25 กรกฎาคม 2547 20:04 น.
สุชาดา โมรา
"คุณพล ๆ ตอนที่คุณไม่อยู่มีคนมาขอทำข่าวถึง 6 รายการเชียวค่ะ" ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับคุณพลราวกับสนิทกันมาก แต่ก็ดูท่าทางเขายำเกรงคุณพลไม่ใช่น้อย
"พล...เด็กคนนี้ใช่ไหมที่คุณเดย์บอกว่าจะต้องพาตัวมาให้ได้...เออน่ารักดีนะ ชื่อไรน่ะ"
"อย่าเพิ่มถามน่า...เดี๋ยวคุณเดย์ก็บอกเองนั่นแหละ"
คุณพลตอบชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ขึงขัง ดู ๆ ทุกคนที่นี่จะยำเกรงคุณพลเหมือนกัน
"....เอ๊ะ...!!! ทำไมทุกคนจึงมองเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาด..." จิรมลนึก
..........แอ๊ด..........คุณพลเปิดประตูให้ลงไปในทางแคบ ๆ มีเพียงแสงไฟที่เป็นสีแดงดูน่ากลัวมาก ทางตรงนี้เป็นทางห้องใต้ดินบรรยากาศตามทางก็วังเวงดูน่ากลัวทำให้จิรมลรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ จนพูดไม่ออก
"....รู้สึกกลัว ๆ ยังไงบอกไม่ถูก หนาว ๆ ด้วยแฮะ...สงสัยจังว่าคุณพลพามาที่นี่ทำไม ฉันรู้สึกตื่นเต้นและก็หวาดกลัวเป็นพิเศษ...มันน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ฉันเจอมาซะอีก"จิรมลนึก
เมื่อคุณพลเปิดประตูอีกบานและพาจิรมลเข้าไปข้างใน แอร์ที่เปิดเย็นเฉียบ มีแสงและลานเวทีที่ดูเหมือนจริง ทั้งฉากและผู้คนที่แต่งกายทำให้จิรมลรู้ทันที่ว่านี่มันคือโรงซ้อมละคร
"เอ๊ะ....!!!คุณพลนี่มันโรงซ้อมละครนี่คะ"
"ครับ" คุณพลตอบด้วยท่าทางขึงขัง
"ยังไม่ได้!!!....แสดงให้ดีกว่านี้เป็นหรือเปล่า!!!.......?" เสียงชายคนหนึ่งดังเกรี้ยวกราดขึ้นมาทำให้จิรมลยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่
"คุณต้องพบพ่อที่เคยเกลียดใช่ไหม คุณเป็นคนทำให้พ่อต้องสูญเสียอนาคตไปใช่ไหม และคุณต้องโผเข้ากอดเขาด้วยความรู้สึกที่ผิด จำได้หรือเปล่า...!!!....ไม่ใช่ว่ามายืนแข็งเป็นตอไม้....โถ่...ไม่ได้เรื่องเลย....ซ้อมใหม่...!!!!"
เสียงชายคนนั้เกลี้ยวกราดจนจิรมลรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ แต่จิรมลก็อยากที่จะเห็นหน้าชายคนนั้นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมจึงดุดันได้ขนาดนี้
"ทำไมยังไม่ดีขึ้นอีก..ใบ้กินหรือไง...!!!ตอบมาเร็ว หลับอยู่หรือไง...หา....!!!...โถ่โว้ย...นี่ผมจะบ้าตายเพราะพวกคุณอยู่แล้วนะ" ชายคนนั้เกรี้ยวกราดอีกครั้ง แล้วก็ค่อย ๆ สบัดผมและหันมาช้า ๆ
"....ผู้หญิงคนนั้นเขาแสดงดีแล้วนี่นา ทำไมถึง...อ๊ะ...!!!คุณเดย์นี่...ทำไมดูน่ากลัวจัง...ฉันกลัวไปหมดแล้วนะ..." จิรมลยืนดูอยู่กับกลุ่มนักแสดงข้างล่างพร้อมกับคิดเรื่องที่เห็นคุณอาสาฬห์เกรี้ยวกราดกับนักแสดงด้วยความกลัว
"คุณพล...ฉันว่าเราควรออกไปก่อนดีกว่านะวันนี้อย่าเพิ่งมาพบเขาเลยเขาอารมณ์ไม่ดี กำลังโมโหโกธาอยู่อย่าไปยุ่งดีกว่านะนะ..." จิรมลค่อย ๆ กระซิบ
"เปล่า...เขาปกติไม่ได้โมโหหรืออะไรหรอก แต่เขาเป็นคนที่จริงจังเกินไป นี่เขาแค่พูดตรง ๆ เท่านั้นนะเนี่ย กลัวเหรอ"
จิรมลถึงกับอึ้งทีเดียวที่ได้ยินคุณพลพูดแบบนั้น
".....เนี่ยเหรอที่บอกว่าปกติ น่ากลัวจริง ๆ เลย ไม่อยากอยู่แล้ว..." จิรมลนึกและค่อย ๆ แทรกตัวออกจากที่นั่นทันที
ผู้หญิงคนนั้นยังคงแสดงต่อ
"พ่อคะ..."
พรวด...ซ่า...คุณอาสาฬห์ถึงกับเอาน้ำมาสาดหน้าผู้หญิงคนนั้นทันที ยิ่งสร้างความน่ากลัวจิรมลเป็นอย่างมาก จิรมลถึงกับยืนตัวเกร็งอยู่ที่มุมห้องทีเดียว
"ตาสว่างหรือยัง...!!! ผมจะซ้อมให้เองหันมานี่...!!!" คุณอาสาฬหืกระชากบทออกจากมือผู้หญิงคนนั้นแล้วก็โยนเอาไว้ที่ข้างเวที แล้วก็พูดขึ้น "ในเรื่องพ่อของคุณตามใจคุณมาก คุณอยากได้อะไรก็จะหามาให้ วันหนึ่งพ่อขับรถออกไปซี้อของตามที่คุณต้องการ จึงขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งรถเบรคไม่อยู่ชนคนตาย พ่อของคุณจึงมีชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องติดคุกหลายปี พอออกมาจากคุกผู้คนก็เฉยเมยกับเขา เขาตกงาน ครอบครัวก็ขับไล่ เขาจึงต้องทิ้งครอบครัวและหนีจากสังคมไปอยู่ในป่า มีชีวิตที่โดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนคนที่อยู่แล้วตายทั้งเป็น..."
เมื่อจิรมลได้ยินก็ทำให้เธอคิดถึงพ่อทันที
"ตอนแรกคุณก็โกรธพ่อและเฉยเมยต่อเขา ต่อมาเมื่อคุณโตขึ้นมีความคิดมากขึ้น คุณอยากพบพ่ออีกครั้ง...ในตอนนี้เองพอคุณได้พบพ่อคุณจะเรียกเขาว่าอะไร ต้องใช้อารมณ์ไหน...!!!"คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
"พ่อคะ...." ผู้หญิงคนนั้พูดขึ้น
จิรมลคิดว่าถ้าเธอได้พบพ่ออีกครั้งตอนที่ท่านยังอยู่เมืองไทย เธอจะขอโทษพ่อเพราะเธอรู้สึกผิดและโทษตัวเองมาโดยตลอดว่าเพราะเธอพ่อจึงต้องป่วยหนัก เธออยากเจอและทำดีกับพ่อของเธอให้มากกว่านั้น... "...คุณพ่อคะ..." จิรมลนึกและก็น้ำตาคลอเบ้า
"พอก่อน...!!! เมื่อกี้คุณใช้อารมณ์ไหน...ลืมบทหรือไง...!!! ถ้าคุณคิดว่าคนที่แสดงเป็นพ่อได้แค่ลมปาก คุณมองเห็นเขาเป็นเพศตรงข้าม เป็นคู่รักหรือคนที่คุณสนใจมันก็จบ...ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริง ๆ ....คุณถูกปลดแล้ว..." คุณอาสาฬทำท่ากุมขมับเดินออกไปที่ขอบเวทีจากนั้นก็หันกลับมาชี้หน้าผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับขว้างบททิ้ง "โถ่โว้ย...!!!!"
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับร้องไห้โฮทีเดียว ทำให้จิรมลทั้งสงสารผู้หยิงคนนั้นและก็อินกับบทที่คุณอาสาฬห์พูดให้ฟัง เธอถึงกับร้องไห้โฮเสียงดังเพราะสงสารผู้หญิงคนนั้นและคิดถึงพ่อของเธอมาก
"ใครร้องไห้น่ะ...ผมถามว่าใคร...!!! ขึ้นมานี่ซิ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นพร้อมกับเสียงที่เกรี้ยวกราด ท่าทางขึงขังเหมือนคนบ้าเลือดทำให้จิรมลรู้สึกกลัวมากขึ้น ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็จ้องมองมาที่มุมห้องตรงที่จิรมลนั่งกองอยุ่กับพื้นและร้องไห้อยู่...
"คุณจิรมล...คุณเดย์เรียกแล้วครับ" คุณพลเดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือไปฉุดให้จิรมลลุกขึ้น
"ฮือ.....ไม่เอา...ไม่ ไม่ ฉันไม่ขึ้นไป...." จิรมลร้องไห้เสียงดัง
"คุณมลครับขึ้นไปเถอะ...คุณเดย์ไม่ทำอะไรหรอก"
"ไม่จริง.....คุณพลโกหก"
จิรมลท่าทางจะไม่ยอมขึ้นไปบนเวทีง่าย ๆ คุณอาสาฬห์จึงลงมาคว้าข้อมือเดินขึ้นไปบนเวทีทันที ทุกคนถึงกับเงียบและมองเป็นตาเดียว
"ผมขอแนะนำสมาชิกใหม่ นี่จิรมล สุวรรณพฤกษ์ เธออายุ 17 ปี เธอจะมารับบทนางเอกเรื่องคนความเงียบ..."
"ฉะ...ฉันต้องมาเรียนการแสดงไม่ใช่มาเล่นละคร...!!!" จิรมลพูดเสียงดังขึ้น
ผวัะ....คุณอาสาฬห์ถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ตบหน้าจิรมลทันที ทำให้จิรมลงงทำอะไรไม่ถูก "...นี่มันอะไรกันเนี่ย..." จิรมลนึก
"พล...นายทำไมมาช้าจัง ฉันรอตั้งนานแล้วนะ...!!!" คุณอาสาฬห์ทำเสียงเกี้ยวกราดใส่คุณพลจนทำให้คุณพลหน้าเสีย
"คือผมมานานแล้วครับ แต่เห็นคุณยุ่ง ๆ อยู่ผมจึงยืนดูคุณซ้อมบทให้แพรทองอยู่ข้าง ๆ น่ะครับ" คุณพลพูดขึ้น
"...ฉันต้องเป็นนักแสดงเหรอ ที่ตกลงกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่...ทำไมคน ๆ นี้มีสิทธิ์อะไร...ทำไมถึงมาตบหน้าเรา ตบต่อหน้าคนอื่นด้วย ฉันรู้สึกเสียหน้าเหลือเกิน ทำไมนะ..." จิรมลนึกพร้อมกับนั่งกองอยู่กับพื้นเวที ตัวเธอรู้สึกหน้าชาทำอะไรไม่ถูก...เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำอย่างไรดี ทุกคนที่นี่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเลย
"ฉันจะกลับบ้าน...!!!" จิรมลวิ่งลงจากเวที คุณอาสาฬห์จึงเข้ามาฉุดแขนไว้
"ปล่อย...ปล่อยฉันนะ...ปล่อย!!!!" จิรมลร้องจนสุดเสียง
ผวัะ...จิรมลหันไปตบหน้าคุณอาสาฬห์
"ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ" จิรมลตกใจมากที่ตนเองตบหน้าคุณอาสาฬห์ ทุกคนในห้องต่างมองกันเป็นตาเดียวและก็ซุบซิบนินทาซอกแซก ๆ กันยกใหญ่
"...พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับเราอย่างนี้เลย...ทำไมนะ...โหดร้ายที่สุด..." จิรมลนึก
"คุณเดย์ครับ คุณเดย์...!!!ผมว่าเธอเพิ่งมานะครับ เราควรจะให้เธอพักผ่อน"
"อย่ามายุ่งนะ...นายพล...!!!" คุณอาสาฬห์พูดเสียงดังพร้อมกับทำหน้าตาขึงขัง "เธออยากเรียนการแสดงไปทำไมถ้าเธอคิดว่าจะไม่เป็นนักแสดง เธอรู้ตัวไหม...ว่าฉันเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะเอาตัวเธอมาได้ เธอรู้ตัวเองหรือเปล่าว่าเธอทำให้พ่อเธอต้องป่วย เธอคิดจะกลับบ้านง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ...มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือไง" คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันทำให้จิรมลกลัวจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอฟุบตัวลงกับพื้นต่อหน้าผู้คนมากมาย...เธอรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
"คุณเดย์ครับ...เธอสลบไปแล้วครับ" คุณพลพูดขึ้น
"เธอแค่ทำสำออยเท่านั้นแหละ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ผมจะพาเธอไปส่งที่ห้องพัก..." คุณพลอุ้มจิรมลเดินออกมาจากในห้องซ้อมละครทันที พวกนักแสดงหลายคนยืนดูด้วยความสนใจ และซุบซิบนินทากัน
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
ตอนต่อไปจะเข้มข้นขึ้นอีก โปรดติดตามตอนต่อไปของเรื่องนะคะ
25 กรกฎาคม 2547 19:49 น.
สุชาดา โมรา
ช่วงนี้ถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเจิดจ้าแค่ไหนแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลย มันหนาวจนจับเข้าไปในกระดูกทั้ง ๆ ที่นี่มันแค่ลพบุรีไม่ใช่เชียงใหม่ซะหน่อย
ฉันไปโรงเรียนอย่างเร่งรีบเพราะช่วงนี้อากาศมันเย็นทำให้นอนยาวทีเดียว ไม่ว่าจะรีบไปเรียนเร็วกว่าเดิมแค่ไหนแต่รถเมย์สายนี้ก็ยังคงแช่และวิ่งช้าอยู่เหมือนเดิม
ตึก...ตึก...ตึก ฉันวิ่งเข้าไปในโรงเรียนแต่ก็ถูกกักที่หน้าประตูตามเคย
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...."
ต้องมายืนร้องเพลงชาติตรงนี้เป็นรายการประจำจนทำให้วันนี้อาจารย์เรียกไปพบที่ห้องปกครองเรื่องการมาสาย อาจารย์มีหนังสือเชิญผู้ปกครองมาด้วย
"นี่แววดาว ครูถามจริง ๆ เถอะเธอเป็นโรคอะไรต้องมาสายตลอดเลย"
"หนู...หนู...รถมันแช่ค่ะ"
"ก็หัดมาเช้า ๆ สิยะ...นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเลยนะ...ใช้ไม่ได้!!!"
ฉันนะอยากจะเถียงอาจารย์เลยว่าถึงจะมาเช้าหรือว่ามาสายก็มีค่าเท่ากันเพราะถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่าน พอผ่านมาสักคันหนึ่งมันก็แช่ซะจนน่ารำคาญ... น่าเบื่อที่สุดเลย
วันี้ฉันเดินเข้ามาในสมาคมด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว พรุ่งนี้ต้องพาผู้ปกครองไปพบอาจารย์เรื่องการมาสาย ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฉันนั่งเหม่อมองดูท้องฟ้าโดยไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดยูโด
"อยู่นี่เองดาว...วันนั้นพี่ขอโทษนะพี่เข้าใจเราผิด"
"แล้ววันนี้เป็นอะไรไปล่ะทำไมถึงไม่ไปเปลี่ยนชุด ไม่สบายหรือเปล่า"
"เปล่า"
"แล้วมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะถึงได้มานั่งซึมกระทือแบบนี้"
"อาจารย์มีหนังสือเรียกผู้ปกครองน่ะ...เรื่องมาสาย"
ฉันทำสีหน้าแบบหงอย ๆ แต่พี่ดอนก็เอามือมาขยี้หัวฉัน
"โถ่...เรื่องแค่นี้เองก็บอก ๆ ท่านไปสิท่านไม่ว่าหรอก"
"ไม่ได้หรอกเดี๋ยวแม่โกรธตายเลย แม่ยิ่งไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ...แล้วจะทำไงดีนะ...เฮ้อ...กลุ้มใจจริง ๆ เลย"
"อ๋อ...ไม่ยาก นี่ไงเรามีพ่ออยู่หลายคน อยากได้พ่อแบบไหนล่ะ แต่ต้องนัดแนะให้ดี ๆ นะไม่งั้นเกิดสับสนขึ้นมาอาจารย์จับได้ละก็...!!!"
"จริงเหรอ...แล้วใครล่ะจะมาเป็นพ่อให้"
"นั่นไง...คนที่วิ่งอยู่กลางสนามนั่นไง"
พี่ดอนชี้ไปทางพวกที่วิ่งกันอยู่ที่กลางสนาม ฉันมองเห็นอาจารย์โจวิ่งอยู่ที่กลางสนาม ฉันจึงรู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่นยูโดขึ้นมา หลังจากซ้อมเสร็จพี่ดอนจึงไปคุยกับอาจารย์โจให้เรื่องที่จะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
"สวัสดีครับ ผมผู้ปกครองของแววดาวครับ"
"อ๋อ...เหรอคะ"
อาจารย์แฉล้มหัวหน้าฝ่ายปกครองมองลอดแว่นมาดูอาจารย์โจอย่างไม่เชื่อสายตา
"คุณเป็นญาติข้างไหนคะ ถึงได้หน้าไม่เหมือนกันเลย"
"ผมเป็นพ่อของเธอ...ทำไมเหรอครับ...ดูนี่นะครับ ดวงตาถอดมาจากแม่ คิ้วได้มาจากผม จมูกนี่ครับเด่นที่สุดของผมเลย เห็นไหมโด่งขนาดนี้ รูปหน้าเหมือนผมไหม เรียวยาว แล้วดูนี่ครับไฝใต้คางเม็ดเล็ก ๆ ถอดผมมาเลย แล้วอาจารย์จะว่าผมไม่เหมือนลูกตรงไหน"
อาจารย์โจบรรยายให้อาจารย์แฉล้มฟังจนอาจารย์ทำท่าแบบน่าเชื่อถือ... จากนั้นอาจารย์แฉล้มก็พูดเรื่องการมาสายของฉัน
"ผมขออนุญาติให้ลูกมาสายเถอะครับ บ้านเราลำบากมาก ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องไปดูแลทวดที่กำลังป่วยหนัก พอตกเย็นก็ต้องไปทำงานหาเงินมาเรียน ต้องไปรับจ้างล้างจานที่ร้านอาหารจนดึกดื่น อาจารย์จะไม่สงสารเด็กตาดำ ๆ บ้างเหรอครับ ถึงผมจะเป็นทหารแต่ผมก็มีภาระหลายอย่าง ต้องส่งบ้านส่งรถ ไม่มีเงินมาให้ลูกเรียน เป็นหนี้สหกรณ์ เป็นหนี้ธนาวัตน์ โอ้โหเยอะแยะแล้วยังมีหนี้..."
"พอเถอะค่ะ...ฉันเข้าใจ เอาอย่างนี้ละกันฉันอนุญาติให้เธอมาสายได้แต่เธอต้องมาทำงานชดเชยที่ห้องพักครูตอนพักเที่ยง ครูจะให้รายได้พิเศษกับเธอ เธอจะได้ไม่ต้องไปล้างจานที่ร้านอาหารดึก ๆ ดื่น ๆ จนตาแดงอิดโรยแบบนี้ เพราะที่ร้านอาหารมันอันตราย ผู้ชงผู้ชายมันเยอะเดี๋ยวมันก็ลวนลามเอา..."
ฉันยิ้มแบบแหย ๆ แต่ก็ต้องตอบว่าค่ะ อาจารย์โจนี่สุดยอดจริง ๆ ทำให้ฉันได้สองเด้ง ทั้งการมาสายได้ แล้วยังได้เงินกินหนมฟรี ๆ อีก โอ้โห...สร้างเรื่องได้สุดยอดเลย...น่าจะเอาไปแต่งนิยายนะ ดู ๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยเลย...ทำเอาฉันงงไปหมด
"ขอบคุณนะคะอาจารย์"
ฉันเดินไปส่งอาจารย์ที่รถ อาจารย์ขยี้หัวฉันด้วยความเอ็นดู แววตาของอาจารย์ยิ้มแย้มสดใสจนฉันมีความรู้สึกเหมือว่าอาจารย์เป็นพ่อของฉันไปแล้วจริง ๆ พออาจารย์ขับรถออกไปจนลับสายตาฉันไปแล้ว ฉันจึงเดินมาเข้าชั้นเรียน
"Bonjour, Comment allez-vous?"
"Je vsis bien, merci "
ฉันกล่าวคำทักทายกับอาจารย์ที่สอนวิชาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงฝรั่งเศส อาจารย์ให้นั่งที่ได้ ฉันจึงนั่งฟังตามที่อาจารย์สอนพร้อมกับจดบันทึกอย่างขมักเขม้นจนหมดคาบ
"Retrouvons-nous un de ces jours"
อ๊อด.....เสียงออดดังขึ้น ฉันเก็บข้าวของแล้วเดินไปห้องปกครองทันที อาจารย์แฉล้มให้ฉันจัดแฟ้มเอกสารแล้วก็ซื้อข้าวให้ฉันกิน ที่จริงฉันไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องเงินเลย แต่ก็ดีนะที่จู่ ๆ ก็ประหยัดไปได้เยอะเชียว...
ฉันมีความรู้สึกว่าวันนี้โลกดูสวยงามไปซะทุกอย่าง ฉันมีความสุขเหลือเกิน ฉันออกจากห้องปกครองแล้วเดินไปเรียนต่อในคาบบ่ายที่ตึกใหม่ ฉันขึ้นลิฟท์ไม่ทันเพราะคนแน่นจึงวิ่งขึ้นบันไดไป
"หกชั้น ตายแน่ ๆ เลย"
แต่ฉันกลับวิ่งขึ้นไปโดยไม่เหนื่อยเลย อาจจะเป็นเพราะฉันฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี พอฉันขึ้นมาถึงห้อง ฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล็คเชอร์และเอาหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ฉันนั่งอ่านหนังสือได้แป๊บเดียว จู่ ๆ ฉันก็มีความรู้สึกว่าห้องมันมืดไปหมด จึงเงยหน้าขึ้นมาฉันเห็นแก๊ง 7 ห้าวมามุงดูฉันคล้ายกับจะเอาเรื่อง
"ไง...ไปทำอะไรมาถึงได้โดนทำทันบนที่ห้องปกครอง"
"เปล่านี่..."
"อย่ามาแก้ตัวเลยดีกว่า บอกมาซะดี ๆ ว่าไปทำอะไรมา"
"ฉันแค่มาสายเท่านั้นแหละ"
"ไม่จริงมั้ง...เหมี่ยวมันบอกว่าเธอมีเรื่องชู้สาวกับผัวมันอาจารย์ก็เลยเรียกไปทำทันบน สรุปแล้วเธอจะเอาไงกันแน่ จะเลิกยุ่งกับพี่นัทอะไรนั่นหรือยัง"
"แล้วมันกงการอะไรของเธอด้วย ถึงได้มาแส่เรื่องนี้"
"มันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แค่หมั่นไส้...เหมี่ยวมันน่าสงสารมันมาอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยพวกเรามันพลเมืองดีก็เลยเข้ามายุ่ง มีไรปะ"
"เหรอ แล้วทำไมไม่ถามเหมี่ยวล่ะว่าแย่งแฟนเพื่อนเนี่ยสนุกไหม...แล้วไอ้ที่บอกว่าท้องน่ะมันผ่านมา 4 เดือนแล้วทำไมท้องยังไม่ป่องซะที คนท้องบ้าอะไรไปเล่นยูโดทุกวัน..."
แก๊ง 7 ห้าวอึ้งแล้วก็หันไปถามเหมี่ยวที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเพื่อดูต้นทาง
"ว่าไงเหมี่ยว...!!!"
"อย่าไปเชื่อมัน มันโกหก...ฉันไปเฝ้าพี่นัทไม่ได้ไปเล่นยูโด"
"เหรอ แต่ว่าไม่จริงมั้ง พี่นัทเขาไปแข่งยูโดที่ออสเตรเลียเธอจะมาบอกว่าไปเฝ้าพี่เขาได้ไง"
"อย่า...อย่าไปเชื่อมันนะ"
พวกแก๊ง 7 ห้าวนิ่งเงียบแล้วก็หันไปซุบซิบกันสักพักแล้วก็หันมาทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องฉันแต่ก็เดินไปเฉย ๆ ฉันนั่งลงอ่านหนังสือต่อจนอาจารย์มา...ฉันนั่งเรียนวิชาภาษาไทยในชุมชนจนหมดคาบ อาจารย์ให้ทำรายงานมาส่งเรื่องการปกครองของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ฉันจึงเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนแล้วเตรียมออกจากห้อง แต่ฉันไม่สามารถที่จะออกจากห้องได้
ปัง...ปัง...ปัง ประตูทั้งสามบานถูกปิด แก๊ง 7 ห้าวกับเหมี่ยวยืนล้อมฉันไว้ที่โต๊ะ โดยมีอ้อมเป็นหัวหน้าคอยสั่งการ
"หมั่นไส้ไหมพวกเรา...!!!"
"เออ...ว่ะ กูหมั่นไส้มานานแล้วขอตบสั่งสอนสักทีเถอะว่ะ"
"เดี๋ยวก่อนต้อม ฉันขอเปิดโรงก่อนโว้ย...!!!"
อ้อมเข้ามาทำท่าจะตบ ฉันหลบได้ทันจึงเดินออกไปยืนที่หน้าห้อง
"อะไรกันเนี่ย...!!!"
"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ แค่หมั่นไส้เด็กดี...ทำเป็นตั้งใจเรียน ถุ้ย..."
ฉันรู้สึกทนไม่ได้ เลือดมันสูบฉีดทั่วร่างไปหมด รู้สึกว่ามันไม่แฟสำหรับฉันเลย ฉันทำอะไรผิดพวกนี้ถึงเข้ามาหมายจะทำร้ายฉัน...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เมื่ออ้อมเข้ามาตบฉัน ฉันจึงคว้ามือและหักแขนทันทีจากนั้นก็ผลักออกไปให้พวกอีกหกคนรับ
"มึงทำเพื่อนกูเหรอ"
"ฉันไม่โง่ให้พวกแกตบฟรี ๆ หรอก"
ต้อมวิ่งเข้ามาใส่ฉันจึงต่อยที่ลิ้นปี่แล้วก็ปัดเท้าจนล้ม ตามมาด้วยเก๋วิ่งเข้ามาข้างหลัง ฉันคว้าคอเสื้อได้จึงทุ่มด้วยท่าโคชิ-กูโรม่าทันที ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างเต็มที่
"กูเอง...มึงใช้ยูโดเหรอ"
"ช่วยไม่ได้ พวกนี้ทำร้ายฉันก่อน"
เหมี่ยวเข้ามาประชิดตัวแล้วจิกผมฉันตบทันที ฉันโดนไปหนึ่งที ด้วยความแค้นฉันจึงบิดตัวกลับเข้ามาหักแขนเหมี่ยวทันที จากนั้นฉันก็ตบคืนอีกสามทีแล้วก็ผลักให้ล้มลงไปกองกัน พวกที่เหลือเข้ามาพร้อม ๆ กันจับแขนฉันรวบไว้แล้วก็เข้ามาจะต่อยท้อง แต่ฉันเหนี่ยวแขนแนนกับฟ้าแล้วถีบทันทีทำให้ฝ้ายจุกและล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นฉันก็มุดตัวลอดสองคนนั้นแล้วก็ผลักจนหัวโขกกัน สาเป็นคนสุดท้ายที่ค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็เข้ามาอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ทำท่าเหมือนจะมาทำร้ายฉัน
"ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะดาว...อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยฉันไหว้ละ"
สาคุกเข่าแล้วก็ไหว้ฉัน ฉันทำเมินไม่สนใจจากนั้นจึงหยิบข้าวของออกจากห้องไป
ฉันมุ่งตรงไปที่สมาคมอย่างไม่รอช้าแล้วก็เล่าเรื่องให้พี่ดอนฟัง พี่ดอนโกรธมากถึงกับบอกว่าจะไปจัดการพวกนั้น แต่ฉันห้ามไว้เพราะเป็นผู้ชายจะไปทำร้ายผู้หญิงได้ยังไงกันมันไม่ถูก วันนั้นฉันซ้อมยูโดอย่างมีความสุขเพราะฉันมีความรู้สึกว่าแฟนของฉันสนใจฉันมากขึ้น ดูแลฉันมากขึ้นกว่าเก่า อาจจะเป็นเพราะหมดห่วงเรื่องพี่นัทแล้วก็ได้ เพราะช่วงนี้พี่นัทไปแข่งยูโดชิงแช้มอาเซี่ยนที่ออสเตรเลีย หมู่นี้พี่ดอนจึงไม่ค่อยเครียดมากนัก...
อีก 3 วันจะถึงวันแข่งคัดสายแล้ว ฉันรู้สึกตื่นเต้นจังเลย ฉันเร่งซ้อมอย่างเต็มที่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ...ตอนนี้ฉันหมดปัญหาเรื่องมาเฟียในห้องแล้ว ฉันมีความรู้สึกเป็นสุขที่สุดในโลกทีเดียว
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามมาโดยตลอดค่ะ
แววดาวนางเอกสาวจะมีชีวิตเป็นเช่นไร ความฝันของเธอจะเป็นจริงหรือไม่ ตอนต่อไปจะเข้มข้นกว่าเดิม...นะคะ
25 กรกฎาคม 2547 19:39 น.
สุชาดา โมรา
จากอดีตสู่ปัจจุบันสังคมของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดและสิ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยได้ในทุกวันนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการการเมือง ๑๔ ตุลา หลาย ๆ คนคงจะจดจำความเจ็บปวดได้ดี แต่อีกหลาย ๆ คนก็ไม่อาจจะรับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเช่นไร ดิฉันจึงขอย้อนความหลังหลังจากที่ได้ไปศึกษามาว่า เมื่อครั้งเหตุการณ์ ๑๔ ตุลานั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกับประชาชนจำนวนแสน เรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ปลดปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง ๑๓ คน ที่ถูกจับกุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฎหมาย มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทาง การเมืองในสาธารณะเกินกว่า 5 คน เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐเป็นกบฏภายในพระราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
ในระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ชุมนุมประท้วง โดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมสาสตร์ ในวันเสาร์ที่ ๑๓ ประชาชนเดินขบวน สำแดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูประหนึ่งว่ากระแสคลื่นมนุษย์จักท่วม ท้นถนนราชดำเนิน ในวันที่ ๑๔- ๑๕ ถัดมาก็เกิดความรุนแรง เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปราบปรามด้วยอาวุธร้าย เป็นผลให้เกิดการลุกขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่อมาเผด็จการก็ล้มลง ผู้นำคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ ๑๐ คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน กระตุ้นประชาชนให้สำนึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ ธีรยุทธ บุญมี นำรายชื่อผู้ลงนามเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ๑๐๐ คนแรกประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ มาเปิดเผย เช่น พล.ต.ต สง่า กิตติขจร นายเลียง ไชยกาล นายพิชัย รัตตกุล นายไขแสง สุกใส นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น ดร.เขียน ธีรวิทย์ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ดร.ชัยอนันต์ สมุทรทวณิช อาจารย์ทวี หมื่นนิกร เป็นต้น รวมทั้งจดหมายเรียกร้องจากนักเรียนไทยในนิวยอร์ค ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความสูญเสียถึงขนาดทำให้นิสิตนักศึกษาต้องจบชีวิตลงราวกับใบไม้ร่วงโดยที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบก็ตามแต่ประเทศไทยก็มีประชาธิปไตย ซึ่งการเมืองนั้นเปรียบดั่งก้อนหินที่แข็งแกร่ง ถ้าหากว่าวันใดก้อนหินถูกกัดเซาะจนบุบสลาย การเมืองไทยจะอยู่ได้อย่างไร...
การเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน เมื่อมีก้อนหินที่แข็งแกร่งถูกเจียรนัยให้มีความมั่นคงงดงามแล้ว การเมืองก็จะไปได้ด้วยดี และทางด้านอื่น ๆ ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การเกษตร หรืออื่น ๆ นั้นก็จะมีเสถียรภาพที่มั่นคงซึ่งเป็นเหตุมาจากการเมืองที่มีรากเง้าดั่งก้อนหินที่เจียรนัย
เอกสารอ้างอิง
วัฒน์ วรรลยางกูร.๒๕๔๓, ไขแสง สุกใส ลูกผู้ชายหัวใจไม่ผูกเชือก.กาญจนบุรี. สำนักพิมพ์ปลายนา
25 กรกฎาคม 2547 18:57 น.
สุชาดา โมรา
ช่วงนี้ถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเจิดจ้าแค่ไหนแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลย มันหนาวจนจับเข้าไปในกระดูกทั้ง ๆ ที่นี่มันแค่ลพบุรีไม่ใช่เชียงใหม่ซะหน่อย
ฉันไปโรงเรียนอย่างเร่งรีบเพราะช่วงนี้อากาศมันเย็นทำให้นอนยาวทีเดียว ไม่ว่าจะรีบไปเรียนเร็วกว่าเดิมแค่ไหนแต่รถเมย์สายนี้ก็ยังคงแช่และวิ่งช้าอยู่เหมือนเดิม
ตึก...ตึก...ตึก ฉันวิ่งเข้าไปในโรงเรียนแต่ก็ถูกกักที่หน้าประตูตามเคย
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...."
ต้องมายืนร้องเพลงชาติตรงนี้เป็นรายการประจำจนทำให้วันนี้อาจารย์เรียกไปพบที่ห้องปกครองเรื่องการมาสาย อาจารย์มีหนังสือเชิญผู้ปกครองมาด้วย
"นี่แววดาว ครูถามจริง ๆ เถอะเธอเป็นโรคอะไรต้องมาสายตลอดเลย"
"หนู...หนู...รถมันแช่ค่ะ"
"ก็หัดมาเช้า ๆ สิยะ...นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเลยนะ...ใช้ไม่ได้!!!"
ฉันนะอยากจะเถียงอาจารย์เลยว่าถึงจะมาเช้าหรือว่ามาสายก็มีค่าเท่ากันเพราะถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่าน พอผ่านมาสักคันหนึ่งมันก็แช่ซะจนน่ารำคาญ... น่าเบื่อที่สุดเลย
วันี้ฉันเดินเข้ามาในสมาคมด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว พรุ่งนี้ต้องพาผู้ปกครองไปพบอาจารย์เรื่องการมาสาย ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฉันนั่งเหม่อมองดูท้องฟ้าโดยไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดยูโด
"อยู่นี่เองดาว...วันนั้นพี่ขอโทษนะพี่เข้าใจเราผิด"
"แล้ววันนี้เป็นอะไรไปล่ะทำไมถึงไม่ไปเปลี่ยนชุด ไม่สบายหรือเปล่า"
"เปล่า"
"แล้วมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะถึงได้มานั่งซึมกระทือแบบนี้"
"อาจารย์มีหนังสือเรียกผู้ปกครองน่ะ...เรื่องมาสาย"
ฉันทำสีหน้าแบบหงอย ๆ แต่พี่ดอนก็เอามือมาขยี้หัวฉัน
"โถ่...เรื่องแค่นี้เองก็บอก ๆ ท่านไปสิท่านไม่ว่าหรอก"
"ไม่ได้หรอกเดี๋ยวแม่โกรธตายเลย แม่ยิ่งไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ...แล้วจะทำไงดีนะ...เฮ้อ...กลุ้มใจจริง ๆ เลย"
"อ๋อ...ไม่ยาก นี่ไงเรามีพ่ออยู่หลายคน อยากได้พ่อแบบไหนล่ะ แต่ต้องนัดแนะให้ดี ๆ นะไม่งั้นเกิดสับสนขึ้นมาอาจารย์จับได้ละก็...!!!"
"จริงเหรอ...แล้วใครล่ะจะมาเป็นพ่อให้"
"นั่นไง...คนที่วิ่งอยู่กลางสนามนั่นไง"
พี่ดอนชี้ไปทางพวกที่วิ่งกันอยู่ที่กลางสนาม ฉันมองเห็นอาจารย์โจวิ่งอยู่ที่กลางสนาม ฉันจึงรู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่นยูโดขึ้นมา หลังจากซ้อมเสร็จพี่ดอนจึงไปคุยกับอาจารย์โจให้เรื่องที่จะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
"สวัสดีครับ ผมผู้ปกครองของแววดาวครับ"
"อ๋อ...เหรอคะ"
อาจารย์แฉล้มหัวหน้าฝ่ายปกครองมองลอดแว่นมาดูอาจารย์โจอย่างไม่เชื่อสายตา
"คุณเป็นญาติข้างไหนคะ ถึงได้หน้าไม่เหมือนกันเลย"
"ผมเป็นพ่อของเธอ...ทำไมเหรอครับ...ดูนี่นะครับ ดวงตาถอดมาจากแม่ คิ้วได้มาจากผม จมูกนี่ครับเด่นที่สุดของผมเลย เห็นไหมโด่งขนาดนี้ รูปหน้าเหมือนผมไหม เรียวยาว แล้วดูนี่ครับไฝใต้คางเม็ดเล็ก ๆ ถอดผมมาเลย แล้วอาจารย์จะว่าผมไม่เหมือนลูกตรงไหน"
อาจารย์โจบรรยายให้อาจารย์แฉล้มฟังจนอาจารย์ทำท่าแบบน่าเชื่อถือ... จากนั้นอาจารย์แฉล้มก็พูดเรื่องการมาสายของฉัน
"ผมขออนุญาติให้ลูกมาสายเถอะครับ บ้านเราลำบากมาก ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องไปดูแลทวดที่กำลังป่วยหนัก พอตกเย็นก็ต้องไปทำงานหาเงินมาเรียน ต้องไปรับจ้างล้างจานที่ร้านอาหารจนดึกดื่น อาจารย์จะไม่สงสารเด็กตาดำ ๆ บ้างเหรอครับ ถึงผมจะเป็นทหารแต่ผมก็มีภาระหลายอย่าง ต้องส่งบ้านส่งรถ ไม่มีเงินมาให้ลูกเรียน เป็นหนี้สหกรณ์ เป็นหนี้ธนาวัตน์ โอ้โหเยอะแยะแล้วยังมีหนี้..."
"พอเถอะค่ะ...ฉันเข้าใจ เอาอย่างนี้ละกันฉันอนุญาติให้เธอมาสายได้แต่เธอต้องมาทำงานชดเชยที่ห้องพักครูตอนพักเที่ยง ครูจะให้รายได้พิเศษกับเธอ เธอจะได้ไม่ต้องไปล้างจานที่ร้านอาหารดึก ๆ ดื่น ๆ จนตาแดงอิดโรยแบบนี้ เพราะที่ร้านอาหารมันอันตราย ผู้ชงผู้ชายมันเยอะเดี๋ยวมันก็ลวนลามเอา..."
ฉันยิ้มแบบแหย ๆ แต่ก็ต้องตอบว่าค่ะ อาจารย์โจนี่สุดยอดจริง ๆ ทำให้ฉันได้สองเด้ง ทั้งการมาสายได้ แล้วยังได้เงินกินหนมฟรี ๆ อีก โอ้โห...สร้างเรื่องได้สุดยอดเลย...น่าจะเอาไปแต่งนิยายนะ ดู ๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยเลย...ทำเอาฉันงงไปหมด
"ขอบคุณนะคะอาจารย์"
ฉันเดินไปส่งอาจารย์ที่รถ อาจารย์ขยี้หัวฉันด้วยความเอ็นดู แววตาของอาจารย์ยิ้มแย้มสดใสจนฉันมีความรู้สึกเหมือว่าอาจารย์เป็นพ่อของฉันไปแล้วจริง ๆ พออาจารย์ขับรถออกไปจนลับสายตาฉันไปแล้ว ฉันจึงเดินมาเข้าชั้นเรียน
"Bonjour, Comment allez-vous?"
"Je vsis bien, merci "
ฉันกล่าวคำทักทายกับอาจารย์ที่สอนวิชาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงฝรั่งเศส อาจารย์ให้นั่งที่ได้ ฉันจึงนั่งฟังตามที่อาจารย์สอนพร้อมกับจดบันทึกอย่างขมักเขม้นจนหมดคาบ
"Retrouvons-nous un de ces jours"
อ๊อด.....เสียงออดดังขึ้น ฉันเก็บข้าวของแล้วเดินไปห้องปกครองทันที อาจารย์แฉล้มให้ฉันจัดแฟ้มเอกสารแล้วก็ซื้อข้าวให้ฉันกิน ที่จริงฉันไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องเงินเลย แต่ก็ดีนะที่จู่ ๆ ก็ประหยัดไปได้เยอะเชียว...
ฉันมีความรู้สึกว่าวันนี้โลกดูสวยงามไปซะทุกอย่าง ฉันมีความสุขเหลือเกิน ฉันออกจากห้องปกครองแล้วเดินไปเรียนต่อในคาบบ่ายที่ตึกใหม่ ฉันขึ้นลิฟท์ไม่ทันเพราะคนแน่นจึงวิ่งขึ้นบันไดไป
"หกชั้น ตายแน่ ๆ เลย"
แต่ฉันกลับวิ่งขึ้นไปโดยไม่เหนื่อยเลย อาจจะเป็นเพราะฉันฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี พอฉันขึ้นมาถึงห้อง ฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล็คเชอร์และเอาหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ฉันนั่งอ่านหนังสือได้แป๊บเดียว จู่ ๆ ฉันก็มีความรู้สึกว่าห้องมันมืดไปหมด จึงเงยหน้าขึ้นมาฉันเห็นแก๊ง 7 ห้าวมามุงดูฉันคล้ายกับจะเอาเรื่อง
"ไง...ไปทำอะไรมาถึงได้โดนทำทันบนที่ห้องปกครอง"
"เปล่านี่..."
"อย่ามาแก้ตัวเลยดีกว่า บอกมาซะดี ๆ ว่าไปทำอะไรมา"
"ฉันแค่มาสายเท่านั้นแหละ"
"ไม่จริงมั้ง...เหมี่ยวมันบอกว่าเธอมีเรื่องชู้สาวกับผัวมันอาจารย์ก็เลยเรียกไปทำทันบน สรุปแล้วเธอจะเอาไงกันแน่ จะเลิกยุ่งกับพี่นัทอะไรนั่นหรือยัง"
"แล้วมันกงการอะไรของเธอด้วย ถึงได้มาแส่เรื่องนี้"
"มันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แค่หมั่นไส้...เหมี่ยวมันน่าสงสารมันมาอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยพวกเรามันพลเมืองดีก็เลยเข้ามายุ่ง มีไรปะ"
"เหรอ แล้วทำไมไม่ถามเหมี่ยวล่ะว่าแย่งแฟนเพื่อนเนี่ยสนุกไหม...แล้วไอ้ที่บอกว่าท้องน่ะมันผ่านมา 4 เดือนแล้วทำไมท้องยังไม่ป่องซะที คนท้องบ้าอะไรไปเล่นยูโดทุกวัน..."
แก๊ง 7 ห้าวอึ้งแล้วก็หันไปถามเหมี่ยวที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเพื่อดูต้นทาง
"ว่าไงเหมี่ยว...!!!"
"อย่าไปเชื่อมัน มันโกหก...ฉันไปเฝ้าพี่นัทไม่ได้ไปเล่นยูโด"
"เหรอ แต่ว่าไม่จริงมั้ง พี่นัทเขาไปแข่งยูโดที่ออสเตรเลียเธอจะมาบอกว่าไปเฝ้าพี่เขาได้ไง"
"อย่า...อย่าไปเชื่อมันนะ"
พวกแก๊ง 7 ห้าวนิ่งเงียบแล้วก็หันไปซุบซิบกันสักพักแล้วก็หันมาทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องฉันแต่ก็เดินไปเฉย ๆ ฉันนั่งลงอ่านหนังสือต่อจนอาจารย์มา...ฉันนั่งเรียนวิชาภาษาไทยในชุมชนจนหมดคาบ อาจารย์ให้ทำรายงานมาส่งเรื่องการปกครองของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ฉันจึงเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนแล้วเตรียมออกจากห้อง แต่ฉันไม่สามารถที่จะออกจากห้องได้
ปัง...ปัง...ปัง ประตูทั้งสามบานถูกปิด แก๊ง 7 ห้าวกับเหมี่ยวยืนล้อมฉันไว้ที่โต๊ะ โดยมีอ้อมเป็นหัวหน้าคอยสั่งการ
"หมั่นไส้ไหมพวกเรา...!!!"
"เออ...ว่ะ กูหมั่นไส้มานานแล้วขอตบสั่งสอนสักทีเถอะว่ะ"
"เดี๋ยวก่อนต้อม ฉันขอเปิดโรงก่อนโว้ย...!!!"
อ้อมเข้ามาทำท่าจะตบ ฉันหลบได้ทันจึงเดินออกไปยืนที่หน้าห้อง
"อะไรกันเนี่ย...!!!"
"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ แค่หมั่นไส้เด็กดี...ทำเป็นตั้งใจเรียน ถุ้ย..."
ฉันรู้สึกทนไม่ได้ เลือดมันสูบฉีดทั่วร่างไปหมด รู้สึกว่ามันไม่แฟสำหรับฉันเลย ฉันทำอะไรผิดพวกนี้ถึงเข้ามาหมายจะทำร้ายฉัน...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เมื่ออ้อมเข้ามาตบฉัน ฉันจึงคว้ามือและหักแขนทันทีจากนั้นก็ผลักออกไปให้พวกอีกหกคนรับ
"มึงทำเพื่อนกูเหรอ"
"ฉันไม่โง่ให้พวกแกตบฟรี ๆ หรอก"
ต้อมวิ่งเข้ามาใส่ฉันจึงต่อยที่ลิ้นปี่แล้วก็ปัดเท้าจนล้ม ตามมาด้วยเก๋วิ่งเข้ามาข้างหลัง ฉันคว้าคอเสื้อได้จึงทุ่มด้วยท่าโคชิ-กูโรม่าทันที ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างเต็มที่
"กูเอง...มึงใช้ยูโดเหรอ"
"ช่วยไม่ได้ พวกนี้ทำร้ายฉันก่อน"
เหมี่ยวเข้ามาประชิดตัวแล้วจิกผมฉันตบทันที ฉันโดนไปหนึ่งที ด้วยความแค้นฉันจึงบิดตัวกลับเข้ามาหักแขนเหมี่ยวทันที จากนั้นฉันก็ตบคืนอีกสามทีแล้วก็ผลักให้ล้มลงไปกองกัน พวกที่เหลือเข้ามาพร้อม ๆ กันจับแขนฉันรวบไว้แล้วก็เข้ามาจะต่อยท้อง แต่ฉันเหนี่ยวแขนแนนกับฟ้าแล้วถีบทันทีทำให้ฝ้ายจุกและล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นฉันก็มุดตัวลอดสองคนนั้นแล้วก็ผลักจนหัวโขกกัน สาเป็นคนสุดท้ายที่ค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็เข้ามาอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ทำท่าเหมือนจะมาทำร้ายฉัน
"ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะดาว...อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยฉันไหว้ละ"
สาคุกเข่าแล้วก็ไหว้ฉัน ฉันทำเมินไม่สนใจจากนั้นจึงหยิบข้าวของออกจากห้องไป
ฉันมุ่งตรงไปที่สมาคมอย่างไม่รอช้าแล้วก็เล่าเรื่องให้พี่ดอนฟัง พี่ดอนโกรธมากถึงกับบอกว่าจะไปจัดการพวกนั้น แต่ฉันห้ามไว้เพราะเป็นผู้ชายจะไปทำร้ายผู้หญิงได้ยังไงกันมันไม่ถูก วันนั้นฉันซ้อมยูโดอย่างมีความสุขเพราะฉันมีความรู้สึกว่าแฟนของฉันสนใจฉันมากขึ้น ดูแลฉันมากขึ้นกว่าเก่า อาจจะเป็นเพราะหมดห่วงเรื่องพี่นัทแล้วก็ได้ เพราะช่วงนี้พี่นัทไปแข่งยูโดชิงแช้มอาเซี่ยนที่ออสเตรเลีย หมู่นี้พี่ดอนจึงไม่ค่อยเครียดมากนัก...
อีก 3 วันจะถึงวันแข่งคัดสายแล้ว ฉันรู้สึกตื่นเต้นจังเลย ฉันเร่งซ้อมอย่างเต็มที่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ...ตอนนี้ฉันหมดปัญหาเรื่องมาเฟียในห้องแล้ว ฉันมีความรู้สึกเป็นสุขที่สุดในโลกทีเดียว
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
แววดาวจะเป็นอย่างไร...
22 กรกฎาคม 2547 13:08 น.
สุชาดา โมรา
บรืน..............
"เฮ้อ....!กลับบ้านได้ซะทีนะลูก..."
จิรมลเอาข้าวของไปเก็บในบ้านและพยุงพ่อให้นั่งตรงโซฟา
ตู๊ด ตู๊ด............ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
"ฮัลโหล จิรมลพูดค่ะ"
"จิรมล...เราได้ที่สองนะ เธออยู่ไหน"
"อยู่บ้านแล้ว...ใครเป็นคนไปรับรางวัลล่ะ"
"ฉันเอง"
"จริงเหรอณัฐ...!!!ได้เงินเท่าไรล่ะ..." จิรมลพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมาก ๆ
"แหม...งกจริง ๆ ได้หมื่นนึงจ่ะ" เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วจิรมลถึงกลับปลื้มใจจนแทบจะลอยทีเดียว
ขณะที่จิรมลกำลังฝันหวานอยู่นั้นพ่อก็เรียกให้ไปหา
"มล ๆ มานี่หน่อยลูกไปตามน้องกับแม่มาหน่อย...พ่อรู้สึกอาการแย่ ๆ ละ"
"ค่ะ ๆ " จิรมลเดินไปตามแม่และน้องมานั่งที่โซฟา
"มีอะไรหรือคะคุณ" แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
"เอาเรื่องของมลก่อนนะ...พ่อนั่งคิดนอนคิดมาตลอดทางในที่สุดพ่อก็ตัดสินใจไม่อยากดับอนาคตลูก พ่อตกลงจะให้ลูกไปเรียนที่บริษัทเดดิเอกโปรโมชั่น"
"....คุณพ่อให้เราไปเรียนไม่น่าเชื่อเลย" จิรมลนึก "แต่คุณพ่อคะคุณพ่อรู้ได้ยังไงว่า..." จิรมลถามขึ้นอย่างสงสัย
"เขามาติดต่อพ่อไว้แล้ว ตอนที่เราลงไปกินข้าวนั่นแหละ ก่อนหน้าที่ลูกมาถึงได้แป๊บเดียวเขาก็ไป"
"แล้วที่คุณเรียกฉันมา...เอ่อ..."
"อืม...พูดแล้วก็ดีเป็นการเตือนผมว่าต้องพูดอะไร...ผมอยากให้คุณไปดูแลกิจการที่ห้างของเรา อยู่ช่วยผมทำงานบ้าง เพราะผมรู้ตัวเลยว่าเวลาของผมมันเหลือน้อยเต็มที ถ้าคุณไม่ไปดูแลแล้วใครจะทำ...หากผมตายไปครอบครัวไม่ต้องแย่จนขายห้างขายบริษัทเลยเหรอ"
"อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ถ้าเป็นความต้องการของคุณฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว"
"ผมไม่ได้ว่าแบบนั้นเพียงแต่ผมอยากให้คุณเป็นเสาหลักของบ้านอีกคน ผมไม่อยากให้คุณมัวทำตัวอยู่กับบ้านเฉย ๆ แบบนี้ คุณเรียนจบก็สูงน่าจะดูแลงานได้"
"ค่ะ" แม่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะประชดนิด ๆ
"เมย์...ลูกเรียนแย่มากเลยนะ หัดเอาอย่างพี่มลบ้างสิลูก พี่เขาเก่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรืองานอะไรพี่เขาก็ทำได้...พ่อขอร้องนะลูกขยัน ๆ หน่อยนะขอให้พ่อได้ชื่นใจกับการขยันของลูกสักนิดก็ยังดี เทอมหน้าก็จะขึ้น ป.4 แล้วนะลูก" น้องเมย์ถึงกับทำหน้าซึมทีเดียว
หลังจากนั้นได้ 10 วันโรงเรียนปิดเทอมทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้ายกเว้นจิรมล คุณพ่อมีอาการทรุดลงแต่ก็ไม่บอกใครในบ้าน
อ๊อด.....อ๊อด...มีชายสองคนมากดออดหน้าบ้าน คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน แต่อีกคนหนึ่งคือคนที่จิรมลเจอที่โรงพยาบาล ทุกคนในบ้านมาคุยกับชายสองคนนั้นที่ห้องลับแขก
"ผมจะทำอย่างไรดีให้ยายมลไปเรียนที่บริษัทของคุณได้ ช่วงนี้แกค่อนข้างติดเพื่อน ผมก็อาการไม่ค่อยดีนักผมจะไปรักษาตัวที่อเมริกา"
"คุณก็ไปวันนี้เลยสิ....มันจะได้เข้าแผนเรา ผมต้องการให้คุณจิรมลไปเรียนให้ได้ ไม่งั้นหุ้นส่วนที่บริษัทเราเทไปผมจะเอาคืน"
คุณพ่อนัดแนะกับชายสองคนนั้นที่มาจากบริษัทเดดิเอกโปรโมชั่น
"มลกลับมาแล้วเหรอลูก...มีคนมาหาน่ะ"
"มาหาหนูเหรอคะ...เอ...แล้วคุณพ่อล่ะคะ"
"ไปอเมริกา...คุณพ่อป่วยหนักมาก ห้างเราจะถูกบริษัทเดย์ดิเอกโปรโมชั่นเทคโอเวอร์แล้วละเพราะแม่ของเขาเป็นเจ้าของบริษัทแม่ของห้างที่พ่อเราไปลงหุ้นทำ แม่ผิดเองที่ไม่ไปช่วยบริหารแต่แรก...มลลูกต้องตกลงกับเขานะ เขาต้องการให้ลูกไปจริง ๆ เขายื่นคำขาดว่าถ้าลูกไม่ไปเขาจะทำแบบที่พูดจริง ๆ" แม่ทำท่าทางเศร้ามากจนเหมือนจริง
จิรมลนั่งที่โซฟาช้า ๆ แล้วก็ไหว้ชายสองคนนั้น
"คือคุณพ่อของหนูบินไปรักษาตัวที่อเมริกา พวกเราเป็นตัวแทนมาจากบริษัท เกตติ้ง บอดี้กรุฟ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของห้างสรรพสินค้าที่พ่อหนูทำอยู่ พ่อหนูให้ทุนไปเรียนต่อที่บริษัทเดย์ดิเอกโปรโมชั่น ท่านบอกให้หนูไปให้ได้นะเพราะถ้าไม่ไปบริษัทที่ผมอยู่จะจัดการขั้นเด็ดขาด..."
"คุณพ่ออาการทรุดเหรอคะ...คุณพ่อเป็นอะไรมากไหมคะ"
"อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่ท่านบอกให้ผมเป็นทนายส่วนบุคคลจัดสรรค์เงินให้คุณเรียนทุก ๆ สิ้นเดือน"
จิรมลรู้สึกคับแค้นใจมากที่ต้องถูกบีบบังคับให้ไป แต่ใจจริงลึก ๆ แล้วจิรมลก็อยากจะไปแต่ติดที่ว่าจิรมลมีเพื่อนที่สนิทกันจนแยกจากกันไม่ได้ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเอ็นทรานด้วยถ้าจิรมลต้องไปก็หมายความว่าเธอจะไม่ได้สอบ เธอจะต้องหยุดเรียนไปหนึ่งไป เธอจึงรู้สึกรับไม่ได้แล้ววิ่งออกจากบ้านไป...
ตึก...ตึก...ตึก...เธอวิ่งออกมาจนเหนื่อยและมาหยุดอยู่ตรงสวนสาธารณะ อากาศที่นี่โปร่งและเงียบสงบทำให้จิรมลเริ่มใจเย็นลงบ้าง เธอค่อย ๆ เดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อนแล้วก็เหม่อมองดูผู้คนมากมายที่กำลังมีความสุขกับครอบครัวด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น เธอคิดอยู่เพียงว่าถ้าวันนั้นพ่อไม่ไปดูเธอแสดงพ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้
"อยู่นี่เอง..." ชายคนนั้นตามเธอมา เธอสงสัยมากเลยว่าชายคนนั้นตามมาทำไม
"ผมขอคุยด้วยได้ไหม...คุณรู้ไหมว่าตอนที่คุณแสดงเรื่องโรมิโอแอนด์จูเลียตน่ะมีชายคนนึงเขาประทับใจในตัวคุณมาก เขาชื่ออาสาฬห์ ประชุมเดชา เป็นลูกชายของเจ้าของบริษัท เกตติ้ง บอดี้ กรุฟ เขาอยากให้คุณไปเรียนการแสดงกับเขานะ เขาตั้งใจไว้ว่าเขาจะปั้นคุณให้เป็นดาวเจิดจรัสอยู่ในวงการบันเทิง คุณจึงควรไปเรียนนะ เออ...ก่อนที่พ่อคุณจะไปท่านบอกกับผมว่า ฝากคุณด้วยนะ ฉะนั้นผมจึงมีหน้าที่ต้องปกป้องและดูแลคุณรวมทั้งครอบครัวของคุณเป็นอย่างดี..."
"แต่...ฉันเป็นคนทำให้พ่อป่วย"
"ไม่เอาน่า...ท่านป่วยมานานแล้ว ทุกคนก็รู้ดี ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกนะ...คุณเป็นคนมีพรสวรรค์เมื่อโอกาสมาถึงคุณควรที่จะไขว่คว้ามันเอาไว้...อีกสองวันผมจะมารับนะ"
บรื๋น..............เอี๊ยด..........!!!! เสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน....ปรี้น.......ปรี้น........ปรี้น.......
"เอ่อ...ยายมลยังหลับอยู่เลยค่ะ"
"ครับ" ชายคนนั้นพยักหน้าแต่ก็เดินขึ้นไปที่บันไดทันที
"คุณคะขึ้นไม่ได้นะคะ...คุณ....!!!!" แม่ทำท่าตกใจมากทีเดียว
แอ๊ด................เสียงประตูห้องของจิรมลเปิดออกก่อนที่ชายคนนั้นจะบุกไปถึงห้อง
"เอ่อ......คุณ.......แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ เชิญครับ..." ชายคนนั้นทำท่านอบน้อมอย่างน่าแปลก ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกทำท่าขึงขังเตรียมตัวจะบุกขึ้นไป ทำให้แม่ได้แต่ยืนมอง...
"แม่...หนูไปนะคะ" จิรมลพูดขึ้นก่อนที่จะขึ้นรถไป
บรื๋น..............พอรถเคลื่อนตัวออกจากบ้านจิรมลก้ทำท่ารู้สึกหงอย ๆ เพราะคิดถึงบ้านคิดถึงเพื่อน รวมทั้งต้องมานั่งกับคนแปลกหน้าจึงเหงาและไม่รู้จะคุยกับใครดี
"ผมชื่อพลนะ...คุณมล" ชายคนนั้นแนะนำตัวกับเธอแต่เธอก็ไม่พูดอะไรตอบจนกระทั่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาจึงพูดอีกครั้ง
"นี่ไงครับโรงเรียนที่คุณจะต้องเรียน..."
"แวะดูก่อนไม่ได้เหรอคะ"
"คุณเดย์รออยู่ครับต้องไปพบท่านก่อน"
"คุณเดย์เหรอ ใครกัน..." จิรมลทำท่าสงสัย
"ก็คุณอาสาฬห์นั่นแหละครับ"
".....จริงเหรอ เขาชื่อเดย์เหรอ งั้นเขาคงเอาชื่อเล่นมาตั้งชื่อบริษัทละสิ แล้วคำว่าเอกล่ะ หรือว่าเขาจะมีพี่ชายหรือน้องชายอีกคนนะ..." จิรมลนั่งนึกสงสัยจนกระทั่งรถมาจอดถึงหน้าบริษัท
"....โอ้โห...! บริษัทใหญ่จริง ๆ ผู้คนก็เข้า ๆ ออก ๆ เยอะแยะไปหมด..." จิรมลยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าบริษัท
ความต่อไปจะเป็นเช่นไร จิรมลจะทนอยู่กับที่นี่ได้นานเพียงใด โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอด