30 กรกฎาคม 2547 09:04 น.
สุชาดา โมรา
บุกเดี่ยวมาก็หลายครั้งหลายหนคราวนี้ขอบุกเป็นทีมก็แล้วกัน... ฉันยังมีความฝันอีกหลาย ๆ อย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จเพื่อจะได้ชนะใจตนเองเสียที ฉันอยากที่จะไปคว้าดวงดาวที่กำลังรอฉันอยู่บนนั้น ถ้าหากว่าแม็ทนี้ฉันมีชัย ฉันจะได้ก้าวเข้าไปสู่การแข่งขันระดับใหญ่ ๆ คราวนี้ละฉันจะสร้างชื่อเสียงให้ทั่วประเทศได้รับรู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแค่เศษกระดูกอ่อนที่จะถูกพวกรุ่นใหญ่ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามเมื่อไรก็ได้... ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องทำได้
ทุก ๆ เย็นฉันรีบไปสมาคมเพื่อซ้อมยูโดด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่วันนี้เป็นวันที่ฉันตั้งใจเป็นพิเศษ ฉันเข้ากลุ่มกับพี่ขวัญ และพี่โบ ฉันรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดี แต่เสียอย่างเดียวคือเราต้องไปแข่งระดับรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักเพราะน้ำหนักแต่ละคนไม่เท่ากันเลย ฉันจึงต้องฟิตร่างกายเป็นพิเศษ ฉันจะอดทนและตั้งใจเพื่องานนี้โดยเฉพาะ...
"เอี้ย....!!!"
เราหัดทำเสียงข่งขู่คู่ต่อสู้ให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น นับว่าเสียงพวกเรานี่ใช้ได้ทีเดียว ดังกระหึ่มห้องไปหมด ทำให้เรารู้สึกว่ามีกำลังใจขึ้นเยอะ เราแรนโดรี่กัน หาจังหวะทุ่ม หาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ และก็หาเทคนิคใหม่ ๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะคิดท่าไม้ตายออกมา แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันมันก็แค่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นได้ไม่ถึง 7 เดือน ก็เลยไม่มีหัวพลิกแพลงอะไรใหม่ ๆ ออกมาใช้
หลังจากเลิกซ้อมแล้วอาจารย์ดนัย อาจารย์โจ อาจารย์ยอร์ท อาจารย์ไก่ อาจารย์เขียง อาจารย์ปุ๋ย และอาจารย์นิพนธ์ เรียกฉันไปพบ
"ดาว...ครูว่าเธอยังขาดทักษะอยู่มากทีเดียว รวมทั้งเทคนิกพิเศษด้วยอืม...ครูปรึกษากันแล้วพวกครูจะฝึกซ้อมให้เธอเป็นพิเศษเพราะเธอเป็นคนหัวเร็ว มองแป๊บเดี๋ยวก็ทำได้"
อาจารย์ดนัยพูดขึ้นท่ามกลางผู้คนมากมายในเบาะยูโด อาจารย์ทั้ง 7 ท่านจึงขึ้นไปเล่น
แรนโดรี่ให้ดู ฉันเองก็นั่งอยู่ที่ขอบเบาะสีแดง คู่แรกเป็นอาจารย์โจกับอาจารย์ยอร์ท พอฉันมองฉันก็เริ่มจับจุดได้ หลังจากนั้นอาจารย์ดนัยก็ให้ฉันขึ้นไปเล่นกับอาจารย์โจ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านั่นเขาเรียกว่าท่าอะไรแต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันทำได้
ฉันเดินหาจังหวะของอาจารย์โจ พอจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออาจารย์ก็หลบได้เร็วทำให้ฉันต้องเร่งความเร็วมากขึ้น ภายในระยะเวลา 2 วินาทีฉันก็สามารถจับคอเสื้อของอาจารย์ได้ แต่ว่าเสียทีโดนอาจารย์ทุ่มตลอด 5 ครั้ง เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่ากระดูกแขวนคอ ระดับทีมชาติอย่างอาจารย์โจแล้วใครจะหาญไปสู้ได้ ถ้าทุ่มได้สักครั้งก็คงเป็นบุญของคน ๆ นั้นแล้วหละ....
"อิปโป้ง....!!!!"
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ในท่าที่อาจารย์ยอร์ทได้ทำให้ดูเมื่อกี้นี้ โอ้...ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย...ฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ฉันโค้งคำนับอาจารย์โจ แล้วก็หันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์ยอร์ทที่นั่งอยู่ที่ขอบเบาะแดง ทุกคนในเบาะถึงกับปรบมือกราวเลยทีเดียว
"นี่เป็นท่าที่ครูคิดขึ้นเองเรียกว่าท่ากุซุซิ-อุคิวาซายอร์ทดัมดะตะ แปลว่า การทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวแล้วใช้จังหวะเผลอเข้าประชิดพร้อมกับใช้สีข้างทุ่มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว"
เสียงปรบมือในเบาะดังแบบไม่หยุด ฉันมีความรู้สึกว่าอาจารย์แต่ละคนนี่เก่งสมกับเป็นทีมชาติจริง ๆ... อาจารย์ดนัยเรียกอาจารย์ยอร์ทและอาจารย์โจขึ้นไปอีกครั้งเพื่อเล่นแรนโดรี่ คราวนี้เป็นทีของอาจารย์โจบ้าง ฉันตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างเบาะแดงด้วยความสนใจ ฉันดูจังหวะในการทุ่มและการเข้าประชิดคู่ต่อสู้ จนกระทั่งฉันมองเห็นในจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์โจเห็นจุดอ่อนอาจารย์ยอร์ทจากนั้นฉันก็ตั้งใจดูลีลาจนกระทั่งอาจารย์โจทุ่มอาจารย์ยอร์ทได้
"มาแววดาว...ขึ้นมา"
ฉันเดินไปโค้งคำนับอาจารย์ยอร์ทแล้วก็เข้าประชิดตัวทันที ฉันพยายามกระชากคอเสื้อของอาจารย์แต่ก็โดนหักแขนจนรู้สึกว่าเจ็บ... ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกครั้งแต่คราวนี้ฉันใช้มืออีกข้างป้องกันแล้วสืบเท้าปัดตาตุ่มจนอาจารย์ลอย แต่อาจารย์มีเทคนิกสูงสามารถพลิกตัวกลับมาได้จากนั้นฉันจึงใช้ท่าที่อาจารย์โจทำให้ดูเมื่อกี้แล้วเข้าไปทุ่มอาจารย์โดยท่าต่อเนื่อง
"อิปโป้ง....!!!"
ฉันก็ไม่คิดไม่ฝันอีกเหมือนกันว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ทั้ง ๆ ที่ฉันพ่ายให้อาจารย์มาโดยตลอด นี่ถ้าไม่ได้อาจารย์ยอร์ทแนะแนวทางนะฉันคงไม่รู้หรอกว่าจุดอ่อนของอาจารย์โจอยู่ตรงไหน ที่แท้จังหวะเผลอนี่เอง คราวหน้าเราต้องทำให้อาจารย์เสียหลักแล้วตามไปทุ่มอย่างต่อเนื่องทันทีเพื่อไม่ให้ไหวตัวทันทั้ง ๆ นี่ก็เป็นเพียงท่าง่าย ๆที่มีการผสมผสานและการทำให้เสียการทรงตัว
เสียงปรบมือจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่อยู่ข้างล่างเบาะดังอย่างกึกก้องไปหมด ทุกคนไม่มีใครยอมกลับบ้าน แต่ทุกคนมานั่งดูและให้กำลังใจฉัน...
ฉันคำนับอาจารย์ยอร์ทและหันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์โจ
"ท่านี้ครูผสมผสานระหว่างอาราอิ-โกชิกับท่าโอโกชิ-กูโรม่า ครูเรียกมันว่าท่าฮาซูมิอาราอิ-กูโรม่า จำไว้ให้ดี ๆ นะเพราะท่านี้จะเป็นจังหวะที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่แกร่งมาก ๆ และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเสียการทรงตัวเท่านั้น"
ทุกคนปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ดนัยให้อาจารย์ไก่กับอาจารย์เขียงขึ้นไปแรนโดรี่กัน ฉันอาศัยความจำจำท่าที่อาจารย์สอนและมาใช้กับอาจารย์จนสำเร็จ อาจารย์คู่ต่อมาคืออาจารย์นิพนธ์และอาจารย์ปุ๋ย ฉันก็สามารถเอาสิ่งที่อาจารย์สอนมาใช้ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่หนักใจก็คือการที่ต้องขึ้นไปแรนโดรี่กับอาจารย์ดนัยโดยไม่มีใครชี้แนวทางก่อน มันทำให้ฉันรู้สึกว่ายากจริง ๆ ฉันทำยังไงก็ไม่ผ่านด่านนี้ได้เลยจนรู้สึกว่าเหนื่อยมาก อาจารย์จึงพูดขึ้นประโยคนึง
"เธอเป็นแค่เศษหิน ครูเป็นภูผา"
ประโยคนี้มันทำให้ฉันรู้ทันทีว่าการที่แกร่งกับแกร่งมาเจอกันมันก็ไม่สามารถที่จะหักล้างกันได้ ฉันจึงใช้จังหวะของอาจารย์หลาย ๆ คนมาช่วย จากนั้นก็หาเทคนิกพิเศษของตัวเองและเอาท่าที่ใช้ความนุ่มนวลเข้าโจมตี ฉันจึงนำท่าของไทเก๊กมาใช้ผสมผสานกันและก็คิดท่า ๆ หนึ่งออกมาใช้ท่านี้เรียกว่า ไทเดบะ-ดุซุชิการิ และท่านี้ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฉันเอง...
เช้าวันใหม่ที่เต็มไปด้วยความสดใส ฉันรู้สึกว่าร่างกายกระปี้กระเป่าพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันนั่งรถของ ร.พ.ศ 2 มาจนถึง ม.รามคำแหง หัวหมาก ฉันรู้สึกว่าที่นี่ใหญ่โตสวยงาม พอมาถึงฉันก็ไปส่งใบสมัครและชั่งน้ำหนักดูว่าเราน้ำหนักรวมกันเท่าไร แต่ที่จริงพวกเราเล่นรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องชั่งก็ได้ แต่ฉันอยากจะรู้เพื่อจะได้คำนวณว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขนาดไหน ฉันรู้สึกว่าเมื่อ 2 วันก่อนอาจารย์ทุกคนมาช่วยสร้างฝันและให้กำลังใจฉันจนฉันมั่นใจ ไม่กลัวและพร้อมที่จะสู้เพื่อชิงถ้วยพระราชทานมาให้ได้ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและสมาคมฯ
เมื่อจับสลากฉันก็ได้รู้ว่ารุ่นไม่จำกัดน้ำหนักทั้งหมดมี 11 ทีม ทีมของฉันจับได้แม็ทที่ 5 ถ้าเกิดว่าแข่งชนะก็จะเหลืออีก 3 ทีมแล้วก็จะต้องไปแข่งอีก 2 ทีมแล้วถึงจะได้ถ้วยฯ ฉันก็ฝันไว้อย่างนั้นว่าฉันจะต้องได้มาสักเหรียญก็ยังดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถ้วยไปครองก็ตาม... ที่จริงเมื่อฉันเห็นหุ่นคู่ต่อสู้แล้วมันทำให้ใจหวิว ๆ เหมือนกัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อฉันก้าวมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปจะถอยหลังไม่ได้...
ฉันมองดูหลาย ๆ ทีมแข่งกันจนเย็น ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาเลย ดู ๆ แล้วน่ากลัวชะมัด... และแล้วก็มาถึงทีมของฉันจนได้ ฉันรู้สึกจุก ๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งกินสปาเก็ตตี้มา รู้สึกว่าท้องจะอืดเสียด้วย... เมื่อมือหนึ่งของทีมคือพี่ขวัญสายน้ำตาลปลายดำแข่ง ทั้งคู่ดูสูสีกันมากเพราะพวกเขาสายเดียวกัน ลีลาทั้งคู่ถึงกับทำให้หลาย ๆ คนจับจ้อง นักข่าวก็ถ่ายภาพอย่างไม่หยุด ฉันรู้ว่าแสงแฟตมีผลต่อประสาทตาของพี่ขวัญแต่พี่ขวัญก็ยังคงตั้งสติใช้สมาธิจนสามารถทุ่มคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าถึง 15 กิโลได้สำเร็จ
......เฮ........!!!! เสียงผู้คนที่มาเชียรดังสนั่นหอประชุม ม.รามคำแหง 1 ฉันรู้สึกว่ากำลังใจเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง มือที่ 2 รองจากพี่ขวัญก็คือพี่โบ พี่โบเป็นนักยูโดระดับอาเชียระดับสายน้ำตาลปลายดำเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพี่โบต้องทำได้... พี่โบใช้เทคนิกชั้นสูงเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่เป็นสายดำแล้วก็ถูกคู่ต่อสู้ทุ่มได้พลายในพลิบตาด้วยท่ากาต้า ซึ่งท่านี้ถ้าเล่นไม่ดีถึงกับตายได้เชียวนะ แต่โชคดีที่อาจารย์สอนการพลิกตัวและตบเบาะแน่นจึงทำให้พี่โบพลิกตัวทันและไม่ถูกอิปโป้ง การแข่งขันนั้นดุเดือดมากขึ้น ฝ่ายตรงข้ามคำรามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเกร็ง ๆ กลัว ๆ แต่ก็ยังคิดว่าจะสู้ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ความมั่นใจเริ่มลดลงแล้วเพราะคนสุดท้ายก็เป็นสายดำเช่นกัน ฉันหวั่นใจเหลือเกิน แต่ก็คิดถึงอาจารย์ที่สอนจนฉันมีแรงและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
"อิปโป้ง......!!!!"
เผลอแป๊บเดียวพี่โบก็ชนะแล้ว คู่ต่อไปเป็นฉัน ฉันออกไปยืนหลังเส้นแดง คาดสายแดงทับสายฟ้า จากนั้นก็คำนับและก็ก้าวข้ามสายแดงที่ขีดเส้นไป
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันได้ยินเสียงคำรามของคู่ต่อสู้ถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ยังเดินต่อไปเพื่อที่จะไปจับคอเสื้อ ด้วยความที่สายข้างหน้าเป็นสายดำ เขาทั้งเก่งและแกร่ง ฉันพยายามจับคอเสื้อแต่ก็ทำไม่ได้ ในตอนนั้นฉันนึกถึงอาจารย์ดนัยและอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ฉันจึงนำท่าที่ฉันเรียนมาใช้รวมทั้งท่าของฉันด้วย ฉันทั้งเกี่ยว ปัด ทุ่มจนคู่ต่อสู้เสียการทรงตัว จากนั้นฉันจึงเข้าไปซ้ำโดยที่คู่ต่อสู้ไม่ทันจะตั้งตัวทันด้วยท่าที่ฉันคิดขึ้นเองคือท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิ
"อิปโป้ง......!!!!"
เสียงปรบมือและเสียงเฮ...ดังกึกก้อง ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินมาที่ขอบเบาะแดงจากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ขอบเส้นแดงและคำนับพร้อม ๆ กันเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก ผู้ชายคนที่ฉันทุ่มเมื่อกี้เดินมาถามฉัน
"ท่าเมื่อกี้ไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอ..."
"ท่านั้นฉันคิดขึ้นมาเอง"
เขาถึงกับตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าเด็กอย่างฉันจะคิดท่าขึ้นมาเองได้ เขาจึงขอแลกที่อยู่กับฉัน และฉันก็ได้รู้ว่าเขาชื่ออ้น อยู่มหิดลแต่มาร่วมทีมกับทีมพระจอมเกล้าฯ เขาสัญญาว่าจะอยู่เชียรฉัน... ที่จริงเมื่อกี้จุกมาก ๆ เพราะเพิ่งกินอิ่ม ๆ แต่เพราะความจุกเนี่ยแหละถึงทำให้ฉันรีบ ๆ แข่งเพื่อที่จะได้พักท้อง พวกเราจับสลากกันอีกครั้ง ฉันได้พักแค่อึดใจก็ต้องไปแข่งต่อหลังจากที่เหลือเพียง 2 ทีมสุดท้าย ฉันรู้ว่ายังไง ๆ ฉันก็ต้องได้ถ้วยใดถ้วยหนึ่งไปครองแน่ ๆ แต่ฉันก็จะแสดงวิญญาณของนักยูโดที่ดีออกมาจนได้ละ
พี่ขวัญมือ 1 ของทีมเริ่มแข่ง คราวนี้คู่ต่อสู้แกร่งกว่าเดิม ต้องใช้สมาธิและเทคนิกส่วนตัวเข้าช่วย จนกระทั่งชนะได้อย่างไม่คาดฝันทั้ง ๆ ที่คู่ต่อสู้เป็นถึงสายดำ ต่อมามือ 2 พี่โบแข่ง คู่ต่อสู้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันเพราะเขาเป็นสายดำ พี่โบดูท่าทางเอาจริงเอาจังมาก กรรมการก็ดูท่าทางจะลุ้นจนสุดตัวทีเดียว ฉันเหลือบไปมองคนที่จะแข่งกับฉันที่ขอบเบาะแดง ฉันรู้สึกว่าฉันโล่งใจที่เห็นคู่ต่อสู้เป็นผู้หญิงและใช้สายระดับเดียวกับฉัน ฉันหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นพี่โบยังคงแข้าท่าทุ่มคู่ต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละ พี่โบร้องคำรามดังลั่นจนคู่ต่อสู้สะดุ้ง ฉันคิดว่าเขาคงหนวกหูเลยสะดุ้งนะ แต่นั่นเป็นความคิดในตอนนั้น พี่โบจัดการงัดมือออกมาจากที่เขานั่งขดตัวล็อกตัวเองเพื่อป้องกันการถูกล็อก พี่โบจึงใช้ขาหนีบที่รักแร้และงัดมือออกมาหักแขนจนฝ่ายนั้นต้องตบเบาะ 3 ทีเพื่อยอมแพ้
"วาซาริ-วาซาเตะ-อิปโป้ง....!!!!"
เสียงปรบมือดังกันเกรียวกราว จากนั้นฉันจึงลุกขึ้นคำนับคู่ต่อสู้และเข้าใส่ทันที ดู ๆ แล้วคู่ต่อสู้ไม่เท่าไร แต่เทคนิกดีเหลือเกิน ฉันเข้าท่าทุ่มด้วยท่าไท-โอ-โทชิ แล้วปล่อยให้เขาลุกขึ้น ฉันรู้ตัวว่าฉันได้แค่วาซาริ แต่ฉันก็อยากจะยื้อเวลาออกไปอีกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกแรงมาก ฉันตั้งใจจะใช้แรงของคู่ต่อสู้ทำลายตัวเองและฉันก็ทำได้สำเร็จ เมื่อคู่ต่อสู้ออกแรงมาฉันจึงมุดเข้าคว้าขาจากนั้นก็ใช้แรงคู่ต่อสู้แล้วยกขึ้นทุ่มด้วยท่ากาต้าที่เพิ่งเห็นมาเมื่อกี้นี้ได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยมีใครเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่สายระดับต่ำใช้ท่าชั้นสูง และสามารถทุ่มคนที่น้ำหนักมากกว่าถึง 8 กิโล ทุกคนจึงปรบมือเกรียวกราว
ฉันรู้สึกภูมิใจมากวันนี้ได้คว้าถ้วยไปครองจนได้ เฮ....ฉันกู่ก้องร้องในใจด้วยความดีใจ เมื่อรับถ้วยเสร็จก็ค่ำพอดี ฝนก็ตกโปรยปรายอ้นผู้ชายคนเมื่อกี้เขามาชวนฉันไปเที่ยวห้าวฝั่งตรงข้าม ฉันจึงได้ถ่ายรูปสติกเกอร์เป็นครั้งแรก เพราะขณะนั้นการถ่ายรูปสติกเกอร์เพิ่งเข้ามา แต่ยังไงก็ตามเด็กลพบุรีอย่างฉันก็มีโทรศัพท์ใช้ก่อนที่ใครหลาย ๆ คนในกรุงเทพฯจะมีใช้เสียอีก เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก นอกจากจะมีมือถือแล้วยังมีเพจเจอร์อีกด้วยเพราะช่วงนั้นเขากำลังเป็นที่นิยมกัน
ฉันมีความสุขมากที่ได้เที่ยว เพราะนาน ๆ ที่ฉันถึงจะได้มาเที่ยวกับเพื่อนและผู้ชาย ปกติแล้วก็ไม่เคยไปไหนกับใครนอกจากแม่ พี่นัทและพี่ดอน เมื่อพูดถึงพี่นัทมันก็ยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหว ฉันรู้สึกว่าอยากเจอพี่เขาเหลือเกิน...
กลับจากกรุงเทพฯคราวนี้ ได้บทเรียนหลายอย่างเหลือเกิน ได้ท่าใหม่ ๆ มาเล่น ได้เพื่อนใหม่และยังได้เที่ยวด้วย ฉันนั่งรถมาจนง่วงและก็หลับไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงบ้านของพี่โบ ฉันจึงบอกกับอาจารย์นิพนธ์ว่าฉันจะนอนบ้านพี่โบ ทุกคนลงบ้านพี่โบกันหมด 11 คนที่ไป พวกเราจึงนอนที่นั่นเพราะบ้านพี่โบมีห้องเยอะ กว้างขวางเพราะเขารวย ฉันจึงได้รู้จักพี่ชายของพี่โบซึ่งเป็นนัก
บาสชื่อพี่แบต รวมทั้งเพื่อน ๆ ของพี่เขาด้วยเราจึงสนิทกัน...ฉันง่วงแล้วก็นอนในห้องกับพี่ทิพย์ พี่ขวัญจนลืมโทรไปบอกที่บ้านว่าฉันอยู่ซอย 8 ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน
ตอนเช้าที่สดใส ฉันตื่นมาอาบน้ำทำกับข้าวให้ทุกคนทาน พ่อแม่ของพี่โบบอกว่าฉันทำกับข้าวอร่อยเสียอย่างเดียวคือหวานไปนิด พอทุกคนทานกันเสร็จฉันก็เดินออกไปดูว่าวันนี้มีรถผ่านมาหรือเปล่า ฉันจึงมาเก็บข้าวของเตรียมที่จะกลับบ้านพร้อมถ้วยพระราชทานที่เมื่อวานเพิ่งไปรับมาจากพระบรมฉายาลักษณ์ ฉันเดินลงบันไดบ้านอย่างมีความสุข ส่วนพวกพี่แบตไปกันหมดแล้ว ฉันมีความรู้สึกว่าใครกำลังมองฉันอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นพ่อยืนอยู่ที่บันไดบ้าน พ่อขึ้นไปคุยกับพ่อแม่ของพี่ขวัญแล้วก็เดินยิ้ม ๆ ลงมา จากนั้นก็พาฉันกลับบ้าน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทุกคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า แม่ดุฉันตลอดเลย ส่วนย่าไม่ยอมพูดกับฉันเอะอะก็บอกว่าจะตีฉันจึงคุกเข่าแล้วคลานเข้าไปใกล้ ๆ
"คุณย่าขา...ดาวขอโทษนะคะ เมื่อคืนมันง่วงค่ะ ฝนก็ตก ดาวเลยนอนบ้านพี่โบ ไม่อันตรายสักนิด จริง ๆ นะคะไม่เชื่อถามคุณพ่อสิคะ"
"อย่ามาทำปากหวานให้ย่าใจอ่อนเลย เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็มา..."
"อย่าตีหนูเลยนะคะ นี่ค่ะหนูมีของมาฝาก"
ฉันคว้ากระเป๋าและเปิดออกมาเอาถ้วยพระราชทานยกขึ้นมาให้ย่าดู ย่าถึงกับวางไม้เรียวแล้วก็ยิ้มจนร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ ย่ากอดฉันและให้ฉันมานั่งใกล้ ๆ ย่ากอดฉันไว้แน่นทีเดียว ส่วนแม่กับพ่อถึงกับน้ำตาไหล ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงได้ร้องไห้ แต่ฉันรู้อย่างเดียวก็คือฉันไม่ถูกตีก็พอใจแล้วละ....
"เก่งมากลูก ย่าอยากให้เจ้ามีฝันแบบนี้ตลอดไป ฝันแล้วต้องทำให้ได้..."
คำพูดของย่ายังคงอยู่ในหัวใจของฉันตลอดมา... ชื่อเสียงของบ้านเราเริ่มดังขึ้น หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวหน้า 1 ทุกฉบับ ทำให้ชาวบ้านต่างก็มาซักถามและอยากเรียนยูโดมากขึ้น ขณะนี้ฉันมีความสุขเหลือเกิน คราวหน้าจะมีการแข่งอะไรนะ ฉันรู้สึกว่าเลือดและวิญญาณในตัวฉันเรียกร้องที่จะสู้เต็มทนแล้วละ
แววดาวจะไปได้ถึงดวงดาวหรือไม่ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เหมี่ยวจะยังตามราวีเธอหรือเปล่า...โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ รับรองว่าเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ทีเดียว...
อย่าลืมอ่านตอนต่อไปนะคะ ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ....
29 กรกฎาคม 2547 00:34 น.
สุชาดา โมรา
หลังจากที่เป็นข่าวอื้อฉาวในวงการกีฬา ฉันมีความรู้สึกว่าฉันกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป ข่าวทุกฉบับต้องพาดหัวเรื่องของฉันตลอดจนฉันไม่อยากจะเดินไปไหนอีกแล้ว เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนถาม...ฉันรู้สึกเบื่อจริง ๆ เวลาไปโรงเรียนเพื่อน ๆ รวมทั้งอาจารย์ก็ฮือฮากัน มีแต่คนถามจนฉันไม่รู้จะตอบคำถามยังไงดี...
"แววดาว...ครูถามหน่อยเถอะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ เธอไปเป็นนักกีฬาระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรทำไมไม่บอกครู"
ฉันไม่รู้ว่าจะตอบปัญหายังไงดีเลย อาจารย์คนนั้นก็ถามคนนี้ก็ถามจนฉันรู้สึกไม่อยากจะเรียนอีกแล้ว...ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงชอบยุ่งกับฉันนักนะ ทำไมไม่เอาเวลาเพ้อเจ้อแบบนี้ไปทำอะไรให้มีประโยชน์บ้าง ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
"แหม...ดังนักนี่ได้ออกทีวีทุกช่อง ได้ลงหนังสือพิมพ์...นึกว่าเธอแน่นักเหรอไงหา..."
แก๊ง 7 ห้าวนี่ช่างสอดจริง ๆ เลย นี่คงยังไม่เข็ดที่โดนไปวันนั้นสิท่า...
"ระวังตัวเองไว้ให้ดีเถอะ ฉันจะเอาพวกมารุมโทรมแก...!!!"
"เอามาเลย...ฉันไม่กลัวหรอกนังต้อม ถ้าแน่จริงเรียกพวกมาเลยฉันจะได้ไปแจ้งความไว้ก่อน ถ้าฉันเป็นอะไรแกคนแรกนั่นแหละที่จะโดน รวมทั้งคนในกลุ่มแกด้วย"
ฉันยืดอกพูดอย่างเต็มปากเต็มคำทันที ตอนนั้นถึงแม้ว่าฉันจะหวั่นใจนิด ๆ แต่ฉันก็ต้องข่มใจพูดไปว่าไม่กลัว อีกอย่างฉันพูดด้วยความโมโหด้วยมันจึงทำให้ฉันพลั้งปากพูดไปแบบนั้น
ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันมีความรู้สึกว่าฉันหดหู่ยังไงชอบกล ไม่สนุกอย่างที่คิด วันนี้ดู ๆ แล้วเรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแถมยังโดนพวกปากไม่อยู่สุขพร่ำทั้งวันจนอารมณ์แทบจะระเบิดออกมา เนี่ยถ้ายั้งไม่อยู่นะฉันอาจจะเป็นฆาตกรเลยก็ได้... แต่ดีนะที่แม่สอนว่าต้องมีสติยั้งคิด รู้จักระงับอารมณ์ของตัวเอง วันนี้ฉันเลยนั่งนับเลขในใจจนกระทั่งลืมไปว่าพวกนั้นด่าอย่างไรบ้าง ฉันนะเบื่อพวกเดนสังคมจริง ๆ เชียว...
ฉันเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนทางฝั่งตะวันออกซึ่งไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก ฉันก็ต้องหยุดชะงักเพราะกลุ่ม 7 ห้าวนี้
"ไง...แกแน่นักเหรอ...นี่ฉันเอาพวกมาลงแขกแกแล้วไง"
ฉันรู้สึกขวัญเสียมาก ๆ ที่ยายพวกนี้คิดปองร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้ ฉันรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายสามคนนี้ต้องเป็นพวกหื่นกาม เพราะท่าทางมันบ่งบอกว่าต้องใช่แน่ ๆ แต่ถึงฉันจะรู้สึกกลัวแต่ฉันก็ทำเป็นไม่กลัว ฉันเดินหลบออกไปอีกทางเพื่อที่จะไปออกประตูกลางแต่ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าเอาไว้
"ไงน้อง...กลัวเหรอจ๊ะ ไม่ต้องกลัว ๆ มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองไม่เหงา...เดี๋ยวสิจะไปไหน"
ฉันเบี่ยงตัวหนีออกมาอีกแต่คนพวกนั้นยังตามมาราวีฉันอีก เห็นทีว่าถ้าฉันไม่สู้ก็คงไม่ได้ซะแล้ว ฉันจึงหันกลับไปมองด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างโกรธ
"สวย ๆ แบบนี้ตอนโกรธนี่ก็น่ารักดีนะ ใช่ไหมพวกเรา"
"จะทำอะไรก็ทำ ๆๆๆเถอะเดี๋ยวฉันจะไปดูต้นทางให้ว่าจะมีใครผ่านมาเส้นนี้หรือเปล่า"
ฉันรู้สึกเกลียดคำพูดของนังต้อมเพื่อนเลวคนนี้จริง ๆ เลย พูดตามตรงนะว่าตั้งแต่เรียนมาฉันไม่เคยถูกชะตามันเลย ให้ตายสิ...ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบนังต้อมนี่มันจะเลวได้ถึงขนาดนี้
"ไงน้องยืนมองอะไรอยู่ ไปหาความสุขกันดีกว่านะ หรือว่าอาย ไม่ต้องอายเดี๋ยวพี่ให้พวกผู้หญิงที่เหลืออีก 6 คนนี่ออกไปดูต้นทางก่อน ก็จะเหลือแต่พี่ 3 คน แฟไหม"
"ไอ้เลว...!!!!"
ฉันตอบด้วยเสียงที่โกรธจนถึงขีดสุด ฉันแทบจะคลั่งจึงเดินหนีออกมาอีก ฉันย่ำเท้าด้วยความเร็วแต่ชายคนนี้มันมาคว้าแขนฉันไว้ โชคดีที่วันนี้ใส่ชุดกีฬามันจึงทำให้ฉันเตะได้สูง ฉันกระโดดกลับหลังเตะก้านคอทันที ชายคนนั้นถึงกับมึนลงไปกองอยู่กับพื้น และฉันก็เดินหนีออกมา แต่ชายอีก 2 คนก็ยังคงตามฉันมา ถ้าฉันไม่สู้เห็นทีคนพวกนี้ก็จะต้องทำร้ายฉันแน่ ๆ ฉันจึงหันกลับไปสู้อย่างคนที่เลือดร้อน
"หันมาทำไมจ๊ะ อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม...!!!"
"แกอย่ามาทำเป็นตะคอกใส่ฉันนะ...ไอ้เลว...!!!"
เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามาล็อกคอฉันไว้ ส่วนอีกคนหนึ่งหวังที่จะเข้ามาต่อยลิ้นปี่ฉัน ฉันจึงเนี่ยวคอชายคนที่จับฉันและก็ถีบทันที ทำให้ชายคนที่จะมาต่อยนั้นถึงกับหงายท้องทีเดียว จากนั้นฉันก็ย่อตัวพร้อมกับเหนี่ยวคอชายคนที่ล็อกคอฉันไว้ด้วยท่าทุ่มโคชิ-กูโรม่าทันที ชายคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศประมาณ 3 วินาทีแล้วก็หล่นลงมาด้วยความเร็วทำให้หลังไปกระแทกกับเหล็กที่กั้นขอบถนน เพราะช่วงนี้เขากำลังทำถนนกันอยู่ ทำให้ชายคนนั้นลุกไม่ขึ้น ส่วนชายที่ถูกเตะก้านคอไปคนแรกกลับลุกขึ้นได้ เดินกลับมาตบหน้าฉันจนเกือบล้มแต่ฉันก็หันกลับไปเอาคืนด้วยการหักแขนแล้วก็ต่อยที่เบ้าตา จากนั้นฉันก็ใช้สันมือตบที่ทัดดอกไม้โดยการกระโดดขึ้นไปตบทำให้ชายคนนั้นหูแดงกล่ำและฟุบตัวลง ส่วนชายที่ถูกถีบนั้นลุกขึ้นมา
"มึงแน่นักเหรอ...หา...!!!"
พอฉันเงื้อหมัดขึ้นมาตั้งท่าว่าจะต่อยชายคนนั้นจึงหันไปคว้าคอของแนนแล้ววิ่งหายไปทันที ส่วนชายที่เหลืออีก 2 คนก็วิ่งตามไปด้วย ฉันจึงรีบไปที่สมาคมฯเพื่อไปขอคำปรึกษาจากพี่ดอน ฉันทั้งกลัวและตกใจเป็นอย่างมาก ฉันเดินไปนึกไปตลอดทางจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
"หา...จริงเหรอดาว"
"จริงสิถ้าไม่จริงจะเล่าทำไม...เนี่ยดาวไม่รู้จะทำยังไงดีเลย พี่ดอนช่วยคิดหน่อยได้ไหม ดาวกลัว..."
"จะกลัวอะไรเก่งขนาดนี้"
"ต่อให้เก่งแค่ไหนสักวันก็คงจะพลาด...หรือว่าไม่จริง"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลนลานจนใคร ๆ ที่เล่นยูโดต่างก็มานั่งฟังและลงมติว่าต้องไปแจ้งความ ฉันจึงไปกับพวกพี่ ๆ และอาจารย์ ตำรวจซักซะหมดเปลือก ตำรวจบอกว่าข้อหานี้มันไม่ใช่เล็ก ๆ นี่มันเป็นการขู่พยายามฆ่า และยังเป็นการทำร้ายร่างกายอีก ตำรวจจึงบอกว่าจะตามจับมาให้ได้ ฉันจึงบอกรูปพรรณสันฐานไป รวมทั้งบอกรายชื่อเพื่อน 7 คนนั้นด้วย
วันนี้ฉันจึงมีความรู้สึกที่โล่งใจมากเมื่อได้แจ้งความไปแล้ว ฉันจึงกลับไปที่สมาคมฯอีกครั้งและเก็บข้าวของกลับบ้าน
"พี่ไปส่งนะดาว..."
"ไม่เป็นไรหรอกดาวกลับเองได้...ขอบคุณนะพี่ดอน"
ตอนนี้ฉันรู้สึกคิดถึงพี่นัทมากทีเดียว เมื่อไรนะที่พี่นัทจะกลับมา ถึงแม้ว่าปากฉันจะบอกว่าเลิกกับเขาแต่ภายในใจลึก ๆ แล้วฉันหวั่นไหวเหลือเกิน ฉันจะทำอย่างไรดีนะ แววดาวเอ๊ย...ทำไมถึงไม่ลืมพี่นัทอีกนะ เนี่ยถ้าพี่นัทอยู่เขาคงให้คำปรึกษาได้มากกว่านี้ทีเดียว โถ่เอ๊ย...
พี่ดอนมาส่งฉันที่บ้าน คุณแม่ทำท่าไม่ค่อยพอใจเพราะท่านคงดูออกว่าพี่ดอนเป็นคนอย่างไร คุณแม่บอกให้เลิกกันซะเพราะถ้าคบกันต่อไปมันจะทำให้เกียรติเราต่ำลงสักวันหนึ่ง...ฉันก็คิดว่าฉันไม่เหมาะกับพี่ดอนเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อฉันคบกับพี่ดอนเพื่อให้ลืมพี่นัท ถ้าไม่มีพี่ดอน ชีวิตฉันคงหักเหมากไปกว่านี้ เพราะพี่ดอนคอยเป็นเพื่อนเวลาฉันท้อแท้ ถึงแม้ว่าพี่ดอนจะเป็นคนก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ก็ตามแต่ความดีของเขาก็คือการเทคแคร์เรา เขาดูแลเราถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าพี่นัทก็ตามเถอะ...
เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส ฉันมาเข้าแถวเคารพธงชาติทันเป็นวันแรก อาจารย์ประจำชั้นเรียกฉันไปพบพร้อมกับกลุ่ม 7 ห้าว แต่ว่าวันนี้กลุ่ม 7 ห้าวขาดแนนไปคนหนึ่ง ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแนนหายไปไหนจนกระทั่งมาถึงห้องพักครู
"มากันแล้วเหรอ นี่ตำรวจมาขอพบพวกเธอ และนี่ก็ผู้ปกครองของยายจุฑาทิพย์ ก็คุย ๆ กับตำรวจนะครูจะคอยเป็นคนกลาง"
พออาจารย์ทองพูดเสร็จตำรวจก็ซักทันที ตำรวจให้ข้อห้าเด็กทั้ง 6 คนว่าสมรู้ร่วมคิดและพยายามฆ่า รวมทั้งทำร้ายร่างกายด้วย นี่ก็เป็นข้อหาทางอาญาทั้งนั้น ส่วนผู้ปกครองของแนนบอกว่าแนนหายไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับเลยฉันจึงบอกกับผู้ปกครองของแนนไป
"เมื่อวานตอนที่พวกนี้มาดักทำร้ายหนู แนนก็อยู่ด้วย แนนเป็นหนึ่งในนั้นที่ตามผู้ชาย 3 คนนั่นมา และพอผู้ชายคนนั้นทำอะไรหนูไม่ได้เขาก็เลยคว้าคอแนนแล้ววิ่งไป"
แม่ของแนนถึงกับเป็นลมทันที ฉันไม่รู้ว่าฉันจะพูดตรงไปหรือเปล่า แต่ฉันก็ได้บอกความจริงไปแล้ว ก็สุดแล้วแต่ว่าผู้ปกครองเขาจะรับได้หรือเปล่า
"ไม่จริงหรอก เธอนี่คงจะแสบน่าดูเลยเพื่อน ๆ ถึงไม่ชอบขี้หน้า เธอนี่มันเด็กกาลีบ้านกาลีเมืองจริง ๆ ลูกสาวกูไม่เป็นแบบนั้น"
พ่อของแนนพูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบทำให้ตำรวจต้องเข้าไปดึงตัวไว้และแจ้งข้อหาพ่อของแนนว่าหมิ่นประมาทและประทุสร้าย...
วันนี้พวกเราทุกคนจึงต้องขึ้นโรงพักพร้อมกับผู้ปกครอง แม่ของฉันถึงกับปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าฉันจะโดนทำร้ายร่างกาย แต่ย่าของฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ย่าบอกว่าถ้าใครมันทำหลานให้ต้องเจ็บย่าจะไม่ยอม ย่าจะเอาคืนให้สาสม...ถึงแม้ว่าย่าจะเป็นคนชอบด่าอยู่เสมอ แต่ย่าก็รักหลานและก็ไม่ยอมยอมความง่าย ๆ ย่าบอกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอม ทำยังไงก็ไม่ยอมให้ลูกหลานต้องเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี และต้องถูกปองร้ายแบบนี้
ตำรวจถามว่าจะยอมความไหม แต่ย่าไม่ยอมย่าเรียกเงินถึงหัวละ 50,000 บาท แต่ผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมจ่าย เด็กทั้งหมด 6 คนจึงถูกขังให้ไปนอนมุ้งสายบัว ฉันก็รู้สึกเห็นใจพวกนั้นเหมือนกันแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อพวกนั้นทำกับฉันก่อน ถึงจะให้อภัยแต่ถ้าเราให้อภัยพวกนี้ก็ไม่ยอมเลิกลา ต้องให้มันรู้รสชาติของการกระทำที่ก่อเอาไว้บ้าง...แต่สักพักผู้ปกครองของสาก็มาขอประกันตัวและยอมความ ตกลงยอมจ่ายเงินทันที สาไม่ยอมพูดจากับเพื่อนที่อยู่ในคุกเพราะสาคงรู้สึกโกรธ สาเป็นคนนิสัยดีที่สุดในกลุ่มนั้น ที่จริงฉันก็รู้ว่าสาไม่อยากจะทำแบบนั้นแต่สาติดเพื่อน นี่ก็เป็นโทษของการติดเพื่อนนะมันจึงทำให้สาต้องมารับผลกรรมโดยที่ไม่ได้อยากจะทำเลย
"ขอโทษนะดาว...ยกโทษให้ฉันนะฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"อย่าไปยกโทษให้มันอีเพื่อนแบบนี้ย่ารับไม่ได้"
คำพูดของย่าถึงกับทำให้สาร้องไห้โฮทีเดียวแล้วก็เดินไปกอดแม่ของเธอ สาหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสารภาพผิดทั้งหมดแล้วก็เดินลงบันไดโรงพักไป สายไปเสียแล้วละสา เธอคบเพื่อนไม่ดีเองมันจึงทำให้ชีวิตต้องตกต่ำ...น่าสงสารเหมือนกันนะ
วันนี้ฉันไม่ได้เรียนทั้งวัน นั่งอยู่ที่โรงพักกับผู้ปกครอง ตำรวจสอบปากคำต้อมจนรู้ว่าผู้ชาย 3 คนนั้นต้อมรู้จักเป็นอย่างดีและก็เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งด้วย ผู้ปกครองของต้อมถึงกับรับไม่ได้ การให้การของต้อมทำให้ต้อมต้องโดนข้อหาหลายคดี เพราะต้อมเป็นหัวหน้าเด็กแม็ทหรือแม่เล้านั่นแหละ นอกจากนั้นตำรวจยังให้ต้อมสาวไปถึงขบวนการใหญ่ที่ต้อมต้องส่งส่วยให้เสี่ยยุทธนาอีกด้วย ต้อมหมดหนทางจึงต้องบอกกับตำรวจทั้งหมด อนาคตต้อมจึงดับลงในตอนนั้น ถึงแม้ว่าแม่ของต้อมจะยอมความจ่ายเงินให้ฉันแต่ว่าต้อมต้องติดคุกยาวเพราะข้อหาค้าประเวณีมันร้ายแรงนัก แม่ของต้อมต้องมาลาออกให้ต้อมที่โรงเรียน ส่วนอ้อมนั้นพ่อของอ้อมมาประกันตัวและยอมความในที่สุด ที่เหลือก็ยังคงอยู่ในคุกเพราะไม่มีผู้ปกครองมายอมความ
สาแม่พาย้ายไปอยู่ลำปาง อ้อมพ่อบอกให้เลิกเรียนเพราะถึงเรียนก็ดีแต่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนจริง ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะทำแบบนั้น...
วันนี้ฉันไปซ้อมยูโดแต่วัน พี่ ๆ หลายคนในเบาะไม่ว่าจะเป็นพี่เอก พี่แท็ก พี่โจ พี่โก้ พี่โอม พี่ป๋อง พี่ทิพย์ พี่ขวัญ พี่ตูน พี่แทน พี่จง พี่ออฟ พี่ตั้น พี่ไก่ พี่อั๋น พี่ตา พี่ทิพย์ พี่เต้ พี่ดอนและอาจารย์ก็มานั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโรงพักวันนี้ ฉันเล่าไปนั่งซึมไปจนอาจารย์ยอร์ท
พูดขึ้น
"อย่าคิดมาเลยมันเป็นเวรกรรมของคนที่ทำมาไม่เท่ากัน ชาติที่แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเขาแต่เขากลับมาทำเราในชาตินี้เขาก็ควรรับกรรม อย่าเศร้าเลยมันไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย"
ฉันรู้สึกว่าการปลอบใจของอาจารย์ไม่เป็นผลกับฉันเลย กลับทำให้เครียดหนักกว่าเก่า วันนี้ฉันจึงซ้อมยูโดเหมือนคนที่ไม่มีหัวใจรักที่จะเล่นเลย
"แววดาวมานี่หน่อย"
อาจารย์ดนัยพูดขึ้น ฉันจึงลงจากเบาะและไปหาอาจารย์
"ทำไมวันนี้เล่นไม่ดีเลย อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียน เราจะต้องไปแข่งอีกไกลเข้าใจไหม เราจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เอาวิญญาณของนักกีฬาที่ดีออกมาสำแดงให้รู้ว่าเราไม่เคยแพ้ใคร เข้าใจไหม..."
อาจารย์ดนัยพูดด้วยเสียงที่เข้มงวดจนฉันรู้สึกกลัว แต่แววตาของอาจารย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ที่จริงอาจารย์ดูจะเอ็นดูฉันเป็นพิเศษเพราะฉันเป็นคนหัวเร็ว สอนอะไรก็เป็นเลยจึงทำให้อาจารย์ไม่ต้องมาบ่นฉันหรือสอนมาหลาย ๆ รอบ แค่ฉันดูครั้งเดียวฉันก็เล่นได้ฉันจึงเป็นที่รักของอาจารย์ในเบาะยูโด...
เย็นวันนี้พี่ดอนมาส่งฉัน แต่ฉันให้เขามาส่งแค่หน้าปากซอยเพราะแม่ไม่ชอบพี่ดอน พี่ดอนจึงทำหน้าเศร้า ๆ ฉันก็รู้สึกว่าพี่ดอนเสียใจแต่จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย นับวันเราก็ยิ่งจะไม่ค่อยลงลอยกันเพราะพี่ดอนอยากไปส่งที่บ้านแต่ฉันไม่ให้ไปเพราะฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน
ฉันดูข่าวโทรทัศน์พบว่าแนนตายแล้ว ถูกรุมโทรมแล้วก็ฆ่า ชาย 3 คนนั้นคงแค้นที่ไม่ได้ฉันในวันนั้นมันจึงเอาแนนไป ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนมากเลย พ่อแม่ของแนนคงอกสั่นและเสียใจมากทีเดียวเพราะแนนเป็นลูกคนเดียวของท่านเสียด้วย เนี่ยแหละหนาเขาถึงได้บอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ฉันถึงได้รู้ซึ้งวันนี้นี่เอง... แต่ก็ยังดีที่ตำรวจจับชาย 3 คนนั้นได้ พวกนั้นเลยต้องเข้าไปอยู่มุ้งสายบัวด้วย...
เย็นวันนี้ตำรวจโทรมาบอกว่าผู้ปกครองของฝ้าย เก๋และก็ฟ้ายอมความแล้ว ฉันก็ดีใจมาก แต่ 3 คนนี้ไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว ผู้ปกครองให้ย้ายไปเรียนที่อื่น เพราะสร้างความอับอายให้ครอบครัวจนแทบจะซุกแผ่นดินหนี ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยจริง ๆ นะ ฉันต้องขอโทษด้วยละกันนะ... ต่อไปนี้ก็คงไม่มีแก๊ง 7 ห้าวในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว คนในห้องก็จะเหลือแค่ผู้หญิง 9 คนนอกนั้นก็ผู้ชายอีก 15 คน แต่ถ้าคิดกลับมุมมันก็ดีไปอย่างนะที่ในห้องจะไม่มีอันธพาลขูดรีดเพื่อนและทำร้ายเพื่อน... แต่มันก็ยังมีเสี้ยนที่ตำหัวใจฉันมาตลอดก็คือเหมี่ยว ฉันละสงสันจริง ๆ เลยว่าคนท้องอะไรไปเล่นยูโดได้ แล้วทำไมฉันถึงไม่สืบความจริงให้มันรู้แน่นะ...
บทเรียนในวันนี้มันมีความหมายกับฉันเหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าการคบเพื่อนมันต้องดูให้แน่ชัด การทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ตรองแบบกลุ่ม 7 ห้าวนั้นมันถึงกับทำให้อนาคตดับวูบทีเดียว...
เวลาผ่านไปได้เพียงข้ามคืนฉันก็รู้ข่าวของต้อม ต้อมถูกชายนิรนามฆ่าตายหลังจากที่ชายคนหนึ่งเข้าไปในโรงพักและเอาอาหารให้ต้อมกิน ทำให้ตำรวจไม่มีพยานที่จะจับเสียคนหนึ่งได้ในข้อหาค้าประเวณี
ชีวิตของคนเรานี่น่าหดหู่เหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องอาศัยการทำดี ถ้าหากว่าเราไม่ทำดีแล้วชีวิตเราก็อาจจะเป็นอย่างคนพวกนี้ก็ได้ ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องทำให้คนทุกคนเห็นว่าฉันเป็นคนดีคนเก่งให้ได้ ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ฉันจะตั้งใจเรียนและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล....!!! นัดต่อไปจะเป็นการแข่งยูโดรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก ฉันจะไม่ยอมแพ้พวกอ้วน ๆ นั่นหรอก ฉันจะเอาเหรียญทองมาฝากครอบครัวให้ได้ การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานนี้ฉันต้องทำให้ได้....แววดาวสู้ตายค่ะ...
อย่าพลาดตอนต่อไปนะคะ แววดาวจะทำอย่างไร เธอจะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิต ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้สาวน้อยมหัศจรรย์ของเราด้วยนะคะ โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ...
27 กรกฎาคม 2547 18:58 น.
สุชาดา โมรา
ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด.... เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า ฉันกดนาฬิกาแล้วนอนหลับต่อ จนกระทั่งฉันผวาตื่นขึ้นมา
"เฮ้ย...!!!วันนี้ต้องไปคัดสายที่กรุงเทพฯนี่หว่า ตายแล้ว...!!!"
ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที พ่อฉันมาส่งที่ บ.ข.ส. แต่ฉันมาไม่ทันเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันจึงโทรไปหาพี่ดอน
"ฮัลโหล พี่ดอนเหรอคะ อยู่ไหนคะ หา...ค่ะ ๆ ๆ เดี๋ยวจะตามไปนะคะ พี่นั่งรถ ป.2 เหรอเดี๋ยวดาวไป ป.1 งั้นเจอกันที่อนุเสาวรีย์ชัยนะคะ"
"พ่อคะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวหนูไปเองได้สบายมาก แค่จรัญสนิทวงศ์เอง...ไปนะคะ"
พ่อยิ้มแล้วก็ขับรถกลับไป ฉันนั่งรถ ป.1ไปกรุงเทพฯ คนเดียวทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ คนเดียวซะที เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลยต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวบนรถ มองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีแต่คนแปลกหน้า... ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายหาที่พึ่งไม่ได้เลย ฉันนั่งมาเรื่อย ๆ มองไปข้างทางจนรถจอกที่ป้ายหินกองเพื่อรอเวลา
"ขอโทษนะคะ ขอโทษนะคะ..."
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเหลือเกินดังขึ้น และดังอยู่เรื่อย ๆ จนใกล้เข้ามาถึงฉัน ฉันจึงเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้น
"ย่า...!!!!"
ฉันตกใจมาก ย่ามาได้ยังไงกันเนี่ย!!!
"ดาว...แกมาคนเดียวได้ยังไงรู้ไหมย่าเป็นห่วง พ่อแกก็เหมือนกันปล่อยแกมาได้ไง เดี๋ยวก็ถูกหลอกไปขาย เฮ้อ...!!!"
ย่าตามฉันมาด้วยความเป็นห่วง ย่ายืนบ่นอยู่นานจนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันลุกขึ้นให้ย่านั่ง ย่าก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนฉันหูชาทีเดียว ไม่เพียงบ่นแต่ฉันยังหันไปบ่นให้คนอื่นฟังอีก ทำให้กระเป๋ารถถึงกับหัวเราะออกมาทีเดียว...จากที่นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวบนรถ ก็เหมือนกับฟ้าสั่งให้ย่าตามฉันมาด้วยทำให้ฉันไม่เหงาและเดินทางอย่างไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
"พอย่ารู้ว่าพ่อแกให้แกมาคนเดียวย่าก็เลยสั่งให้ขับรถตามมา โชคดีนะพ่อแกมันช่างสังเกตจำทะเบียนรถได้เลยขับตามมาทันพอดี ไม่งั้นย่าต้องช็อกตายแน่ ๆ เพราะย่าก็มีหลานสาวอยู่แค่คนเดียวย่าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ส่วนแม่แกน่ะเหรอไปส่งตาแกที่สุราษฎร์ยังมาไม่ถึงเลย ถ้ารู้นะว่าแกมาคนเดียวสงสัยแกจะโดนหยิกแขนเขียวแหง ๆ ละ"
คำพูดของย่าทำให้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันรู้สึกได้ว่าที่บ้านทุกคนเป็นห่วงฉันจริง ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่น ไม่เหงาไม่เดียวดายกลับมีความสุขมากที่ได้รู้จากปากย่าซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านรักฉันมากกว่าใคร ๆ ฉันจึงโผกอดย่าด้วยความรัก...
รถมาถึงสถานีหมอชิดใหม่ ฉันพาย่าเดินไปตามทางถนนคอนกรีตผ่านหน้าเซเว่นแล้วเดินไปหารถ ข.ส.ม.ก. ทันที แต่ว่ารถสาย 38 ออกไปแล้วคงอีกนานที่จะได้ขึ้น
ติ๊ดตี่ตีติ๊....!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันรับโทรศัพท์ทันที
"ฮัลโหล...จ่ะ ๆ ๆ ๆ มาถึงแล้ว จ่ะ ๆ ๆ ๆ..."
"ใครโทรมาเหรอดาว"
"พี่ดอนพี่ที่เบาะน่ะแหละค่ะ เขาเป็นห่วงกลัวจะมาไม่ทันแข่ง"
ฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าพี่ดอนเป็นแฟนฉัน เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคบผู้ชาย ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนกะว่าถ้าถึงเวลาเมื่อไรแล้วจะบอกกับทุกคน เพราะฉันต้องการความแน่ใจว่าพี่ดอนจะไม่เป็นแบบพี่นัท... ที่จริงใจจริงลึก ๆ แล้วฉันยังอาลัยอาวรพี่นัทอยู่ เพราะถ้าให้ฉันเทียบระหว่างพี่นัทกับพี่ดอนแล้ว พี่ดอนไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่นัทเลยสักนิด แต่พี่ดอนเป็นคนที่จริงใจและมั่นคงจึงทำให้ฉันคบกับพี่ดอนได้...
"ดาวสายแล้ว ไปคันนี้ก็ได้ผ่านอนุเสาวรีย์เหมือนกัน"
"แต่หนูว่าไปแท็กซี่ดีกว่าเพราะมันเร็วดี"
ฉันพาย่าเดินมาขึ้นรถแท็กซี่
"ไปไหนครับ"
"ซอยจรัญสนิทวงศ์ โรงเรียนบูรณวิทย์"
ฉันนั่งรถมาเรื่อย ๆ คนขับก็คุยกับย่ามาตลอด ย่าก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง คนขับรถหัวเราะไม่หยุดทีเดียว ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกคนกรุง! ที่จริงย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกแต่ท่านพูดไปตามประสาคนแก่ขี้บ่นนิด ๆ ละ
"อ้าวทำไมไม่เลี้ยวขวาเข้าซอยจรัญล่ะ ทำไมเลี้ยวมาทางนี้ จอด ๆ ๆ ๆเดี๋ยวนี้นะ"
ฉันร้องตะโกนลั่นรถ คนขับแท็กซี่จอดรถจนหน้าทิ่ม
"ก็น้องบอกว่าไปโรงเรียนบวรวิทย์ไม่ใช่เหรอ"
"ไม่ใช่ บอกว่าไปบูรณวิทย์...เห็นเป็นคนบ้านนอกแล้วไม่รู้เรื่องในกรุงเทพฯ หรือไง มักง่ายที่สุด ฉันจะลงแล้ว จะไปขึ้นคันอื่น"
ฉันพูดด้วยความโมโห เลือดในตัวสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว ดวงตาฉันจับจ้องไปที่คนขับแท็กซี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว
"ใจเย็น ๆ ลูก"
ย่าเตือนฉัน
"นั่งคันนี้ก็ได้ แต่ต้องปรับมิเตอร์ใหม่ก่อนเพราะฉันรู้ว่าถนนสายนี้ต้องกลับไปที่สะพานพระปิ่นเกล้าก่อนถึงจะมาได้"
คนขับรถขอโทษขอโพยแล้วก็เก็บเงินในมิเตอร์ตอนแรกก่อนแล้วสัญญาว่าจะพาไปส่งที่โรงเรียนนั้น และจะไม่เก็บเงินส่วนที่เหลือนี้ ...คนขับแท็กซี่พามาจอดที่ในโรงเรียน ฉันเจอหน้าเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันถึงกับโผกอดพี่ขวัญทันที
"นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว...กินข้าวมาหรือยัง...ไปกรอกใบสมัครก่อนไหม"
ฉันรีบจนลืมแนะนำย่ากับพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ เลย...ฉันกรอกใบสมัครและชั่งน้ำหนักทันที น้ำหนักของฉันลดไปอีก 2 กิโล ฉันแข่งในรุ่นเล็กลงไปอีก... ฉันเริ่มหิวก็เลยไปทานข้าวแถว ๆ นั้นซึ่งเป็นร้านประจำที่เรามาทานกันบ่อย ๆ
"นี่...ทุกคนนี่ย่าของดาวเอง"
ทุกคนสวัสดีย่า แต่พี่ดอนเริ่มเข้ามาตีสนิทย่าจนฉันดูออกว่าย่ารำคาญพี่ดอนมาก ๆ ฉันจึงต้องสะกิดเตือนอยู่บ่อย ๆ แต่พี่ดอนก็ไม่รู้ตัวหรอกยังคิดว่าฉันแอบแตะอั๋งเสียอีก...เมื่อหนักเข้าย่าก็เริ่มยิ้มแบบชักสีหน้า ฉันรู้ทันทีว่าย่าโกรธ ฉันจึงต้องออกปากพูดเองก่อนที่ย่าจะระเบิดออกมา
"พี่ดอน ว่างนักเหรอไปนั่งที่ของตัวเองแล้วทานข้าวซะ...!!!"
พี่ดอนทำท่าเหมือนไม่พอใจมาก ๆ ทำจมูกฟุตฟิต ตาแดงจนฉันสงสาร แต่ฉันก็ต้องวางตัวเฉย ๆ เพราะฉันกลัวว่าย่าจะไม่พอใจไปมากกว่านี้... ปกติแล้วย่าไม่ค
27 กรกฎาคม 2547 18:29 น.
สุชาดา โมรา
คลืด....คลืด....
เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
การที่เราแอบรักใครสักคน ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้ แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
"คุณสัณหศิษฐ์คะ ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ โชคดีนะคะ"
เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว ผมดีใจจริง ๆ...
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์ ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
"คือผม ผม ผม"
"อาการกำเริบเหรอ"
"เปล่าครับ ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ ไม่เห็นว่า...."
"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
"อืม....."
เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์ เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง เธอก็ไปกับผมทุกวัน ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ... รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
วันแล้ววันเล่า ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ ผมรู้สึกหัวหมุน ร่างมันลอย ๆ ชอบกล ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว โอ๊ย....!!!!
ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก ความฝัน ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
"คนไหนคะ"
"คุณทิพย์"
พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่ เสียงพูดคุยกันซอกแซก ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
"ทิพย์เหรอ จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
ผมรู้แล้วละ สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
"เป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ ผมสบายดี คุณหมอ..."
"ว่ายังไง อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
"ฉัน...."
"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว นางฟ้าชุดขาวของผม..."
สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้ นางฟ้าชุดขาวของผม ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด และตลอดไป...
ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้ ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา ลาก่อนนะประตูหัวใจ ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์ ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป
26 กรกฎาคม 2547 17:53 น.
สุชาดา โมรา
ครั้งหนึ่งในชีวิตอันงดงาม ฉันอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของผู้คนมากมาย ฉันมีความสุขเหลือเกิน ฉันได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าอ่อนละมุนและอบอุ่นของแม่และญาติพี่น้องที่ไม่เคยลืมว่าฉันเกิดมาจากไหน อยู่เพื่ออะไรกับครอบครัวนี้
บ้านที่ฉันอยู่ไม่ใหญ่โตสวยงาม แต่มันก็เป็นบ้านที่อบอุ่นและยังมีความรักที่ฉันได้จากผู้ชายคนนี้อีกด้วย ผู้ชายที่ใครต่อใครก็หวงแหน และใครหลาย ๆ คนก็อยากอยู่ใกล้ ๆ เขา
ฉันเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนโยน น่ารัก (แหมชมตัวเองมากไปหรือเปล่าเนี่ย ) กิริยามารยาทก็อ่อนช้อยงดงาม สีหน้านั้นเบิกบานอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่เขาอยู่ใกล้ ๆ ฉันแบบนี้
ฉันรู้สึกอิ่มเอมกับความรักมันทำให้ฉันมีความสุขสดชื่น...ไปหมด
ฉันรู้สึกอบอุ่นเสมอเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ เอาใจใส่ฉัน ฉันจึงรักและหวงแหนเขามาก และรู้สึกว่าจะมากกว่าใคร ๆ เสียด้วย
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ....เช้าสดใส ฝูงนกกาออกหาอาหารแต่เช้า ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่มีแต่ความแจ่มใส ผู้ชายในฝันของฉันตื่นแต่เช้า เขามากวาดเศษใบไม้ใบหญ้า ฉันแอบดูเขาทุกวันฉันรู้สึกว่าเขาขยันดีจริง ๆ ถ้าใครได้เขาไปก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว เขาก็รู้นะว่าฉันแอบมองเขาทุกวัน แต่เขาก็กล้าที่จะมาพูดกับฉัน ร้องเพลงให้ฉันฟังเป็นประจำ ฉันมีความสุขมากทีเดียว
"ผมคิดถึงคุณจังเลยชมพู่ เธอช่างสวยสง่าเหลือเกิน เมื่คืนหลับสบายไหม...เธอทำงานทั้งวันเลยนี่ เธอคงเหนื่อยสินะเพราะช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วมันก็คงใกล้เวลาของเธอแล้วสิ... อ้อ...รักษาสุขภาพด้วยนะ แล้วก็มีลูกเร็ว ๆ"
เขามาพูดแบบนี้กับฉันทุกวัน ฉันเองก็ได้แต่เขินอายไม่กล้าแม้แต่จะบอกหรือถามว่าเขาชื่ออะไร ถ้าจะถามตัวเองว่ารักเขาไหม...ฉันรู้แต่เพียงว่าเขาห่วงใยฉัน ฉันคงขาดเขาไม่ได้แน่ ๆ
ผู้ชายคนนี้เป็นคนหล่อมาก ใบหน้าขาวสวย สวยจนผู้หญิงอายเลยทีเดียว ไม่มีริ้วรอยใด ๆ ริมฝีปากสวย สูงยาว คงประมาณ 190 ซ.ม.ได้ละมั้ง เขาเป็นผู้ชายที่หลาย ๆ คนหมายปองเพราะเขาเป็นคนปากหวาน
เขาชอบมายุ่งกับทรงผมของฉัน เขาชอบตัดผมทรงต่าง ๆ ให้ฉัน หลายรูปแบบ...ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเทห์ดีนะ เพราะสิ่งที่เขาทำให้ฉันก็เหมือนการที่เขาตอบรับรักจากฉันไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เขารู้จักชื่อของฉันดี แต่น่าอายที่สุดที่ฉันกลับไม่รู้จักชื่อของเขาจนกระทั่งวันนี้
"ผมคิดถึงคุณจังเลย..."
"ศักดิ์....มาตัดแต่งกิ่งไม้ต้นนี้ให้แม่หน่อยนะลูก รู้สึกว่ากิ่งมันจะยาวเกินไปแล้ว มันจะดูไม่สวย อ้อ...ทำพุ่มสวย ๆ ด้วยล่ะบางอย่างจะได้ขายได้"
"ครับแม่...ไปก่อนนะชมพู่แล้วจะมาคุยด้วยอีก"
ฉันรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขามาอยู่ใกล้ ๆ พูดหวาน ๆ กับฉันทุกวัน เขาเป็นคนน่ารักจริง ๆ รูปก็งามนามก็ไพเราะ ดูเขาเป็นแมนดีจริง ๆ เลย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวปีนี้ใบไม้ร่วงเต็มพื้น เขาก็มากวาดเศษใบไม้เช่นเดิม
.....................................
ฉันรู้สึกเกิดอาการใจสั่น ๆ หา...ฉันท้องเหรอนี่ เป็นไปได้ยังไงกันที่จู่ ๆ ฉันจะท้องได้... ฉันรู้ตัวดีว่าฉันต้องทำหน้าที่รักษาเผ่าพันธ์ ฉันจึงต้องสละชายคนนี้ไว้ข้างหลังเพราะยังไง ๆ ฉันกับเขาก็คงรักกันไม่ได้ เพื่ออนาคตที่ดีของฉัน ฉันจึงต้องทำหน้าที่สืบสันติวงศ์ เพื่อลูก ๆ ของฉัน หลาน ๆ ตัวน้อย ๆ ของฉันที่กำลังจะถือกำเนิดมาในไม่ช้านี้....
ไม่นานนักฉันก็ได้ถือกำเนิดลูกหลานขึ้นมา ฉันดีใจมากที่ลูกหลานฉันมีมากมาย ฉันดีใจเหลือเกินที่ลูก ๆ หลาน ๆ มีความสุขอยู่กับฉันตลอดเวลา...
ฉันดีใจนะที่เขาไม่รังเกียจฉัน ฉันรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ฉันได้ทำประโยชน์ให้แก่เขา ลูก ๆ หลาน ๆ ของฉันถูกสอยลงเข่งหลายใบทำให้เป็นที่พอใจแก่เขา ฉันคิดไว้เสมอว่าต้นชมพู่อย่างฉันก็สามารถที่จะทำประโยชน์ให้แก่เขาได้ ฉันรักศักดิ์เจ้านายของฉันเหลือเกิน ฉันขอสัญญาว่าจะให้ผลผลิตแก่เขาให้มากที่สุด...