18 กรกฎาคม 2547 17:08 น.
สุชาดา โมรา
จะมีใครสักกี่คนที่จะทำความดีได้ตลอดชีวิต และจะมีใครสักกี่คนที่จะเป็นคนเลวได้ตลอดชีวิต... ผมว่าไม่มีหรอกนะเพราะคนทุกคนย่อมมีทั้งส่วนเลวและดีในคน ๆ เดียวกัน และผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น...
ผมกำลังยืนอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุด ผมมองไปรอบ ๆ ตัว ผมเห็นมีแต่คนร้องไห้ ทำไมพวกเขาจึงเศร้าได้ขนาดนี้ล่ะ ผมทักใครสะกิดใครก็ไม่มีใครคุยกับผม จนกระทั่งผมเดินมายืนหยุดตรงหน้าพ่อ-แม่ผม ผมเห็นท่านร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง
"คุณแม่ครับ คุณพ่อครับ....ร้องไห้ทำไมครับ ผมอยู่ตรงนี้แล้วอย่าร้องนะครับ"
ผมปลอบใจท่านเท่าไรแต่ท่านก็ยังไม่หยุดร้องไห้เสียทีผมไม่รู้จะทำอย่างไรผมจึงเดินออกมานั่งที่ศาลาวัดและก็นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม... ผมนั่งคิดและพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจผมเลย
ชีวิตของผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมไม่เคยรู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมเคยฝันอยากจะเป็นนั่นอยากจะเป็นนี่ แต่ตัวผมเองกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด ผมทั้งโดดเรียน กินเหล้า เฮตามเพื่อนมาโดยตลอด ไม่ว่าเพื่อนจะไปทางไหนก็จะมีผมอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่เรื่องเรียนก็ตามผมยังเรียนตามเพื่อนเลย ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ว่าผมไม่ถนัดเลยไอ้เรื่องไฟฟ้าเนี่ย เพราะมันต้องคำนวณ...ถึงเรียนก็ต้องตกก็ต้องซ่อม ยิ่งกฎของโอมนะผมยิ่งเกลียดมาก ๆ เลย ให้ท่องอะไรนักหนาก็ไม่รู้ สูตรบ้าบออะไรก็เยอะแยะ เฮ้อ...
ผมรู้ตัวว่าผมไม่เคยทำอะไรดีเลยสักอย่าง ผมทำให้พ่อ-แม่ต้องทุกข์ใจทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเล็ก ผมทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ ขยันเรียนได้เกรดดีมาตลอด เป็นผู้นำของห้องเรียน เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ ครูอาจารย์ และเพื่อนฝูง พอโรงเรียนเลิกผมก็มักจะไปรับจ้างล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารข้างบ้านผม ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องค่าขนมของผม...เพราะว่าฐานะบ้านเราไม่ค่อยดีนัก
พ่อผมทำงานอยู่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิพุทธสมาคมฯ ส่วนแม่ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกวัน ๆ ก็เอาแต่เล่นไพ่ สร้างหนี้สินไม่รู้จักหยุดหย่อน เช้าขึ้นมาผมก็เห็นพ่อกับแม่กินโอวันตีนใส่หน้าแข้งทุกวัน...พอเย็นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่มีความสุขสำหรับผมเลยสักนิด
ชีวิตที่ไม่เอาถ่านของผัวเมียที่มีแต่หนี้และไม่ค่อยเอาใจใส่ครอบครัว ทำให้ผมเบื่อหน่ายและอยากจะหนีไปให้ไกล ๆ ผมเคยคิดอยากจะลองยาแต่ว่าใจยังไม่ถึง อีกอย่างผมก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันกินด้วย
ตอนนั้นผมจบ ม.3 มาหมาด ๆ ได้เข้าเรียนวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ผมไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนได้เพราะไม่มีเงิน แม่ของผมเที่ยวหยิบยืมเงินใครก็ไม่มีใครเขาให้ยืมเพราะแม่เป็นคนเหนียวหนี้ พอมีเงินก็ไม่ไปจ่ายให้เขา เอามาเล่นไพ่จนหมดเนื้อหมดตัว... ผมจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน ผมจำได้ว่าวันนั้นผมนั่งร้องไห้จนตาบวมไปหมด จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผม...
"เป็นอะไรล่ะ...จ้อย"
"ผมไม่มีเงินไปลงทะเบียนเรียนครับปู่"
"แม่เอ็งล่ะ..."
"เล่นไพ่อยู่บ้านยายปิ๋มครับ"
"แม่มึงนี่ใช้ไม่ได้เลย วัน ๆ เอาแต่เล่นไพ่ถึงว่าลูกทำไมไม่มีเงินเรียน...เฮ้อ!...มา ๆ เข้าบ้านเดี๋ยวกินข้าวซะนะปู่ซื้อมาฝาก"
"แล้วปู่มายังไงครับ"
"ก็พ่อเอ็งเขาโทรไปบอกปู่ว่าเขาจะไปธุระที่กรุงเทพฯกับนายเขา พ่อเอ็งเขาเป็นห่วงนะเขารู้ว่าแม่เอ็งต้องไม่อยู่ดูแลลูกจึงให้ปู่มาดูแล"
ผมส่งน้ำให้ปู่ หาจานมาใส่กับข้าวแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ...ผมรู้สึกว่าตัวเองหดหู่เหลือเกิน ทำไมชีวิตครอบครัวของผมถึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ แบบนี้
"จ้อย...ไม่มีเงินลงทะเบียนก็มาเอากับปู่นี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ปู่พาไปมอบตัวที่โรงเรียนเอง"
ผมรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามาโปรดผมเลย ผมได้เข้าเรียน มีเพื่อนมากมาย รวมทั้งเพื่อนเก่าที่ผมตามกันมาด้วย... ตอนแรกผมก็วางตัวดี ตั้งใจเรียน แต่ผมก็เรียนไม่ได้ดีนักเพราะผมไม่เก่งคำนวณ ผมรู้สึกว่าช่างไฟฟ้านี่ไม่เหมาะกับผมเลย... เมื่อผมเรียนไม่รู้เรื่องผมก็เลยเฮตามเพื่อน เวลาเพื่อนไปไหนต้องมีผมอยู่ที่นั่น จนไม่ได้เข้าเรียน อาจารย์ก็มีหนังสือเรียกผู้ปกครองอยู่บ่อย ๆ แต่ก็เป็นโชคของผมทุกทีเพราะผมมักจะมาทันตอนไปรษณีย์ส่งจดหมายพอดี ผมก็เลยเอาจดหมายไปซ่อน พ่อผมจึงไม่มีโอกาสไปโรงเรียนกับผมสักที
"จ้อยเอ้ย...จ้อย...หยิบซองเอกสารเล็ก ๆ ในห้องให้พ่อหน่อยเร็ว..."
พ่อเรียกให้ผมไปหยิบอะไรมาให้ก็ไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่าซองนั้นมันค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ...เมื่อผมส่งให้พ่อ พ่อก็หยิบของในนั้นออกมาผมถึงกับตาโตทีเดียว...
"นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนี่...พ่อเอามาจากไหนกัน"
"พ่อถอนออกมาจาธนาคารเพื่อเอามาใช้หนี้ให้แม่แกเขา แล้วก็จะเอาไปคืนปู่แกเขา แม่แกนี่ใช้ไม่ได้เลยนะจ้อย..."
พ่อพูดเหมือนไม่พอใจ แต่ผมก็รู้สึกว่าดีนะที่บ้านเราจะหมดหนี้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าเดี๋ยวแม่ก็สร้างหนี้อีก...เฮ้อ...คิดแล้วก็กลุ้มใจเมื่อไรครอบครัวเราจะมีความสุขสักทีนะ
"จ้อยอยากได้รถไว้ขับไปโรงเรียนไหม"
ผมรู้สึกใจหวิวตัวลอยเชียวละ ผมว่าพ่อต้องซื้อรถให้ผมแน่ ๆ เลย ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขที่สุดเมื่อได้ยินพ่อพูดคำนี้...แต่เอ...พ่อจะเอาเงินมาจากไหนนักหนากัน
"แล้วพ่อมีเงินเหรอ"
"ไม่มีก็กู้เอาสิ...เพื่อลูกแล้วพ่อทำได้ทุกอย่างละ...แล้วจะไปเลือกรถกันวันไหนล่ะ"
............
วันแรกที่มีรถขับผมรู้สึกว่ามันโก้จริง ๆ ผมขับร่อนไปร่อนมาในโรงเรียนจนยามต้องเรียกไปเตือนบ่อย ๆ เพื่อน ๆ ก็เฮกันเพราะผมได้รถใหม่ เราก็เลยมาตั้งแก๊งขับ รีด ป่วนกัน วัน ๆ ก็ไถเงินคนนั้นทีคนนี้ที ขับรถร่อนไปร่อนมากวนชาวบ้านในโรงเรียน ยามเรียกก็ไม่สนใจ พวกผมรู้สึกว่ามันเท่มากเลยที่ทำแบบนี้... รู้สึกสะใจ ยิ่งเมื่อผมขับรถยกหน้าได้นะโอ้โห...ราวกับเป็นฮีโร่ของกลุ่มเลยละ ผมมีความสุขมากทีเดียว
แอ๋น...แอ้นแอ๋นแอ๋แอ๋...........น
เสียงรถขับป่วนในโรงเรียนยกหน้าบ้าง ขี่วนเป็นวงกลมบ้างดูมันเท่มาก ๆ เลย จนกระทั่งผมขับรถแหกโค้งไปล้มตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ทางด้านหน้าของตึกคอมพิวเตอร์ เธอน่ารักมาก ๆ ดูเธอตกใจมากทีเดียว หนังสือเกลื่อนกลาดอยู่กลางถนน เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงพื้น เมื่อผมประคองรถขึ้นได้ผมก็ไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น ช่วยเธอเก็บหนังสือแต่เธอก็ไม่พูดกับผมสักนิด เพื่อน ๆ ผมขับรถมาหาก็แซวผมจนเธออายเดินหนีไป
"เฮ้ย!...เป็นไงบ้างวะ อุบัติเหตุรักไง๊"
ผมเห็นเธอเดินหนีผมก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย ผมรู้สึกว่าผมหวั่นไหวเพราะเธอคนนี้ หรือว่าผมชอบเธอเข้าให้แล้ว เมื่อผมรู้ตัวว่าผมชอบเธอผมจึงตามตื้อเธออยู่เรื่อย ๆ จนเธอรำคาญ
"ไปให้พ้นนะไอ้พวกบ้า...!!!!"
ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สนใจผม ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอย่างไรดีเธอถึงจะมารักผม เพื่อน ๆ ก็แซวทุกวันจนผมรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว... ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว... แต่อย่างว่าแหละไม่มีใครที่ไหนหรอกจะชอบผู้ชายที่เกะกะเกเร พวกป่วนเมืองอย่างผม นึกแล้วก็กลุ้มใจจริง ๆ นะ
วันนี้ผมเห็นเธออีกครั้ง แต่เธอเดินมากับใครบางคน ผู้ชายคนนั้นท่าทางดูดีน่าจะเก่งเรียน แต่ดู ๆ บางทีก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
"เฮ้ย...!!!พวกมึงรู้ไหมว่าน้องแนนเดินมากับใคร"
"เฮ้ย...มึงอย่ายุ่งเชียวนะไอ้จ้อยนั่นมันเด็กผู้ใหญ่หินนะเว้ย...!!!"
"เออใช่ว่ะ...ถ้ามึงยุ่งนะกูว่าเกิดเรื่องแน่ ๆ แหละ ดีไม่ดีบ้านมึงอาจเหลือแต่ตอก็ได้นะ...เฮ้ย...กูว่าอย่าเชียวนะที่จริงมึงมีแฟนแล้วทำไมมึงต้องไปจีบน้องแนนด้วยวะกูไม่เข้าใจเลยว่ะ"
"กูไม่สนหรอกไอ้ชิด ไอ้ตั้มถ้ากูรักใครแล้วกูต้องไม่แพ้เว้ย...!!!!...อีกอย่างกูชอบจับปลาหลาย ๆ มือเฟ้ยมันเร้าใจดี"
ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ และก็จ้องมองไอ้หมอนั่น
"มาอีกแล้วเหรอ...หน้าหนาจริง ๆ เลยนะ"
"ทำไมเหรอ...โรงเรียนเป็นของเธอคนเดียงไง๊!...เราถึงเดินไม่ได้"
"เฮ้ย...!!!พูดกับผู้หญิงน่ะพูดมันดี ๆ หน่อยโว้ย..."
"ทำไมมึงยุ่งไรด้วย...ไอ้กรวก!!!!"
พอผมพูดคำนี้จบหมอนี่ก็ซัดผมลงไปกองกับพื้นทีเดียว ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย จนเพื่อน ๆ วิ่งมาช่วยผม สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่แทบจะมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร พวกเราซัดกันอย่างเมามันมาก เมื่อผมได้ทีก็ซัดใส่หมอนี่ทันที
"มึงเก่งนักใช่ไหม...ทำตัวเป็นฮีโร่...นึกว่าจะแน่...โถ่ไอ้กรวกเอ๊ย...!!"
"แน่ะเพื่อนกูว่ามึงยังมามองอีก เอาไงวะ...เดี๋ยวปั๊ด..."
"พอ ๆ เถอะมึงกูว่าเป็นเรื่องแน่ ๆ เลยว่ะสารวัตรนักเรียนมานู่นแล้ว..."
ผมกับพวกคิดอะไรไม่ออกก็เลย ผมจึงคว้ารถได้ก็ฉุดเธอนั่งซ้อนท้ายไปเลย ส่วนไอ้หมอนี่ผมก็เอาไปด้วยโดยมันซ้อนท้ายเพื่อนผมไป เมื่อมาถึงโกดังที่พวกเราซ่องสุมกันบ่อย ๆ ผมก็จับไอ้หมอนี่มัดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วพวกผมก็เดินวนไปวนมารอบ ๆ ตัวมัน ผมรู้สึกว่าผมเท่มาก ๆ ทีเดียว
"อย่า...อย่าทำพี่รบนะ บอกว่าอย่ายังไงเล่า"
"ถ้ายอมเป็นแฟนพี่แล้วพี่จะปล่อยมันไป...ว่าไง..."
"ไอ้...ไอ้เลว พวกแกนี่มันเลวจริง ๆเลย ไม่มีปัญญาหาแฟนรึไงทำไมต้องมาทำร้ายกันแบบนี้ ถ้าฉันหลุดไปได้นะ...ฉันจะ...อื้อ...อื้อ...อื้อ"
เพื่อนผมเอามืออุดปากเธอเอาไว้ ผมจึงเอาเชือกมามัดแขนและขาเธอยึดติดกับเสาที่กลางโกดัง
"เฮ้ย!...กูว่ากูคิดอะไรออกแล้วว่ะ รับรองเธอสนุกแน่ ๆ นะจ๊ะสาวน้อย"
ผมพูดกับเพื่อนแล้วก็หันไปพูดกับเธอ แต่ผมก็รู้สึกว่าใจมันสั่นเหลือเกินเมื่อเห็นเธอจ้องตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผม
"อ่ะให้โอกาสพูดนะจ๊ะคนดี...อยากจะโทรหาใครก่อนจ๊ะ"
ไอ้ชิดเพื่อนของผมพูดขึ้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากดโทรหาเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่ชื่อกุ้ง
"ฮัลโหลกุ้งหรือเปล่าครับ เอ่อแนนไม่สบายมากเลยเธอช่วยมารับเพื่อนของเธอไปส่งที่โรงพยาบาลที ตอนนี้อยู่ที่ท่ารถเมย์ตรงหน้าตลาดนะ"
ติ๊ด...เมื่อวางหูเสร็จเพื่อนผมก็ยิ้มเยาะชอบใจใหญ่
"เฮ้ยมึงไปรับน้องกุ้งมาที่โกดังหน่อย"
"ที่ไหนวะไอ้ชิด"
"ไอ้ด้วงมึงไม่ได้ฟังกูพูดโทรศัพท์เลยเหรอวะ...เดี๊ยสวยหรอก"
"เออ ๆ กูรู้แล้ว หน้าตลาดใช่ปะ"
เมื่อไอ้ด้วงขับรถออกไปได้พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมน้องกุ้งและเพื่อนอีก 2 คน
"นี่ไงน้องแนนนอนสลบอยู่ที่นี่ไงตามมาสิ มาหลาย ๆ คนก็ดีจะได้ช่วย ๆ กันพยุง"
ครืด...เสียงประตูโกดังเปิดขึ้นเพื่อน ๆ ที่แอบอยู่ข้าง ๆ ประตูก็วิ่งไปข้างหลังผู้หญิง 2 คนและอุดปากทันที ส่วนไอ้ด้วงก็ปิดประตูตามเดิม
"อื้อ...อื้อ...อื้อ"
"อย่าดิ้นสิจ๊ะน้องกุ้ง...เฮ้ยไอ้รัตน์เอาเชือกมามันน้อง ๆ หน่อยเร้ว...วันนี้สนุกแน่ ๆ ว่ะ...55555"
ไอ้ชิดหัวเราะชอบใจใหญ่แล้วก็มัดน้องกุ้งและเพื่อนไว้กับมุมห้อง
"เฮ้ย...มึงไอ้จ้อยมึงเอาเด็กมึงไป กูเอาน้องกุ้งน่ารักดี มึงไอ้ด้วงมึงเอาน้องคนนี้ไปนะเพราะมึงไปพาน้องเขามา..."
"อ้าวแล้วพวกกู 2 คนล่ะวะ"
"มึงก็ไปหามาสิไอ้รัตน์ ไอ้ตั้ม"
ไอ้ตั้มมันทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรแต่มันก็เดินเข้าไปหาน้องกุ้งทำท่าราวกับจะเอาเรื่อง
"เฮ้ย...มึงทำอะไรกับเด็กกูวะ"
"กูไม่ทำอะไรหรอกเพียงแต่กูจะเอาโทรศัพท์มากดหาเบอร์เพื่อนน้องเขาหน่อยว่ะ"
แล้วไอ้ตั้มก็กดเบอร์หาน้องคนนึงแล้วก็กดอีกเบอร์นึง สักพักไอ้ตั้มกับไอ้รัตน์ก็ออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีก 3 คน พวกมันมัดมือมัดเท้าผู้หญิงแล้วก็เอามานั่งรวมกันที่มุมโกดัง...
ตึก ตึก ตึก...ไอ้ด้วงเดินเข้าไปหาไอ้รบแล้วก็กระชากผมให้มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแกะผ้ามัดปากออก
"กูให้โอกาสมึงนะว่ามึงจะเอาไง...ระหว่างผู้หญิงกับตัวมึง"
"ถุย...ไอ้***"
ไอ้รบมันถุยน้ำลายใส่พร้อมกับด่าคำหยาบคายขึ้นมาทำให้ไอ้ด้วงไม่พอใจ
"มึงเก่งนักไง๊...หา....จะตายอยู่แล้วยังจะมาทำเก่ง...ถุย..."
ไอ้ด้วงถุยน้ำลายคืนแล้วก็หันหลังให้มันเหมือนกับว่าจะพอใจแค่นั้น แต่ก็เปล่าเลยมันหันกลับไปกระโดดถีบและซ้อมไอ้รบซะกระอักกระอ่วม
"เมื่อคราวที่แล้วกูยังไม่ได้เอาคืนเลย ที่มึงกับพวกข่มขืนแฟนกู...วันนี้กูเอาคืนมั่งหละ"
ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าไอ้ด้วงเพื่อนที่เงียบที่สุดในกลุ่มจะมีแฟน และไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันกับไอ้รบจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน...ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ...
"มึงมันเด็กผู้ใหญ่หิน แต่กูมันเด็กกำนันโป้งโว้ย...55555....มึงเสร็จแน่ไอ้รบ"
"มึงนี่เองนี่เป็นแฟนอีจูน อีอวบนั่น...กูสมเพชมึงจริง ๆ เลยที่มึงยังไม่เคยฟันอีนั่น แหมคิดแล้วมันสะใจจริง ๆ เลยโว้ย...55555......หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย...."
"มึง...มึง...ยังมาทำปากดีอีกนะมึง...ไอ้***...กูดูสิว่ามึงจะปากดีอีกไหม...มึงหล่อนักนี่ไอ้รบ...แต่มึงมันก็เลวไม่แตกต่างจากกูหรอก...ไอ้ระยำ...นี่เธอดูหน้าหล่อ ๆ ของแฟนเธอไว้ แล้วก็จำใส่กระโหลกไว้ซะว่าไอ้นี่มันก็ไอ้เลวคนนึงที่หาแฟนไม่ได้แล้วก็มาย่ำยีคนอื่น...เธอคงเสร็จมันไปแล้วสิ"
"จริงเหรอ...หา..."
พอผมได้ฟังไอ้ด้วงพูดผมก็ฉุนทันทีเลย ผมก็เลยเขย่าตัวเธอและก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อเธอออกแล้วก็รวนรามเธอทันที
"เฮ้ย...อย่านะเว้ย...มึงอย่า...."
"มึงรักนังแนนด้วยเหรอวะ หน้าอย่างมึงมันรักใครไม่เป็นหรอกโว้ย...55555....กูสะใจจริง ๆ เลยว่ะ"
"ถุย...ไอ้เลว...มึงทำได้กับผู้หญิงเหรอ..."
"แล้วมึงล่ะไอ้กรวก...มึงดีนักนี่ที่ทำกับแฟนกู...เอ...ที่มึงหวงนี่กูถามจริง ๆ เหอะมึงนอนกับอีนี่หรือยังวะ"
"ยังโว้ย..."
"งั้นก็ดี...กูจะได้ทำให้มึงเห็นว่าการเจ็บปวดมันเป็นยังไง"
แล้วไอ้ด้วงก็ถอดเสื้อผ้าของไอ้รบออกแล้วก็เอาน้ำมาสาดตัวไอ้รบให้เปียก จากนั้นก็ลากเอาไอ้รบไปพร้อมกับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ ๆ ผมกับน้องแนนแล้วก็ดูราเสพสมกัน ส่วนพวกมันที่เหลือเมื่อเห็นผมทำมันก็ทำตาม วันนั้นพวกเราไม่ได้กลับบ้านกัน พวกเราทั้งกินเหล้าทั้งเสพสมเวียนคนแล้วคนเล่าจนผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าน้องแนนเป็นของใครไปบ้างและผมก็ได้ไปแล้วกับใครกี่รอบ...จนในที่สุดพวกเราหมดแรงและก็หลับไปจนกระทั่งเช้า
"เฮ้ย...ตื่น ๆๆๆ ตื่นได้แล้วว่ะเช้าแล้วเว้ยเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"
"มึงยังอยากจะเข้าเรียนอยู่อีกเหรอไอ้จ้อย ป่านนี้สารวัตรนักเรียนก็ยืนเต็มไปหมดแล้ว...ก็รอจับพวกเราไงหรือว่ามึงอยากโดนจับ...ทำหน้าเป็นควายบ้านทุ่งไปได้"
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราโดดเรียนกัน ผมไม่มีเงินสักบาทแต่ไอ้ด้วงมันมี มันซื้อของมาให้กินเพราะบ้านมันค่อนข้างฐานะดี...พวกเรากินกันและแบ่งให้น้อง ๆ กันบ้างแต่เราไม่ได้แบ่งให้ไอ้รบมันเลย
"มึงอยากินไง๊...อ่ะ"
ไอ้ด้วงส่งข้าวกล่องให้ไอ้รบ ผมเห็นมันทำท่าอยากกินจนใจแทบขาดแต่ไอ้ด้วงสิมันกลับเอาข้าวยีหน้าไอ้รบและหัวเราะชอบใจ ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยวันนี้เหมือนมีลางสังหรอะไรสักอย่าง
เมื่อผมปวดฉี่ผมก็ออกไปฉี่ ผมเห็นน้องกุ้งวิ่งกระโดด ๆ ออกมาจาด้านหลังของโกดังผมจึงจับตัวไว้และลากเข้าไปในโกดังจากนั้นก็ปิดโกดังสนิทและผมก็ซ้อมน้องกุ้งจนอ่วม...ผมไม่คิดหรอกว่าผมทำอะไรลงไป ผมรู้แต่ว่าผมกำลังหวาดกลัว กลัวว่าใครจะมาเห็น
"มึงซ้อมน้องเขาทำไมวะ"
"ก็อีนี่สิมันจะหนี"
"สภาพอย่างนี้เนี่ยนะ มึงจะบ้าเหรอเปลือยขนาดนี้"
"เออ...มึงไม่เชื่อก็ตามใจมึง"
ผมเดินไปรอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ทั้ง 6 คน น้องคนหนึ่งชื่อน้องเปิ้ลขาดใจตายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ส่วนที่เหลือก็หมดสภาพ พวกเราไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีก็เลยมานั่งคิดเรื่องเลว ๆ ต่อ แล้วพวกเราก็หาเรื่องสนุกกันอีกจนได้ พวกเราบังคับให้น้อง ๆ ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็มานั่งข้าง ๆ ไอ้รบ จากนั้นผมก็มัดพวกเขาไว้รวมกัน ผมเห็นสีหน้าพวกนี้แล้วก็รู้สึกสำนึกขึ้นมาทันที ผมทำอะไรลงไปเนี่ย ถ้าถูกตำรวจจับได้ต้องยุ่งแน่ ๆ เลย แต่เมื่อเพื่อนมันทำแล้วเป็นไงเป็นกันวะเพราะเราก็ร่วมอยู่กับเขาคนหนึ่งแหละ
"มึงจะทำอะไรต่อไปดีวะ แล้วศพน้องเปิ้ลล่ะ"
"ก็มัดมันรวมกันที่นี่แหละแล้วก็จะได้ส่งวิญญาณมันพร้อม ๆ กัน"
"เฮ้ย...!!!!"
พวกเราถึงกับร้องพร้อมกันทีเดียว
"หรือว่ามึงอยากถูกตำรวจจับวะ...ถ้าใครคนใดคนหนึ่งหลุดออกไปมึงว่ามึงจะรอดเหรอวะ...หรือว่ามึงมีทางอื่นอีก"
พวกเราเห็นพ้องต้องกันไอ้ด้วงมันใจหินที่สุดมันก็เลยเอาน้ำมันมาราดทุกคนแล้วก็เตรียมจุดไฟเผา แต่มันพลาดยังไงไม่รู้ถูกไอ้รบมันสกัดขาล้มตัวมันเลยโดนเผาไปด้วย พวกผมเอาน้ำมาราดยังไงมันก็ไม่ดับ กลับยิ่งรามเข้าไปใหญ่ อาจจะเป็นเพราะกรรมก็ได้ พวกเราที่เหลืออีก 5 คนจึงวิ่งไปปิดประตูโกดังแล้วก็หนีไปไม่กลับมาที่โกดังนี้อีกเลย...
เรากลับบ้านกันแล้วก็ถูกพ่อทำโทษ พ่อรู้เรื่องที่เราทะเลาะวิวาทกันที่โรงเรียน ผมโดนแค่ถูกทำทันบนที่บ้าน แต่ก็ดีกว่าตำรวจจับผมเรื่องที่ผมร่วมกันฆ่าคนตาย ปมนี้เป็นเรื่องที่คนในกลุ่มผมรู้กันเท่านั้น...และมันก็เป็นตราบาปแก่ผมไปตลอดชีวิต ทำให้ไม่เป็นอันเรียนพอนั่งเรียนก็เห็นแต่ภาพคน 7 คนนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีความสุขเลย ยามผมนั่งคุยกับแฟนผมก็เห็นเป็นหน้าน้องแนน ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว... และช่วงนี้ตำรวจก็ตามตัวฆาตกรเผาย่าง 7 ศพด้วย เวลาตำรวจมาทีไรผมงี้ผวาทุกที...ผมเกือบจะหลุดออกมาแล้ว ไม่งั้นตำรวจคงจะจับได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง...
"จ้อย วันนี้กลับด้วยคนนะคือแม่เราไม่มารับ เธอไปส่งเราที่บ้านหน่อยนะ"
"ครับ ๆ"
"เฮ้ย...จ้อยอย่าพาจิ๊กไปแวะข้างทางนะเว้ย...วูหู้!!!"
พวกนั้นแซวกันใหญ่
"ปากดีนะพวกมึง...เดี๋ยวศพไม่สวยหรอก"
ผมขับรถไปจนใกล้จะถึงบ้านเธอ ช่วงนั้นมันเป็นป่ารกทึบ ไม่มีแสงไฟตามถนน ผมขับรถมาเรื่อย ๆ จนผมต้องเบรกรถกระทันหันเมื่อมีคนกระโดดออกมากลางถนน
"เฮ้ย...แฟนมึงสวยดีนี่หว่า...กูขอได้ไหมวะ"
"พวกแกเป็นใคร"
"กูก็คนคุมซอยนี้ไงวะ มึงไม่รู้จักเหรอกูเด็กผู้ใหญ่หินว่ะไอ้โง่"
"จ้อยอย่ามีเรื่องเลย กลับเถอะ"
ถึงเธอจะห้ามยังไงมันก็สายไปแล้วละเพราะพวกนี้มันเข้ามาล้อมผมแล้ว
"หนีไป หนีไป....จิ๊ก...หนีไป..."
ผมตะโกนสุดเสียง จิ๊กวิ่งไปจนลับสายตาผม พวกนั้นมันซ้อมผมแทบปางตายแล้วก็ลากผมขึ้นรถกระบะไป จากนั้นก็มีคนหนึ่งที่ฉุดเธอมาได้แล้วก็พาผม จิ๊กพร้อมกับรถไปที่ในป่าลึกแล้วพวกนั้นก็ลุมโทรมเธอ วินาทีนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเธอเลย ผมรู้สึกได้ว่าเวรกรรมมันมาแล้ว...มันมาแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี มันให้ผมดูในสิ่งที่ผมไม่อยากดู...ผมรู้สึกทั้งแค้นมันและแค้นตัวเองที่ไม่อาจช่วยเธอได้ มันทรมานเธอจนตาย แล้วมันก็ให้ผมดูศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะเอาเชือกมัดผมตรึงไว้กับรถของผมและขับลากไปเรื่อย ๆ เหมือนว่าผมไม่ใช่คนจนกระทั่งผมสลบไป
"อื้อ...อื้อ"
"ฟื้นแล้ว นี่พ่อไอ้จ้อยฟื้นแล้ว"
ผมเห็นพ่อและแม่อยู่ตรงหน้าผม ทีแรกผมคิดว่าผมตายไปแล้วซะอีก แต่ทำไมผมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ ตำรวจสอบปากคำผมจนสเก็ดหน้าคนร้ายได้และจับตัวพวกมันได้หมด แต่เป็นโชคดีของมันที่พ่อมันเป็นผู้มีอิทธิพลมันจึงรอดไปได้ ผมนะเจ็บใจสุด ๆ ทีเดียว
ผมมารู้ข่าวดีอีกเรื่องก็คือจิ๊กไม่ตายแต่จิ๊กก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย ไม่กินไม่นอน มีอาการหวาดกลัวผู้ชาย ผมว่าเธอน่าจะตายไปเลยซะดีกว่าเธอมาอยู่ให้ทรมาน แต่ยังไง ๆ ผมก็รักเธอ ผมสัญญากับแม่เธอว่าผมจะดูแลเธอ และดูท่าทางแม่เธอก็ไม่ได้ดูดำดูดีเธอเลย พอผมมารู้ภายหลังผมก็ทราบว่าแม่ที่เธออยู่ด้วยเป็นแม่เลี้ยง ผมจึงรับเธอมาอยู่ที่บ้านและดูแลเธอเป็นอย่างดี ผมรู้สึกว่าผมสร้างภาระให้พ่ออีกแล้ว...
ผมดูแลเธอจนเธอหายเป็นปกติ ผมเรียนจะจบแล้ว วันนี้สอบเป็นวันสุดท้ายผมจึงพาจิ๊กและเพื่อนไปฉลองกัน เรากินเหล้าและเฮกันมาก ขากลับผมแทบขับรถไม่ไหวจิ๊กก็เลยขับรถพาผมกลับบ้าน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่คิดน่ะสิ
"เฮ้ย...!!!พวกมันอยู่นั่น เอาเลยพวกลุยมันเลย"
พวกเด็กผู้ใหญ่หินขับรถกระบะเข้าเบียดรถมอเตอร์ไซค์ที่พวกผมขับกันมา จิ๊กซิ่งสุดชีวิต ผมหันกลับไปหาเพื่อนอีก 4 คน ผมเห็นพวกนั้นน็อกกันหมดแล้ว ไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่ผมรู้ว่ามีเสียงเปรี้ยง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับเสียงปืนทีเดียว
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง...
ผมรู้สึกตัวลอยเหมือนกับนุ่นทีเดียว รถล้มลงกับพื้นแล้วจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ผมได้มายืนอยู่ข้าง ๆ จิ๊ก ผมเห็นจิ๊กเข้าไปหาพ่อของเธอ ผมเห็นเพื่อน ๆ ผมเข้าไปนั่งอยู่กับแม่ของเขา ผมจึงเข้าไปปลอบแม่กับพ่อ แต่ว่าพ่อกับแม่ไม่ตอบผมเลย และก็ดูท่าทางจะไม่ยอมหยุดร้องไห้เสียด้วย ผมจึงมานั่งที่ศาลาวัด เพื่อน ๆ และจิ๊กมานั่งใกล้ ๆ ผม ผมมองเห็นทุกคนในวัดเศร้าสร้อยกันมาก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็เงียบไม่พูดอะไร ผมเห็นโลงศพทั้งหมด 6 โลงตั้งเรียงกันอยู่เมื่อผมและทุกคนเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ โลง ผมก็รู้สึกใจหวิว ๆ ทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งมีชายชุดดำและชายชุดขาวเดินมาหาพวกเราทุกคน
"ไปกันได้แล้วหละ ถึงเวลาของเจ้าแล้ว...ส่วนเจ้าไปกับเทพ...และพวกเจ้ามากับข้า"
ชายชุดดำใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือและขาของผมและเพื่อน ส่วนจิ๊กเธอเดินอย่างสบายเดินไปกับเทพชุดขาวและก็ลอยหายไป...ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายตรงนี้แหละแล้วผมก็ต้องไป...ไปไกลมาก ผมไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็รู้แล้วละว่าที่ที่ผมจะไปมันคือที่ไหน เพราะผมทำบาปไว้มากเหลือเกิน...
18 กรกฎาคม 2547 16:58 น.
สุชาดา โมรา
ผมมีเพื่อนอยู่หลายคน เพื่อนแต่ละคนก็ดี ๆ กันทั้งนั้นเดี๋ยวก็เอาเรื่องนั้นมาพูดเรื่องนี้มาพูดไม่เห็นจะสนใจเรื่องเรียนกับเขาเลย แต่ผมก็ต้องทน ๆ คบกันไปก่อนเพราะผมไม่มีเพื่อนจะให้คบแล้วนี่ เพราะเพื่อน ๆ ก็โดนรีทายไปหมดแล้วก็เหลือแต่พวกหัวเสอย่างผมเนี่ยแหละ แหมจะยอตัวเองจนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
ผมอ่านข่าวเมื่อเช้านี้ในห้องคณะนะเขาบอกว่า ปัจจุบันนี้กระแสอยู่ก่อนแต่งกลายเป็นไฟลามทุ่งหากใครจับคู่ได้เมื่อไหร่ก็มักชวนมาลิ้มลองรสชาติการใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกันด้วยความไวไฟ เอ๊ย!!!อยากรู้อยากลองเหลือเกิ้น...!!!...
ผมว่านะถ้าคนเราสมัยนี้จะรอมชอมให้มีการอยู่ก่อนแต่งกันก็อาจเกิดกรณีตรอมใจก็ได้ใครจะไปรู้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะมันสะแด่วแห้วแค่ไหน ก็เสมือนการเป็นผัวเมียชั่วคราวนั่นแหละ มีหรือ ถ้าได้อยู่สองต่อสองแล้วจะไม่แตะอั๋ง จับโน่นจับนี่จนไฟฟ้ามันสปาร์ก ก็ฮูย...ฮอร์โมนกำลังพุ่งพรวดอย่างกะขีปนาวุธขนาดนี้จะห้ามใจยังไง จะห้ามมือไม้กันไหวหรือแบบนี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดหรือเอากางเกงในชนิดพิเศษป้องกันการเสียพรหมจรรย์ให้ใส่ก็รั้งไม่อยู่ร้อก โธ่...ขนาดพ่อแม่เตือนจนปากจะฉีกถึงรูหู เด็กสมัยนี้ก็ฟังไม่รู้เรื่อง แถมยิ่งเตือนเหมือนยิ่งยุเสียด้วยนะ ผมก็เห็นด้วยนะที่ข่าวฉบับนี้เขียนแบบนี้ เพื่อนผู้หญิงหลายคนในห้องก็ออก ๆ ไปกันหมดเพราะท้องเนี่ยแหละ บางคนก็เลิกลากันไปปล่อยให้เด็กเป็นภาระของสังคม เห็นแล้วผมรู้สึกสังเวทใจจริง ๆ เล้ย
"เฮ้ยกฤษ...เข้าเรียนได้แล้วละมัวอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ได้"
ผมเข้าเรียนสายไปหน่อยเพราะผมมัวอ่านหนังสือพิมพ์ แต่วันนี้ห้องเราได้รับข่าวดีอย่างหนึ่งละแต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเลย เพียงแต่เห็นที่ห้องเขาลือกันให้แซททีเดียว...
"เฮ้ยกฤษนายเห็นน้องใหม่หรือยังวะ น่ารักนะเว้ย...!!!"
"น้องมงน้องใหม่อะไรวะ...ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ทำไมมีเด็กใหม่ในคณะหรือไง"
"เปล่า ก็ห้องเรานั่นแหละมีคนย้ายมาจากเชียงใหม่มาเรียนที่นี่น่ารักเชียว ผมยาว ขาว สวยหวาน โอ้โหเพอร์เฟรคเป็นบ้าเลย หัวดีเรียนเก่ง ไฮโซ..."
"ผู้ชายบ้าอะไรของแกวะไว้ผมรุงรังถ้าเจอนะจะเบิร์ดกะโหลกซะทีว่ะ"...."อ้าวเฮ้ย!...ทำไมถึงเงียบวะ"
"จะตบใครเหรอคะ..."
ผมถึงสะดุ้งโหยงทีเดียวที่มีผู้หญิงมาถามว่าจะตบใคร เพื่อน ๆ นี่ก็ไม่บอกเลยว่าไอ้ที่นินทาอยู่นั่นมันผู้หญิง แหมน่ารักสมคำล่ำลือจริง ๆ แค่ได้ยินเสียงครั้งแรกนะ อย่าให้เซทเลยเสียงงี้หวานเชียว ยิ่งพอหันไปดูนะถึงกับใจหวิวทีเดียวละ โอ้โหสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์เลย แล้วดูพวกผมสิหน้าตาโหด ๆ ทั้งนั้นเลย แล้วเธอยังต้องมารวมอยู่กับกลุ่มผมอีกเพราะกลุ่มผมมันแก่เรียน...
ตอนทำรายงานกลุ่มนะอื้อหือ...ชื่อคนที่เขียนยากที่สุดก็คือเธอนี่แหละ ชื่อพยางค์เดียวแต่สะกดยากจะตาย ชื่อรัน แต่เขียนฬนน โห...พ่อแม่ช่างตั้ง คนตายไปกี่ป่าช้าชื่อมีตั้งเยอะตั้งแยะให้เลือกไม่เลือก มาตั้งชื่อบ้า ๆ อะไรอย่างนี้นะเขียนยากชะมัดเลย
"ชื่อะไรนะเราน่ะ.."
"ฉันชื่อฬนนค่ะ"... "เขียนไม่ถูกค่ะต้องเขียนแบบนี้"
แล้วเธอก็เขียนให้ดู ผมนี้งงเลย เขียนยากเป็นบ้าเลย...
ผมรู้จักเธอมาประมาณ 6 เดือน ผมรู้ตัวดีว่าผมก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ หรอกที่หลงรักเธอเพราะเธอสวยจนเกินห้ามใจได้ จะไม่ให้คิดเกินเลยกับเธอได้ไงล่ะ... แต่จะทำไงได้ล่ะก็ในเมื่อเธอเป็นเพื่อน เราก็ต้องวางตัวเป็นเพื่อนที่ดี ผมจึงทำเฉย ๆ แต่พอไม่มีใครอยู่ผมก็แอบตีสนิทกับเธอด้วยการขอร้องให้เธอติวให้ ทำท่าทีว่าเราสนใจเรียนแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแผนสูงของผมต่างหากล่ะ... ผมต้องชมตัวเองนะที่มีหัวคิดที่จะจีบผู้หญิงได้ถือว่ายอดจริง ๆ แต่ก็ดู ๆ เธอไม่เห็นจะสนใจผมเลย สงสัยผมคงแฮ้วแน่ ๆ เพราะเธอสนใจเรียนเกินกว่าที่ผมจะก้าวเข้าไปถึงหัวใจเธอได้ ตกเย็นก็มีคนขับรถมารับเธอ พอเช้าก็มีคนมาส่งเธอ ผมไม่มีโอกาสไปส่งเธอเลยเพราะเธอมันคุณหนูส่วนผมมันจน ต้องโหนรถเมย์ เวลาไปไหนถ้าอยากไปกับใครก็เอาอีแก่ของพ่อขับไป...เฮ้อ...
"คุณกฤษคะ เอ่อ...โจทย์ข้อนี้ฬนนไม่เข้าใจเลยค่ะสอนหน่อยได้ไหมคะ"
เหมือนคุณฬนนจะเปิดทางให้ผมเลยแต่ก็ดู ๆ แล้วเธอคงไม่คิดกับผมแบบนั้นหรอก เราก็แค่สนิทกันเรื่องเรียนเท่านั้น...ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพียงแต่ผมคิดกับเธอไปฝ่ายเดียวเท่านั้น... ฐานะผมมันก็แค่นี้จะไปดีเลิศเท่าลูกคุณหนูได้ยังไงกัน
เวลาผ่านไปปีกว่าพวกเราเรียนจบปริญญาตรีเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมก็หางานทำไม่ได้เพราะช่วงนี้มีแต่คนจะเลิกจ้าง สภาวะเศรษฐกิจมันย่ำแย่ผมก็เลยไม่รู้จะไปทำอะไร อยู่โรงงานทอผ้าน่ะเหรอไม่เอาหรอก เจอแต่สาวโรงงานน่าเบื่อจะตาย ผมก็เลยไปสมัครงานเป็นพนักงานขาย จิวเวอร์รี่ที่ห้างแห่งหนึ่ง เพราะผมคิดว่าอย่างน้อย ๆ เมื่อไม่มีเธอผมก็มองสาว ๆ ได้อีกเยอะแยะเพื่อจะได้ลืมเธอเสียที เพราะผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่เคยชอบผม เธอคิดกับผมแค่เพื่อนเท่านั้น... แต่ผมมันหมาเห็นเครื่องบิน เฮ้อ...อย่าไปคิดถึงมันเลยพูดแล้วปวดหัวเปล่า ๆ...
"สวัสดีครับจะรับเครื่องประดับแบบไหนดีครับแล้ว...เอ่อ...ใช้ในโอกาสอะไรครับ"
ผู้หญิงคนนี้จ้องหน้าผมแปลก ๆ แล้วก็ถามผมแปลก ๆ
"น้องพี่ถามหน่อยเถอะ น้องทำไมถึงใช้นามสกุลนี้ได้ก็ในเมื่อนามสกุลนี้พ่อของพี่เขาบอกว่าเป็นนามสกุลที่ตั้งขึ้นเองนี่นา แล้ว...เอ..."
"ก็นี่มันนามสกุลพ่อผมครับ...ถามแปลก ๆ นะเนี่ย..."
"คือพี่ก็ใช้นามสกุลนี้เหมือนกัน...พ่อน้องชื่ออะไรเหรอ"
"พ่อผมชื่อวศิลป์ แต่เป็นลุกกับภรรยาใหม่ของท่าน...คุณแม่กระจงแล้วถ้าพี่ใช้นามสกุลเดียวกับผมคุณพี่ก็น่าจะเป็นลูกของคุณแม่พิมพ์ใจใช่ไหมครับ "
"อืม...ฉลาดนะ แต่นายรู้เรื่องของครอบครัวพี่ได้ไงเนี่ย"
"คือคุณพ่อท่านพูดถึงบ่อย ๆ น่ะ"
"อืม...งั้นก็ดีพี่ขอเบอร์โทรของพ่อหน่อยได้ไหม"
"ไม่เชื่อผมเหรอ..."
"ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่พี่ไม่ได้เจอท่านมานานพี่คิดถึงท่านน่ะ"
"อ๋อ...ผมเข้าใจ แล้วพี่คือ..."
"พี่กิ๊กจ่ะนายกฤษ"
ผมดีใจมาก ๆ เลยที่ผมได้เห็นพี่สาวคนเล็กของคุณพ่อเป็นครั้งแรก ผมเคยได้ยินแต่ชื่อเพิ่งเห็นตัวจริงก็วันนี้นี่เอง เธอทั้งสวยและเก่งเพราะเธอไปเรียนโทที่เมืองนอกโดยมีพี่ชายส่งเรียน แต่พักหลังเธอก็ส่งตัวเองเรียนนะ โอ้โหเก่งเป็นบ้าเลย ตอนนี้ก็เป็นดีไซเนอร์ชื่อดังอยู่บริษัทเค โก้เป็นบ้า... วันนี้พี่เขามาซื้อกำไลข้อมือให้เป็นของขวัญแด่คุณแม่พิมพ์ใจ ผมจึงเลือกเรือนทองคำขาวเป็นลายฉลุพิเศษให้ ประดับด้วยเพชรซีก น่ารักทีเดียวเหมาะกับคนมีอายุ
ผมทำงานที่ร้านจิวเวอร์รี่ได้พักหนึ่งคุณพ่อก็อยากให้บวช เมื่อผมพบกับพี่กิ๊กผมจึงบอกพี่ พี่ก็เลยมาเป็นเจ้าภาพให้ พอผมบวชได้ 7 วันก็สึกมาทำงานต่อ เพราะถ้าบวชนานก็ไม่ดีหรอกเสียงานเสียการ... เดี๋ยวนี้เขาบวชแค่แทนคุณและเรียนธรรมะเท่านั้น ถ้าเราตั้งใจเราก็จะรู้หลักธรรมพอ ๆ กับพวกที่บวชเป็นพรรษา หรือว่าไม่จริง...
ผมกลับมาทำงานผมยังไม่ทันจะขึ้นดี พี่สาวคนสวยของผมก็เปิดบริษัทเป็นของตัวเองได้ แล้วก็มาเปิดร้านที่ห้างแห่งนี้ด้วยทำให้ผมเจอพี่เขาบ่อยขึ้น ผมมีความสุขมากทีเดียวที่ได้พูดคุยกับพี่คนนี้ แต่ยังไง ๆ ผมก็อยากจะเจอพี่ ๆ ให้ครบทุกคนจริง ๆ เลย อยากเห็นหน้าพี่ชาย และพี่สาวคนรองว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร พี่กอล์ฟจะหล่อไหม แล้วพี่กิจะสวยแบบพี่กิ๊กหรือเปล่า แล้วผมก็อยากจะเจอคุณแม่พิมพ์ใจด้วยว่าหน้าตาจะสวยไหม คุณพ่อถึงได้พูดถึงบ่อย ๆ และอีกอย่างพี่กิ๊กสวยขนาดนี้แสดงว่าท่านต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย...
"พักเที่ยงแล้วไป...มีนัดหรือยัง ถ้ายังก็แวะมาทานข้าวที่ร้านพี่นะ พี่อยากจะคุยด้วย"
ติ๊ด...........................พี่กิ๊กวางหูดทรศัพท์ปั๊บผมก็ตรงดิ่งไปปุ๊บ...
"ทำไมนายถึงรู้เรื่องครอบครัวพี่ดีล่ะ ในเมื่อคุณพ่อท่านแยกทางกับคุณแม่ตั้งแต่พี่อายุได้ 8 ขวบ"
"คุณพ่อท่านบอกว่าท่านแอบไปดูอยู่บ่อย ๆ พักหลังคุณพ่อก็จ้างคนไปสืบจนรู้"
"แล้วคุณพ่อท่านทำงานอยู่ที่ไหนล่ะ ยังขี้เมาอยู่หรือเปล่า"
"ท่านไม่ดื่มแล้วละเพราะท่านเป็นมะเร็งในตับ ท่านมีโรงงานทอผ้า เพราะได้มรดกจากคุณย่า"
"เหรอ"
วันทั้งวันผมโดนพี่สาวสุดสวยซักจนละเอียดทีเดียว
เวลาผ่านไปอีกหลายเดือนคุณพ่อท่านบอกว่าพี่ชายของผมแต่งงาน แต่ผมไม่ได้ไปเพราะผมติดงาน ไปไม่ได้ แล้วอีกอย่างถ้าผมไปพี่เขาก็ไม่รู้จักผม ผมไม่รู้ว่าพี่เขาจะต้อนรับผมแบบพี่สาวคนนี้หรือเปล่า...
"กฤษ ๆ ฉัน...ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ขอร้องละเลิกงานแล้วมาหาฉันที่หน้าห้างได้ไหม ฉันมีเรื่องเดือดร้อนจริง ๆ"
ฬนนโทรมาหาผมทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ติดต่อกันมา 5 เดือนเต็ม ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ทีเดียว พอเลิกงานผมก็รีบไปหาเธอทันทีเลย
"ฮัลโหล...ฬนนอยู่ตรงไหนของหน้าห้างเหรอ มันกว้างจนผมหาไม่เจอแล้ว..." "อุ้ย"
ปัก...ผมหันไปชนเธอล้มพอดี ผมเลยช่วยพยุงเธอขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกว่าเธอมีเรื่องเดือดร้อนอะไร แต่ยังไง ๆ ผมก็อยากจะช่วยเธอเพราะผมชอบเธอมาก...
"กฤษ ฉันอยากคุยกับเธอมากเลย แต่ที่นี่มันไม่สะดวก เธอพาฉันไปที่อื่นได้ไหม ฉันไม่อยากอยู่แถวนี้...ฉันกลัว"
"กลัวอะไรฬนน ผมไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย"
"รีบ ๆ ไปเถอะก่อนที่คุณแม่ฉันจะมาเจอ..."
ผมไม่รู้จะพาเธอไปไหนดี ผมก็เลยพาเธอขึ้นรถเมย์ เธอคงยืนโหนรถเป็นครั้งแรกเพราะผมดู ๆ แล้วเธอทำหน้าเหวอทีเดียว... ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังหนีอะไร เธอพูดถึงแม่ของเธอจนผมรู้สึกว่ามันแปลก ๆ นะ ทำไมเธอต้องหนีแม่ของเธอด้วย เมื่อผมขึ้นรถมาได้พักหนึ่งผมก็พาเธอลงที่แยกลาดพร้าว พาเธอเข้าไปที่บ้านเช่าของผม
"ผมไม่รู้ว่าจะพาคุณไปไหนดีที่จะปลอดภัย เดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านผมแล้วคุณเดินไหวไหม"
"ไหวจ่ะ..."
เธอตอบเสียงนุ่มเหมือนเคย แต่ลักษณะเธอมันลุกรี้ลุกรนจริง ๆ เลย ผมพาเธอเข้ามานั่งในบ้านแล้วก็เอาน้ำมาให้ดื่ม รอให้เธอหายใจหายคอสะดวกก่อนแล้วค่อยถามเธอ แต่เธอกลับถามผมก่อนน่ะสิ
"ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่บ้านล่ะ..."
"ผมคิดไม่ออก แล้วอีกอย่างผมรับรองว่าผมไม่เป็นอันตรายต่อคุณแน่ ๆ จริง ๆ นะ"
"ฉันเชื่อจ่ะ..."
"แล้วที่มีเรื่องน่ะ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ"
"ก็แม่เลี้ยงของฉันเขาให้ฉันแต่งงานกับตาแก่ที่ไหนไม่รู้ บอกว่าหวังดีกับฉันแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอก จะเขี่ยฉันไปให้พ้น ๆ ทางมากกว่าเพราะคุณพ่อท่านก็แก่มากแล้วจะได้ยกมรดกให้เขาคนเดียว น่าเบื่อมาก ๆ เลย...ฉันต้องหนีหัวซุกหัวซุนทีเดียว วันนี้เขาก็พาฉันมาลองชุดเจ้าสาว ยี้...น่าตาก็แก่แถมยังจะลงพุงซะอีก...ฉันไม่เอาด้วยหรอก ดีไม่ดีที่เขามาแต่งด้วยนี่อาจจะเอาฉันไปเป็นแค่เมียน้อยก็ได้...ฉันทนไม่ได้หรอก.........................................."
"แล้วมีที่ไปหรือยัง"
"ยัง...ฉันไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหนดี กลัวว่าจะถูกสืบเจอน่ะสิ ฉันคิดถึงเธอเป็นคนแรกเลยนะก็เลยมาหา..."
เมื่อผมได่ยินแล้วผมก็ต้องปลื้มใจ คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกว่ามีความหวังมาก เหมือนเธอยังคิดถึงผมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมฝันซะไกลทีเดียว แต่ก็ต้องตื่นจากความฝันเพราะนั่นมันภาพลวงตา
"อ่ะผมทำกับข้าวมาแค่นี้ คุณทานได้ไหม"
เธอพยักหน้าแล้วก็ทานอาหารอย่างบรรจงคำเล็ก ๆ เข้าปากช้า ๆ ผมเห็นแล้วก็ต้องยิ้มทันที เพราะเธอมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ผมขำอยู่เรื่อย ๆ
"ที่นี่มีแค่ห้องเดียวเอางี้ละกันคุณนอนในห้องแล้วผมนอนห้องลับแขกเอง"
"กฤษ...นอนในห้องก็ได้ แบ่งกันคนละครึ่ง...ฉันเชื่อใจเธอ...มาสิ"
ผมรู้สึกใจหวิวทันทีเลย อย่างว่าละน้ำตาลใกล้มด มดเหรอจะอดใจไหว...แต่ดูเธอสิอุปกรณ์เยอะจริง ๆ ทั้งที่ช็อตยุง ที่ช็อตไฟฟ้า ไม้เบสบอล สนับมือ... นี่ขนาดเชื่อใจผมนะ ถ้าเกิดผมนอนดิ้นนิดเดียวมีหวังตายแน่ ๆ คืนนี้ทั้งคืนผมเลยไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะกลัวว่าจะนอนดิ้นไปโดนเธอ...
"เช้าแล้วจ่ะ...ตื่นเถอะ...ฉันทำกับข้าวไว้ให้ทานแล้ว"
"ผมเดินออกมาจากห้องนอนเพื่อที่จะไปล้างหน้าแปรงฟัน พอผ่านโต๊ะอาหารผมถึงกับตกใจทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าลูกคุณหนูอย่างเธอจะทำกับข้าวได้เก่งขนาดนี้ มีทั้งแกงเขียวหวานไก่ มัสมั่น ไข่ยัดไส้ กุ้งอบหม้อดิน ต้มยำปลากระพง อื้อหือ...ถึงกับต้องกลืนน้ำลายทีเดียว กลิ่นก็ห้อมหอมน่าทานเหมือนเจ้าของเลยละ อุ้ย....!!!! แล้วผมก็เดินไปอาบน้ำ แปรงฟัน
"คุณนี่แปลกนะ ปกติเขากินอาหารอ่อน ๆ กันตอนเช้า ๆ เนี่ย แต่คุณกลับทำของหนักเยอะแยะเชียว จะเอาไปเลี้ยงใครเหรอ"
"ก็ทานข้าวต้มมันน่าจะไปทานตอนเย็น ๆ ดีกว่าจะได้ไม่อ้วน ส่วนเช้า ๆ ก็ทานหนัก ๆ เพราะจะได้มีแรงใช้สมองทำงานไง"
ผมยิ้มแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทาน อื้อหือ...อร่อยมาก ๆ เลย ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำเอง ผมถึงกับชมเธอไม่หยุดปากทีเดียว เธอก็ยิ้มละไมแต่เช้าทำให้ผมมีกำลังใจที่จะไปทำงาน ผมสั่งให้เธออยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนเพราะผมก็กลัวว่าแม่เลี้ยงของเธอจะมาพบแล้วก็เอาตัวเธอไปห่างจากผม..
พอเลิกงานผมกลับมาบ้าน ผมตกใจมากทีเดียว จากบ้านที่เคยรกกลับสะอาดได้ มันเหมือนไม่ใช่บ้านผมเลยละ ผมเดินเข้าบ้านช้า ๆ เพราะไม่อยากจะย่ำพื้นจนทำให้สกปรกเพราะมันสะอาดเกินกว่าที่ผมจะเหยียบได้ ผมไม่เคยเจอบ้านที่สะอาดแบบนี้มาก่อนเลย เห็นทีเธอจะเจ้าระเบียบน่ดูเชียวละ... ผมเห็นเธอนอนอยู่ที่โซฟาในห้องนอน ผมยืนมองเธออยู่นานจนเธอตื่น เธอน่ารักจังเลย...
"กลับมาแล้วเหรอคะ"
ผมยิ้มแล้วก็เดินไปอาบน้ำ ส่วนเธอก็เตรียมอาหารไว้ให้ทาน ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เธอมาอยู่เนี่ยทำให้ผมเกร็ง ๆ แล้วก็เกรงใจเธอมากทีเดียวเหมือนกับผมมาอาศัยบ้านเธออยู่เลยละ... ทุก ๆ วันเธอก็ทำอาหารให้ทาน และผมก็รีบกลับมาให้เร็ว ๆ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ เธอ ผมมีความสุขที่สุดเลยนะ ผมว่าถ้าใครได้เธอไป...คงจะเป็นบุญมากทีเดียว
วันนี้ผมนั่งดูทีวีกับเธอ จู่ ๆ ก็มีข่าวด่วนออกมาว่า ดร.ตรีไตร กับคุณหญิงพร้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ ตำรวจสัณนิษฐานว่าน่าจะแย่งพวงมาลัยกันรถเลยเสียหลักพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าเสียชีวิตทั้งคู่ เธอถึงกับตาแดงแล้วก็วิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำทีเดียว... ผมรู้สึกสงสารเธอมาก ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยละ เพราะทั้งพ่อและแม่เลี้ยงของเธอตายเธอก็ไม่รู้จะอยู่กับใครแล้ว ... ผมก็เลยเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ประคองเธอออกมาให้เธอนั่งทำใจ เธอกอดผมไว้แน่นทีเดียว ผมไม่ได้ฉวยโอกาสนะแต่ผมก็คิดนิด ๆ เหมือนกัน มันเหมือนโชคเข้าข้างให้ผมได้แตะต้องตัวเธอเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะปกติเธอค่อนข้างวางตัวดีจนผมไม่กล้าเข้าใกล้
ผมปลอบโยนเธอทั้งคืน จนทำให้ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตอนเช้าก็เลยไม่ได้ไปทำงาน ผมพาเธอไปรับศพพ่อกับแม่เลี้ยงที่โรงพยาบาล แล้วก็จัดแจงเรื่องงานศพ ผมก็ช่วยเธอได้แค่นี้แหละ แต่พอเสร็จจากงานศพแล้วเธอก็ดูหงอย ๆ บ้านช่องไม่กลับ เธอมาอยู่กับผมทุกวันจนผมรู้สึกว่าผมไม่ได้แค่ชอบเธอแล้วละ แต่ผมรักเธอเข้าแล้ว เขาถึงบอกกันว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิดยังไงล่ะ... ผมก็เพิ่งมาเชื่อเมื่อได้สัมผัสกับมันก็ตอนนี้เนี่ยแหละ
วันนี้ผมไปทำงานอย่างคนอารมณ์ดี ผมขายจิวเวอร์รี่ได้มากทีเดียวจนทำให้ผมได้โบนัสพิเศษ และผมก็ได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง
สวัสดีครับ คุณต้องการเครื่องประดับแบบไหนครับ และใช้ในงานอะไร
เขาจ้องมองผมแปลก ๆ แล้วก็ถามแปลก ๆ ด้วย ผมรู้สึกได้ทันทีเลยว่านี่น่าจะใช่พี่ชายของผม คนที่ผมอยากเจอมากที่สุดคนหนึ่ง
น้องครับ น้องหน้าตาคุ้น ๆ มากเลยนะ พี่ถามจริง ๆ เถอะนามสกุลนี้น้องเอามาใช้ได้ยังไง
โถ่พี่นี่ก็นามสกุลพ่อผมนี่จะให้ผมใช้นามสกุลใคร พี่นี่ก็ถามแปลก ๆนะ
พ่อน้องชื่ออะไร
พี่จะถามไปทำไมกัน
ก็พี่อยากรู้ พี่เห็นเราใช้นามสกุลเดียวกันเผื่อจะเป็นญาติกัน
พี่อย่ามาอำเลย ถึงพี่มีนามสกุลเดียวกับผมก็ใช่ว่าผมจะลดราคาให้พี่นะ ผมน่ะเป็นแค่ลูกจ้างเขาเท่านั้นแหละ
เขาซักไปซักมาจนผมต้องบอกเขาแล้วก็เล่าเรื่องของพี่กิ๊กให้ฟังด้วย เขาทำท่าดีใจมาก ๆ เลย เขากลัวว่าผมจะไม่เชื่อก็เลยเอาบัตรประชาชนออกมาให้ดู ผมถึงกับยิ้มแก้มปลิทีเดียว พี่เขามาซื้อเครื่องประดับให้ภรรยา เพราะวันนี้วันเกิดพี่ลูกแก้ว ผมก็เลยเลือกเครื่องประดับชุดใหญ่ให้ ทำให้ยอดขายกระฉูดทีเดียว ผมได้ไปบ้านพี่เขา พี่เขาชวนผมไปอยู่ด้วย ผมได้คุยกับคุณแม่พิมพ์ใจ ผมรู้สึกว่าคุณแม่คนนี้เป็นคนดีมาก ๆ เลย ท่านไม่รังเกียจผม แต่ท่านกลับรักผมเหมือนลูกคนหนึ่งด้วยซ้ำ ผมเห็นพี่ชายออกอาการโรมแมนติกต่อหน้าผมและคุณแม่พิมพ์ใจทำให้ผมยิ้มไม่หยุดทีเดียว ผมแอบดูพี่เขาจู๋จี๋กัน...น่ารักดี ผมคิดว่าผมน่าจะลองไปใช้กับว่าที่ภรรยาผมบ้าง... คืนนี้ผมเลยนอนค้างที่บ้านพี่กอล์ฟทั้งคืนจนลืมคุณฬนนทีเดียว
พอเช้าผมก็รีบมาหาเธอ แต่เธอไม่อยู่แล้ว... ผมเก็บข้าวของแล้วย้ายมาอยู่กับพี่ชาย มาทำงานที่บริษัทของพี่ชาย เพราะพี่เขาให้เงินเดือนเยอะมาก ๆ ได้ใช้วิชาความรู้ของตัวเองให้เป็นประโยชน์... ผมโทรหาฬนนทุกวันแต่เขาก็ไม่เปิดเครื่องสักที ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลย...
พี่ชายส่งผมเรียนต่อโท ผมดีใจเหมือนได้โล่เทียวละ เมื่อผมมาเรียนโทผมก็เลยได้เจอเธออีกครั้ง เธอเหมือนทำเป็นไม่รู้จักผม ผมก็เลยไม่กล้าเข้าไปทักเธอ แต่แล้วเธอก็เข้ามาทักผมแล้วก็คุยกับผม เธอขอมาทำงานที่บริษัทของพี่ผม เมื่อผมขออนุญาติพี่ พี่ก็ตกลงทันที... ผมพาเธอมาให้พ่อแม่ดูตัวบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอก็ไม่ได้บอกหรอกว่ารับผมเป็นแฟน...
วันหนึ่งผมรู้ว่าพี่ชายที่แสนดีของผมกำลังโดนสวมเขาผมก็เลยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พี่ฟัง พี่ก็เลยรวมหัวกับผมจับชู้จนสำเร็จ เพื่อนของพี่กับภรรยาของพี่ไม่น่าทำแบบนี้เลย ผมรู้สึกเสียใจจริง ๆ เลยที่พี่ผมได้คนแย่ ๆ แบบนี้เลยทำให้พี่ไม่เป็นอันกินอันนอน ทำงานก็ไม่รู้เรื่อง คุณแม่พิมพ์ใจก็เป็นห่วงจนล้มป่วย ผมต้องดูแลทั้งพี่และคุณแม่พิมพ์ใจ... น่าสงสารครอบครัวนี้จริง ๆ โดนมรสุมมาตลอดชีวิต และนี่ยังมามรสุมทางใจอีก เฮ้อ...!!!!...ผมต้องถอนหายใจหลายครั้งทีเดียว
ผมส่งวิทยานิพนธ์เสร็จผมก็ได้รถจากพี่ชาย คันนี้ทั้งใหม่และหรูหราจนผมไม่กล้าขับ แต่พี่ก็ซื้อให้เพราะเห็นว่าผมต้องอาศัยคุณฬนนกลับบ้านมาทุกวัน พอผมมีรถขับผมก็ไปส่งคุณฬนนทุกวันเหมือนกันเพราะเธอบอกกับผมว่าให้ผลัดกันบ้างจะได้รู้จักบ้านของกันและกัน
หลังจากนั้นไม่นานคุณแม่พิมพ์ใจก็เสียชีวิตด้วยโรคชรา คุณพ่อท่านเสียใจมากทีเดียว คุณแม่กระจงก็มางานนี้ด้วย ผมจึงได้เจอพี่กิเป็นครั้งแรก ตอนแรกพี่ก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจผมเท่าไรนักแต่พอรู้ว่าผมดีกับคุณแม่พิมพ์ใจ พี่เขาก็เลยดีกับผม พี่เขาเป็นคนสวยทีเดียวถ้าเทียบกับพี่กิ๊กแล้วพี่กิเนี่ยแหละสวยที่สุด พูดจาก็ดีกว่า ดีกว่าตรงที่พี่กิไม่ค่อยใช้ศัพท์อังกฤษมากนักทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของบริษัททัวร์น่าจะออกไทยคำอังกฤษคำแต่กลับไม่มีแม้แต่นิดเดียว ผมชอบพี่เขาตรงนี้แหละ
งานศพของคุณแม่พิมพ์ใจทำให้พี่ลูกแก้วได้เข้ามามีบทบาทในครอบครัวอีกครั้ง พี่กอล์ฟคืนดีกับพี่ลูกแก้ว ผมก็ดีใจด้วยนะ ทีแรกผมก็มีอัคติกับพี่เขาแต่พอผมมารู้ความจริงเรื่องคนชื่อต้นนั่นแล้วผมก็รู้ว่าพี่ลูกแก้วเขาไม่ได้ตั้งใจมีชู้เพียงแต่โดนข่มขู่เรื่องที่เขาจะบอกความจริงเท่านั้น หมอนี่เลยได้ใจเห็นเป็นจุดอ่อนเลยรีดไถเงินจากพี่ลูกแก้ว ได้ทั้งเงินได้ทั้งตัว ช่วงนั้นพี่ลูกแก้วเลยไม่ยอมมีลูกทั้ง ๆ ที่พี่กอล์ฟอยากมีจนใจจะขาด แต่เป็นเพราะพี่เขากลัวว่าจะพลาดมีกับลูกคนพันนั้นก็เลยคุมกำเนิดซะ ที่จริงพี่ลูกแก้วก็รักพี่กอล์ฟจนสุดหัวใจเหมือนกันนะ ตั้งแต่พี่ลูกแก้วกลับมาพี่กอล์ฟก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ส่วนผมก็ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอพี่เขาหรอก ผมเลยขอย้ายออกไปอยู่ที่บ้านของคุณฬนนเขา
ผมมีความสุขที่สุดที่ได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเธออีกครั้ง คุณฬนนเป็นคนดี เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมแต่เธอค่อนข้างขี้เหงาแล้วก็อยู่คนเดียวทั้ง ๆ ที่บ้านช่องใหญ่โตมาก ๆ จนผมต้องเอ่ยปากให้เธอจ้างใครมาอยู่ด้วย แต่เธอก็ไม่ยอม เธอค่อนข้างแสนงอน พูดนิดพูดหน่อยไม่ถูกใจก็งอนแล้ว ผมต้องตามตื้อเธอตลอด
วันนั้นเป็นวันหยุดผมได้เข้าไปทำความสะอาดในห้องของเธอผมมองไปรอบ ๆ ห้อง ผมเห็นภาพแม่ของเธอแปะไว้เต็มห้องไปหมด เธอคงคิดถึงแม่มากทีเดียว ลูกคนรวยก็มักจะมีปัญหาแบบนี้แหละนะ... พอเธอเห็นผมอยู่ในห้องของเธอ เธอถึงออกปากไล่ผมออกจากบ้านวันนั้นทีเดียว ผมพยายามอธิบายแต่เธอก็ไม่ฟัง
"ฬนนคุณฟังผมก่อน...ฬนน"
ปัง...เธอปิดประตูใส่หน้าผม ผมเลยเดินออกไปหน้าบ้านแล้วตะโกนเข้ามาในบ้าน
"ผมอธิบายได้.....!!!!!"
เธอถึงกับขว้างกระเป๋าสตางค์ของผมออกมาจากหน้าต่างทันที ผมรู้ตอนนั้นแหละว่าเธอไม่เคยมีใจให้ผมเลย...ผมมันเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอด ผมก็เลยเดินออกจากบ้านพร้อมข้าวของต่าง ๆ แต่ผมก็ไม่ได้เอาของอย่างนึงออกมาคือกล่องแหวนที่ผมวางไว้ให้เธอที่หน้าประตูห้องพร้อมกับการ์ดใบหนึ่งที่เขียนว่า "ผมรักฬนนมากที่สุด" จากนั้นผมก็เลยไปอาศัยพี่กิอยู่เพราะบ้านพี่กิอยู่ใกล้ ๆ บ้านของเธอ
"พักที่นี่ก่อนก็ได้นะกฤษ พี่ไม่หวงหรอก"
วันนี้ผมรู้สึกว่าผมอบอุ่นใจมากที่ได้มาอยู่กับพี่สาวของผม ผมเลยรู้ว่าพี่คนนี้เป็นคนที่โรแมนติกมากทีเดียว พอ ๆ กับพี่กอล์ฟเลยนะ พี่เขารักแฟนมากถึงกับไม่ยอมแต่งงานใหม่ ถ้าผมรู้จักพี่เขาเร็วกว่านี้ผมคงรู้เรื่องราวของพี่มากว่านี้...ผมนี่มันก็ช่างสอดรู้สอดเห็นเหมือนกันนะเนี่ย...
ผมไปทำงานที่บริษัท ผมเจอเธอผมก็ไม่ทัก เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ผิด ผมไม่ต้องง้อเธอก็ได้ แต่แล้วใจผมกลับสั่นเมื่อผมเห็นเธอเอาแหวนของผมที่วางไว้หน้าประตูมาใส่ที่นิ้วนางข้างซ้าย ผมว่าเธออาจจะมายั่วให้ผมหวั่นไหวเล่น ๆ แน่ ๆ เลย... ผมเห็นเธอเดินควงคนนั้นทีคนนี้ทีจนผมปวดหัวไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ผมงงไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยนะ
"คุณดอมวันนี้ข้าวร้านนั้นอร่อยมากเลยนะคะ ไปทานกันอีกไหม"
ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าอารมณ์ผมมันพุ้งพร่านออกมาจนผมทนไม่ไหวก็เลยระเบิดออกมาอย่างจังทีเดียว ตอนนั้นใครได้เห็นผมในคราบของซาตานก็จะรู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
"นี่คุณ...งานไม่มีทำหรือไง แฉลบซ้าบแฉลบขวา นึกว่ามันว่างนักเหรอ..."
ผมรู้สึกว่าผมเกรี้ยวกราดจนพนักงานต้องเดินหลบหน้าหลบตาไปนั่งทำงานต่อ ส่วนผมก็ไปทานข้าว ผมรู้ว่าต้องมีคนเอาผมไปนินทาแน่นอนแต่ผมก็ไม่สนใจหรอกนะเพราะผมถือว่าผมไม่ได้ขอเงินพวกนั้นใช้ ผมรู้สึกว่าผมตัวใจจากเธอไม่ขาดแต่ผมก็พยายามระงับอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้วละ ผมกำลังจะลงลิฟเธอก็เข้ามาขวางไว้
"ฉันไปด้วยนะ..."
ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ผมก็ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เธอจึงลงมาพร้อมผม ผมขึ้นรถ เธอก็เปิดประตูรถแล้วก็เข้ามานั่งกับผม
"คุณขึ้นมาทำไม..."
เธอเงียบไม่ยอมตอบผมก็เลยลงจากรถ เธอก็ลงจากรถ ผมไปไหนเธอก็เดินตามจนผมรำคาญ เดี๋ยวก็ไล่ เดี๋ยวก็ป่วนจนผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว เธอพยายามจะยั่วให้อกผมระเบิดอย่างนั้นเหรอไงกัน ผมไม่เข้าใจผู้หญิงเลย ถือว่าผมโง่ตามเกมส์ไม่ทันแล้วมาทำกันแบบนี้น่ะเหรอ เธอมัน...ผู้หญิงอะไรกันนี่... ผมนึกแล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถ เธอก็วิ่งตามมานั่งใกล้ ๆ ผมไม่พูดอะไรก็เลยขับรถออกมาดื้อ ๆ ผมเริ่มหมดฟิวตั้งแต่เธอเข้ามานั่งกวนใจในรถแล้วละ
"เนี่ยเมื่อวานท็อปเอาดอกไม้มาให้ละ...แล้ววันก่อนเก่งก็เอาตุ๊กตาลูกหมามาให้น่ารักมากๆเลย แล้วพจน์นะซื้อของมาให้บ่อย ๆ ด้วย เธอว่าฉันจะเลือกใครดีนะ หือ...?"
ผมแกล้งไม่ตอบปล่อยให้เธอพูดไปเรื่อย ๆ มีแรงเท่าไรก็ให้เธอพูดไป จนกระทั่ง สี่ทุ่มเธอจึงหยุดพูด ผมก็เลยจอดรถข้างทาง
"จอดทำไมล่ะ อย่าบอกนะจะให้ฉันลงมืด ๆ แบบนี้..."
"แล้วทีเธอล่ะ ไม่ฟังกันแล้วก็ใช้แต่อารมณ์ เห็นผมเป็นตัวอะไร วันนี้ฟิวมันขาดไปหมดแล้วนะ ผมเริ่มจะหมดความอดทนกับคุณแล้วนะ นี่เอามาถ้าไม่ชอบผมก็อย่าใส่มันเลยไอ้แหวนวงนี้เนี่ย ผมเกลียดคุณจริง ๆ เลย..."
ผมกระชากมือเธอแล้วถอดแหวนออกขว้างทิ้งในรถ เธอก็ก้มลงเก็บแหวนขึ้นมาใส่อีก ผมก็ทำแบบนั้นอีกอยู่หลายครั้ง จนผมหมดความอดทนก็เลยขว้างแหวนออกไปนอกหน้าต่างรถจนหาไม่เจอแล้ว... เธอก็ทำท่าจะเดินออกไปเก็บผมจึงดึงมือเธอไว้
"เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน...แต่ต้องไปหาที่เติมน้ำมันก่อน"
ผมนั่งเงียบไปพักหนึ่งแต่ยังไม่ได้ขับรถออกไป...แล้วจู่ ๆ เธอก็พูดขึ้นมา
"ถ้าไม่รักแล้วฉันจะทำแบบนี้เหรอ...คุณนี่โง่จริง ๆ เลยนะกฤษ...ฉันให้ท่าขนาดนี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอ จะให้ฉันต้องพูดหรือไงว่าฉันรักคุณ...ฉันรักคุณ...คุณได้ยินไหม...พอใจหรือยัง"
เธอตะโกนลั่นรถจนผมแสบแก้วหูไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งอึ้ง ใจผมหวิว ๆ ไปหมดเหมือนกับว่ากำลังตื่นเต้นอะไรสักอย่าง แต่พอผมนั่งคิด ๆ อะไรอยู่นั้นผมก็มารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อไฟฟ้ามันได้สปาร์กเข้าอย่างจังเลยละ ไม่น่าเชื่อว่าผมจะถูกเธอจูบ แทนที่ผมจะจูบเธอ...ผมนี่มันงี่เง่าจริง ๆ เลย ผมผลักเธอออกแล้วก็เดินออกไปนอกรถเพื่อไปหาแหวนวงนั้น ผมเดินหาแหวนจนรุ่งเช้าของอีกวัน แล้วผมก็พบจนได้ ผมวิ่งเข้าไปในรถเอาแหวนสวมให้เธอ แต่เธอกลับทำงอน ผมไม่เข้าใจผู้หญิงจริง ๆ
ผมขับรถพาเธอไปส่งที่บ้าน เธอนั่งเงียบมาตลอดทาง ไม่ยอมพูดกับผมเลย พอผมไปส่งเธอเธอก็ไม่ยอมลงจากรถ ผมไม่รู้จะทำยัไงดีก็เลยเดินไปเปิดประตูรถแล้วก็ต้องอัญเชิญเธอลงมาเธอถึงจะยอมลงมา จีบผู้หญิงนี่มันยาเย็นจริง ๆ เลย อะไรก็ไม่รู้ งอนแบบไม่มีเหตุผลซะด้วยสิ แย่จริง ๆ หรือว่าผมยังไม่ละเอียดอ่อนพอกันแน่นะ...
ผมพาเธอเข้าไปในบ้าน เธอก็ไม่ยอมเดิน ผมก็เลยต้องอุ้มเธอเข้าไปในบ้านแล้ววางเธอไว้ที่โซฟาก่อนที่จะออกมาจากบ้าน
"เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไป"
เธอเรียกผมไว้ผมก็เลยต้องหันแล้วเดินไปนั่งใกล้ ๆ เธอ
"มีอะไรเหรอฬนน"
"ฉันเหงา...มาอยู่กับฉันนะ มาเป็นครอบครัวเดียวกัน"
เธอน้ำตาคลอแล้วก็ซบที่อกผม นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้เป็นผู้ซับน้ำตาให้เธอ แต่มันเป็นการเสียใจคนละอย่าง เธอคงฝืนใจมากที่ต้องบอกผมแบบนั้นเพราะเธอเป็นผู้หญิง ผมนี่มันทึ่มจริง ๆ เลยนะที่ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับผมกันแน่ ผมรู้สึกว่าผมแย่มากเลยละ ผมรู้ตัวแล้วละว่าผมพ่ายให้แก่เธอจริง ๆ ถ้าวันไหนผมขาดเธอไปนะผมคงจะแย่จริง ๆ นะ...
ผมมาอยู่กับเธอได้เกือบ 6 เดือน เธอเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีมาก ไม่ว่าบ้านจะใหญ่แค่ไหนเธอก็ทำได้หมด สะอาดทุกซอกทุกมุมจนผมสงสารเธอก็เลยจ้างแม่บ้านมาช่วยแบ่งเบาภาระเธอ เธอดูงอนนิด ๆ แต่ผมก็ต้องอธิบายให้เธอฟังว่าเธอจะได้ไม่เหนื่อยมาก
ผ่านมาได้อีก 3 เดือนที่ผมมาอยู่กับเธอแบบจริง ๆ จัง ๆ ผมมีความสุขมากทีเดียว ระยะเวลา 9 เดือนนี่มันไม่น้อยเลยนะ ผมเก็บเงินได้ก้อนนึงแล้วละ ถึงแม้ว่าจะมีไม่มากแต่ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะแต่งงานกับเธอ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กินด้วยกันมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ผมก็ต้องให้เกียรติเธอเพราะนี่มันคือศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงทุกคน... ผมจะทำให้เธอเสียใจไม่ได้...
วันนี้ผมอยากให้เธอสวยที่สุด ผมซื้อชุดมาจากร้านของพี่กิ๊กแล้วก็เอามาให้เธอใส่ ชุดราตรีสีขาวขนาดพอดีตัวเธอ ผมเป็นคนคำนวณมันเองด้วยซ้ำว่าเธอใส่ไซท์เท่าไร เมื่อเธอใส่แล้วเดินลงมาจากบ้าน ผมยืนรอตรงหน้าบันไดแล้วก็เอื้มมือไปขอมือเธอ เธอส่งมือมาให้ผมก็ค่อย ๆ ประคองเธอเดินลงมาเพราะชายผ้ามันค่อนข้างยาว ผมพาเธอเดินออกมาที่สวนหลังบ้านตามเสต็บที่พี่กอล์ฟ สอนผมมา... แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ลืมบทที่พี่ชายผมสอนไว้ ผมจึงต้องพูดอะไรโง่ ๆ ออกมาจนเธอยิ้ม...เหมือนจะยิ้มเยาะผมยังไงยังงั้นเลย
"วันนี้พระจันทร์สวยนะฬนน"
"ไหนล่ะไม่เห็นมีเลย นี่มันเดือนมืดนะจะมีพระจันทร์ได้ยังไง"
"จินตนาการเอาสิ..."
"เหรอ...อ่ะก็ได้พระจันทร์สวยนะคะที่รัก"
"อืม...ดาวก็เช่นกันนะระยิบระยับเชียว..."
"มีพระจันทร์แล้วทำไมถึงมีดาวเยอะแยะนักล่ะ...อย่าบอกนะว่าจินตนาการอีกน่ะ"
"ใช่...ผมก็แค่อยากบอกคุณว่าถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้ววันนี้ไม่มีทั้งพระจันทร์และก็ดาว แต่มันก็ยังจะสกาวเต็มใจผมเสมอ ถ้าคุณคือพระจันทร์ที่ส่องสว่างกลางใจผม และผมคือดาวดวงเล็ก ๆ ที่อยู่เคียงข้างคุณเสมอ...ก็เท่านั้นเอง...ถ้าหากว่าท้องฟ้าขาดดาวกับพระจันทร์ไปมันก็ไม่มีความหมาย ฉะนั้นเราต้องอยู่ร่วมทางกันไปตลอดใช่ไหมคนดี"
ผมชี้ให้ฬนนชมท้องฟ้าในคืนนี้ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย แต่ผมก็ได้บอกความรู้สึกภายในใจของผมเสียที ผมค่อย ๆ อ้อมเข้าไปกอดข้างหลังเธอแน่น ๆ แล้วก็เอนตัวเธอไปมาพร้อมกับบอกเธอว่าผมรักเธอมากที่สุด จากนั้นผมก็บอกให้เธอหลับตา ผมเอาผ้ามาปิดตาเธอแล้วก็พาเดินไปเรื่อย ๆ ผมมาหยุดอยู่ตรงที่ ๆ หนึ่งแล้วก็เปิดตาเธอออก
"นี่มันอะไรกันคะ..."
"แต่งงานกับผมนะที่รัก"
ผมคุกเข่าลงสวมแหวนให้เธอ ญาติ ๆ และเพื่อนฝูงพร้อมกับคนที่ผมรู้จักในบริษัทต่างก็มาร่วมอวยพรกันยกใหญ่ พี่ชายของผมได้ลูกชาย พี่กิ๊กแต่งงานแล้วตอนนี้มีลูกด้วยกันกับพี่บอย ก็เอาลูกชายมาอวดเช่นกัน ผมดีใจมากที่สุดที่ได้มีวันนี้ ผมรักเธอมากนะฬนน ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุดตราบนานเท่านาน...ผมสัญญา
"ยินดีด้วยนะจ๊ะน้องชายของพี่"
พี่ ๆ ทั้งสามพร้อมเพียงกันอวยพรให้ผม งานแต่งงานเล็ก ๆ แบบเซอร์ไพท์นี้ก็ทำให้เธอประทับใจแบบไม่รู้ลืม...แล้วผมยังเอาเครื่องเพชรออกมาสวมให้เธอด้วย ทำให้เธอโผกอดผมไว้แน่น จนผมรู้สึกได้ว่าเธอกอดผมแน่นแบบนี้เป็นครั้งแรก...ผมมีความสุขที่สุดเลยนะ ผมอุ้มเธอแล้วก็หมุนไปรอบ ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าหมุนกี่รอบ แต่ผมรู้ว่าผมรักเธอมากก็เพียงพอแล้วละ ช่วงชีวิตที่เราจะอยู่ด้วยกันต่อไปนี้มันคงจะมีแต่ความสุข และก็การรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่จะต้องเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตด้วย
"ผมรกคุณ...ฬนน!!!...."
ผมตะโกนลั่นสุดเสียงทีเดียวแหละ... คำมั่นสัญญาต่อไปนี้จะเป็นสัจจะตลอดไปว่าผมจะซื่อตรงต่อเธอและทนุถนอมเธอให้ดีที่สุด...ผมจะปกป้องเธอ ผมมั่นใจว่าผมจะทำได้และต้องทำให้ได้ดีที่สุด... ผมมีอีกเรื่องนึงที่จะต้องดีใจคือผมกำลังจะเป็นพ่อคนเหมือนกัน...!!!...เธอมาทำให้ชีวิตผมสับสนในตอนแรก แต่เธอก็มาเปลี่ยนแปลงทำให้ชีวิตผมสดใส ไม่เหงาไม่ว้าเหว่อีกต่อไป เธอเป็นสิ่งที่เติมสีสรรค์ให้ผมเสมอมา....
อย่าลืมติดตามภาค 4 นะคะในเรื่องวันวาน...ค่ะ
......ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ........
16 กรกฎาคม 2547 10:46 น.
สุชาดา โมรา
ชีวิตในวัยเยาว์ของฉัน ฉันเติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มากนัก ไม่เคยมีแม่และพ่อมาดูแล เพราะท่านต่างก็มีภาระที่จะต้องทำ แต่ฉันก็ยังจำได้ว่าทุก ๆ คนในบ้านรักฉันและดูแลฉันมาตลอด ถึงแม้ว่าฉันจะดื้อและซนเพียงใดแต่ท่านก็เลี้ยงดูฉันมาด้วยความยากลำบาก ไม่เคยแม้แต่จะบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย และไม่เคยคิดจะนำฉันไปปล่อยเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย
โอละเห่เอยเจ้าเนื้ออ่อนเอย อ้อนแม่จะกินนม แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย เสียงเพลงที่เยือกเย็นกล่อมฉันให้หลับไหลอยู่ทุกวันจนฉันจำได้ดีว่าใครหนอที่นั่งไกวเปลกล่อมฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าฉันขาดความอบอุ่น เพราะฉันก็ยังมีย่าและอาอีกสองคนที่เปรียบเสมือนแม่ของฉัน ท่านคอยดูแลเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ของฉัน ฉันจึงรักพวกท่านมาก
ย่าเป็นคนชอบดูละครพื้นบ้านมากฉันจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทุก ๆ วันเสาร์-อาทิตย์ฉันจะต้องตื่นมาแต่เช้าลุกขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ช่อง 7 เพื่อดูละครเรื่องแก้วหน้าม้า เหตุนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความชื่นชอบวรรณคดีเป็นพิเศษ ทำให้ฉันติดตามดูละครพื้นบ้านที่ออกอากาศทุกเรื่อง
เมื่อฉันอายุสามขวบเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้ว แม่ของฉันกลับมาหาฉัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านั่นคือแม่บังเกิดเกล้าของฉัน ฉันรู้แต่ว่าใคร ๆ เขาก็ให้ฉันเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า อีเหว่า ที่จริงคำนี้เมื่อฉันมารู้ตอนโตก็คือ แม่ทิ้งฉันไปเพราะต้องกลับไปเรียนจึงปล่อยให้ฉันกลายเป็นภาระของย่าและอาทั้งสองคน ภายหลังเมื่อฉันได้รู้ว่าท่านเป็นแม่ฉันก็รู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้อยากจะไปอยู่กับแม่ แม่หนูอยากไปอยู่กับแม่ ให้หนูไปนะไม่เอาหนูจะอยู่กับแม่!!! ตอนนั้นฉันโดนตีเกือบตาย ก้านมะยมฟาดที่น่องอ่อน ๆ ของฉันจนแตกเป็นแนวยาวไปโรงเรียนไม่ได้ ฉันจำได้ว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่เคยมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับแม่อีกเลย
จนกระทั่งฉันขึ้นชั้นประถมจึงได้มาอยู่กับแม่ ตอนนั้นฉันมีความสุขมากที่สุด มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี วางตัวไม่ถูกเพราะฉันไม่เคยอยู่กับแม่มาก่อน แม่เคยบอกกับฉันว่า เมื่อยามที่แม่ท้อง แม่ต้องคอยระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ อยากกินอะไรก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกที่กำลังจะเกิดมา ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่ารักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะกว่าแม่จะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนจนลูกเติบใหญ่ได้นั้น ท่านต้องเหนื่อยทั้งแรงใจแรงกาย ต้องอดทนสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข อยู่ดีกินดี ไม่เป็นภาระของสังคม
แม่คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งในโลกได้ ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระราชดำรัสไว้ว่า แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์นั้น ต้องไม่ลืมว่าที่บ้านก็มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง เราจึงควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้ พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนักหากเอ่ยคำว่ารักให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะเราอาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า ลูกรักแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้เลี้ยงเรามาแต่ท่านก็ยังเป็นแม่ของเรา บุญคุณยิ่งใหญ่นี้จะหาใดเปรียบไม่มีอีกแล้ว เราจึงควรกตัญญูรู้คุณท่านด้วยการตั้งใจศึกษา เป็นคนดีมีอนาคตก็เพียงพอต่อการตอบแทนพระคุณของท่านแล้ว
หลังจากที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แม่ก็ต้องจากฉันไปเพราะท่านแยกทางกัน ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่าฉันกำลังสูญเสียสิ่งที่ฉันถวิลหามาตลอดชีวิต ฉันคร่ำครวญหาแม่จนไม่เป็นอันกินอันเรียน เมื่อฉันได้อ่านเสภาขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ท่านสุนทรภู่ได้แต่งไว้นั้นมีความว่า
เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่
ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย
ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก
ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะไอ้ขุน
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ
ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน
จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน
เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว
แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ
เสภาบทนี้มีอิทธิพลต่อฉันเหลือเกิน ฉันมีความรู้สึกถึงการที่แม่จากฉันไปโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอแม่อีกหรือไม่ เวลาที่ฉันอ่านตอนนี้ทีไรทำให้ฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่สักที ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวฉันเองเป็นพลายงามที่กำลังจะต้องจากแม่ไป มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ และเศร้าใจยิ่งนัก ยิ่งฉันได้อ่านความต่อจากนั้นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าวในใจอย่างที่สุด เพราะตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่กับแม่มาเพียงไม่กี่ปีฉันก็มีความผูกพันธ์กับแม่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันมากนัก แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของฉันเสมอ และฉันก็ยังไม่เคยพูดสักทีว่า ฉันรักแม่มาก
ฉันนึกถึงนางวันทองที่แสดงความรักต่อลูกในวรรณคดีอย่างเห็นได้ชัดคือตอนที่นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพาไปส่งที่ท่าเกวียน ให้พลายงามเดินทางไปหาย่าทองประศรี ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะลำพังนางวันทองเองคงไม่สามารถคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยจากขุนช้างได้ สองแม่ลูกอำลากันอย่างเศร้าสร้อย สาเหตุที่นางวันทองเลี้ยงลูกไม่ได้และไม่สามารถที่จะปกป้องลูกได้นั้นเป็นเพราะขุนช้างค่อนข้างจะเป็นคนพาลก็จ้องแต่จะทำร้ายลูกอยู่ร่ำไป นางจึงต้องตัดใจส่งลูกไปอยู่กับย่า ตอนนี้แหละฉันรู้สึกว่าชีวิตของพลายงามมีอะไรที่คับคล้ายคับครากับชีวิตของฉันเหลือเกิน จึงทำให้ฉันต้องหยิบยกบทเสภาตอนนี้ขึ้นมาด้วย ความว่า
นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน
อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย
จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ
เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน
จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก
ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย
แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น
แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์
โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
กวีได้แสดงทัศนะในการแต่งไว้เกี่ยวกับแม่อย่างนางวันทองได้เป็นอย่างดี กล่าวถึงความรักที่มีต่อลูกอย่างท่วมท้นของนางวันทองเป็นความรักที่บริสุทธิ์ การพลัดพรากจากกันซึ่งแม่และลูกทุกคนถ้าวันหนึ่งต้องจากกันไปนานแสนนานก็ทำใจได้ยาก สำนวนภาษานั้นกวีใช้ภาษาง่าย ๆ ทำให้เข้าใจง่าย กวีจึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกตรงนี้ได้ลึกซึ้งกินใจสื่อออกมาจากตัวละครได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านซึ่งเป็นคนธรรมดาทั่วไปได้รับรู้ถึงความรู้สึกของนางวันทองได้เป็นอย่างดี เข้าถึงอารมณ์เกิดจินตนาการคล้อยตาม
ลักษณะของนางวันทองนั้นไม่ว่านางวันทองจะเป็นคนอย่างไร แต่นางวันทองก็ยังมีจิตใจที่รักลูก ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายลูก ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ปกป้องลูกด้วยการส่งไปอยู่กับย่าเพื่อไม่ให้โดนขุนช้างทำร้าย ต่อเมื่อตายไปลูกเดือดร้อนก็ยังมาช่วยลูกโดยเป็นนางแปลงมาห้ามทัพของขุนแผนกับพลายชุมพลที่ปลอมเป็นมอญใหม่ยกทัพมาท้าพลายงามให้ออกรบ เพื่อไม่ให้พ่อลูกต้องมาสู้รบกันเองนางวันทองจึงเข้าไปขวางการเดินทัพของพลายงามไว้ นางวันทองจึงเป็นแม่ที่ดีที่สุดคนหนึ่งในวรรณคดี น่าที่จะได้รับการยกย่องให้ผู้อ่านได้รู้และทำความเข้าใจใหม่ว่านางวันทองถึงคนอื่นที่อ่านจะรู้สึกว่านางเป็นคนสองใจแต่ลึก ๆ แล้วนางวันทองเป็นคนดีมีความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างเห็นได้ชัดเจน
เมื่อยามที่ฉันท้อแท้ คิดถึงแม่ขึ้นมาคราใดบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนี้มักจะเป็นเพื่อนในยามนี้ได้ทุกที จนฉันรู้สึกว่าเสภาตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรแม่จะกลับมาหาฉัน และเมื่อไรที่ฉันกับน้องชายจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่สักทีฉันรอคอยวันนั้นมานานเหลือเกิน
แต่ ณ เวลานี้แม่ได้กลับมาหาฉันแล้ว เราอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ฉันอยากจะให้มีก็ตามแต่ฉันก็มีความสุขมาก เปรียบดั่งสวรรค์บันดาลให้แม่ต้องกลับมาดูแลลูก ๆ อีกครั้ง ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากจะขอให้ฉันได้อยู่กับแม่ตลอดไปฉันก็พอใจและมีความสุขที่สุดแล้ว...
15 กรกฎาคม 2547 15:39 น.
สุชาดา โมรา
เกมคือชีวิต เสียงนิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดให้ตรงจังหวะเพื่อเก็บอาวุธไปขาย หรือออนไลน์คุยกับเพื่อนที่อยู่คนละร้าน วิธีการเล่นสองอย่างนี้เคยดึงดูดให้เด็กน้อยหลายคนต้องเสียเงินเสียทองมาเล่น
"แม่...!!!!...มีเงินปะ ผมจะไปทำรายงาน"
"อีกแล้วเหรอลูก"
"จะให้หรือไม่ให้ ถ้าไม่ให้ก็ไม่เรียน"
"จ่ะ ๆ ลูก"
แม่ต้องควักเงินจ่ายให้ป๋องทุกวันเพราะคิดว่าป๋องจะไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน เพราะป๋องมาบอกแม่ว่าจะเป็ทำรายงานทุกวัน
"โอ๊ย...เอ้า...เฮ้ย...!!!!"
เด็กน้อยลุ้นเกมราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
"เฮ้ยเงินกูหมดว่ะ ทำไงดีวะ"
"เออยืมกูไปก่อนก็ได้..."
"ขอบใจโว้ยไอ้โต้ง"
เวลาผ่านไปหลายวัน ป๋องไม่เคยไปเรียนเลย เอาแต่อยู่ร้านเกมส์ จนกระทั่งอาจารย์โทรศัพท์มาบอกคุณแม่ที่บ้าน
"ฮัลโหลคุณโสรยาเหรอคะ ลูกคุณไม่มาเรียนเป็นเดือนแล้วจะเอายังไงคะจะเรียนต่อหรือจะลาออก พรุ่งนี้ช่วยมาคุยกับดิฉันที่โรงเรียนหน่อยนะคะ"
แม่ตกใจมาก เมื่อป๋องกลับมาแม่ก็ไต่ถาม ป๋องอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แม่จึงตีป๋อง ทำให้ป๋องต้องหนีออกจากบ้าน เมื่อแม่ไปตามก็ไม่พบ แจ้งความเอยอะไรเอยก็ไม่พบ...แม่เสียใจมากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2544 ป๋องกลับมาบ้านอีกครั้ง แต่คราวนี้ป๋องมาอย่างคนหมดสภาพ ไม่เหลือคราบเด็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์เลย
"แม่ มีเงินไหม เอามา บอกให้เอามา...!!!!"
ป๋องกระฉากกระเป๋าแม่ไป แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต้องเรียกตำรวจให้วิ่งจับลูกชายคนเดียวของตนเอง เมื่อตำรวจจับได้ก็ทราบว่าป๋องติดยา ติดเกมส์ เล่นการพนันจนเป็นหนี้มากมา แม่ต้องมาชดใช้ให้ป๋อง แม่ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะเก็บเงินส่งป๋องเรียนแต่ป๋องก็ผลาญไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่บ้านที่จะซุกหัวอยู่ แม่ต้องพาป๋องไปเลิกยา ต้องหาที่อยู่ใหม่ ชีวิตล้มละลายเพราะลูก แม่หมดหวังไม่รู้จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดี หนี้สินก็ยังไม่หมด แม่จึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
วันนั้นป๋องกลับมาทันเหตุการณ์พอดี แต่ก็ไม่อาจที่จะช่วยเหลือแม่ได้เพราะกระแสน้ำเชี่ยวมาก ป๋องมาพบแม่อีกทีก็สายเสียแล้ว ป๋องได้แต่ร้องไห้เสียใจ
"แม่...ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษนะแม่"
เมื่รู้ตัวก็สายเกินแก้แล้ว ป๋องสิ้นหวังไม่รู้จะทำอย่างไรดี หนี้สินพะรุงพะรัง ป๋องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องมืดไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ไม่กินไม่นอน ไม่คุยกับใครจนกระทั่งสูบผอมไปมากและจบชีวิตลงอย่างน่าอนาจ...
15 กรกฎาคม 2547 15:05 น.
สุชาดา โมรา
ฉันเรียน ม.ปลายอยู่ที่โรงเรียนชื่อดังของลพบุรี เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ ฉันเรียนไม่เก่งนักแต่ก็ค่อนข้างหัวดี ตั้งแต่ฉันเรียนมาฉันก็ไม่เคยได้อ่านหนังสือเลยสักครั้งเพราะฉันเป็นคนขี้เกียจ แม่มักจะบ่นฉันอยู่เสมอ ๆ แต่ฉันก็ทำข้อสอบได้ดีทีเดียว...
วันนั้นฉันจำได้ว่าถูกแม่ด่าเรื่องไม่อ่านหนังสือ ไม่ทำการบ้าน รวมทั้งแม่ใช้ให้ทำอะไรก็ไม่ทำด้วย เมื่อถูกด่ามาก ๆ ฉันก็เลยแอบไปอยู่ข้างบ้านเอามือล้วงกระเป๋ากระโปรงนักเรียนก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคนนำมาแจกตรงหน้าโรงเรียน...
กระดาษแผ่นนั้เป็นประกาศ ในประกาศมีการเปิดรับสมัครเรียนยูโด ฉันอยากเรียนมาก ๆ จึงไปปรึกษาแม่ แต่ว่าแม่ไม่สนับสนุน
"จะเรียนไปทำไม การเรียนของตัวเองก็แย่อยู่แล้วจะเรียนให้มันหมดเงินเปลืองทองไปทำไมกัน ถ้าหากว่าเทอมนี้เรียนดีแล้วเอาไว้มาคุยกับแม่ทีหลังละกัน"
ตลอดทั้งเทอมฉันตั้งใจเรียน ขยันเพื่อที่จะเป็นบันไดไต่ไปเล่นยูโด ผลที่ออกมาคือฉันเรียนดีอย่างไม่คาดฝัน แม่จึงให้ฉันไปเล่นยูโดที่กองพลรบพิเศษที่ 2 ค่ายเอราวัณ
ตั้งแต่มาเรียนยูโดทำให้ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ฉันช่วยงานบ้านมากขึ้นทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคย ฉันมีสมาธิมากขึ้น รู้เรื่องชีวิตคนมากขึ้น เข้าใจผู้คนมากขึ้นเพราะสิ่งที่ฉันไปเห็นที่เบาะยูโดมันมีแต่พวกที่เจนชีวิตมาแล้วทั้งนั้น
ฉันก็ได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งที่อายุห่างกับฉันถึง 6 ปี เขาเป็นคนที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย แต่ฉันก็ไม่อาจรู้ได้หรอกว่าลึก ๆ เขาคิดอย่างไร... เขาทำดีกับฉันทุกอย่าง แต่เขาก็เป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็นและอยากที่จะไปเห็นบ้านของฉันมากเลย...เขาแอบเดินตามฉันไปที่บ้าน ฉันก็รู้ว่าเขาตามมา ฉันจึงเฉแวะข้างทางเรื่อย ๆ จนเขาหาที่ซ่อนไม่ได้เราเลยจังหน้ากัน
"พี่นัทตามฉันมาทำไม..."
"ปะ...ปะ...เปล่านี่พี่มาเดินเล่น"
"เดินเล่นในป่าเนี่ยนะ...ท่าจะบ้า...บ้านพี่อยู่แถว ๆ ซอย 77 ไม่ใช่เหรอ แล้วมาทำไมซอย 4 ล่ะ แปลกนะถ้าจะบอกว่ามาเดินเล่นกว่าจะถึงบ้านคงจะเดินเป็นวันเลยละ..."
ฉันบ่นพี่นัทแล้วก็เดินออกมาจากป่าข้างทาง เขาก็เดินตามฉันมาจนฉันหงุดหงิด
"นี่...จะตามไปถึงไหน"
"เปล่าไม่ได้ตาม ถนนส่วนตัวเหรอถึงห้ามไม่ให้ตามเนี่ย"
ฉันเงียบแล้วก็เดินจ้ำ ๆๆๆ จนถึงบ้าน เขาก็ตามฉันมาบ้านเหมือนกัน เดินเข้ามาถึงรั้วบ้านเลยด้วย ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ เลย
"ไหนบอกว่าไม่ได้ตามไงล่ะ"
"ก็มันหิวน้ำนี่เดินมาตั้งไกล..."
ฉันทำหน้าแบบไม่ค่อยพอใจแล้วก็ไม่ยอมเปิดประตูบ้านด้วย ฉันเดินเข้าไปในบ้านแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวทานข้าว
"ดาว ใครมาน่ะลูก"
"สงสัยคนขายประกันมั้ง..."
"แม่ว่าไม่ใช่มั้ง เดี๋ยวแม่ออกไปดูเอง"
ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย พี่นัทไม่ยอมออกไปจากหน้าบ้านเสียด้วย ถ้าแม่รู้นะว่าตามฉันมาละก็แย่เลยละ เพราะแม่เป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่น ลูกนี่จะคบกับผู้ชายไม่ได้เลยทั้ง ๆ ที่ลูกสาวก็หน้าตาไม่ดีแต่ยังจะห้ามนั่นห้ามนี่อีก
"เข้าบ้านก่อนสิลูก...ยายดาวนี่แย่จริง ๆ เลยเพื่อนมาเที่ยวบ้านกลับไม่ให้เข้าบ้าน ปล่อยให้เพื่อนยืนหิวน้ำคอแห้งอยู่ข้างนอกบ้านอยู่ได้ ร้อนก็ร้อน ไปดาวเอาน้ำมาให้เพื่อนเราหน่อย"
"แม่...."
ฉันร้องเสียงหลงทีเดียว สิ่งที่ไม่คาดคิดกลับเป็นสิ่งที่....เฮ้อ...นึกว่าจะโดนด่าเสียแล้วสิ
ตั้งแต่วันนั้นที่พี่นัทได้เข้ามาเหยียบที่บ้าน แม่ก็โอนอ่อนมากขึ้น เขาเข้าบ้านฉันราวกับเป็นที่สาธารณะทีเดียว ฉันรู้สึกไม่ค่อยพอใจเลยละ...แต่ก็ดีที่พี่นัทเขาเข้ากับแม่แล้วก็คุณตาของฉันได้
ฉันมีเพื่อนที่ไปเรียนยูโดด้วยอีกคนหนึ่งเธอชื่อเหมี่ยว เหมี่ยวเป็นคนนิสัยดีเฉพาะต่อหน้าฉัน แต่พอลับหลังก็หักหลังเพื่อนด้วยการแอบเอายาถ่ายมาใส่แก้วน้ำเพื่อน ทำให้เพื่อนไม่สามารถแข่งยูโดได้ ต้องขอบายไป พอฉันมารู้ตอนหลังถึงกับมองหน้ากันไม่ติดทีเดียวเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะทำร้ายเพื่อนได้
"เหมี่ยวทำไมเธอทำแบบนี้...ฉันอุตส่าหลงไว้ใจเธอ...เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน..."
"เดี๋ยวดาว...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันจะใส่อีกคนนึง"
"เจตนาเธอมัน...ร้ายกาจที่สุด ถึงจะฝ่ายนั้นหรือว่าฝ่ายฉันเธอก็ไม่ควรทำ"
ฉันเดินออกมาจากกลุ่มนักยูโดที่กำลังมุงดูฉันกับเหมี่ยวทะเลาะกัน ฉันรู้สึกโกรธจนทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวเลย...
แต่ไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกที่เพื่อนเป็น แม้แต่แฟนของเพื่อน เพื่อนยังแย่งชิงเอาไปด้วยการมอบกายถวายตัวให้ แล้วมาอ้อนวอนขอร้องให้เพื่อนเลิกกับแฟนของตัวเองเพียงเพราะเพื่อนบอกว่าเพื่อนท้อง...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเพื่อนทำกับฉันได้อย่างไร...
"แววดาว ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย"
"มีอะไรก็พูดมาสิต่อหน้าคนอื่นเนี่ย...ทำไมไม่กล้าเหรอ"
"มันสำคัญนะแววดาว"
"ไม่ต้องมาเรียกฉันเต็มยศขนาดนี้ เรามันไม่ถูกกันอยู่แล้วเธอจะพูดอะไรก็เปิดเผยมาเลยดีกว่า อย่ามัวอ้ำอึ้งเสียเวลาซ้อมยูโด"
"เลิกกับพี่นัทเถอะนะ..."
ฉันถึงกับอึ้งทีเดียว มันเป็นเพราะอะไรเหมี่ยวถึงได้มาพูดแบบนี้...ฉันไม่เข้าใจเลย รู้สึกหน้าชาตัวชาทำอะไรไม่ถูก ฉันคบกับพี่นัทมา 6 เดือนแต่จู่ ๆ ก็มีคนมาบอกให้ฉันเลิก มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ฉันไม่รู้แน่ ๆ เลย
"ฉันเป็น...."
"แหม...เหมี่ยวแกก็บอกยายดาวไปสิว่าแกท้อง"
คำพูดของแก้มทำให้ฉันสะดุด ตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าเหมี่ยวจะท้องกับพี่นัท เพราะพี่นัทไม่เคยมีท่าทีว่าจะรู้สึกอะไรกับเหมี่ยวเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันจึงเดินไปที่สนามฟุตบอล ซึ่งพวกนักยูโดรุ่นพี่หลายคนกำลังวิ่งรอบสนามกันอยู่ ฉันจึงวิ่งเข้าไปถามพี่นัท แต่พี่นัทก็ไม่หยุดวิ่งสักที ฉันจึงต้องวิ่งตาม
"จริงเหรอที่พี่เป็นแบบที่เขาพูดกัน"
"อะไร...ไม่เข้าใจ"
"ก็เรื่องที่เหมี่ยวท้องไง"
แฮก ๆๆๆๆ...
พี่เขาถึงหยุดหอบทันที แล้วพี่นัทก็ก้มหน้าเหมือนกับรับผิดและยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ฉันรู้สึกเลยว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับฉันเลย...ฉันเดินห่างออกจาพวกพี่ ๆ แล้วก็เดินไปที่ห้องแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านทันที
ฉันกลับบ้านอย่าเศร้าสร้อย เหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถตลอดเวลาเพราะฉันรู้สึกว่าฉันสมเพชตัวเองเหลือเกิน ทำไมฉันถึงโง่ได้ขนาดนี้... ทำไมฉันต้องมารู้จักคนแบบนี้ด้วย เวรกรรมอะไรของฉันนักหนานะที่ต้องมาพบกับเพื่อนแบบนี้...โถ่...สวรรค์...ฉันรู้สึกรับไม่ได้เลยจริง ๆ
เมื่อฉันเลิกกับแฟนได้ 3 วันฉันก็มีคนใหม่เพื่อที่จะได้ลืมคนเก่า แต่ก็ดูท่า ทางว่าเพื่อนของฉันจะพยายามแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีตลอด ฉันไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีเลย ฉันทำอะไรไม่ถูกเล่นยูโดไม่ได้เพราะเสียสมาธิ...จะให้ฉันทำอย่างไรดีเนี่ย!
วันนั้นฉันจำได้ดีว่าเป็นวันแข่งยูโดคัดสาย อาจารย์จากทีมชาติมากันมากมายเพื่อที่จะมาตัดสิน ฉันแข่งชนะได้ถึง 2 คนแล้ว ถ้าชนะคนที่ 3 ฉันจะได้สายเขียวทันที แต่ฉันกลับต้องมาประจันหน้ากับเหมี่ยว... จะให้ฉันทำอย่างไรดี...
ด้วยความที่ฉันทั้งรักทั้งแค้นเพื่อนมาก ฉันจึงคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องชนะให้ได้ ต้องทำให้ได้ ฉันจะไม่ยอมแพ้คนพันนี้หรอก ฉันจะสู้จนขาดใจทีเดียว...
"เอี้ย...!!!" ...เสียงร้องข่มคู่ต่อสู้ของฉันดังขึ้นพร้อม ๆ กับอารมณ์ที่บ้าครั่ง ฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันกระชากคอเสื้อเพื่อนแรงขนาดไหน ฉันคิดเพียงว่าจะไม่แพ้ ไม่แพ้ และก็ไม่มีวันแพ้... ฉันใส่ท่าโตโมนาเงะทันที
"อิปโป้ง...!!!"
เสียงกรรมการบอกว่าฉันชนะแล้วแต่ฉันก็ยังไม่รู้ตัว ฉันใส่ต่อด้วยท่าล็อกเกซ่ากาตาเมะทันที ฉันกดด้วยแรงอาฆาตนิด ๆ ของคนที่จะต้องไม่ยอมที่จะแพ้คนอย่างเหมี่ยว หรือแม้แต่คิดฉันยังไม่ยอมคิดเลย ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ค่อนข้างตาขาวนิด ๆ เพราะเหมี่ยวเป็นคนตัวโต เหมี่ยวเล่นในรุ่นน้ำหนัก 50 กิโลในขณะที่ฉันเล่นในรุ่น 45 กิโล แต่คราวนี้มีคนแข่งในรุ่นของฉันน้อย ฉันจึงต้องพลาสขึ้นไปแข่งกับรุ่นที่ใหญ่กว่า... แต่ถึงแม้ว่าเหมี่ยวจะตัวใหญ่กว่าแค่ไหน ถ้าลองให้เลือดสูบฉีดทั่วร่างแบบนี้แล้วรับรองว่าฉันสู้ตายทีเดียว...จนกรรมการต้องเดินเข้ามามาสะกิดบอกว่าฉันชนะแล้ว ฉันชนะอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าฉันชนะ
"แววดาว...อิปโป้งแล้วละ..."
....เฮ้....!!!!...เสียงทุกคนดังกึกก้องขณะที่ทุกคนก็รู้ว่าฉันกับเหมี่ยวไม่ลงรอยกัน ชัยชนะครั้งนั้นจึงทำให้ฉันก้าวขึ้นไปแข่งขันยูโดชิงแช้มเพื่อที่จะเป็นตัวแทนจังหวัด...ฉันมีความสุขมาก วิญญาณสายเลือดยูโดของฉันกล้าหาญและล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างที่ฉันตั้งใจ ฉันหวังว่าแข่งนัดต่อไปของการแข่งขันชิงตัวจังหวัดนี้จะราบรื่น...ฉันคิดอย่างนั้น
ติดตามอ่านตอนต่อไปของเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ เหตุการณ์จะเข้มข้นมากขึ้น...สาวน้อยนักยูโดจะทำอย่างไร เหมี่ยวจะตามมาราวีอีกหรือไม่ และแฟนใหม่จะถูกแย่งไปหรือเปล่า แฟนเก่าจะกลับมาไหม...ติดตามตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้ค่ะ...อย่าพลาด!!!!!...
ขอบคุณที่ติดตามผลงานเสมอมาค่ะ