3 สิงหาคม 2547 11:30 น.
สุชาดา โมรา
คลืด....คลืด....
เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
การที่เราแอบรักใครสักคน ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้ แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
"คุณสัณหศิษฐ์คะ ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ โชคดีนะคะ"
เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว ผมดีใจจริง ๆ...
ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์ ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
"คือผม ผม ผม"
"อาการกำเริบเหรอ"
"เปล่าครับ ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ ไม่เห็นว่า...."
"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
"อืม....."
เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์ เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง เธอก็ไปกับผมทุกวัน ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ... รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
วันแล้ววันเล่า ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ ผมรู้สึกหัวหมุน ร่างมันลอย ๆ ชอบกล ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว โอ๊ย....!!!!
ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก ความฝัน ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
"คนไหนคะ"
"คุณทิพย์"
พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่ เสียงพูดคุยกันซอกแซก ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
"ทิพย์เหรอ จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
ผมรู้แล้วละ สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
"เป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ ผมสบายดี คุณหมอ..."
"ว่ายังไง อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
"ฉัน...."
"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว นางฟ้าชุดขาวของผม..."
สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้ นางฟ้าชุดขาวของผม ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด และตลอดไป...
ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้ ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา ลาก่อนนะประตูหัวใจ ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์ ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป
3 สิงหาคม 2547 10:46 น.
สุชาดา โมรา
จิรมลค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ เธอรู้สึกโงนเงน ๆ ปวดหัวแทบแย่ เธอรู้สึกหัวหมุนสับสนในจิตใจ "...เอ๊ะ...ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย..." จิรมลมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสงสัย
"ฟื้นแล้วเหรอ...นี่คอนโดคุณเดย์เป็นคอนโดที่อยู่บนบริษัทคุณเดย์สั่งให้สร้างไว้เป็นบ้านหลังที่สอง...เออแล้วก็เป็นห้องของคุณด้วย ที่นี่มีอยู่สามห้องคุณคงอยู่สบาย...เป็นยังไงบ้างยังเจ็บอยู่หรือเปล่า...หน้าคุณแดงมากเลยนะ" คุณพลพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน
"ฉันอยากกลับบ้านจริง ๆ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว" จิรมลพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ
"คุณรู้ไหมว่าทำไมคุณเดย์ถึงทำแบบนี้" จิรมลส่ายหัว "เพราะเขาต้องการกระตุ้นความสามารถของคุณและพรสวรรค์ในการเป็นนักแสดงของคุณ ซึ่งคุณก็มีจิตใต้สำนึกของการเป็นนักแสดงที่ดี"
"แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย"
"เขาคงมีเหตุผลของเขา..."
"เหตุผลเหรอ...ฉันว่าเขาคงเป็นโรคจิตมากกว่า เขาคงมีความสุขกับการทำร้ายจิตใจของผู้อื่นแบบนี้เสมอเลยใช่ไหม...ฮือ..." จิรมลรู้สึกเสียใจจึงร้องไห้ขึ้นมาอีก คุณพลจึงไม่อยู่รบกวนจิรมลเพราะอยากให้เธออยู่คนเดียวบ้าง
"...ห้องของปีศาจเดย์เหรอ..." จิรมลนึกและชะโงกหน้าไปดูที่ขอบหน้าต่าง "สูงขนาดนี้แล้วจะหนีไปยังไงดี...เอ๊ะ...ข้างนอกมีแผ่นคอนกรีตยื่นออกไปนี่...มันคงต้องได้สินะ" จิรมลคิดวางแผนทำอะไรสักอย่าง
"พลเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง...คงด่าฉันเปิงเลยสิ"
"ผมให้เธอพักผ่อนในห้องก่อน คิดว่าสักพักคงใจเย็นลง...แต่ผมไม่เข้าใจเลยทำไมคุณไปใช้กำลังกับเธอ เธอเพิ่งมาใหม่นะ มันไม่โหดไปหน่อยเหรอ..." คุณพลถามคุณอาสาฬห์
"คนเราถ้าจะหวังแต่ความสบายน่ะ...อนาคตมันก็หมดลงทุกวัน ๆ ไม่มีทางชนะตัวเองได้หรอกเราต้องช่วยผลักดันให้เขาก้าวหน้าต่อไป... ฉันจะไม่ยอมยั้งมือกับเด็กนั่นหรอกจนกว่าจะปลุกพรสวรรค์ที่อยู่ในตัวของเธอให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าเขาทนไม่ได้ก็ให้เขาไป" คุณอาสาฬห์พูดอย่างคนที่ค่อนข้างจะมีความหวัง
แอ๊ด....คุณพลเปิดประตูห้องเข้าไปดูจิรมลแล้วก็ต้องวิ่งออกมาด้วยสีหน้าที่เลิกลัก
"แย่แล้วครับ จิรมลเธอ..." คุณพลตะโกนสุดเสียงทำให้คุณอาสาฬห์วิ่งมาทันที
"เธอจะทำอะไรน่ะ...อย่าคิดสั้นนะ..." คุณอาสาฬห์พูดเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นจิรมลออกไปยืนที่ระเบียงด้านนอก
"อย่าเข้ามานะ...ถ้าคุณเข้ามาฉันอาจตกใจแล้วพลัดตกลงไปได้..." จิรมลตะโกนดังขึ้น
"เอื้อมมือมาสิ..." คุณอาสาฬห์ยื่นมือให้จิรมลจับ ขณะที่คุณอาสาฬห์ดึงแขนจิรมลขึ้นมานั้น ขาของจิรมลเกิดติดอยู่ที่รูคอนกรีตทำให้อาสาฬห์ตกใจเป็นอย่างมาก พลจึงวิ่งเข้ามาช่วยดึง
"ช่วยด้วย...ฉันจะตกแล้ว..." ทั้งสองคนจึงช่วยดึงขึ้นมาจนขาจิรมลหลุดออกจากรูคอนกรีต
"ตัวหนักเหมือนกันนะเรา...อึบ..." คุณอาสาฬห์อุ้มจิรมลลงมาจากหน้าต่างแล้วก็สั่งคุณพลให้พาจิรมลไปส่งทันที
"ทำไมคะ..."
"ผมเข้าใจแล้วว่าคุณไม่อยากอยู่ที่นี่ถึงขนาดจะฆ่าตัวตาย ฉันจึงให้เธออยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอกลับไปเถอะ..."
"ฉันไม่กลับแล้ว ฉันจะสู้และลบคำสบประมาทของคุณให้ได้"
"...เนี่ยแหละสิ่งที่ผมต้องการ..." คุณอาสาฬห์นึก
"งั้นผมยกห้องนี้ให้คุณอยู่...แล้วอย่าคิดสั้นอีกนะ" คุณอาสาฬห์ขยี้หัวจิรมลราวกับคนคุ้นเคย อาจเป็นเพราะคุณอาสาฬห์ก็ดู ๆ จะเอ็นดูจิรมลเป็นพิเศษ แต่จิรมลไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก จิรมลกลับคิดว่าคุณอาสาฬห์ผีเข้าผีออกซะมากกว่า
ห้องของคุณอาสาฬห์เป็นห้องที่ตกแต่งเป็นพิเศษ ซึ่งจะหาห้องแบบนี้ได้ยากนอกจากท้องฟ้าจำลอง จิรมลนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียง เธอมองท้องฟ้าที่สดใส มีดาวประดับประดาอยู่เต็มท้องฟ้า เพราะห้องนี้เป็นห้องที่คุณอาสาฬห์ใช้สำหรับดูดวงจันทร์ยามเที่ยงคืน เวลาเหงา ๆ คุณอาสาฬห์จะมาดูดวงจันทร์และท้องฟ้าที่ห้องนี้ อุณภูมิในห้องนี้ค่อนข้างหนาวเย็น มีกระจกเกือบจะรอบห้อง เป็นกระจกใสอยู่บนเพดาน และทางทิศเหนือของห้อง ลักษณะเป็นแปดเหลี่ยม แต่ส่วนที่เหลือเป็นวอลเปเปอร์ไม้สักซึ่งทำเป็นฝาเฟี้ยมของเรือนไทย ทำให้จิรมลยิ่งหลงไหลในห้องนี้มากขึ้น
"อุ้ย...เช้าแล้วเหรอเนี่ย เรานอนตื่นสายเชียว อืม...ออกไปเล่นไอซ์สเก็ตดีกว่าเพราะเราก็ไม่ได้เล่นมานานแล้วเหมือนกันและโชคดีนะที่ข้างล่างมีห้องให้เล่น" จิรมลยืนพูดกับตัวเองแล้วก็รีบลงไปเล่นไอซ์สเก็ตข้างล่างบริษัท จิรมลผสมผสานระหว่างบัลเลต์ที่เรียนมากับยิมนัสติครวมกันเป็นท่าที่สวยงาม เมื่อนำมาใช้เล่นไอซ์สเกต์แล้วยิ่งเกิดเป็นภาพที่ตราตรึงคนดูที่กำลังจับจ้องอยู่ข้าง ๆ ยิ่งนัก
"เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริง ๆ เหมือนที่คุณเดย์บอกเอาไว้เลยนะ"
"ใช่ หุ่นก็ดี หน้าตาก็น่ารักทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาคนรอบ ๆ ข้างมากขึ้น เธอนี่ทั้งขาวสวยราวกับเทพธิดาในน้าแข็งเลยนะ ดูสิไอเย็น ๆ โอบล้อมตัวเธอไว้แหม อยากลงไปเล่นใกล้ ๆจัง"
"อ้าวคุณพล คุณมาดูเด็กคนนี้ด้วยเหรอ"
"เอ่อ...ครับ แล้วคุณแมนกับคุณทิพย์ล่ะ...สนใจเหมือนกันละสิ"
"เอ๊ะ...!!!คุณพล คุณดูนั่นสิ นั่นมันพวกนักแสดงหน้าเก่า ๆ ทั้งนั้นนี่ แล้วเข้าไปล้อมเธอทำไม สงสัยงานนี้มีเรื่องแน่ ๆ เลย"
"ดูท่าทีไปก่อน" พวกโปรดิวเซอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดคุยถึงแต่เรื่องของจิรมล
.................................
"ได้ยินว่าเธออยู่ชั้นบนกับคุณเดย์เหรอ"
"ค่ะ...ก็ต้องอาศัยอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้"
"ไหนวันนั้นเห็นพูดว่าอยากจะกลับบ้านไง วันนี้ทำไมยังมาปั้นหน้าอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ"
จิรมลรู้สึกสะเทือนใจมากเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากคนเหล่านี้ เธอรู้สึกแย่มากทีเดียว
"หยุดเดี๋ยวนี้นะพวกเธอทำอะไรน่ะ....!!!!"
"คุณพล...พวกเราแค่ทักทายกันเฉย ๆ ไม่มีอะไร"
"ให้มันจริงเถอะ...."
"อุ้ย...!!!นั่นคุณเดย์มาแล้วพวกเราไปหาคุณเดย์กันเถอะ"
แล้วพวกนักแสดงพวกนั้นก็แห่กันไปหาคุณอาสาฬห์ สักพักคุณอาสาฬห์ก็เรียกให้ทุกคนไปรวมตัวกันเพื่อซ้อมละคร ทุกคนมีบทกันอยู่แล้วยกเว้นจิรมล
"เรามาเริ่มบทแรกเลยนะ ฉากนี้เป็นตอนที่พ่อดูลูกแสดงไอซ์สเก็ต...อ่ะผมให้บทนางเอกบทนี้แก่จริมล"
คุณอาสาฬห์โยนบทให้จิรมล จิรมลถึงกับตกใจมากเพราะบทนี้คล้ายกับชีวิตของเธอเหลือเกิน เธอจึงรู้สึกว่านี่มันคือชีวิตของเธอ จากนั้นเธอก็วิ่งไปที่ลานและเต้นรำอย่างสวยงาม ท่วงท่าที่อ่อนช้อย สีหน้าที่อ่นหวานแจ่มใส เธอหมุนตัวไปรอบ ๆ ทำให้ทุกคนพากันปรบมือกันใหญ่ และก็จบลงด้วยท่าที่สวยงาม
แปะ แปะ แปะ....
"เก่งมากลูกพ่อ"
จิรมลวิ่งเข้าไปกอดนักแสดงที่สวมบทเป็นพ่อด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่าชายคนนี้เป็นพ่อของเธอเอง
"พ่อคะ...หนูทำได้แล้วค่ะ"
เมื่อเธอพูดด้วยสีหน้าและแววตาที่ใสซื่อทุกคนจึงจ้องมองเป็นตาเดียวกัน และก็มีเสียงประกาศดังขึ้น
"รางวัลชนะเลิศให้แก่นางสาวรัตติกาล จากมหาวิทยาลัยธุรกิจสื่อสารค่ะ"
จิรมลสวมบทเข้าไปเป็นรัตติกาลขึ้นไปรับเหรียญทองด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
"คัท....!!!!ดีมากเลยจิรมล...พักหน้ากล้องได้แล้ว"
"ถ่ายจริงเหรอคะ..."
"ก็จริงน่ะสิ"
"ทำไมไม่บอกกันบ้างล่ะคะ..."
"ถ้าบอกเธอก็เกรงหมดสิ เป็นธรรมชาติแบบนี้แหละดีแล้ว"
จิรมลเข้าไปซักถามคุณอาศาฬห์ด้วยน้ำเสียงใส ๆ อย่างเด็กไร้เดียงสา สักพักเธอก็ได้ยินเสียงคนซอกแซกกันจนหนาหู
"เด็กคนนี้เก่งจริง ๆ ด้วยเนาะ"
โปรดติดตามตอนต่อไป...ใครที่จะเป็นคนที่มี 2 บุคลิก ใครที่จะทำความฝันเป็นจริงบ้าง พวกเขาจะเป็นอย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามมาโดยตลอดค่ะ
3 สิงหาคม 2547 10:35 น.
สุชาดา โมรา
"คุณพล ๆ ตอนที่คุณไม่อยู่มีคนมาขอทำข่าวถึง 6 รายการเชียวค่ะ" ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับคุณพลราวกับสนิทกันมาก แต่ก็ดูท่าทางเขายำเกรงคุณพลไม่ใช่น้อย
"พล...เด็กคนนี้ใช่ไหมที่คุณเดย์บอกว่าจะต้องพาตัวมาให้ได้...เออน่ารักดีนะ ชื่อไรน่ะ"
"อย่าเพิ่มถามน่า...เดี๋ยวคุณเดย์ก็บอกเองนั่นแหละ"
คุณพลตอบชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ขึงขัง ดู ๆ ทุกคนที่นี่จะยำเกรงคุณพลเหมือนกัน
"....เอ๊ะ...!!! ทำไมทุกคนจึงมองเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาด..." จิรมลนึก
..........แอ๊ด..........คุณพลเปิดประตูให้ลงไปในทางแคบ ๆ มีเพียงแสงไฟที่เป็นสีแดงดูน่ากลัวมาก ทางตรงนี้เป็นทางห้องใต้ดินบรรยากาศตามทางก็วังเวงดูน่ากลัวทำให้จิรมลรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ จนพูดไม่ออก
"....รู้สึกกลัว ๆ ยังไงบอกไม่ถูก หนาว ๆ ด้วยแฮะ...สงสัยจังว่าคุณพลพามาที่นี่ทำไม ฉันรู้สึกตื่นเต้นและก็หวาดกลัวเป็นพิเศษ...มันน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ฉันเจอมาซะอีก"จิรมลนึก
เมื่อคุณพลเปิดประตูอีกบานและพาจิรมลเข้าไปข้างใน แอร์ที่เปิดเย็นเฉียบ มีแสงและลานเวทีที่ดูเหมือนจริง ทั้งฉากและผู้คนที่แต่งกายทำให้จิรมลรู้ทันที่ว่านี่มันคือโรงซ้อมละคร
"เอ๊ะ....!!!คุณพลนี่มันโรงซ้อมละครนี่คะ"
"ครับ" คุณพลตอบด้วยท่าทางขึงขัง
"ยังไม่ได้!!!....แสดงให้ดีกว่านี้เป็นหรือเปล่า!!!.......?" เสียงชายคนหนึ่งดังเกรี้ยวกราดขึ้นมาทำให้จิรมลยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่
"คุณต้องพบพ่อที่เคยเกลียดใช่ไหม คุณเป็นคนทำให้พ่อต้องสูญเสียอนาคตไปใช่ไหม และคุณต้องโผเข้ากอดเขาด้วยความรู้สึกที่ผิด จำได้หรือเปล่า...!!!....ไม่ใช่ว่ามายืนแข็งเป็นตอไม้....โถ่...ไม่ได้เรื่องเลย....ซ้อมใหม่...!!!!"
เสียงชายคนนั้เกลี้ยวกราดจนจิรมลรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ แต่จิรมลก็อยากที่จะเห็นหน้าชายคนนั้นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมจึงดุดันได้ขนาดนี้
"ทำไมยังไม่ดีขึ้นอีก..ใบ้กินหรือไง...!!!ตอบมาเร็ว หลับอยู่หรือไง...หา....!!!...โถ่โว้ย...นี่ผมจะบ้าตายเพราะพวกคุณอยู่แล้วนะ" ชายคนนั้เกรี้ยวกราดอีกครั้ง แล้วก็ค่อย ๆ สบัดผมและหันมาช้า ๆ
"....ผู้หญิงคนนั้นเขาแสดงดีแล้วนี่นา ทำไมถึง...อ๊ะ...!!!คุณเดย์นี่...ทำไมดูน่ากลัวจัง...ฉันกลัวไปหมดแล้วนะ..." จิรมลยืนดูอยู่กับกลุ่มนักแสดงข้างล่างพร้อมกับคิดเรื่องที่เห็นคุณอาสาฬห์เกรี้ยวกราดกับนักแสดงด้วยความกลัว
"คุณพล...ฉันว่าเราควรออกไปก่อนดีกว่านะวันนี้อย่าเพิ่งมาพบเขาเลยเขาอารมณ์ไม่ดี กำลังโมโหโกธาอยู่อย่าไปยุ่งดีกว่านะนะ..." จิรมลค่อย ๆ กระซิบ
"เปล่า...เขาปกติไม่ได้โมโหหรืออะไรหรอก แต่เขาเป็นคนที่จริงจังเกินไป นี่เขาแค่พูดตรง ๆ เท่านั้นนะเนี่ย กลัวเหรอ"
จิรมลถึงกับอึ้งทีเดียวที่ได้ยินคุณพลพูดแบบนั้น
".....เนี่ยเหรอที่บอกว่าปกติ น่ากลัวจริง ๆ เลย ไม่อยากอยู่แล้ว..." จิรมลนึกและค่อย ๆ แทรกตัวออกจากที่นั่นทันที
ผู้หญิงคนนั้นยังคงแสดงต่อ
"พ่อคะ..."
พรวด...ซ่า...คุณอาสาฬห์ถึงกับเอาน้ำมาสาดหน้าผู้หญิงคนนั้นทันที ยิ่งสร้างความน่ากลัวจิรมลเป็นอย่างมาก จิรมลถึงกับยืนตัวเกร็งอยู่ที่มุมห้องทีเดียว
"ตาสว่างหรือยัง...!!! ผมจะซ้อมให้เองหันมานี่...!!!" คุณอาสาฬหืกระชากบทออกจากมือผู้หญิงคนนั้นแล้วก็โยนเอาไว้ที่ข้างเวที แล้วก็พูดขึ้น "ในเรื่องพ่อของคุณตามใจคุณมาก คุณอยากได้อะไรก็จะหามาให้ วันหนึ่งพ่อขับรถออกไปซี้อของตามที่คุณต้องการ จึงขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งรถเบรคไม่อยู่ชนคนตาย พ่อของคุณจึงมีชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องติดคุกหลายปี พอออกมาจากคุกผู้คนก็เฉยเมยกับเขา เขาตกงาน ครอบครัวก็ขับไล่ เขาจึงต้องทิ้งครอบครัวและหนีจากสังคมไปอยู่ในป่า มีชีวิตที่โดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนคนที่อยู่แล้วตายทั้งเป็น..."
เมื่อจิรมลได้ยินก็ทำให้เธอคิดถึงพ่อทันที
"ตอนแรกคุณก็โกรธพ่อและเฉยเมยต่อเขา ต่อมาเมื่อคุณโตขึ้นมีความคิดมากขึ้น คุณอยากพบพ่ออีกครั้ง...ในตอนนี้เองพอคุณได้พบพ่อคุณจะเรียกเขาว่าอะไร ต้องใช้อารมณ์ไหน...!!!"คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
"พ่อคะ...." ผู้หญิงคนนั้พูดขึ้น
จิรมลคิดว่าถ้าเธอได้พบพ่ออีกครั้งตอนที่ท่านยังอยู่เมืองไทย เธอจะขอโทษพ่อเพราะเธอรู้สึกผิดและโทษตัวเองมาโดยตลอดว่าเพราะเธอพ่อจึงต้องป่วยหนัก เธออยากเจอและทำดีกับพ่อของเธอให้มากกว่านั้น... "...คุณพ่อคะ..." จิรมลนึกและก็น้ำตาคลอเบ้า
"พอก่อน...!!! เมื่อกี้คุณใช้อารมณ์ไหน...ลืมบทหรือไง...!!! ถ้าคุณคิดว่าคนที่แสดงเป็นพ่อได้แค่ลมปาก คุณมองเห็นเขาเป็นเพศตรงข้าม เป็นคู่รักหรือคนที่คุณสนใจมันก็จบ...ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริง ๆ ....คุณถูกปลดแล้ว..." คุณอาสาฬทำท่ากุมขมับเดินออกไปที่ขอบเวทีจากนั้นก็หันกลับมาชี้หน้าผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับขว้างบททิ้ง "โถ่โว้ย...!!!!"
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับร้องไห้โฮทีเดียว ทำให้จิรมลทั้งสงสารผู้หยิงคนนั้นและก็อินกับบทที่คุณอาสาฬห์พูดให้ฟัง เธอถึงกับร้องไห้โฮเสียงดังเพราะสงสารผู้หญิงคนนั้นและคิดถึงพ่อของเธอมาก
"ใครร้องไห้น่ะ...ผมถามว่าใคร...!!! ขึ้นมานี่ซิ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นพร้อมกับเสียงที่เกรี้ยวกราด ท่าทางขึงขังเหมือนคนบ้าเลือดทำให้จิรมลรู้สึกกลัวมากขึ้น ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็จ้องมองมาที่มุมห้องตรงที่จิรมลนั่งกองอยุ่กับพื้นและร้องไห้อยู่...
"คุณจิรมล...คุณเดย์เรียกแล้วครับ" คุณพลเดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือไปฉุดให้จิรมลลุกขึ้น
"ฮือ.....ไม่เอา...ไม่ ไม่ ฉันไม่ขึ้นไป...." จิรมลร้องไห้เสียงดัง
"คุณมลครับขึ้นไปเถอะ...คุณเดย์ไม่ทำอะไรหรอก"
"ไม่จริง.....คุณพลโกหก"
จิรมลท่าทางจะไม่ยอมขึ้นไปบนเวทีง่าย ๆ คุณอาสาฬห์จึงลงมาคว้าข้อมือเดินขึ้นไปบนเวทีทันที ทุกคนถึงกับเงียบและมองเป็นตาเดียว
"ผมขอแนะนำสมาชิกใหม่ นี่จิรมล สุวรรณพฤกษ์ เธออายุ 17 ปี เธอจะมารับบทนางเอกเรื่องคนความเงียบ..."
"ฉะ...ฉันต้องมาเรียนการแสดงไม่ใช่มาเล่นละคร...!!!" จิรมลพูดเสียงดังขึ้น
ผวัะ....คุณอาสาฬห์ถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ตบหน้าจิรมลทันที ทำให้จิรมลงงทำอะไรไม่ถูก "...นี่มันอะไรกันเนี่ย..." จิรมลนึก
"พล...นายทำไมมาช้าจัง ฉันรอตั้งนานแล้วนะ...!!!" คุณอาสาฬห์ทำเสียงเกี้ยวกราดใส่คุณพลจนทำให้คุณพลหน้าเสีย
"คือผมมานานแล้วครับ แต่เห็นคุณยุ่ง ๆ อยู่ผมจึงยืนดูคุณซ้อมบทให้แพรทองอยู่ข้าง ๆ น่ะครับ" คุณพลพูดขึ้น
"...ฉันต้องเป็นนักแสดงเหรอ ที่ตกลงกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่...ทำไมคน ๆ นี้มีสิทธิ์อะไร...ทำไมถึงมาตบหน้าเรา ตบต่อหน้าคนอื่นด้วย ฉันรู้สึกเสียหน้าเหลือเกิน ทำไมนะ..." จิรมลนึกพร้อมกับนั่งกองอยู่กับพื้นเวที ตัวเธอรู้สึกหน้าชาทำอะไรไม่ถูก...เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำอย่างไรดี ทุกคนที่นี่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเลย
"ฉันจะกลับบ้าน...!!!" จิรมลวิ่งลงจากเวที คุณอาสาฬห์จึงเข้ามาฉุดแขนไว้
"ปล่อย...ปล่อยฉันนะ...ปล่อย!!!!" จิรมลร้องจนสุดเสียง
ผวัะ...จิรมลหันไปตบหน้าคุณอาสาฬห์
"ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ" จิรมลตกใจมากที่ตนเองตบหน้าคุณอาสาฬห์ ทุกคนในห้องต่างมองกันเป็นตาเดียวและก็ซุบซิบนินทาซอกแซก ๆ กันยกใหญ่
"...พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับเราอย่างนี้เลย...ทำไมนะ...โหดร้ายที่สุด..." จิรมลนึก
"คุณเดย์ครับ คุณเดย์...!!!ผมว่าเธอเพิ่งมานะครับ เราควรจะให้เธอพักผ่อน"
"อย่ามายุ่งนะ...นายพล...!!!" คุณอาสาฬห์พูดเสียงดังพร้อมกับทำหน้าตาขึงขัง "เธออยากเรียนการแสดงไปทำไมถ้าเธอคิดว่าจะไม่เป็นนักแสดง เธอรู้ตัวไหม...ว่าฉันเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะเอาตัวเธอมาได้ เธอรู้ตัวเองหรือเปล่าว่าเธอทำให้พ่อเธอต้องป่วย เธอคิดจะกลับบ้านง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ...มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือไง" คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันทำให้จิรมลกลัวจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอฟุบตัวลงกับพื้นต่อหน้าผู้คนมากมาย...เธอรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
"คุณเดย์ครับ...เธอสลบไปแล้วครับ" คุณพลพูดขึ้น
"เธอแค่ทำสำออยเท่านั้นแหละ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ผมจะพาเธอไปส่งที่ห้องพัก..." คุณพลอุ้มจิรมลเดินออกมาจากในห้องซ้อมละครทันที พวกนักแสดงหลายคนยืนดูด้วยความสนใจ และซุบซิบนินทากัน
โปรดติดตามตอนต่อไป...รับรองว่าเรื่องจะเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ...จิรมลจะทำอย่างไร คุณอาสาฬห์จะทำฝันของเธอและเขาสำเร็จหรือไม่....
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
3 สิงหาคม 2547 10:27 น.
สุชาดา โมรา
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ......เสียงเพจเจอร์ดังไม่หยุด ฉันเดินลงมาจากเบาะยูโดและอ่านข้อความ เมื่อฉันอ่านก็พบว่าพี่นัทกำลังจะกลับมา ฉันถึงกับรู้สึกตัวลอย พี่นัทคิดถึงฉัน ยังเป็นห่วงฉันถึงกับเพจมาบอกว่าจะมาถึงภายใน 2 วัน ฉันรีบปิดเพจเจอร์แล้วก็ขึ้นไปซ้อมต่อด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
"แหมอารมณ์ดีจังนะ...สงสัยว่าจะได้รับข่าวดี แต่อย่าให้จับได้นะว่ายังติดต่อกับพี่นัท ถ้าจับได้ละก็น่าดู"
"เหมี่ยว ว่างนักเหรอเป้นแค่สายขาวอย่ามายุ่งกับสายฟ้านะฉันไม่ชอบให้เธอว่าข้ามรุ่น"
ฉันรู้สึกหมั่นไส้เหมี่ยวจริง ๆ ที่พูดแบบนี้ ฉันเกือบจะระงับความโกรธไว้ไม่อยู่แล้ว เสียอารมณ์จริง ๆ วันนี้อุตส่าห์มีเรื่องดี ๆ แล้วนะยายนี่กลับมาทำให้เสียฟิวหมด ฉันรู้สึกหงุดหงิดจริง ๆ เพราะฉันกับเหมี่ยวเป็นศัตรูกันไปแล้วและก็ไม่อาจจะมาดีกันได้ ที่จริงฉันว่าแค่เลิกกับแฟนก็ไม่ทำให้ฉันถึงกับตายหรอก แต่ที่มันจะทำให้ฉันตายก็เพราะเพื่อนเลว ๆ คนนี้แหละที่ยั่วยุเพื่อนหลาย ๆ คนให้มาทำร้ายฉัน มันจึงทำให้เราเข้าหน้ากันไม่ติด
สองวันผ่านไปพี่นัทมาที่สมาคมฯ ฉันนะดีใจมากทีเดียวแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์ไว้เพราะเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปแสดงความยินดีกับพี่เขาได้ พี่เขาได้เหรียญทองกลับมา ได้ถ้วยแชมป์อาเซี่ยนมา เขาเอาวางไว้ที่หลังตู้แล้วก็ขึ้นมาซ้อมยูโดแล้วพี่นัทก็เดินไปที่ห้องแต่งตัว...
"อุ้ย....เหมี่ยวเลือดนี่ พี่บอกแล้วว่าอย่ามาซ้อมกำลังท้องอยู่ไม่ใช่เหรอ"
เสียงพี่ทิพย์ร้องเสียงหลงทำให้ทุกคนหันมาจับจ้องที่เหมี่ยว
"ไม่ต้องตกใจค่ะเป็นเม็น ไม่ได้ตกเลือด จะบ้าเหรอเหมี่ยวไม่ได้ท้องซะหน่อย"
ทุกคนเงียบกันหมด ที่แท้เหมี่ยวก็โกหกเรา บอกว่าท้องเพื่อที่จะให้เราเลิกกับพี่นัท เหมี่ยวนี่ใช้จุดอ่อนของเพื่อนมาทำลายเพื่อนชัด ๆ แต่เหมี่ยวก็ยังไม่รู้หรอกว่าคนที่จุดธูปนั่งคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างหน้าคือพี่นัท เพราะพี่นัทกลับมาคราวนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก พี่นัทไว้ผมยาวกลับมาเหมี่ยวจึงจำไม่ได้เผลอหลุดพูดออกไป เมื่อพี่นัทปักธูปแล้วก็หันกลับมามองเหมี่ยวด้วยสายตาที่โกรธอย่างถึงที่สุดเหมี่ยวถึงกับพูดไม่ออกทีเดียว แล้วก็วิ่งไปที่ห้องแต่งตัวผู้หญิง
"เหมี่ยว....เหมี่ยว!!!!"
พี่นัทเรียกเหมี่ยวจนเสียงเขียวแล้วก็วิ่งตามไปที่ห้องแต่งตัวผู้หญิงทันที พี่นัทยืนรอเหมี่ยวอยู่นานเหมี่ยวก็ไม่ออกมา จนกระทั่งพี่ขวัญเอากุญแจไปไขห้องแล้วก็พาตัวเหมี่ยวออกมา ทุกคนที่สมาคมฯถึงกับมองเหมี่ยวเป็นสายตาเดียวกัน เพราะทุกคนรู้ตัวว่ากลายเป็นคนโง่ที่ให้เหมี่ยวหลอกอยู่จนหลายเดือน วันนี้ทุกคนไม่เป็นอันซ้อมมารุมดูเหมี่ยวและพี่นัททะเลาะกัน
"เหมี่ยวเธอโกหกพี่ทำไม..."
เหมี่ยวเงียบไม่ตอบอะไรแล้วก็ทำท่าสลด ๆ เหมือนกับยอมรับผิด
"เหมี่ยวรู้ตัวไหมว่าเหมี่ยวทำลายความสุขของคนรักกัน เหมี่ยว...พี่ถามจริง ๆ เหอะว่าไอ้ที่เรียนยูโดไปมันไม่สอนให้จิตใจของเหมี่ยวสะอาดบ้างเหรอ...ทำไมเหมี่ยวถึงทำแบบนี้"
พี่นัทต่อว่าเหมี่ยวแล้วก็น้ำตาซึม หันมามองฉัน เหมี่ยวก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วย พี่ดอนจึงพาตัวฉันแยกออกจากกลุ่มพี่ ๆ ที่มุ่งดูพี่นัทกับเหมี่ยว
"ไป...ไปซ้อมดีกว่า"
ฉันจึงเดินไปซ้อมกับพี่ดอน แต่สายตาของฉันก็ยังอาลัยอาวรพี่นัทและอยากจะรู้เรื่องของเหมี่ยว เพราะนี่มันเรื่องที่เกี่ยวโยงกับฉันโดยตรง"
"ดาว พี่ถามตรง ๆ นะว่าถ้านัทเลิกกับเหมี่ยวแล้วนัทมาขอคืนดีดาวจะหันไปคบกับนัทหรือเปล่า"
พี่ดอนทำเสียงเศร้า ๆ ฉันรู้สึกสงสารพี่ดอนซะจับจิตจับใจฉันจึงตอบไปตรง ๆ เลยว่าฉันไม่มีทางกลับไปหรอก เพราะฉันไม่อยากจะแย่งสามีของเพื่อน ยังไง ๆ เหมี่ยวก็เป้นเมียพี่นัท ฉันไม่กล้าพอที่จะแย่งชิงเขามาหรอก และใจจริงลึก ๆ แล้วถึงฉันจะรักพี่นัทมากแค่ไหนแต่ฉันก็จะไม่กลับไปหรอกเพราะฉันไม่อยากถอยกลับไปเริ่มใหม่ เมื่อก้าวพ้นออกมาแล้วก็ปล่อยมันทิ้งไปเลยเสียดีกว่า อย่าไปรื้อฟื้นความหลังอีก
"ดาวสัญญานะว่าดาวจะไม่ทำแบบนั้น เชื่อในเกียรติของดาวสิ"
พี่ดอนถึงกับยิ้มหน้าบานทีเดียว ฉันก็ซ้อมยูโดต่อ แต่จิตใจของฉันก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าเขาทั้งคู่เป็นยังไงบ้าง ยังคบกันอยู่หรือเปล่า
วันนี้คนที่ซ้อมยูโดจริง ๆ จัง ๆ ก็มีเพียงฉัน พี่ดอน พี่ตูน และพี่เต้เท่านั้น คนอื่น ๆ ก็ไปมุงดูคู่นั้นเขาทะเลาะกัน ส่วนอาจารย์ก็ไม่มาเพราะไปเป็นกรรมการสนามกันหมด ฉันรู้สึกว่าไอ้เรื่องไทยมุงนี่คนเรายังไม่เลิกซะที ยังสนอกสนใจอยู่กับเรื่องราวของชาวบ้านอยู่ สังคมมันถึงแย่แบบนี้ไง...เฮ้อ....เห็นแล้วก็หนักใจ ต้องถอนหายใจอยู่หลายครั้งทีเดียว ฉันเลิกซ้อมก็เข้าไปในห้องแต่งตัวฉันเห็นพี่ ๆ หลายคนนั่งอยู่ในห้องซุบซิบนินทากันอยู่ ถึงแม้ว่าฉันจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องที่พิพาทกันวันนี้แต่ฉันก็ต้องระงับสติเก็บใจไว้ทำตัวเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะฉันไม่ควรรับรู้เรื่องนี้อีกแล้ว
"ดาว...เธอรู้เรื่องหรือยัง"
"เรื่องอะไรคะพี่ทิพย์"
"เรื่องเหมี่ยวกับพี่นัทไง"
"ช่างเขาเถอะ...ไม่อยากรู้แล้วละ"
ฉันเดินออกจากห้องแต่งตัวพร้อมกับเก็บผ้าไปซักที่บ้านพี่ ๆ ผู้หญิงหลายคนวิ่งตามฉันออกมา ฉันเดินไปหาพี่ดอนแล้วก็มานั่งดื่มนมที่ศาลา
"ทำไมมีอะไร"
"เออ...ถามกวน ๆ อีกแล้วนะไอ้ดอน"
"มีอะไรเหรอพี่ทิพย์"
"ดาว นัทขอเลิกกับเหมี่ยวแล้ว เหมี่ยววิ่งไปง้อนัทแต่ไม่สำเร็จตอนนี้เหมี่ยวน่าสงสารมากแต่ก็สมน้ำหน้าเหมือนกัน ดาวพี่ถามหน่อยเถอะจะไปดีกับนัทหรือเปล่า"
คำพูดนี้ทำให้ฉันอึ้งอีกครั้งเพราะพี่ทิพย์กล้าที่จะถามฉันต่อหน้าพี่ดอน จะให้ฉันทำยังไงดีนะ พี่ทิพย์...อย่าเพิ่งมาพูดอะไรตอนนี้เลยนะ
ถึงแม้ว่าใจฉันจะหวั่นไหวเมื่อรู้ข่าวของพี่นัทเพียงใด ฉันอยากที่จะไปดีกับเขาแค่ไหน แต่ก็นั่นแหละฉันไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้พี่นัทเป็นรักแรกในดวงใจที่ฉันไม่อาจจะเลือกได้ว่าฉันจะทำยังไงดี ฉันอยากอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะฉันต้องแคร์ความรู้สึกของคนข้างเคียงฉันอีกคนหนึ่ง พี่ดอนก็เป็นคนดีน่านับถือคนหนึ่งถึงแม้ว่านิสัยจะเข้ากันไม่ได้แต่เขาก็เป็นคนที่จริงใจและจริงจัง ฉันไม่อาจจะทำได้หรอก ฉันทำไม่ได้ที่จะทำให้ใครต้องเสียความรู้สึกเพราะอย่างน้อย ๆ ฉันก็มีใจให้เขาบ้างไปแล้วถึงแม้ว่าจะไม่เท่าพี่นัทก็ตาม...
ฉันเดินออกมาจากสมาคมฯด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจอย่างเป็นที่สุด ความลับที่แอบแฝงของเหมี่ยวได้ถูกเปิดโปงเสียที ต่อไปนี้ทุกคนก็คงไม่ต้องมาหนักใจกับเรื่องของเหมี่ยวและพี่นัทรวมทั้งฉันอีกแล้ว เพราะฉันไม่ใช่มือที่สามของใครต่อไป ฉันเดินขึ้นรถเมย์แล้วก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะกับชายคนหนึ่งที่ฉันไม่รู้จัก แต่กลิ่นน้ำหอมของเขาคุ้นเคยดีจัง... พี่ดอนไม่ไปส่งเพราะต้องฟิตซ้อมเพื่อที่จะไปแข่งระดับเอเชียที่สิงคโปร์เร็ว ๆ นี้ฉันจึงขึ้นรถมาลำพัง
"ดาว...."
ชายคนที่นั่งใกล้ ๆ หันหน้ามาคุยกับฉัน เสียงนี้คือเสียงที่คุ้นหูที่สุด พี่นัท....ฉันอึ้งมาก ๆ ที่จำเขาแทบไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ฉันเพิ่งเจอเขา...เขาน่าสงสารมาก แววตาของเขาเศร้าหมองเมื่อฉันเห็นแบบนี้แล้วจิตใจมันก็ไหวสั่น ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรที่จะอยู่ใกล้ ๆ เขาในเวลานี้ แต่ในเมื่อเขาทุกข์ฉันก็ขอเป็นคนที่ปลอบโยนเขาก็น่าจะได้นี่
"ดาว...พี่ขอโทษในสิ่งที่พี่พลาดไปนะให้อภัยพี่ได้ไหม"
"ดาวไม่ได้คิดโกรธพี่หรอกนะ"
ฉันยิ้มด้วยสายตาที่เบิกบานทั้ง ๆ ที่ภายในลึก ๆ แล้วมันยังกังวลใจอยู่กับเรื่องนี้
"ดาว...พี่รู้สึกเสียใจมากที่พี่ต้องมาเจอในสิ่งที่เลวร้ายแบบนี้ สิ่งที่พี่เกลียดที่สุดคือการโกหก แต่พี่กลับต้องมาเจอด้วยตัวเอง พี่น่าจะเฉลียวใจสักนิดในคำพูดของดาววันนั้นว่าคนท้องอะไรมาเล่นยูโดได้ พี่นี่มันโง่งมงายจริง ๆ พี่เสียใจ...ดาว พี่จะทำยังไงดี"
"ใจเย็น ๆ ใช้สติสิ อย่าเก็บความทุกข์ไว้ในใจระบายมันออกมาให้หมด แล้วอย่าฝังมันไว้ในใจอีกนะพี่นัท ดาวไม่อยากให้พี่ต้องมาจมปลักอยู่กับสิ่งเลวร้าย อนาคตของพี่คือแชมป์และยังเป็นแชมป์ต่อไป อย่าเอาเรื่องบ้า ๆ เก็บมาเครียดนะ"
.............................................
เมื่อรถจอดที่ท่ารถแถวบ้าน ฉันเดินลงจากรถมาพร้อมกับพี่นัท พี่นัทมาพูดปรึกษาฉันให้ฉันช่วยแต่ฉันคงทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งฟังในสิ่งที่เขาพูดเท่านั้น ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่ฉันรู้ว่าฉันรู้สึกสงสารเขามาก
"ดาว เหมือนเดิมได้ไหม"
คำพูดนี้มันมาย้ำจิตใจให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวอีกครั้ง ฉันต้องข่มใจและบอกกับตัวเองว่าอย่า...อย่าดีกว่านะ อย่าทำให้ใครอีกคนต้องเจ็บอีกเลย ในเมื่อฝ่ายนี้เจ็บอยู่แล้วก็ปล่อยให้เขาเจ็บต่อไปเถอะอีกหน่อยเวลาจะเป็นที่รักษาแผลใจของเขาเอง
"ดาวคงไม่อาจทำแบบนั้นได้หรอกนะ พี่นัททำใจเถอะ"
"หมายความว่าดาวรักดอนใช่ไหม"
"มันก็ไม่เชิงหรอก ทำใจนะแล้วก็ใช้สติตัดสินแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อย่าเสียใจในสิ่งที่พลาดไป วันต่อไปยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่รอคอยพี่อยู่ เราไม่ใช่เนื้อคู่กันหรอก พี่นัทต้องอดทนและอยู่เพื่ออนาคตตัวเองอย่าคิดสั้นนะเพราะมันจะทำให้คนอื่นทุกข์ไปใหญ่ พี่นัทอย่าทำร้ายตัวเองเข้าใจไหม ถ้ารักดาวจริงพี่ต้องรักตัวเอง..."
ฉันปลอบใจเขาได้เพียงเท่านี้แหละ เพราะฉันไม่อาจจะปลอบใจเขาได้มากมายเหมือนที่ใจฉันอยากจะทำเพราะมันจะทำให้ใจเราใกล้กันจนเกินไป มันจะไม่เหมาะสำหรับคนอย่างฉัน เมื่อครั้งที่ฉันคบกับพี่นัทฉันจำได้ดีว่าพี่นัทดีกับฉันมาก ๆ ฉันก็เป็นคนขี้งอนเอาแต่ใจตัวเองเพราะติดนิสัยการถูกตามใจของที่บ้าน แต่ครั้งนี้หลังจากที่เลิกกับพี่นัทมาได้ 6 เดือนฉันก็รู้ตัวทันทีว่าฉันโตแล้ว ฉันเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ
ฉันเดินกลับเข้าซอยบ้านด้วยจิตใจที่สงบ ถึงแม้ว่าแวบหนึ่งฉันจะคิดถึงความรู้สึกของพี่นัทและพี่ดอนแค่ไหนแต่ฉันก็คิดว่าฉันทำดีที่สุดแล้ว ฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายตัวเองและมั่นใจว่าฉันจะไม่ทำร้ายคนอื่นมากไปกว่านี้ เมื่อมาถึงบ้านฉันก็อาบน้ำนอนทันที วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน...
โปรดติดตามตอนต่อไป...รับรองว่าเรื่องราวจะเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดนะคะ...
3 สิงหาคม 2547 10:22 น.
สุชาดา โมรา
.....เมื่อประมาณ 16 ปีมาแล้ว.....
"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล... แม่เราเฝ้าโอละเห่กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่นี่แหละหนาอาลัยมิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสมกลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง แต่เมื่อหลังหนักกว่าพื้นฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพรากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย..."
"ฮือ ๆ ๆ ๆ"
เด็กน้อยคนหนึ่งยืนร้องไห้เมื่อได้ฟังรุ่นพี่ชั้นประถมร่วมกันร้องเพลงค่าน้ำนมเนื่องในวันแม่ เด็กน้อยมีความรู้สึกอินไปกับเสียงเพลงเพราะเด็กน้อยคนนี้มีปมลึก ๆ กับแม่ของตัวเอง
"หนูร้องทำไมลูก"
คุณครูคนหนึ่งเดินมาถามเด็กน้อยด้วยแววตาที่อ่อนโยน รักเด็ก...
"แม่....แม่ไม่มางานวันแม่...ฮือ ๆ ๆ ๆ"
"โอ๋...ไม่เป็นไรนะลูกครูอยู่ทั้งคน หนูก็เป็นลูกสาวของครูคนหนึ่ง หนูอย่าร้องนะลูก"
เด็กน้อยกอดคุณครูแล้วก็เอาใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาและขี้มูกซบไปที่เสื้อคุณครูจนเปื้อนเปอะเลอะเทอะ แต่คุณครูก็ไม่ว่าอะไร คุณครูกลับยิ้มด้วยใบหน้าที่ใจดี รักเด็ก...
"มีดอกมะลิหรือยังลูก"
เด็กน้อยควักกระเป๋ากระโปรงพร้อมกับหยิบดอกมะลิเหี่ยว ๆ ออกมา ดอกมะลิทั้งช้ำและเหี่ยว ก้านหักเหลือแต่ตัวดอก กลีบถูกเด็ดจนเกือบหมด เมื่อคุณครูเห็นก็ยิ้มละไมแล้วก็หยิบดอกมะลิดอกนั้นขึ้นมา
"ไม่เป็นไรจ่ะ ดอกมะลิไม่สวยแล้วก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวครูหาให้ใหม่นะ"
ครูสาวจึงหยิบดอกมะลิที่ทำจากสบู่ออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้เด็กน้อย จากนั้นจึงเดินจูงมือเด็กน้อยไปนั่งที่โซฟารับรองของอาจารย์ใหญ่และอุ้มเด็กน้อยมานั่งบนตัก แต่เด็กน้อยก็ยังไม่เลิกสะอื้น
งานวันแม่แห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2530 เด็กน้อยยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจมานานแสนนาน แม่หลายคนพากันมาร่วมงานแต่แม่ของเด็กน้อยกลับไม่มา ครูใหญ่ให้แม่ของแต่ละคนขึ้นไปนั่งบนเวทีจนแออัดยัดเยียด เด็กน้อยนั่งมองรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ไหว้แม่ยิ่งทำให้เด็กน้อยสะอื้นไห้ใหญ่ คุณครูสาวจึงทำหน้าที่ปลอบใจเด็กน้อยอยู่ตลอดเวลาประหนึ่งเป็นแม่ของเด็กน้อยทีเดียว
"โอ๋ ๆ ๆ....ลูกอย่าร้องนะคะ"
เด็กน้อยก็ยังสะอื้นไม่หยุดจนกระทั่งงานกำลังจะเลิก หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาจากทางเข้าประตูหอประชุมด้านหลัง สายตาเธอชะแง้แลมองใครบางคนอยู่ และจู่ ๆ เธอก็เดินมาหาครูสาวทันที
"แม่....!!!!"
เด็กน้อยกระโดดลงจากตักครูสาวแล้วก็วิ่งไปหาแม่ด้วยความดีใจ
"ร้องไห้เหรอลูก...แม่บอกแล้วว่าแม่จะมาแต่มาช้าหน่อยเพราะแม่ต้องไปธุระ ยังไง ๆ แม่ก็ต้องมา ลูกจะร้องทำไมล่ะ....เงียบซะอย่าร้องนะลูก"
แม่กอดเด็กน้อยด้วยความรัก คุณครูสาวเมื่อเห็นเด็กน้อยอยู่กับแม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุขและก็เดินเข้าไปทักทายคุณแม่ของเด็กน้อย
"สวัสดีค่ะ แกร้องหาแม่มาตลอดเลย...งานกำลังจะเลิกเชิญคุณแม่ขึ้นไปบนเวทีแล้วก็หนูเอาดอกมะลิที่ครูให้ไหว้แม่ซะนะจ๊ะ"
แม่เดินขึ้นไปบนเวที เด็กน้อยจึงกราบเท้าแม่และยื่นดอกมะลิให้กับแม่ แม่ยิ้มละไมด้วยความรักและกอดลูกเอาไว้จนกระทั่งทุกคนร้องเพลงค่าน้ำนม ทำให้แม่และเด็กน้อยกอดกันร้องไห้ด้วยความรักความผูกพันธ์ที่แน่นแฟ้น
ไม่ว่าจะอย่างไร แม่ทุกคนไม่มีใครลืมลูกของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าแม่จะติดธุระแต่ด้วยความรักแล้วแม่ก็ต้องมาให้ทันเวลาจนได้ อาจจะช้าไปหน่อยแต่แม่ก็มาด้วยความรักไม่ใช่มาเพราะหน้าที่เพียงอย่างเดียว
คุณล่ะรักแม่ของคุณเหมือนเด็กอนุบาลคนนี้หรือยัง....
ลูกที่ดีถึงแม้จะยังไม่สามารถทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้นั่นคือการตั้งใจ ขยันเรียนถึงแม้ว่าจะเรียนไม่เก่งเหมือนใคร ๆ แต่ถ้าเราตั้งใจและพยายามก้าวไปสู่ฝันให้ได้แล้วนี่ก็เป็นการทดแทนบุญคุณของท่านได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน...