4 สิงหาคม 2547 16:53 น.

เยียวยา...รัก

สุชาดา โมรา

คลืด....คลืด....
	เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
	"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
	เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน  มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
	การที่เราแอบรักใครสักคน  ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน   บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ  เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง   เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น   แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด  ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน  หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
	ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ  และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
	"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
	"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
	"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
	มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม  นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ  แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน  ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ  คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
	"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
	ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
	ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด  ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม   ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้  แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
	การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
	"คุณสัณหศิษฐ์คะ  ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ  โชคดีนะคะ"
	เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม  ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง  เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว  หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว  ผมดีใจจริง ๆ...
	ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน  เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน  บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์  ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน  ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
	"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ  ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
	"คือผม  ผม  ผม"
	"อาการกำเริบเหรอ"
	"เปล่าครับ  ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
	"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ  ไม่เห็นว่า...."
	"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
	"อืม....."
	เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์  เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม  ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
	ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง  เธอก็ไปกับผมทุกวัน  ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ  หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ...  รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส  อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง  ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
	หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ  ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน  แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว   แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
	วันแล้ววันเล่า  ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว  ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ  ผมรู้สึกหัวหมุน  ร่างมันลอย ๆ ชอบกล  ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว  โอ๊ย....!!!!
	ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก  ความฝัน  ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ  ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
	"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
	"คนไหนคะ"
	"คุณทิพย์"
	พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่  เสียงพูดคุยกันซอกแซก  ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่  ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
	"ทิพย์เหรอ  จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง  มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ  เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม  เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
	ผมรู้แล้วละ  สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว  เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม  ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
	"เป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ  ผมสบายดี  คุณหมอ..."
	"ว่ายังไง  อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ  ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม  ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม  สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
	"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
	"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
	เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
	"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป  ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
	"ฉัน...."
	"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย  ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว  นางฟ้าชุดขาวของผม..."
	สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้  นางฟ้าชุดขาวของผม  ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด  และตลอดไป...
	ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย  ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้  ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา  ลาก่อนนะประตูหัวใจ  ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม  โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์  ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป				
4 สิงหาคม 2547 16:47 น.

สารภาพบาป(ตอนที่3เสนอเป็นตอนจบค่ะ)

สุชาดา โมรา

ห้าทุ่มกว่า...หนังจบลงด้วยความขนพองสยองเกล้า ใจยังเต้นรัวไม่หายและความรู้สึกบางอย่างยังคงค้างคา ทั้งสองเดินออกมาจากโรงหนัง แต่ทั้งเขาและเธอต่างก็ยังอิดออดที่จะล่ำลาจากกันในเวลาอันรวดเร็วเพียงนี้ จึงตกลงกันว่าจะไปหาร้านเล็กๆ เงียบๆ ที่เปิดเพลงเบาๆ นั่งดื่มกินและพูดคุยกันต่ออีกสักพัก รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอดอย่างช้าๆ เหมือนอยากจะให้เวลาในคืนนี้ยืดยาวออกไปอีกนานเท่านาน ทั้งคู่ยังคงขับรถวนไปเวียนมาอย่างไร้จุดหมาย ด้วยต่างก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกร้าน แต่กว่าจะไปถึงก็เสียเวลาขับวนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เขาสั่งเบียร์มากลั้วคอ ส่วนเธอสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่อ่อนๆ นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะ ซักถามเรื่องส่วนตัวของกันและกันอยู่ได้ไม่นาน ก็จำใจต้องเช็คบิลเปลี่ยนไปร้านใหม่ ด้วยที่นั่นเปิดเพลงดังเกินกว่าที่จะพูดคุยกันรู้เรื่อง 
คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเลือกร้านบ้าง มันเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศดีเหมาะแก่การนั่งคุยกัน เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว ทั้งร้านจึงเหลือพวกเขาอยู่เพียงโต๊ะเดียว ทั้งคู่พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกันเพื่อทำลายความเงียบงันอันน่า อึดอัด แต่ในบางครั้งต่างก็ดิ่งลึกลงสู่โลกส่วนตัวภายใน พูดคุยกับตัวเอง ขบคิดถึงปมปัญหาบางอย่าง ใคร่ครวญและหาเหตุผลมาโต้แย้งกับสำนึกของตัวเอง ต่อสู้กับความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในจิตใจ บางหนเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากันด้วยความบังเอิญ ต่างก็ยิ้มให้แก่กันอย่างเก้อเขิน ไม่นานนักก็ถึงเวลาต้องปิดร้าน จำใจจ่ายตังค์แล้วลุกเดินออกไปขึ้นรถ แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างที่ดึงดูดคนทั้งคู่ให้เข้าหากัน รถจึงเคลื่อนตัวออกไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฟู๊ดแลนด์สาขาที่ใกล้ท ี่สุด โดยต่างก็หวังเพียงว่าอยากจะต่อเวลาให้ค่ำคืนนี้ยาวนานออกไปอีก แม้เพียงนิด...หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกึ่งดึกกึ่งเช้าเสร็จ เขาและเธอก็กล่าวคำอำลาแก่กันในเวลาเกือบตีสี่ ก่อนนอนวันนั้นเขาได้รับเมสเสจจากเธอ เป็นการขอบคุณสำหรับหนังผีเรื่องนั้น เขากดอ่านมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วนอนหลับไปด้วยความรู้สึกสุ ขใจ...
เรื่องทั้งหมดน่าจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อโชคชะตากำหนดให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเกี่ยวพันกันไม่ว่าจะในด้านไหน ต้องโคจรมาพบกัน ตกหลุมรักกันและกัน และต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหายไปของตัว เอง ถ้าหากเพียงแต่ว่าทั้งเขาและเธอจะไม่ได้มีคนรักอยู่ก่อนแล้วทั้ งคู่... หลังจากวันนั้นเขาและเธอยังคงนัดเจอ ไปกินไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงด้วยกันอีกหลายครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ กระอักกระอ่วนใจ มันทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน เพราะต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นผิด มันเป็นการทำร้ายความรู้สึกของบุคคลที่สามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย...ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยถามเธอว่า เคยไหมเวลาที่อยู่กับใครบางคนแล้วมันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอนิ่งไป ก่อนตอบกับเขาว่า เคย...ตอนที่อยู่กับคุณไง ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี...
ช่วงนั้นเขาผ่านพ้นแต่ละคืนวันในชีวิตไปด้วยความยากลำบาก คืนแล้วคืนเล่าที่เขาเมามายหลับใหลไปอย่างไร้สติ เขาต้องรับมือกับความว้าวุ่น สับสน และทางออกที่ดูจะมืดมิดอับจน ในที่สุดเมื่อทนอยู่กับการหลอกลวงและความรู้สึกผิดในจิตใจต่อไป ไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจพาผมก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งศีลธรรมอันดีงามทั้ งหลายทั้งปวง เขาฉีกกฎทุกกฎทิ้ง ขยี้ทำลายทุกกรอบเกณฑ์ความเชื่อลงจนป่นปี้เป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี เขาหันหลังให้กับถ้อยคำประณามหยามหมิ่น ไม่แยแสกับสิ่งใดๆ รอบตัวอีกต่อไป เพื่อความรักแล้วเขายินดีสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต... 
เขาตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมดกับคนรักของเขา หล่อนรับฟังด้วยน้ำตานองหน้า เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน นึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ ด่าทอโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้เขาต้องมาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ขั นขื่น ที่ชักนำให้เขามาเจอเธอในเวลาที่สายเกินไป... ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็แยกทางกับคนรักของเขา เขาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและซื่อสัตย์กับค นรักของเขาอย่างถึงที่สุด เพราะเขาไม่อยากที่จะหลอกลวงด้วยการอยู่กับหล่อนเพียงตัวแต่ใจไ ปอยู่กับคนอื่นอีกต่อไป...
แล้วเขาก็กลายมาเป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เขาจะเลวได้มากเท่านี้อีกแล้ว...เรื่อง น่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมครับ ถ้าหากเพียงแต่ว่าเธอคนนั้นจะตัดสินใจทำในแบบเดียวกันกับเขา... บอกเลิกกับคนรักเก่าหันมาคบกับเขา แล้วก็ครองรักกันไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลายเหมือนอย่างในนิยาย...แ ต่...ฮะ ฮะ ฮะ...แน่นอนครับ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผมจะมานอนกองอยู่กับพื้น หายใจระรินอยู่อย่างนี้ได้ยังไง...เธอตัดสินใจอยู่เหมือนกันครั บ เพียงแต่คนที่เธอตัดสินใจบอกเลิกนั้น ไม่ใช่คนรักเก่าที่อยู่เมืองนอก แถมยังไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามปีแล้ว แต่กลับเป็น เขา ผู้ที่ยอมทิ้งทุกอย่างมา เพราะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอ
ฮะ ฮะ ฮะ...มันเป็นตอนจบที่โคตรจะสะใจผมเลยครับ คนเลวๆ อย่างเขาสมควรแล้วที่จะได้รับจุดจบแบบนี้ แต่แปลกแฮะ...คราวนี้ไม่เห็นว่าเขาจะร้องไห้ฟูมฟายเหมือนอย่างเ คย รู้สึกว่าแวบหนึ่งผมจะแอบเห็นรอยยิ้มในแววตาของเขาด้วยซ้ำไป ครั้งนี้ดูเขานิ่งและสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เขากระซิบกับผ มว่ามันเป็นเรื่องของ ชะตากรรม และ การลงทัณฑ์ เป็นเวลาที่เขาจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้กับผู้หญิง คนอื่นๆ เขาว่ามันเป็นการลงโทษที่สาสมดีแล้ว เขาสมควรที่จะได้รับในสิ่งนี้ เขายังบอกอีกว่า เขาไม่นึกโกรธเธอคนนั้นหรอก เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ทำทุกอย่างไปด้วยความไม่รู้ เธอเป็นเพียงเครื่องมือของใครบางคนในการลงโทษเขาเท่านั้น เขาชื่นชมในความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอ เธอตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกคนรักเก่าแทนที่จะเป็นเขา เขายินดีไปกับเธอด้วย เขายังบอกกับผมอีกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะยอมให้กับมัน - ชะตากรรม... ชีวิตนี้เขาเกิดมา อาจจะยอมให้กับอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน เขาไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อก้มหน้ายอมรับชะตากรรม...ก่อนที่จะหม ดสติไป ผมได้ยินเขาสบถออกมาเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า..._uck Destiny ! 
ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...ฮะ ฮะ ฮะ...นั่นล่ะครับ เรื่องราวของเขา...
ผมคือหัวใจของผู้ชายคนหนึ่ง...และผมกำลังจะตาย.
...................................................
* = ภาพยนตร์เรื่อง Legend of the Fall
** = ภาพยนตร์เรื่อง Waking Life
*** = เป็นเอก รัตนเรือง (บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร Open ฉบับที่ 34)				
4 สิงหาคม 2547 16:45 น.

สารภาพบาป(ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

หากผมถามคุณว่าในเรื่องของความรัก คนเราควรใช้ Head นำ Heart หรือใช้ Heart นำ Head คุณจะตอบว่าไง แต่ถ้าเรานำคำถามนี้ไปถามคนที่ฉลาดสักหน่อยเขาอาจตอบว่า ทางสายกลาง...หาจุดกึ่งกลาง หาความพอดีให้เจอ แล้วก็ใช้มันอย่างละครึ่ง ไม่ต้องให้ใครนำใครหรอก ให้มันเดินไปพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนล่ะถ้าคุณไปถามเขา เขาจะตอบว่า ฟังเสียงของหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักที่แท้จริงนั้นคือสิ ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่า ความรักนั้นเปรียบเสมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองได้สักสองสามข้อนั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้ อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าเขาคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง... ฮะ ฮะ ฮะ นั่นล่ะ คำแนะนำในแบบของเขา แต่นั่นอาจจะเป็นข้อดีที่สุดเพียงข้อเดียวเท่าที่เขามีอยู่ก็เป ็นได้ เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำและทำในสิ่งที่เขาเชื่อ และมันคือที่มาของเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักของเขา เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองเดือน
ก่อน...
เย็นวันนั้นเขานัดเจอเธอที่หน้าโรงหนังลิโดบริเวณสยามสแควร์ เพื่อเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเธอเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเขาไว้ใ นเรื่องงาน เพราะงานที่เขาทำมีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทที่เ ธอทำงานอยู่ ก่อนนั้นเขาเคยเจอเธอแวบนึงแล้วที่ที่ทำงานของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนอกสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษนัก นอกจากกล่าวคำขอบคุณสำหรับสิ่งของที่เธอนำมาให้ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงผิวขาว หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษเลย หลังจากวันนั้นเขามีโอกาสได้โทรฯไปหาเธอบ้างเพื่อปรึกษาเรื่องงาน และยิ่งถี่มากขึ้นเมื่อเขามีเรื่องให้เธอต้องช่วยเหลือ การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นและเริ่มออกอรรถรสมากยิ่งขึ้นตามจำน วนครั้งที่ได้คุย ต่างฝ่ายต่างพูดคุยถูกคอกันตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่มีอะ ไรเกินเลยไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากชวนเธอไปกินข้าวดูหนัง... 
การนัดหมายเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขามาถึงก่อนจึงรีบขึ้นไปจองตั๋วหนังเอาไว้สองที่ แล้วกลับมายืนรอเธอตรงที่เดิม ไม่นานนักเธอก็มาถึงพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ยังจำได้ว่าด้วยความเป็นคนปากไว เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็เผลอทักเธอว่าแต่งหน้าเข้มเกินไป ดูไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย เธออายจนหูแดงก่อนรีบยกไม้ยกมือเช็ดเครื่องสำอางออกเป็นการใหญ่ เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าที่เธอแต่งหน้าเข้มเพราะตั้งใจจะเบี้ ยวดูหนังกับเขาแล้วไปเที่ยวต่อกับเพื่อนๆ แทน... 
หลังเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารตรงหน้าแล้ว เขาและเธอจึงแยกตัวออกมาเพื่อไปดูหนัง เธอบอกเพื่อนๆ ให้ล่วงหน้าไปที่ร้านก่อน ดูหนังเสร็จแล้วเธอจะตามไป แต่สุดท้ายคืนนั้นเธอก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากเพื่อนๆ ไว้ จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าดินกำหนดมาก็มิอาจทราบได้ หนังที่พอจะมีความน่าดูอยู่บ้างสำหรับนักบริโภคภาพยนตร์อย่างเข า ที่ลงโรงฉายอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์นั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นหนังผีจากประเทศเกาหลี พอหนังเริ่มฉายไปได้เพียงสิบกว่านาทีก็เริ่มส่อแววว่าจะน่ากลัว มากกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศภายในโรงก็ชักจะอึมครึม ทุกคนนั่งตัวแข็งเกร็งเงียบกริบ สายตาจดจ้องไปกับภาพตรงหน้า ติดตามเรื่องราวลุ้นระทึกว่าจะถึงฉากน่ากลัวที่มาช็อคปลายประสา ทให้เขม็งเกลียวขนหัวลุกชันเมื่อไหร่ จะได้ไหวตัวหลบหลีกระมัดระวังทัน เขาหันไปดูก็เห็นว่าเธอเองชักจะมีท่าทีแปลกๆ จากที่เคยนั่งตัวตรงตั้งใจดูก็เริ่มเอียงตัวแทบจะหันข้างให้จออ ยู่แล้ว ขดตัวห่อไหล่ให้เล็กลีบเหลือตัวนิดเดียว แถมยังเอาฝ่ามือมากางปิดตาไว้อีก แง้มเป็นช่องเล็กๆ ไว้ระหว่างง่ามนิ้วพอให้มองเห็น ประมาณว่าถ้าถึงฉากอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัว ใจให้เรรวนเมื่อไหร่ เธอก็พร้อมที่จะปิดมันลงในทันทีทันใดเพื่อยุติการรับรู้เรื่องร าวที่ตรงหน้าเพียงชั่วขณะ 
ลักษณาการดังกล่าวก่อให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัว หงุดหงิดและรำคาญขึ้นในหัวใจของชายผู้รักภาพยนตร์ ที่เสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูหนังเพื่อเสพอารมณ์และอรรถรสต่างๆ อย่างเขาเป็นอันมาก เมื่ออดรนทนไม่ไหวเขาจึงตัดสินใจยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของเธอม ากุมไว้ หมายให้เธอหมดหนทางปัดป้องตัวเองจากเรื่องราวตรงหน้า พลางกระซิบเบาๆ กับเธอว่า ตั้งใจดูสิ หนังสนุกออก เธอมีท่าทีแข็งขืนเล็กน้อย พยายามฝืนตัวดึงข้อมือที่ถูกเขาพันธนาการไว้กลับไป แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ามือของเขาที่จับอยู่ตรงข้อมือขวาของเธอ กลับเลื่อนลงมาสัมผัสกับฝ่ามืออันอ่อนนุ่มและกุมเอาไว้แน่นอยู่ อย่างนั้นนิ่งนาน...
แล้วในวินาทีนั้น...ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มก่อ ตัวขึ้นในหัวใจของเขา มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะระบุลงไป ได้ว่าคือสิ่งใด รู้แต่ว่าไม่เคยพบเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย วางใจและเติมเต็ม...ความรู้และประสบการณ์ในอดีตไม่สามารถให้ควา มกระจ่างกับเขาได้ เขารู้เพียงว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีมือข้างไหนส่งผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปยังหัวใจของเขามาก ่อน... ฉากน่ากลัวผ่านพ้นไปแล้ว เธอค่อยๆ คลายมือออกจากการยึดกุมของเขา คราวนี้เขายินยอมปล่อยมันไปแต่โดยดี ด้วยไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วที่จะทำอย่างนั้นต่อไป แต่แล้วเมื่อถึงคราที่ฉากน่ากลัววกกลับมาอีกครั้ง ลักษณาการเดิมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่างกันก็ตรงที่คราวนี้มือคู่นั้นไม่เคยคลายออกจากกันและกันอีก เลย...				
4 สิงหาคม 2547 16:44 น.

สารภาพบาป(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

เขามักจะมีเหตุผลแปลกๆ แต่ฟังดูดีมาเกลี้ยกล่อมให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ว่างเปล่าและแสนสั้นนัก มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเติมเต็มความว่างเปล่านั้น ให้เป็นไปตามความหมายอย่างที่ผมต้องการ เขาผลักภาระอันหนักอึ้งนี้มาให้ตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมจึงไม่มีเวลาได้เดินเล่นกินลมชมวิวเหมือนหัวใจดวงอื่นเลย บางครั้งเขามาหาผมพร้อมกับคำถามที่ฟังดูแปลกแปร่งไม่คุ้นหู... 
เลือกเอาสิ ก่อนจะถึงลมหายใจสุดท้าย อยากจะเป็นแบบไหน อยากจะมีชีวิตหรืออยากเป็นเพียงซากชีวิต - Blank People จิตวิญญาณว่างเปล่า ศักดิ์ศรีว่างเปล่า ชีวิตที่เป็นเพียง หายใจ เดิน กิน วิ่ง นอน ทำงาน สมสู่ ก้มหน้าก้มตาทำ สั่งสมวัตถุ เงินทอง บ้านหลังใหญ่ รถคันโต เสียงชื่นชมและสายตายอมรับจากผู้คนรอบข้าง - ง่ายเพียงแค่เดินตามหลังใครๆ... หรือว่าอยากจะมีชีวิต - ชีวิตที่รู้ว่าเราต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ โกรธ เกลียด ทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับความเคยชิน ทุกอย่างที่อาจจะไม่ง่าย... เลือกเอาสิ ว่าอยากจะใช้ชีวิตหรือจะให้ชีวิตมันใช้เอาเสียให้คุ้ม เลือกสิ ก่อนที่จะถึงลมหายใจสุดท้าย เลือกเอา... 
นั่นล่ะเขาล่ะ ผู้ชายคนนั้น...นายของผม ผู้มักมาพร้อมกับสไตล์การถามนำแบบประชดประชันเสียดสี แต่ไม่หรอก คราวนี้ผมจะไม่ยอมหลงกลเขาอีกต่อไป ครั้งนี้ผมขอยอมแพ้...ผมเหนื่อยเหลือเกิน ภาวนาขอให้ครั้งนี้เขาทำสำเร็จด้วยเถิด ผมจะได้พักผ่อนอย่างแท้จริงเสียที
ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า บนโลกนี้มีผู้ที่เจ็บปวดอยู่สองประเภท ผู้ที่เจ็บปวดจากการขาดชีวิต และผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิตที่มากเกินไป** ผมมักจะพบว่านายของผมอยู่ในประเภทที่สอง ใช่เขาจริงๆ นั่นล่ะ...ผู้ที่เจ็บปวดจากการมีชีวิต จากการใช้ชีวิตที่มากเกินไป บางครั้งเขาก็ดูเหมือนคนเป็นโรคจิต ที่ชอบพาตัวเองและผมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสียใจ รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ ชอบแกว่งเท้าเข้าไปให้เสี้ยนมันตำเล่น บางทีเห็นความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังบอกให้ผมรีบวิ่งเข้าใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของความรัก เขาไม่เคยรีรอที่จะไขว่คว้าเอาวันเวลาเหล่านั้นไว้ เขาว่าความรักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน เป็นการเรียนรู้เพื่อจะได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต... 
ฟังดูดีใช่ไหม...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะคลานสี่ขากลับมาด้วยควา มเจ็บปวด แล้วบอกกับทุกคนว่าเป็นความผิดของผม เป็นความผิดของหัวใจ...หัวใจเป็นอวัยวะที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ใจคนมันไม่มีตรรกะ และตรงนั้นแหละที่จะนำมาซึ่งความสุขและความฉิบหายทั้งปวง หัวใจมีหน้าที่เรียกร้อง แล้วไม่รู้เป็นอะไร ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะฝืนใจมันบ้าง ถึงจุดหนึ่งก็ลืมทุกอย่างและตามใจมันทุกครั้ง ตามใจและคราวนี้ก็รอลุ้น...*** แน่ะ...ดูพูดเข้า เขายังมีหน้ามาโยนความผิดให้กับผมอีก ปรักปรำกันอย่างหน้าด้านๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเองนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจปิดการท ำงานของสมอง - เพื่อนของผม แล้วสั่งให้ผมทำตามความต้องการของเขา จนบางทีผมก็ชักจะงงๆ อยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วมันเป็นความต้องการของใครกันแน่ ของเขาหรือของผม แล้วใครเป็นนายใครกัน ผมเป็นนายเขาหรือว่าเขาเป็นนายผม... 
เขาเองก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ยังคงตอบคำถามไอ้นกแก้วไม่ได้ ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนายไอ้นกแก้วหรือว่าไอ้นกแก้วเป็นนายของเขากันแน่ ใครบงการใคร ใครเป็นคนนำ และใครเป็นคนตาม เพราะถ้าหากว่าคำตอบคือไอ้นกแก้วและผมเป็นไทแก่ตัวจริง มีสมองคิดและสั่งการเองได้ รวมถึงสั่งการเขาได้ด้วย นั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทางด้านอภิปรัชญาของมนุษย์ แสงประทีปแห่งปัญญาที่คอยส่องนำทางมวลมนุษยชาติอยู่นั้น อาจถึงกาลต้องนำลงมาปัดฝุ่นสังคายนากันเสียใหม่ เพราะคำตอบที่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า เจตจำนงเสรีของมนุษย์นั้น หาได้มีอยู่จริงไม่...
ถ้าหากว่าความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ นอกเหนือไปจากการงาน ความหวังและความฝัน เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ผมว่าเขาคงจะนอนตายตาหลับ เพราะที่ผ่านมาเขาได้ใช้ชีวิตเสียคุ้มค่าแล้ว สมควรแก่เวลาที่เขาจะจากไปอย่างเงียบๆ ดีกว่าอยู่ต่อไปเพื่อทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญ าและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ผมว่าเขาเองก็รู้ซึ้งถึงความจริงในข้อนี้ดี จึงได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างนั้น ช่วงวัยวันที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งยี่สิบแปดลมร้อน ยี่สิบแปดห่าฝน ยี่สิบแปดสายลมหนาว เขาเคยมีคนรักมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน เคยมีความรักเกิดขึ้นในหัวใจมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง เคยสุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ รัก-ถูกรัก หักอก-อกหัก หัวเราะ-ร้องไห้ เป็นคนดี-เป็นคนเลว โง่-ฉลาด เคยทำถูก-เคยทำผิด เคยมีความสุขจนหัวใจพองโตและเคยเจ็บเจียนตาย เคยเห็นแก่ตัวและเคยเสียสละ และอีกมากมายสารพัดที่เขาเคยเป็น เคยผ่านมาแล้วจากประสบการณ์ในอดีต... 
แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะมั่นใจได้มากขนาดนี้ ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวของผม ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้หญิงคนหนึ่งคือรักแท้ และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม จุดเริ่มต้นของการลงทัณฑ์ที่ใครบางคนกำหนดมาให้เขาต้องชดใช้ และคือจุดจบของความรักครั้งสุดท้ายของเขา รวมถึงจุดจบของชีวิตเขาเองด้วย...
ผมคงไม่รู้ว่าคุณจะตอบยังไง หากมีใครสักคนมาถามคุณว่าคุณจะเลือกรักใคร ระหว่างคนที่เขารักคุณกับคนที่คุณรักเขา แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะตอบอย่างไร เขาจะบอกว่ารักคนที่เขารักเรานั้นสุขเป็นอันประกันได้มากกว่าทุ กข์ รักคนที่เรารักเขานั้นทุกข์เป็นอันประกันได้มากกว่าสุข เพราะไม่แน่เสมอไปว่าคนที่เรารักเขานั้น เขาจะรักเราตอบเหมือนอย่างที่เรารักเขา แต่ถึงกระนั้นผู้รู้บางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักคนไหน ก็จะต้องเจอะเจอกับทุกข์อยู่ดี เขาจึงขอเลือกที่จะรักคนที่เขารักดีกว่า เพราะอย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้เลือกเอง ได้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ได้รักคนที่เขาอยากจะรัก ได้ทำตามอย่างที่เสียงของหัวใจตัวเองมันร่ำร้อง เขาจะให้เหตุผลว่า ความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนภาพแอบสแตรค เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เราจึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือตรรกะใดๆ ไปอธิบายในเรื่องของความรักได้หรอก ความรักไม่มีถูกมีผิด มีแต่รัก รักคือรัก มันเป็นเรื่องของชะตากรรม ความรักไม่เคยทำร้ายใคร คนเราต่างหากที่ทำร้ายกัน...				
4 สิงหาคม 2547 16:42 น.

สมดุล(ตอนที่2เสนอเป็นตอนจบค่ะ)

สุชาดา โมรา

ไอ้สมชายยังไม่ตาย...ผมไม่ได้ฆ่ามันอย่างที่คิดไว้ โชคยังดีที่สติกลับมาหาผมได้ทันเวลา และผมก็ไม่ได้พามันไปปล่อยที่วัดแต่อย่างใด เพราะพ่อเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันตามคำแนะนำของหมอ เท่าที่ผมทำจึงมีเพียงขับรถพามันไปส่งที่ร้านหมอให้เขาจัดการทำ หมันและตัดเขี้ยวมันทิ้งซะ หมอบอกว่า นั่นน่าจะช่วยทำให้มันดุน้อยลงได้บ้าง ส่วนไอ้ดอลี่หมอช่วยเอาไว้ได้ทันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ลูกในท้องทั้งห้าตัวของมันตายหมด...เป็นอันว่าเรื่องแรกจบลงเพียงแค่นั้น...แต่ยัง...วันที่เลวร้ายของผมยังไม่จบลงเพียงแค่นี้
ตกบ่ายผมมีนัดที่จะต้องไปสอบใบขับขี่รถยนต์ภาคปฏิบัติ มันเป็นการสอบแก้ตัวครั้งที่สอง อันที่จริงผมก็เคยขับรถยนต์มาหลายปีแล้วโดยที่ไม่มีใบขับขี่ ใช่ ผมรู้ดีว่ามันผิดกฎหมายและไม่ใช่สิ่งที่สมควรกระทำ แต่ที่ผมทำไปอย่างนั้นก็ด้วยความที่ผมมีประสบการณ์ไม่สู้จะดีนั กกับการสอบใบขับขี่มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ก็ตามที แต่ในที่สุดผมก็จำเป็นต้องไปสอบด้วยเป็นคำสั่งของพ่อ อีกอย่างหนึ่งการขับรถในกรุงเทพฯ นั้น ต่อให้เราจะขับรถดีแค่ไหน ไม่เคยทำผิดกฎจราจรหรือไม่เคยเฉี่ยวชนใครเลยก็ตามที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มาชนเรา และถ้าหากเกิดเหตุอย่างนั้นขึ้นจริง ตำรวจขอดูใบขับขี่ ถ้าหากว่าไม่มี คนที่จะตกที่นั่งลำบากก็คือตัวเราเอง แม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม
สี่วันก่อนผมตื่นแต่เช้ารีบอาบน้ำ - แต่งตัวออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี เพื่อจะไปเข้าคิวรอสอบใบขับขี่ ตั้งใจว่าจะทำเรื่องให้แล้วเสร็จภายในวันเดียวทั้งสอบข้อเขียนแ ละภาคปฏิบัติ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาหลายๆ เที่ยว ผมไปถึงตอนเกือบจะแปดโมง รีบลงจากรถตรงดิ่งไปยังอาคารที่ทำการเพื่อยื่นเรื่องขอสอบ ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาประกบข้าง เขาพูดกับผมเบาๆ ว่า
มาทำอะไรครับพี่ ดูจากการแต่งกาย ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาเป็นพวกหน้าม้า 
มาสอบใบขับขี่ครับ ผมตอบไปตามจริง
รถยนต์หรือมอไซค์พี่ เขาซัก
รถยนต์
สนใจไหมพี่ เขาเริ่มยื่นข้อเสนอ
............. ผมนิ่งเงียบรอดูท่าที อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
พันหกเองพี่ ในที่สุดเขาก็เปิดการขาย
ต้องขับไหม ผมลองถามเล่นๆ หยั่งเชิงดูอย่างนั้นเอง
ต้องขับสิครับพี่ เขาตอบกลับมา ผมหัวเราะในลำคอนิดหนึ่งก่อนตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพแล้วเดินจากม า อันที่จริงเรื่องอย่างนี้ก็รู้ๆ กันดีอยู่แล้ว ผมจึงไม่แปลกใจอะไร จะสะดุดอยู่บ้างก็ตรงที่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกวันนี้ ราคา มันแพงถึงขนาดนั้นแล้ว...
การสอบข้อเขียนในรอบเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ผมโชคดีที่ไม่ต้องไปนั่งฟังอบรมอีกครั้งเพราะเคยฟังมาแล้วตอนที ่สอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ สิบโมงกว่าผมก็มายื่นเอกสารที่สนามสอบภาคปฏิบัติ พร้อมกับรับบัตรคิวเพื่อรอสอบ แต่คราวนี้โชคร้ายมีคนมารอสอบเยอะมาก กว่าผมจะได้สอบขับจริงก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง ก่อนจะสอบผมยืนอ่านบอร์ดที่เขาจัดไว้ให้ ศึกษาถึงท่าต่างๆ ที่ใช้ในการทดสอบ ผมอ่านแล้วอ่านอีกจนจำได้ขึ้นใจ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าต้องทำได้ไม่เห็นจะมีอะไรยากเย็นหนั กหนา จะยากอยู่บ้างก็ตรงที่ต้องถอยรถเข้าจอดในซองด้านซ้ายมือ โดยกำหนดไว้ว่าผู้ขับจะเข้าเกียร์ได้ไม่เกินเจ็ดครั้ง ซึ่งการสอบท่านี้เพิ่งจะเปลี่ยนกฎกติกาใหม่ให้ยากขึ้นเมื่อไม่ก ี่วันที่แล้วนี้เอง ด้วยเหตุผลที่ว่าท่าดังกล่าวเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจร ิงอยู่บ่อยครั้ง ผมนึกสงสัยอยู่ในใจเหมือนกันว่าทำไมถึงจะต้องกำหนดให้เข้าเกียร ์ได้ไม่เกิน 7 ครั้งด้วย ทั้งที่ในชีวิตจริงเวลาที่ถอยรถเข้าจอด สิ่งที่สำคัญที่สุดมันไม่น่าจะใช่ว่าคนขับจะเข้าเกียร์กี่ครั้ง จะสิบครั้งหรือยี่สิบครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นไร สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่าถอยรถเข้าจอดได้โดยไม่ไปชนรถของคนอื่นเข าเป็นพอ ผมได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังมั่นใจว่าตัวเองต้องทำได้แน่นอน
ถึงเวลาสอบผมขับรถเข้าสนามทำทุกอย่างตามที่ได้วางแผนไว้ แม้มันจะไม่ได้เหมือนอย่างที่ใจหวังแต่ผมก็ถอยรถเข้าจอดได้เรีย บร้อยดีไม่ชนอะไร โดยเข้าเกียร์ไปทั้งหมดหกครั้ง พอเสร็จผมก็กดกระจกลงยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจเซ็น คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่เขากลับบอกผมอย่างหน้าตายว่าผมเข้าเกียร์เกิน เขาว่าตอนที่ผมถอยเข้าจอดจนเสร็จเรียบร้อยนั้น ผมใช้เกียร์ไปเจ็ดครั้ง รวมทั้งตอนที่เอารถออกจากซองเป็นแปดถือว่าเกิน ตีความตามที่เขาพูดนั่นหมายความว่าที่บอร์ดระบุไว้ว่าใช้เกียร์ ได้ไม่เกินเจ็ดครั้งนั้นรวมถึงตอนที่ต้องเอารถออกจากซองด้วย ซึ่งในจุดนี้ไม่ได้อธิบายไว้ในเนื้อหาของบอร์ดแต่อย่างใดเลย ไม่ว่าใครอ่านก็ต้องเข้าใจเหมือนผมอย่างแน่นอน
ผมเริ่มโกรธที่ตัวเองถูกโกงอย่างหน้าด้านๆ จากคนที่มีอำนาจ คนที่ถือปากกาอยู่ในมือ คนที่ผมต้อง ง้อ ลายเซ็นของมัน ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะนอกจากเขาจะโกงโดยการนับจำนวนครั้งที่ผมเข้าเกียร์ผิดแล้ว เขายังโกงผมด้วยกฎบ้าๆ ที่พยายามทำให้มันคลุมเครือเข้าไว้นั่นอีก ผมได้แต่ข่มความโกรธเอาไว้ข้างในเพราะหากวู่วามไปคงมีแต่เสียกั บเสีย ผมขับรถออกมาจากจุดนั้นเข้าสอบอีกสองท่าที่เหลือ คือจอดรถเทียบฟุตบาทกับเดินหน้าถอยหลังในทางตรง ทั้งหมดผ่านไปได้ด้วยดี ก่อนที่ผมจะขับออกมายังลานจอดรถ นั่งอยู่เงียบๆ เพื่อสงบสติอารมณ์...
ไอ้เอี้ยเอ๊ย !...ผมตะโกนออกมาดังลั่นรถ โกรธที่ตัวเองไม่สามารถจัดการอะไรได้กับความอยุติธรรมตรงหน้า ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความผิดพลาดของระบบหรือของตัวบุคคล รู้แต่ว่าผมรับไม่ได้กับเรื่องงี่เง่านี้ ประเทศชาติจะเจริญได้ยังไง ถ้าหากแค่เรื่องเล็กๆ อย่างการสอบใบขับขี่ยังเป็นอย่างนี้ จะไปหวังให้ระดับมหภาคเจริญก้าวหน้าได้อย่างไรถ้าหากในระดับจุล ภาคยังไม่มีการพัฒนาอยู่อย่างนี้ นักการเมืองคอร์รัปชั่นกันในเชิงนโยบาย พวกปลายแถวก็คอยตอดเล็กตอดน้อยอยู่แบบนี้ ส่วยทางหลวงเอย ส่วยบ่อนเอย อันที่จริงผมควรจะชินได้แล้วเพราะครั้งที่ผมมาสอบใบขับขี่มอเตอ ร์ไซค์ผมก็เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันอย่างนี้ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้สักที...ฝันไปเถอะมึงว่าจะได้เงินจากคนอย่างกู ไม่มีทางเสียล่ะ กูจะไม่ยอมเห็นแก่ความสะดวกสบายตรงหน้า แล้วปล่อยให้ตัวเองเข้าไปเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในวงจรอุบาทว์นี้ เป็นอันขาด...ผมได้แต่ระบายความเกรี้ยวกราดอยู่ข้างใน แต่ไหนๆ ผมก็อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาถึงที่นี้แล้วจึงตัดสินใจเข้าคิวสอบแ ก้ตัวดูอีกที ตอนเห็นหน้าเจ้าหน้าที่คนนั้น ผมจินตนาการไปว่าเห็นภาพตัวเองลงไปกระโดดชกหน้ามัน หยิบแป๊ปเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ ฟาดเข้าที่กกหู แล้วกระทืบซ้ำจนมันนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ฝ่าตีนแล้ววันนั้นผมก็ สอบตกไปตามความคาดหมายด้วยเหตุที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธเอา ไว้ได้นั่นเอง
บ่ายวันนี้ก่อนออกจากบ้านพ่อผมยังบอกว่า ให้ๆ มันไปเถอะลูกไม่กี่ตังค์เองจะได้จบๆ กันไปซะที แล้วพ่อจะออกตังค์ให้เอง ถ้อยคำของพ่อยังดังก้องอยู่ในหัว...มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกลูก...ผมคิดทบทวนถึงมันขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถ ต่อแถวรอคิวเพื่อจะสอบแก้ตัวครั้งที่สอง ผมนึกไปถึงคำพูดประโยคหนึ่งจากหนังเกรดบีห่วยๆ ที่ได้ดูเมื่อคืนนี้ มันเป็นตอนที่พ่อของนางเอกพูดสอนนางเอกก่อนที่เขาจะตายไป ประโยคนั้นบอกว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความโกรธโดยปราศจากความรุนแรง มิเช่นนั้นแล้วมันก็จะควบคุมเราตลอดไปโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ...
ในที่สุดผมก็สอบผ่านมาได้อย่างสบายๆ ด้วยการเข้าเกียร์เพียงสี่ครั้งเท่านั้น แต่ก็ยังไม่วายที่เจ้าหน้าที่จะหาเรื่องเอากับผม เขาเกือบจะไม่ให้ผมผ่านด้วยข้อหาที่ว่าผมไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภั ยตอนสอบและเปิดเพลงฟังตอนขับรถ พอเจอผมโวยเข้าให้ว่าไม่เห็นจะมีใครคาดเข็มขัดกันเลยสักคนในสนา มสอบ อีกทั้งรถที่ให้บริการเช่าเพื่อใช้สอบนั้นไม่มีเข็มขัดนิรภัยด้ วยซ้ำไป เขาจึงรีบเซ็นให้ผมสอบผ่าน สุดท้ายผมจึงได้ใบขับขี่มาไว้ในมือเป็นผลสำเร็จโดยไม่ต้องเสียต ังค์นอกระบบเลยสักบาท
ตอนนี้ผมกำลังนั่งจิบเบียร์เย็นๆ อยู่คนเดียวที่ท่าน้ำเกียกกาย มองดูทิวทัศน์ คิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ผมเพิ่งผ่านพ้นวันที่เลวร้ายมาหยกๆ อันที่จริงผมควรจะดีใจกับความสำเร็จของตัวเอง ใบขับขี่ การระงับความโกรธ ดอลี่ยังไม่ตาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ทัศนียภาพกับเบียร์เย็นๆ ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ผมกำลังกังวลใจกับความเหลวแหลกของระบบ หรือว่ามันอาจจะเป็นความล้มเหลวของคุณธรรม ศีล-ธรรม จริยธรรมในจิตใจคน ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ คิดอยู่ว่าจะเขียนจดหมายไปยังรายการ ถอดรหัส ของช่องไอทีวี แนะนำให้มาแอบถ่ายกระบวนการนี้ไปออกอากาศ หวังอยู่ว่าจะได้เห็นผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ออกมาทำอะไรเสี ยบ้างเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น ผมว่าเรื่องนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อคนทั่วๆ ไปมากกว่าเรื่อง ส่วยทางหลวง นั่นเสียอีก
ขณะที่ผมกำลังใช้ความคิดอยู่นั่นเอง ภาพนกสามสี่ตัวตรงหน้ากางปีกถลาบินอยู่บนฟ้า ก็ทำให้ผมคิดอะไรได้บางอย่าง มันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละนิดๆ แต่ทันใดนั้นเอง หูของผมพลันได้ยินเสียงบางอย่างที่ฟังดูคุ้นเคยแว่วมาแต่ไกลทาง ขวามือ มันดังว่า
...ตือ ตื๊อ ดืด...ตืออออ์ ตื๊ออออ์ ดืดดดด์...ตือ ดื๊ด ตื่อ ดื่ด ตือ ดื๊ด ตืออออ์
ผมหันไปดู แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง มันคือเสียงของไอติมวอลล์นั่นเอง แต่คราวนี้มันไม่ได้มากับรถถีบ มันมากับเรือ ! ผมไม่แปลกใจเลยหากคุณจะไม่เชื่อ นี่ถ้าใครมาเล่าให้ฟังผมเองก็คงไม่เชื่อ ขนาดเห็นกับตาตัวเองผมยังไม่อยากจะเชื่อเลย ใครเล่าจะรู้บ้างว่าประเทศไทยมีเรือขายไอติมวอลล์ด้วย แต่ภาพเรือสีขาวปลอดตัดกับสัญลักษณ์รูปหัวใจสีแดงเหลือง คือหลักฐานที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพนักงานขายในชุดขาวนั่นก็ด้วย ผมเผลอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ไม่ลังเลใจที่จะตะโกนเรียก
ไอติม...ไอติมจอดก่อนพี่
รับอะไรดีครับ 
วอลล์โซเรลโล่อันนึงพี่ 
ผมเปิดฝาสีเขียวสดให้อ้าออก ก่อนยกขึ้นจ่อปากกรอกเม็ดกลมๆ เล็กๆ สีเขียวเข้าปาก...ความรู้สึกเย็นซ่า หวานอมเปรี้ยว แผ่ไปทั่วปลายประสาทสัมผัสจากโคนสู่ปลายลิ้น ความสดชื่นแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย...ผมหลับตาพริ้มลิ้มรสอร่อยอย่ างมีความสุข อย่างน้อยในตอนนี้ ผมก็รู้แล้วว่าจะแสวงหาความ สมดุล แห่งชีวิตได้จากที่ไหนดี.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา