29 มีนาคม 2548 11:29 น.
สุชาดา โมรา
ลักษณะของกลองยาวทำด้วยไม้ เช่น ไม้มะม่วง ตอนหน้ามีขนาดใหญ่ ตอนท้ายมีลักษณะเรียวลงแล้วบานปลายเป็นรูปดอกลำโพง ซึ่งจะมีหลายขนาด บางขนาดหน้ากลองจะกว้างประมาณ ๒๑ ซม. ยาวตั้งแต่หน้ากลองถึงปลายหางประมาณ ๗๕ ซม. ขึ้นหนังหน้าเดียว ตรงกลางหน้ากลองติดข้าวตะโพนถ่วงเสียง ตัวกลองยาวนั้นมักจะนิยมตบแต่งให้สวยงามด้วยผ้าสีหรือผ้าดอกเย็บจีบย่น ปล่อยเชิงเป็นระบายห้อยลงมาปกตัวกลอง มีสายสะพายผูกชายหนึ่งที่หูห่วงริมขอบกลอง อีกชายหนึ่งผูกที่หางสำหรับคล้องสะพายบ่า ใช้มือตี แต่ผู้ที่สามารถเล่นโลดโผนได้ก็จะใช้กำปั้นตี ศอก ถอง โหม่ง เข่า กระทุ้ง ส้นเท้ากระแทก แทนการใช้มือตีธรรมดา
ก่อนเล่นกลองนั้นต้องมีการไหว้ครูด้วย เริ่มจากการเตรียมเครื่องสักการะต่าง ๆ ในการไหว้ครู ซึ่งประกอบด้วยดอกไม้ ธูป ๙ ดอก เทียน บุหรี่ เหล้าที่ยังไม่เปิดฝา และต้องไม่เป็นเหล้าเถื่อนด้วย ค่าไหว้ครู ๑๒ บาท ผู้เล่นกลองยาวจะใส่เสื้อลายดอกสวมกางเกงที่สุภาพ มีจำนวนผู้เล่นประมาณ ๑๐ คน เพลงที่ใช้ในการละเล่นก็เช่น เพลงเซิ้งเพลงม้าย่อง , เพลงรำวง , เพลงสามซ่า
กลองยาวที่ ต. บางคู้ จะนิยมนำมาเล่นในงานที่มีขบวนแห่ เช่น งานบวชนาค แห่เทียนเข้าพรรษา งานทอดกฐิน งานแก้บนต่างๆ เทศกาลตรุษสงกรานต์ และงานปีใหม่ กลองยาววงหนึ่งๆ จะใช้กลองยาวอีกลูกก็ได้ เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงร่วมมีฉิ่ง ฉาบเล็ก กรับ และโหม่ง เป็นต้น
การเล่นกลองยาวนี้ มักเรียกกันว่า เล่น เถิดเทิง หรือ เทิงบ้อง ที่เรียกเช่นนี้ก็เป็นเพราะเรียกตามเสียงกลองยาวนั่นเอง เพราะเมื่อกลองยาวเริ่มตีเรียกเสียงจังหวะนั้น จะได้ยินเสียงเป็น เถิด เทิงบ้อง- บ้อง-เทิงบ้อง เรื่อยไป
การอนุรักษ์กลองยาวใน ต.บางคู้ นั้นจะทำโดยให้คนรุ่นใหม่สืบทอดการละเล่นกลองยาวต่อไปและให้สมาชิกในคณะกลองยาวนำไปถ่ายทอดให้กับเยาวชนในหมู่บ้านที่มีความสนใจเกี่ยวกับการละเล่นกลองยาว ทั้งยังเป็นการช่วยลดปัญหาการติดยาของเด็กในชุมชนอีกทางหนึ่ง เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เพื่อหารายได้เสริมให้แก่ครอบครัว และสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน ต. บางคู้ ด้วย
28 มีนาคม 2548 09:38 น.
สุชาดา โมรา
คุณนิวตอบทั้ง ๆ ที่หัวใจของเขายังคงเรียกร้องที่จะกลับไปหากัญญาอยู่ตลอดเวลาถึงแม้ว่าเขาจะบอกกับเธออยู่หลายครั้งหลายหนก็ตามว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอแล้ว แต่ส่วนลึก ๆ ที่ยังคงตราตรึงอยู่นั้นยังคงมีภาพความทรงจำเก่า ๆ อีกมากมายที่เขาไม่มีทางลืมมันไปได้โดยเฉพาะเรื่องราวของผ้าพันคอผืนนี้
คุณนิวนึกไปถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่กัญญาเคยถักผ้าพันคอผืนนี้ให้เขาก่อนที่จะถึงเทศกาลปีใหม่เมื่อสิบปีก่อน เขาจำได้ดีว่าวันที่เธอเอาผ้าพันคอมามอบให้เขา หมาชื่อเจ้าโดโด้ผ้าพันคอผืนสีฟ้าเสียขาดวิ่น กัญญาจึงรีบกลับไปถักให้เขาใหม่และคล้องคอเขาเธอถักผ้าพันคอผืนนั้นต่อหน้าเขาใหม่ทั้ง ๆ ที่เส้นไหมพรมนั้นจะไม่สวยเท่าผืนแรกก็ตาม แต่เธอก็พยายามและตั้งใจที่จะให้เขาเป็นอย่างมากเขาจึงต้องเก็บภาพความประทับใจเกี่ยวกับความพยายามและความตั้งใจของเธอเอาไว้ให้นานที่สุดถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันที่จะกลับมาเหมือนเดิมก็ตาม
อ้าวตื่นแต่เช้าเชียวนะครับ
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ทั้งคู่หันไปมองเสียงนั้นก็พบว่าคุณไผ่มาพร้อมกับจักรยานสีแดงนั่นก็หมายความว่ารีสอร์ทของคุณไผ่คงห่างไกลจากไร่แห่งนี้ไม่มากนักเขาจึงขี่จักรยานเสือหมอบมาถึงที่นี่ได้
ไผ่ปกติแกไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้เลยนี่นา วันนี้ทำไมถึงได้อั่นแน่คิดถึงแนนซี่จนอดใจรอไม่ไหวเลยใช่ไหมล่ะ คุณนิวแซวคุณไผ่ทันที
บ้าพูดไปเรื่อยเลยนะผมมาก็เพราะหัวใจมันเรียกร้องอยากจะเจอคุณกัญญามากกว่า
แหวะ!!!!
นี่นายนิวอย่าทำเป็นหมาหวงก้างไปเลยมีอะไรก็แบ่ง ๆ ให้เพื่อนจีบบ้างสิ
คุณกัญญาไม่ใช่ของเล่นหรือของตลาดนะเว้ย! แกจะได้มาคั่วเล่น ๆ ตามอำเภอใจ
ของอย่างนี้มันก็แล้วแต่ดวงว่ะนิว นายจำไว้เลยนะว่าของอย่างนี้มันมีอยู่แค่สี่พยางค์เท่านั้นจำไว้ให้ดีนะใครดีใครได้ว่ะ
คุณนิวและคุณไผ่ถกเถียงกันเสียงดังทำให้กัญญารู้สึกเบื่อหน่ายและเดินห่างออกไปทันที ปล่อยให้พวกเขายืนเถียงกันเสียให้พอใจ
กัญญาเดินมานั่งทานอาหารเช้าที่คนงานจัดไว้ วันนี้มีข้าวต้มเครื่องหม้อโต และไข่ลวกกะละมังใหญ่ตั้งอยู่ กัญญาตักข้าวต้มวางไว้ที่โต๊ะพนักงานเดินมารับข้าวต้มด้วยสีหน้าที่เบิกบาน ผู้บริหารหลายคนต้องเติมข้าวต้มหลายครั้งเพราะรสชาตินั้นถูกใจทุกคน
กัญญาคุณนิวล่ะ ทำไมเช้านี้ฉันไม่เห็นเขาเลย
อยู่ตรงหน้าผาทางนู้นนั่นแหละกำลังคุยกับคุณไผ่อยู่ลองไปดูสิ เห็นคุณไผ่เขาถามถึงเธอด้วยละ
กัญญาพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปาก เธอนึกขำในใจว่าวันนี้ต้องมีเรื่องสนุก ๆ แน่ ๆแนนซี่เดินตรงไปยังหน้าผาทางทิศตะวันออก เธอเดินเข้าไปหาชายหนุ่มทั้งสองคน เธอพูดคุยกับเขาอย่างกระหนุงกระหนิง สนิทชิดเชื้อ ในขณะที่กัญญาก็ยืนคุยกับผู้บริหารหลายคนถึงเรื่องการไปเที่ยวของวันนี้
เมื่อตกลงกันได้กัญญาจึงให้คนขับรถเอารถออกทันทีเธอคิดว่าเธอไปเที่ยวเองก็ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคุณนิวเธอจะปล่อยให้โอกาสเป็นของแนนซี่ที่จะเลือกระหว่างคุณนิวกับคุณไผ่ เพราะเธอเองคิดว่าแนนซี่ชอบคนรวย บ้ายศ บ้าตำแหน่ง เมื่อมาเห็นอาณาจักรของคุณนิวเธอก็ต้องคิดอะไรบ้างละ และเมื่อรู้ว่าคุณไผ่ไม่ได้เป็นเพียงหมอดูธรรมดา ๆ เธอก็คงต้องคิดคำนวณว่าใครจะรวยกว่ากันแล้วก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้เขาตกหลุมรักเพราะเรื่องแบบนี้แนนซี่ถนัดอยู่แล้ว
แนนซี่ คุณนิวและคุณไผ่วิ่งตามรถคันสุดท้ายออกมา แต่เขาก็ตามไม่ทันเขารู้สึกงง ๆ ที่จู่ ๆ กัญญาก็ออกไปเที่ยวโดยที่ไม่ได้บอกเขาเลย เขาพยายามโทรหาแธอแต่เธอก็ปิดเครื่องแนนซี่โทรหาคุณวจีและผู้บริหารบางคนที่เธอพอจะมีเบอร์ติดต่อ แต่ก็โทรไม่ติด คุณนิวจึงขับรถออกมาและพาคุณไผ่และแนนซี่ขับตามรถคันสุดท้ายของบริษัทไปทันที
ไปไหนก็ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย แนนซี่บ่นงึมงำตลอดทาง
กัญญามาถึงดอยอินทรนนท์ในช่วงสาย เธอและพนักงานทุกคน รวมทั้งผู้บริหารร่วมกันถ่ายภาพที่หน้าพระธาตุ ทุกคนดูมีความสุขมากที่สุด กัญญาและคณะแยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อไปพักผ่อนตามอัธยาศัยเธอเดินเข้าไปในตัวพระธาตุพร้อมคุณวจี เธอกราบพระและอธิฐานเพื่อเสี่ยงเซียมซีเสียงแซก ๆ ดังอยู่ตลอดเวลา ไม้เซียมซีอันหนึ่งหล่นลงมากระทบกับพื้นดังแกร๊ง กัญญาหยิบไม้เซียมซีอันนั้นขึ้นมาดู แล้วก็เดินไปหยิบกระดาษคำทำนายที่ติดอยู่ที่ข้างฝาเธอเอื้อมมือไปหยิบหมายเลขที่ยี่สิบ แต่แล้วมือใครคนหนึ่งก็เอื้อมมาหยิบใบเดียวกับเธอเช่นกัน และใบนี้ก็เป็นใบสุดท้ายเสียด้วย
ขอโทษครับ.!!!!
กัญญาหันไปมองเจ้าของเสียงคนนั้น เมื่อหันไปก็พบคุณภูริเธอรู้สึกแปลกใจมากที่มาเจอเขาที่นี่มือนั้นยังคงกำมือเธอเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย กัญญาจึงดึงมือออกเพราะเธอรู้สึกว่ามันคงไม่ดีนักที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะมาจับมือถือแขนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้
คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ
เขาถามขึ้นพร้อมกัน คุณภูริจึงแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการให้กัญญาพูดก่อน
ฉันมาเที่ยวกันเนื่องในโอกาสที่ปีนี้บริษัททำยอดขายได้สูง ฉันก็เลยมีโครงการพาเที่ยว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่บริษัทได้หยุดพักผ่อนแล้วคุณล่ะ
ผมมาทำข่าวกับคุณหนูนาแล้วก็เลยถือโอกาสพักผ่อนไปด้วยบังเอิญจริง ๆ เลยที่ได้เจอคุณที่นี่
ฉันก็เช่นกันค่ะว่าแต่ฉันสงสัยอยู่อย่างหนึ่งคือทำไมคุณต้องลงมาทำข่าวเองด้วย ทำไมไม่นั่งโต๊ะผู้บริหารเฉย ๆ แล้วก็รอเซ็นเอกสารล่ะแปลกมากเลยนะ ฉันรู้สึกว่าฉันจะเห็นคุณพยายามทำตัวเป็นนักข่าวหัวเห็ดแบบหนูนาหรือว่าคุณคิดจะตีท้ายครัวเธอ
คิดไปได้.!!!! คุณเห็นผมเป็นแบบนั้นเหรอ คุณภูริถึงกับหลุดขำออกมาทันที ผมอยากจะรู้งานทุกอย่างของบริษัท แล้วตอนนี้ผมก็กำลังเริ่มโครงการทำรายการเพื่อการท่องเที่ยว ผมก็เลยขอลงมาทำงานด้วยตัวเองเพื่อให้งานออกมามีคุณภาพ อีกอย่างผมจะหานักข่าวที่ไหนขยันและเก่งเท่าคุณหนูนาได้อีกล่ะจริงไหม
ฟังดูมีเหตุผลนะ เข้าท่าดี
อย่าทำหน้าแบบนั้นสิมันเหมือนกับคุณไม่เชื่อผม
คุณภูริพูดขึ้น เขาพาเธอเดินเล่นและร่วมถ่ายรูปกัน ทั้งคู่ได้ไปเหยียบจุดที่สูงที่สุดในประเทศและให้คุณวจีถ่ายภาพให้เมื่อเขาเดินมาถึงบริเวณที่มีต้นเฟริ์นแปลก ๆ มากมาย คุณภูริพากัญญาเดินจนพลัดหลงกับคุณวจีคุณวจีเมื่อไม่เห็นทั้งคู่ก็เดินกลับเพราะคิดว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้สนิทกันมากกว่านี้
คุณภูริชี้นั่นชมนี่ให้กัญญาดู กัญญามัวเผลอมองต้นเฟริ์นจนเกือบจะหล่นลงไปใต้สะพานซึ่งเธอได้เหยียบไม้ที่ผุนั้นจนขาร่วงลงไป แต่คุณภูริพยุงตัวเธอขึ้นมาได้
ดูนั่นสิ มีต้นเฟริ์นใบสีขาวด้วย
ไหนคะ
กัญญาหันไปมองแล้วก็ถ่ายภาพ เมื่อเธอหันหน้ากลับมาหาคุณภูริ แก้มของเธอกับจมูกของเขาจึงได้สัมผัสกัน แววตาทั้งคู่จ้องมองกันและกันอย่างตราตรึงอยู่ในหัวใจกัญญารู้สึกเขินและอาย เธอหันไปมองทางด้านหลังก็ไม่มีใคร เธอรู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครเดินตามมา เธอรีบเดินออกมาจากป่าเฟริ์นและรีบกลับมาขึ้นรถทันทีคุณภูริวิ่งตามออกมาด้วยท่าทางยิ้มกริ่ม ดุเขาจะมีความสุขมากที่ได้ใกล้ชิดกัญญาถึงขนาดนี้
อยู่นี่เอง ตามหาแทบแย่เลย
คุณไผ่และคุณนิวพูดขึ้นพร้อมกัน แนนซี่ควงแขนคุณไผ่แน่นแต่เขาก็แกะมือเธอออก แนนซี่จึงหันไปควงแขนคุณนิวทำให้กัญญาแอบอมยิ้มอยู่นิด ๆคุณภูริตามเธอออกมาและพบคุณไผ่ คุณนิวและแนนซี่ เขาจึงเดินเข้าไปหากัญญาและถามว่าสองคนที่เห็นนี้คือใคร
นี่นิวน้องเขยของฉันเองค่ะคุณคงจะจำได้และนี่คุณไผ่แฟนหนุ่มของแนนซี่ค่ะ กัญญาแนะนำ คุณภูริยิ้มแล้วก็มองไปที่แนนซี่ ดูเธอมีความสุขมากจนผิดสังเกตเลยทีเดียว
เอ่อคุณไผ่คะ คุณนิวคะนี่คุณภูริแฟนดิฉันเองค่ะ
กัญญาพูดขึ้นพร้อมกับจับมือเขาไว้แน่นทำให้คุณภูริรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เขายิ้มและสวมรอยทันทีกัญญาเดินไปยังร้านกาแฟที่มีอยู่ร้านเดียวในบริเวณนั้น เธอเดินจูงมือคุณภูริมานั่งที่โต๊ะและสั่งกาแฟมาดื่มทันที
คุณนี่รู้ใจผมจริง ๆ เลยรู้ได้ไงว่าผมดื่มกาแฟไม่ใส่ครีม
ก็คุณดื่มแบบฉันนี่นา ฉันจำได้ว่าหนูนาบอกแต่คุณน่ะเรื่องมากชอบทำกวนประสาทฉันวันนั้นฉันก็เลยเอาโกโก้ให้ดื่ม
แหมช่างจดช่างจำจริงเลยนะนี่แสดงว่าคุณคิดกับผมแบบที่พูดจริง ๆ ใช่ไหม คุณภูริพูดเป็นเชิงหยอก
บ้าน่าฉันก็พูดไปเพื่อให้คุณเป็นกันชนให้ฉันเท่านั้นเอง
ขอเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่กันชนได้ไหม
แล้วจะให้เป็นอะไรล่ะคะ
ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอได้ไหมเล่าเออ หากเธอหัวใจยังว่าง
คุณภูริร้องเป็นเพลงขึ้นมาทันทีทำให้กัญญาเบะหน้าแล้วก็หันไปมองทางอื่น เธอแอบอมยิ้มนิด ๆ เพราะเธอรู้สึกขำ ๆ ที่เขากล้าที่จะร้องเพลงเสียงดังออกมาท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากมายขนาดนี้
คุณนี่ติ๊งต๊องเหมือนกันนะเนี่ย
ติ๊งต๊องก็เพราะรักคุณไงคุณชอบไหมล่ะ ถ้าชอบผมจะร้องเพลงของกุ้งสุทธิราชให้ฟังทั้งอัลบัมเลย
กัญญายิ้มเมื่อถึงกำหนดเวลานัดหมายเธอจึงขอตัวกลับไปที่รถ โดยมีคุณภูริเดินมาส่งที่รถหนูนาวิ่งกระหืดกระหอบมาหาคุณภูริ เธอจึงได้เจอกับกัญญา
อ้าวมาได้ไงเนี่ยนั่นแน่ห่วงหากันถึงขนาดต้องตามมาดูคุณภูริทำข่าวท่องเที่ยวที่เชียงใหม่เชียวเหรอ
หนูนาแซวกัญญา จึงทำให้กัญญษหันมาตีไหล่หนูนาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกอาย ๆ และขึ้นรถไปเพื่อเดินทางไปยังที่อื่นต่อ
แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะ คุณภูริตะโกนบอกกัญญาพร้อมกับโบกมือให้กัญญานั่งยิ้มแล้วก็โบกมือตอบเขา
แนนซี่เกาะติดคุณไผ่และคุณนิวไม่ยอมห่าง เธอทั้งแหย่และก็หยอกทั้งคู่ไปตลอดทางทำให้ทั้งสองคนรู้สึกรำคาญมากกว่าจะชอบเสียอีก
.16..
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานและมาคอยเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
28 มีนาคม 2548 09:35 น.
สุชาดา โมรา
๑๓.๔๕ น. สวนสาธารณะ บริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์
ต้นไม้ที่สวน ผลิใบเต็มต้นทุกต้น เหมือนที่คุณอดิศรบอกจริง ๆ ถึงแม้ว่าต้นไม้จะมีเวลาฟื้นตัวของมันเอง แต่จากสภาพของต้นไม้ที่ปรากฏให้เห็นเมื่อคราวก่อน ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่า ในเวลาเพียงสองวัน ต้นไม้ที่ลำต้นเหี่ยวเฉา กิ่งก้านไร้ใบที่แห้งและเปลือกแตกเหมือนขาดน้ำมานาน จะกลับมาสดชื่น และผลิดอกผลิใบได้เต็มต้นขนาดนี้
เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ พวกนี้?เขานึก ความสงสัยนี้ทำให้ชาตินักรบตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาราชพฤกษ์เพื่อนของเขาคนหนึ่งซึ่งเป็นนักพฤกษศาสตร์ เพื่อสอบถามเรื่องบางอย่างทันที
ชาตินักรบรู้จักกับราชพฤกษ์ตอนไปเข้าค่าย ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่นครปฐม ชาตินักรบเรียนอยู่สื่อสารมวลชนคณะมนุษย์ ในขณะที่ราชพฤกษ์เรียนชีววิทยาอยู่คณะวิทยาศาสตร์ แม้จะอยู่ต่างคณะกันแต่กิจกรรมค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ทำให้ทั้งสองมีโอกาสได้มาพบกันเขาทั้งสองนอกจากจะถูกล้อเรื่องชื่อที่สื่อออกมาเพื่อแสดงความเป็นไทยแล้ว ตอนอยู่ในค่ายยังเป็นคนชอบสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น ๆ เหมือน ๆ กันด้วย ความที่มีอะไรเหมือน ๆ กันนี่เองทำให้ทั้งคู่ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา แม้จะกลับออกจากค่ายมาแล้ว
กระทั่งเรียนจบและชาตินักรบก็ตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพฯ ในขณะที่ราชพฤกษ์เลือกที่จะทำงานเกี่ยวกับการดูแลต้นไม้ อยู่ที่สวนพฤกษศาสตร์ที่เชียงราย ด้วยหน้าที่การงานของเขาทั้งสองจึงทำให้พวกเขามีโอกาสติดต่อกันน้อยลง
ไอ้ชาติเองเหรอวะ มีอะไรหรือเปล่าร้อยวันพันปี กูไม่เคยเห็นมึงโทรมาเลย ราชพฤกษ์แปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ชาตินักรบโทรหาเขา เพราะชาตินักรบไม่ได้โทรหาเขามานานจนจะร่วมปีแล้ว...
ชาตินักรบเล่าให้ราชพฤกษ์ฟังถึงเรื่องต้นไม้ในสวนสาธารณะ และถามพฤกษ์ถึงความเป็นไปได้ที่ต้นไม้จะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ภายในเวลาเพียงสองสามวัน หลังจากที่อยู่ในสภาพใกล้ตาย
แปลกมาก นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาได้ยินจากราชพฤกษ์
ถ้าไม่แปลกกูคงไม่โทรมาหามึงหรอก มึงคิดยังไงกับเรื่องนี้
กูรู้สึกเหมือนกับว่า ต้นไม้มันเจ็บเหมือนคนใกล้จะตายอยู่แล้ว จู่ ๆ ก็มีปาฏิหาริย์มาทำให้มันหายป่วยกะทันหัน ยังไงยังงั้นเลยว่ะ
ต้นไม้เจ็บเหมือนคนใกล้ตายเหรอ เข้าใจเปรียบนะชาตินักรบนึก
...เดี๋ยวก่อน ประโยคหลังไอ้พฤกษ์แกพูดว่ายังไงนะ เหมือนมีปาฏิหาริย์ทำให้มันหายป่วย ยังงั้นเหรอ
ก็เออน่ะสิทำไมเหรอ
เดี๋ยวนะคนเจ็บไม่เจ็บอย่างที่ควรจะเป็น ผู้ชายท่าทางเจ็บหนักที่นอนสติอยู่ใต้ต้นไม้ที่จู่ ๆ ก็ลุกพรวดเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กับต้นไม้ที่หายป่วยอย่างกับปาฏิหาริย์ยังงั้นเหรอ
ใช่แล้ว ชาตินักรบคิดว่าเขาหาจุดเชื่อมของเรื่องทั้งหมดนี้ได้แล้ว
เฮ้ย! ขอบใจว่ะพฤกษ์ แค่นี้ก่อนนะ
อ้าว เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ ไอ้ชาติ กูยังไม่ทันจะบอกอะไรมึงเลยนะ... ชาตินักรบวางสายไปเสียก่อนที่ราชพฤกษ์จะพูดจบ
ไอ้บ้าเอ๊ย โทรมาทั้งที โทรคุยกันแค่เนี้ยะ ราชพฤกษ์บ่นตามหลังมา
..
ชาตินักรบชายคนนี้จะนำพาเราไปหาผู้วิเศษ ผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ มีพลังเหนืออำนาจใด ๆ ในโลกนี้ ดีไม่ดี ชายคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เรากำลังจะตามหาอยู่ก็ได้แคนดี้นึก
ใครน่ะใคร
ชาตินักรบยังคงรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาสัมผัสได้และรู้สึกได้ถึงสายตาคู่นั้นเขารู้สึกเหมือนถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนกำลังสะกดรอยตามเขาอยู่ แต่เมื่อเขาหันกลับไปเขาก็มองไม่เห็นอะไรเลย
มันก็น่าแปลกอยู่ที่คนเราจะสัมผัสและรับรู้กับบางสิ่งบางอย่างได้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เห็นตัวตนอะไรที่แฝงมากับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีดำคันนี้
สงสัยเราจะประสาทหลอน ชาตินักรบเปรยขึ้น
๑๙.๐๙ น
ชาตินักรบกลับถึงห้องเร็วกว่าปกติ เพราะไม่มีงานค้างที่สำนักงานที่ต้องทำให้เสร็จ ทำให้เขามีเวลาในการคิดทบทวนข้อมูลบางอย่างจากเหตุการณ์ทั้งสอง เหตุการณ์มากขึ้น
เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานภายในห้อง เปิดโคมไฟใช้แสงสลัว ๆ เพื่อให้มีสมาธิในการใช้ความคิดมากขึ้น เขาหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาอ่านข้อมูลต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ และหยิบคำสองคำที่บันทึกเป็นข้อสังเกตไว้ เข้ามาคิดประมวลร่วมด้วย...คำว่า ความเจ็บปวด และ ความเจ็บปวดที่หายไป
เค้าร่างบางอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นในห้วงคิด หากจะทำให้มันชัดเจนขึ้นคงต้องเขียนออกมาให้เป็นรูปร่าง เป็นตัวหนังสือ ชาตินักรบหยิบแผ่นกระดาษเปล่าขึ้นมาหนึ่งแผ่น ใช้มือเอื้อมไปหยิบดินสอมาไว้ในมือ และเริ่มลงมือเขียนความคิดของตัวเองออกมา
มีข้อสังเกตอะไรที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้บ้าง ชาตินักรบเริ่มใช้ความคิดผ่านสายตาและสมองของเขา
๑.ผู้ได้รับการบาดเจ็บอาการดีขึ้น หลังจากที่ นาย ก.( นามสมมติของชายคนนั้น ) เดินเข้ามาสัมผัสกับพวกเขา นาย ก. ย่อมมีความสัมพันธ์กับความเจ็บปวดที่หายไปของผู้ที่ได้รับความบาดเจ็บเหล่านั้น
๒.หลังจากที่นาย ก.ออกมาจากที่เกิดเหตุ ขับรถมาจอดรถที่บริเวณสวนสาธารณะ ขณะที่เดินออกมาเขามีอาการเหมือนคนไม่สบาย คำถามก็คือ อาการเหมือนคนไม่สบายของเขามาจากไหน ในขณะที่ข้อมูลก่อนหน้านี้ไม่ได้ชี้นำให้เห็นว่า เขามีอาการเหมือนคนไม่สบายมาก่อนเลย
๓.มีความเป็นไปได้มากว่าอาการเหมือนคนไม่สบายของนาย ก. เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ไปสัมผัสกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นแล้ว
๔.ถ้าการกระทำของนาย ก. มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเจ็บปวดที่หายไปของผู้ที่ได้ รับบาดเจ็บ และอาการเหมือนคนป่วยของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่สัมผัสคนเจ็บแล้ว มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า ความเจ็บปวดที่หายไปนั้นจะเข้ามาอยู่ในร่างกายของนาย ก.เอง
๕.หลังจากที่นาย ก.นอนเหมือนคนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้แล้ว ครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นเดินกลับไปขึ้นรถเหมือนคนปกติ ไม่มีอาการเหมือนคนไม่สบายให้เห็น อาการเหมือนคนเจ็บของนาย ก.หายไปไหน รุ่งขึ้นต้นไม้ในสวนสาธารณะที่นาย ก.นอนอยู่จู่ ๆ ก็ทิ้งใบ ลำต้นเหี่ยวเฉา เหมือนคนเจ็บ อาการเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการกระทำของนาย ก.หรือไม่อย่างไร
๖.ต้นไม้กลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างไรถ้าคำตอบสำหรับข้อสังเกตที่ ๒ คือ อาการเหมือนคนไม่สบายของนาย ก.มาจากความเจ็บปวดที่หายไปของผู้ได้รับบาดเจ็บ และข้อสังเกตที่ ๓ เป็นความจริง คำตอบดังกล่าวย่อมทำให้ข้อสังเกตที่ ๔ มีความเป็นไปได้เพิ่มมากขึ้น
...แต่มันเข้ามาได้ยังไง...เขานึก
นอกจากผู้วิเศษแล้ว ก็คงจะไม่มีใครทำเรื่องแบบนี้ได้หรอก ชาตินักรบเอ่ยขึ้น
ผู้วิเศษ.!!!! เขาร้องเสียงหลง
ผู้วิเศษงั้นเหรอเขาคิด หรือว่าชายคนนั้นจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ อาจจะเป็นไปได้เพราะเรื่องคนที่มีพลังพิเศษเหนือคนอื่น ตอนนี้มีให้ได้ยินได้ฟังในสื่อต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
ถ้าสมมติให้ชายคนนั้นมีพลังวิเศษจริง คำตอบที่จะเติมคำลงไปในช่องว่างสำหรับคำถามที่ว่า ความเจ็บที่หายไปของนาย ก.ไปอยู่ที่ไหน คือ ถูกถ่ายโอนไปให้กับต้นไม้ใช่หรือเปล่าถ้าใช่ เมื่อต้นไม้กลับคืนสู่สภาพปกติ ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปไหน?แล้ว ผู้ชายคนนั้นเป็นใครมาจากไหน และมีพลังนั้นได้ยังไงกัน?....
ชาตินักรบรู้สึกเหมือนกับว่า เขาวนกลับมาสู่คำถามเดิม ที่ตอบไม่ได้มาตั้งแต่ตอนต้น และตอนนี้เขากำลังต้องการใครสักคน มาช่วยให้ความกระจ่างกับเขา
ใครใครน่ะใคร
เขายังคงรู้สึกเหมือนเดิม รู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังเขา เมื่อเขาเอนตัวพิงเก้าอี้และเงยหน้าขึ้นมองบางสิ่งบางอย่างนั้น เขาก็ต้องตกใจกับผู้หญิงมีปีกคนนั้น คนที่เขาเห็น
นี่คุณ!!!!
เขาถึงกับร้องเสียงหลงทีเดียว เมื่อเขาหันเก้าอี้กลับมาผู้หญิงมีปีกคนนั้นก็หายไป
นางฟ้านางฟ้าเหรอ หรือว่าผีหลอกกันแน่ เขาเอ่ยขึ้น สงสัยว่าเราจะทำเรื่องเกี่ยวกับเรื่องพิศวงมากจนเกินไปทำให้ตาฝาดเห็นเป็นนางฟ้า หรือเทพธิดาที่โบยบินมาในห้องรก ๆ ของเรา
ใครว่ารกล่ะ ชาตินักรบ ห้องออกจะสะอาด เราอุตส่าห์เก็บให้จนสวยงามแบบนี้ยังจะว่ารกอีกเหรอ
เสียงนี้ถึงกับทำให้ชาตินักรบสะดุ้งพร้อมกับกวาดสายตามองหาเจ้าของเสียงนั้น แต่เขากลับมองไม่เห็นอะไรเลยแต่สิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือห้องของเขาทำไมถึงสะอาดได้ถึงเพียงนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อาริซ่า!!!!!! เขาเอ่ย เพราะเขาคิดว่าคนที่มาเก็บห้องให้เขาน่าจะเป็นอดีตคนรักเก่าของเขาเป็นแน่
28 มีนาคม 2548 09:25 น.
สุชาดา โมรา
...อยู่กับตัวเองคนเดียวมันเหงาเหลือเกิน...ความรู้สึกนี้มันกลับเข้ามากระทบใจอีกครั้ง เมื่อไรเราจะสลัดมันไปได้ซะทีนะชาตินักรบนึกพร้อมกับแสดงสีหน้าซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
โทรทัศน์จึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกเปิดมากกว่า เพราะมีทั้งภาพ ทั้งเสียง ให้ได้ยินได้ฟัง อย่างน้อยการมองดูชีวิตคนอื่นในโทรทัศน์ ก็ทำให้หลงลืมการอยู่คนเดียวไปได้บ้าง
ชาตินักรบเดินไปหยิบจานและช้อนที่หลังห้องมาใส่ข้าวกล่องที่แวะซื้อจากร้านปากซอย เปิดขวดน้ำรินน้ำใส่แก้ว พร้อมแล้วสำหรับการกินอาหารค่ำและการดูรายการโทรทัศน์
ใครน่ะใคร
เขารู้สึกเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่างกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาจึงตะโกนออกไปและรีบหันหลังกลับไปดูทันที แต่ก็น่าแปลกที่เขาเองกลับไม่เห็นอะไรเลย
ตายแล้วเขาจะเห็นเราไหมนะ แคนดี้นึกพร้อมกับลอยตัวไปยังหลังประตูห้องครัวก่อนที่ชาตินักรบจะหันมา หล่อนถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขานั่งทานข้าวอยู่คนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง ชาตินักรบก็อดนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขาเคยอยู่กับอาริซ่า อดีตคนรักที่เพิ่งเลิกกันไปไม่นาน เพราะงานที่เขาและเธอทำอยู่ทำให้แต่ละคนมีเวลาให้กันไม่ได้มากนัก ...ช่วงเวลาที่ได้นั่งทานข้าวกับเธอตอนนั้น สำหรับเขาแล้วมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขแตกต่างกับตอนนี้มาก
ชาตินักรบคิดเรื่อยเปื่อยย้อนไปถึงสมัยที่เขายังอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด ช่วงเวลาเย็น ๆ แบบนี้เป็นเวลาที่สมาชิกทุกคนจะมานั่งทานข้าวล้อมวงกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เสร็จจากอาหารเย็นแล้วยังเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวใช้เป็นโอกาสในการพูดคุยปรึกษาหารือกันในเรื่องต่าง ๆ
เขาออกจากบ้านมาทำงานในเขตเมืองหลวงได้เกือบสามปีแล้ว นับตั้งแต่เรียนจบทางด้านหนังสือพิมพ์และการเป็นบรรณาธิการมาด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม แม้ว่าพ่อแม่จะคะยั้นคะยอให้เขาทำงานในสำนักงานหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในตัวจังหวัด เพราะอยู่ใกล้บ้านก็ตาม แต่เขากลับเลือกที่จะมาสมัครทำงานในสำนักงานหนังสือพิมพ์ส่วนกลางอย่างสำนักพิมพ์ไททรรศน์ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านมากที่สุดและเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดมากกว่า.เพราะอยากจะมองเห็นโลกให้กว้างขึ้น และอยากจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่พิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น..เขาบอกตัวเองและคนในครอบครัวอย่างนั้น
ชาตินักรบมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้ฝนเริ่มตกลงมาแล้ว นานเท่าไรแล้วนะที่เขาไม่ได้โทรกลับบ้าน เกือบสองเดือนได้แล้วมั้ง ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่บ้านจะเป็นยังไงบ้าง
เมื่อทานข้าวเสร็จ ชาตินักรบจึงยกจานและแก้วไปล้างและเก็บไว้ เขาเดินมาที่โทรศัพท์ ยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดหมายเลขลงไป สัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่สามสี่ครั้ง จึงมีเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย
พ่อเหรอครับ เขาทักเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร
เออ
จะนอนหรือยังครับพ่อนี่ผมโทรมารบกวนหรือเปล่า
กำลังจะนอนแล้ว
เหรอครับ
มีอะไรหรือเปล่าเจ้าชาติ โทรมาซะดึกดื่น เสียงพ่อถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง
ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากจะถามว่าที่บ้านฝนตกหรือเปล่า...แม่ล่ะครับเป็นยังไงบ้าง
บทสนทนาดำเนินไปไม่ถึงห้านาที ชาตินักรบเริ่มรู้สึกว่าตนเองนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะถามไถ่พ่อแม่ไม่ออกแล้ว เขาจึงเป็นฝ่ายขอยุติการสนทนาขึ้นก่อน หลังจากที่วางสายเสร็จแล้วชาตินักรบจึงนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้บอกสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งให้กับพ่อแม่ได้รู้ สิ่งสำคัญนั้นก็คือประโยคที่ว่า...... คิดถึงนะครับ รักษาสุขภาพด้วย........
ใครน่ะใคร
เขายังคงรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังเขาทุกที เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนสวย แววตาเป็นประกาย ใบหน้ารูปไข่ แก้มสีชมพูระเรื่อ ปากเธอสวยราวกับกลีบกุหลาบสีชมพูอ่อน แต่งตัวราวกับเจ้าหญิงในชุดสีขาวประดับด้วยอัญมณีสีรุ้ง มีกำไลที่ข้อมือเป็นรูปมังกรขาว เธอมีปีกเป็นขนนกและเธอบินได้
นี่เธอเธอเป็นใครน่ะ เข้ามาในบ้านผมได้ยังไง
ตายแล้วเขาเห็นเราได้ไงเนี่ย หรือว่าเขาจะเป็นแต่คงไม่ใช่หรอก มนตราเอาอาจจะเสื่อมลงก็ได้เพราะเราก็หายตัวมานานแล้วเหมือนกัน แคนดี้ตอบกับตัวเองในใจ
.แวบ..แคนดี้ลอยตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมกับค่อย ๆ หายตัวไปกับผนังห้องที่เป็นสีขาวสะอาดตา
ชาตินักรบรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบขยี้ตาทันที เมื่อจ้องมองไปที่ผนังห้องก็มองไม่เห็นเธอแล้ว
สงสัยเราคงตาฝาดไปเอง เขาเอ่ยขึ้น
รุ่งชึ้น
๐๙.๒๓ น. สำนักงานหนังสือพิมพ์ไททรรศน์
คุณอดิศรเดินมาถามชาตินักรบถึงโต๊ะทำงานว่าเขามีเรื่องที่จะเขียนเปิดคอลัมน์ให้หรือยัง เมื่อชาตินักรบเล่าถึงเรื่องที่เขากำลังจะทำให้ฟัง เขาได้รับความเห็นจากคุณอดิศรว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว เขาอยากรู้มากว่าชาตินักรบจะเขียนเรื่องราวออกมาในแนวไหน
ดี ๆ เอาเลยนะ คุณรีบไปเก็บข้อมูลมานะ แล้วถ้าเขียนเสร็จแล้วก็เอามาส่งผมที่ห้องด้วย
๐๙.๓๕ น. แฟลตแห่งหนึ่งที่ย่านบางกะปิ
ปาริชาติได้กลิ่นเหม็นมาจากห้อง ๔๐๗ ห้องพักข้าง ๆ ห้องของเธอมา ๒-๓ วันก่อนแล้ว กลิ่นเหม็นที่ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน หลังจากที่ทนเหม็นจนนอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้ปาริชาติจึงตัดสินใจเดินมาเคาะประตูห้องนั้นเพื่อจะสอบถาม เจ้าของห้องว่าเก็บอะไรเหม็น ๆ ไว้ในห้อง หรือได้กลิ่นอะไรเหม็น ๆ ในห้องหรือเปล่า
เมื่อปาริชาติยืนอยู่หน้าประตูห้อง ๔๐๗ จมูกของเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ทวีความรู้แรงเพิ่มมากขึ้น เหม็นมากจนแทบจะอาเจียนออกมา เธอกลั้นใจเอามือข้างหนึ่งอุดจมูกไว้ และใช้มืออีกข้างหนึ่งเคาะประตู พร้อมกับส่งเสียงเรียกเจ้าของห้อง
นี่คุณ..มีใครอยู่มั๊ย...มีใครอยู่หรือเปล่า ?
เธอไม่มียินเสียงตอบรับกลับมา แม้ว่าเธอจะส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องดังเพียงใดก็ไม่มีใครตอบรับกลับมาสักที
ชั่วขณะที่มีความเงียบเป็นเสียงตอบรับ ปาริชาติได้ยินเสียงเหมือนคนพูดคุยกันเบา ๆ มาจากข้างในห้อง ใจเธอเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา เธอเคยรู้จักเจ้าของห้องนี้มาก่อนหรือเปล่านะ...
เคยสิ...ดูเหมือนเขาจะชื่อทรงพล เธอเคยเห็นเขาอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งแล้วแต่โอกาส ว่าจะบังเอิญเปิดประตูห้องมาเจอกันตอนไหน เขาเป็นผู้ชายอายุยี่สิบต้น ๆ เพิ่งทำงานได้ไม่นาน ท่าทางเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยออกไปไหนแม้ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนหรือวันหยุดก็ตาม ที่เธอรู้ก็เพราะว่าเธอมักจะได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงโทรทัศน์ดัง มาจากห้องข้าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว จำได้ว่าเธอเห็นเขาครั้งล่าสุด เมื่อ ๕-๖ วันที่ผ่านมานี่เอง หลังจากนั้นมาเธอยังไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกเลย
ความเงียบทำให้ความรู้สึกบางอย่างอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ สมองของปาริชาติเริ่มนึกไปถึงข่าวต่าง ๆ ที่เธอเคยอ่าน หรือได้ยิน ได้ฟัง มาจากสื่อต่าง ๆ และเริ่มประมวลผลมันเข้ากับสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่
มีความเป็นไปได้ ที่น่าเชื่อถืออยู่มากทีเดียวว่าอาจจะเกิดเรื่องร้าย ๆ เรื่องหนึ่งขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของประตู เธอกลั้นหายใจ ตัดสินใจเคาะประตูห้องนั่นดูอีกครั้งหนึ่ง
ก๊อกก๊อกก๊อก
นี่คุณ ถ้าไม่เปิดประตูออกมา ฉันจะไปเรียกผู้ดูแลข้างล่างให้ขึ้นมานะ...คุณ...คุณ
ความเงียบยังคงเป็นคำตอบที่เธอได้รับกลับมาปาริชาติเริ่มมั่นใจในความคิดของเธอมากขึ้น เธอวิ่งลงจากชั้น ๔ ลงไปหาไสวผู้ดูแลอาคารที่ชั้นล่าง เล่าเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งข้อสงสัยของเธอให้เขาฟัง และร้องขอให้เขาเอากุญแจสำรองขึ้นไปเปิดประตูห้องของทรงพล
ไสวกดเบอร์โทรศัพท์ของห้องทรงพลขึ้นมาเพื่อสอบถาม สัญญาณดังอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีผู้รับสาย ไสวเองก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาเองก็ไม่ได้เห็นทรงพลมา ๔-๕ วันแล้วเช่นกัน
ความสงสัยบวกกับเรื่องราวที่เขาได้ฟังมาจากปาริชาติ เชิญชวนให้เขาตัดสินใจเดินขึ้นมาข้างบนเพื่อหาข้อพิสูจน์
ตายไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้
ประตูถูกลงกลอนจากด้านใน แม้ว่าไสวจะใช้กุญแจสำรองไขเปิดลูกบิดแล้วก็ตาม กลิ่นที่เหม็นรุนแรง กับการคาดการณ์ซึ่งน่าจะมีเค้าความจริงอยู่ไม่น้อย ทำให้ไสวตัดสินใจพังประตูห้องของทรงพลเพื่อจะเข้าไปดูเหตุการณ์ ข้างใน
...ปัง....ประตูถูกกระแทกเข้าไป
กลิ่นเหม็นรุนแรงนั้นลอยเข้ามาปะทะจมูกจนสะอึก และสิ่งที่พวกเขาพบนั้นถึงกับทำให้ผงะด้วยความตกใจ
ทรงพลเจ้าของห้องนอนตะแคง เป็นศพอยู่บนเตียง ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกำลังรู้สึกเจ็บปวด มือข้างหนึ่งกุมอยู่บริเวณหน้าอก ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นไปเหนือศีรษะเหมือนกำลังพยายามจะไขว่คว้าหาอะไรบางอย่าง
เมื่อมองตามทิศทางมือของทรงพลขึ้นไปจนสุดเขตสายตา เห็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะติดกับผนังห้อง...โทรศัพท์นั่นเอง...เขากำลังพยายามจะหยิบโทรศัพท์
โทรทัศน์ในห้องนั้นถูกเปิดทิ้งไว้ สภาพศพบวมเป่ง มีคราบน้ำเหลืองเป็นวงกว้างให้เห็นบนฟูกนอน ภาพที่เห็นกับกลิ่นที่ได้รับ เกินความทนทานของจิตใจที่จะรับได้ ร่างกายของปาริชาติและไสวขับดันบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนขึ้นมาจากบริเวณช่องท้อง เพื่อลดความกดดันนั้นให้ลดลง
โอ๊ก..
โอ๊ก..
พวกเขาอาเจียนออกมาเกือบจะพร้อมกัน
ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยการฆาตกรรม หลักฐานที่ปรากฏไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ตายฆ่าตัวตายแต่อย่างใด ตำรวจซึ่งมาตรวจที่เกิดเหตุให้ความเห็นในเบื้องต้นว่า
ผู้ตายอาจจะหัวใจวายตาย
ชาตินักรบหยิบสมุดบันทึกของเขาขึ้นมา บันทึกข้อความลงไป
นางปาริชาติหญิงข้างห้อง และนายไสว ผู้ดูแลอาคาร พบศพนายทรงพลผู้ตาย ในห้องพักหมายเลข ๔๐๗ ย่านบางกะปิ... หลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณ ๕ วัน... ก่อนผู้ตายจะเสียชีวิตคาดว่าน่าจะรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกอย่างรุนแรง และพยายามจะหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อใครสักคนให้มาช่วยเหลือ แต่เขาทำไม่สำเร็จ หัวใจของเขาทำร้ายตัวเขาเองก่อนที่เขาจะบรรลุเป้าหมาย
เสียงโทรศัพท์มือถือของชาตินักรบดังขึ้น หมายเลขที่แสดงทำให้รู้ว่าเป็นเบอร์ของคุณอดิศรหัวหน้ากองบรรณาธิการ
ครับ หัวหน้า ชาตินักรบตอบรับ
จำเรื่องต้นไม้ที่สวนสาธารณะที่คุณพูดถึงได้หรือเปล่า
มีอะไรเหรอครับ
ผมเพิ่งขับรถผ่านมาจากทางนั้น มีเรื่องอยากจะให้คุณช่วยเช็คดูหน่อย
ได้ครับ ผมเพิ่งทำข่าวเสร็จพอดี มีเรื่องอะไรเหรอครับ คงจะเป็นเรื่องด่วนน่าดู ไม่งั้นหัวหน้าคงไม่โทรศัพท์มาหาเขาทันทีแน่
...ผมเพิ่งเห็นต้นไม้ทุกต้นในสวน ผลิดอกผลิใบเต็มต้นเมื่อกี้นี้เอง.....
.หา.เขานึกในใจก่อนที่จะขับรถออกมา
28 มีนาคม 2548 09:22 น.
สุชาดา โมรา
หลังจากที่ถูกชายคนนั้นสัมผัสตัว พวกเขาต่างรู้สึกมึนงง และหมดสติไปครู่ใหญ่ ในใจคิดว่าคงโชคร้ายซ้ำสองถูกผู้ชายคนนั้นวางยาเพื่อปลดทรัพย์แน่แล้ว
เมื่อฟื้นขึ้นมาชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ ที่กังวลว่าจะถูกขโมยไปนั้นยังอยู่ครบถ้วน ในขณะที่ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากอุบัติเหตุกลับค่อย ๆ ลดน้อยลงไป ไม่รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนเคย บาดแผลที่ได้รับเหมือนจะมีขนาดเล็กลงไปด้วย เมื่อรออยู่ครู่ใหญ่หน่วยกู้ภัยและรถพยาบาลจึงมาถึงที่เกิดเหตุและนำ พวกเขาส่งโรงพยาบาล
จากบันทึกประจำวันของตำรวจระบุว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์สองสามคนให้ข้อมูลสอดคล้องกับผู้รอดชีวิตว่า เห็นผู้ชายคนหนึ่งขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อเริ่มมีคนจอดรถเพื่อดูเหตุการณ์เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเอ่ยถามถึงป้ายทะเบียนรถที่ผู้ชายคนนั้นขับ ไม่มีพยานคนไหนบอกได้เลยว่ารถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีบรอนซ์ที่ชายอายุประมาณ ๒๕ ๓๐ ปีคนนั้นขับออกไปหมายเลขทะเบียนอะไร
ผมไม่รู้ครับ
ฉันไม่รู้ค่ะ มันคลับคล้ายคลับคลา ฉันจำได้แต่กางเกงของเขาและรองเท้าของเขาเท่านั้น
แล้วเขาใส่รองเท้าอะไร
รองเท้าหนังสีดำเป็นเงาราวกับจะส่องเป็นกระจกได้ เขาใส่กางเกงชเล็กสีดำฉันจำได้แค่นี้เอง
แล้วทรัพย์สินมีค่าของคุณหายไปหรือเปล่า
ไม่นี่ไม่
เมื่อผู้รอดชีวิตให้การว่าทรัพย์สินมีค่าที่ตนเองมีอยู่ในขณะเกิดเหตุไม่ได้สูญหายไป แต่อย่างใด ประเด็นความสนใจของตำรวจว่าชายคนนั้นอาจจะเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ที่เข้ามาลักทรัพย์ของผู้เคราะห์ร้ายก็หมดไป เหลือไว้แต่เพียงข้อสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นเข้าไปทำอะไรกับผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามเนื่องจากตำรวจเจ้าของคดีลงความเห็นว่าประเด็นดังกล่าวไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปคดี ข้อสงสัยนั้นจึงไม่ได้มีการสืบค้นเพื่อขยายผลแต่อย่างใด แต่สำหรับชาตินักรบนั้นข้อสงสัยนี้กลับเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก และยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งสองที่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต้นไม้ในสวนสาธารณะบริเวณใกล้ ๆ กับที่เกิดอุบัติเหตุหรือต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุ พร้อมใจกันสลัดใบ และเหี่ยวเฉาลง หลังจากวันที่เกิดอุบัติเหตุเพียงหนึ่งวัน
มีผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนให้ข้อมูลว่า ก่อนวันที่ต้นไม้จะพร้อมใจกันสลัดใบและเหี่ยวเฉาหนึ่งวัน ซึ่งตรงกับวันที่มีอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ชายอายุประมาณ ๒๕ - ๓๐ ปีคนหนึ่งขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์มาจอดที่สวนสาธารณะ รูปพรรณสัณฐานของชายคนนั้น ชี้นำให้รู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกันกับผู้ชายที่อยู่ในที่เกิดเหตุรถชนกันในวันนั้น
ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าชายคนนั้นเขาเดินโซซัดโซเซออกจากรถมานอนเหมือนคนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมีคนเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะดูอาการ จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาและเดินกลับไปที่รถ ขับรถออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทะเบียนรถของชายคนนั้นล่ะครับหมายเลขอะไร ชาตินักรบเอ่ยถาม
ป้ายทะเบียน... ป้ายทะเบียนเหรอรถคันนั้นมีป้ายทะเบียนไหมนะเอไม่รู้สิแต่น่าจะไม่มีป้ายทะเบียนนะ
นั่นคือข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับรถคันนั้นที่ชาตินักรบได้รับเพิ่มเติมมา
แทบจะหาจุดเริ่มต้นอะไรไม่ได้เลย สำหรับการค้นหาผู้ชายคนนั้น ไม่มีชื่อ ไม่รู้ป้ายทะเบียนรถ ผู้ชายคนหนึ่งที่ขับรถยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ คงมีเป็นพัน เป็นหมื่นคนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และจังหวัดอื่น ๆ บางทีอาจจะเลยออกไปถึงเขตปทุมธานีหรือนครปฐมด้วยซ้ำชาตินักรบนึก
.
ช่วงขณะที่ต้องผจญกับภาวะรถติดในขณะที่เดินทางกลับที่พัก ชาตินักรบได้แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้เขาจะคิดหัวข้อเรื่องที่จะเขียนบทความเรื่องพิศวงซึ่งเป็นการเปิดคอลัมน์ได้แล้วว่าน่าจะใช้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับความเจ็บปวดที่หายไป แต่ภายในใจก็ยังครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าความเจ็บปวดที่หายไป จะมีความน่าสนใจ ถึงขั้นเป็นเรื่องน่าพิศวง ที่จะนำมาเขียนในคอลัมน์จริง ๆ นะเหรอ...
มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าในช่วงขณะที่ชายคนนั้นเข้าไปจับตัวผู้เคราะห์ร้ายทุก ๆ คนที่มีชีวิตอยู่ เขาอาจจะฉีดยาชาหรือทำการรักษาอาการเจ็บปวดให้ผู้เคราะห์ร้ายด้วยวิธีการแบบอื่น ๆ เช่น สกัดจุด หรือฝังเข็ม เพื่อให้ผู้เคราะห์ร้ายรู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายน้อยลง
แต่การฉีดยาชา การสกัดจุด หรือการฝังเข็มให้กับคนเจ็บทุกคนนั้นคงต้องใช้เวลาไม่น้อย ในสภาวการณ์ตามที่ได้รับข้อมูลมา ชายคนนั้นไม่น่าจะมีเวลามากมายถึงขนาดที่จะกระทำการใด ๆ อย่างนั้นได้ เพราะการฉีดยาชา และการฝังเข็มต้องมีอุปกรณ์ และต้องใช้เวลาในการเตรียมอุปกรณ์สำหรับคนคน ๆ หนึ่งพอสมควร
ในขณะที่การสกัดจุดนั้น ลักษณะบาดแผลของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้การสกัดจุดแต่ละจุดเพื่อยับยั้งความเจ็บปวดนั้น คงต้องใช้เวลาในการค้นหาจุดแต่ละจุดพอสมควรเช่นกัน
บาดแผลที่มีขนาดลดลงไปอีกล่ะ จะอธิบายได้ว่ายังไง...แล้วการกระทำของผู้ชายคนนั้นในเหตุการณ์ที่สองมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แรกหรือไม่ ยังไง...ตอนนี้ชาตินักรบเองก็ยังหาคำตอบให้กับคำถามนี้ไม่ได้...