนคนบ้าเลือดทำให้จิรมลรู้สึกกลัวมากขึ้น ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็จ้องมองมาที่มุมห้องตรงที่จิรมลนั่งกองอยุ่กับพื้นและร้องไห้อยู่...
"คุณจิรมล...คุณเดย์เรียกแล้วครับ" คุณพลเดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือไปฉุดให้จิรมลลุกขึ้น
"ฮือ.....ไม่เอา...ไม่ ไม่ ฉันไม่ขึ้นไป...." จิรมลร้องไห้เสียงดัง
"คุณมลครับขึ้นไปเถอะ...คุณเดย์ไม่ทำอะไรหรอก"
"ไม่จริง.....คุณพลโกหก"
จิรมลท่าทางจะไม่ยอมขึ้นไปบนเวทีง่าย ๆ คุณอาสาฬห์จึงลงมาคว้าข้อมือเดินขึ้นไปบนเวทีทันที ทุกคนถึงกับเงียบและมองเป็นตาเดียว
"ผมขอแนะนำสมาชิกใหม่ นี่จิรมล สุวรรณพฤกษ์ เธออายุ 17 ปี เธอจะมารับบทนางเอกเรื่องคนความเงียบ..."
"ฉะ...ฉันต้องมาเรียนการแสดงไม่ใช่มาเล่นละคร...!!!" จิรมลพูดเสียงดังขึ้น
ผวัะ....คุณอาสาฬห์ถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ตบหน้าจิรมลทันที ทำให้จิรมลงงทำอะไรไม่ถูก "...นี่มันอะไรกันเนี่ย..." จิรมลนึก
"พล...นายทำไมมาช้าจัง ฉันรอตั้งนานแล้วนะ...!!!" คุณอาสาฬห์ทำเสียงเกี้ยวกราดใส่คุณพลจนทำให้คุณพลหน้าเสีย
"คือผมมานานแล้วครับ แต่เห็นคุณยุ่ง ๆ อยู่ผมจึงยืนดูคุณซ้อมบทให้แพรทองอยู่ข้าง ๆ น่ะครับ" คุณพลพูดขึ้น
"...ฉันต้องเป็นนักแสดงเหรอ ที่ตกลงกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่...ทำไมคน ๆ นี้มีสิทธิ์อะไร...ทำไมถึงมาตบหน้าเรา ตบต่อหน้าคนอื่นด้วย ฉันรู้สึกเสียหน้าเหลือเกิน ทำไมนะ..." จิรมลนึกพร้อมกับนั่งกองอยู่กับพื้นเวที ตัวเธอรู้สึกหน้าชาทำอะไรไม่ถูก...เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำอย่างไรดี ทุกคนที่นี่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเลย
"ฉันจะกลับบ้าน...!!!" จิรมลวิ่งลงจากเวที คุณอาสาฬห์จึงเข้ามาฉุดแขนไว้
"ปล่อย...ปล่อยฉันนะ...ปล่อย!!!!" จิรมลร้องจนสุดเสียง
ผวัะ...จิรมลหันไปตบหน้าคุณอาสาฬห์
"ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ" จิรมลตกใจมากที่ตนเองตบหน้าคุณอาสาฬห์ ทุกคนในห้องต่างมองกันเป็นตาเดียวและก็ซุบซิบนินทาซอกแซก ๆ กันยกใหญ่
"...พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับเราอย่างนี้เลย...ทำไมนะ...โหดร้ายที่สุด..." จิรมลนึก
"คุณเดย์ครับ คุณเดย์...!!!ผมว่าเธอเพิ่งมานะครับ เราควรจะให้เธอพักผ่อน"
"อย่ามายุ่งนะ...นายพล...!!!" คุณอาสาฬห์พูดเสียงดังพร้อมกับทำหน้าตาขึงขัง "เธออยากเรียนการแสดงไปทำไมถ้าเธอคิดว่าจะไม่เป็นนักแสดง เธอรู้ตัวไหม...ว่าฉันเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะเอาตัวเธอมาได้ เธอรู้ตัวเองหรือเปล่าว่าเธอทำให้พ่อเธอต้องป่วย เธอคิดจะกลับบ้านง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ...มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือไง" คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันทำให้จิรมลกลัวจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอฟุบตัวลงกับพื้นต่อหน้าผู้คนมากมาย...เธอรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
"คุณเดย์ครับ...เธอสลบไปแล้วครับ" คุณพลพูดขึ้น
"เธอแค่ทำสำออยเท่านั้นแหละ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ผมจะพาเธอไปส่งที่ห้องพัก..." คุณพลอุ้มจิรมลเดินออกมาจากในห้องซ้อมละครทันที พวกนักแสดงหลายคนยืนดูด้วยความสนใจ และซุบซิบนินทากัน
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
ตอนต่อไปจะเข้มข้นขึ้นอีก โปรดติดตามตอนต่อไปของเรื่องนะคะ