9 กันยายน 2547 11:24 น.

นิยามรักแห่งสายสายรุ้ง ( ตอนที่ 4 )

สุชาดา โมรา

ฉันมีความรู้สึกว่ายิ่งฉันเข้ามาอยู่ในชมรมยูโดมันก็ยิ่งทำให้ฉันห่างจากพี่เบนซ์ไปชั่วขณะ  ฉันจึงพยายามติดต่อกับพี่เบนซ์อยู่ตลอดเวลาด้วยการโทรไปหาทุกวัน ๆ ราวกับคนรักกัน  ส่วนวีนั้นถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห้องเดียวกันแต่ฉันกลับเริ่มห่าง ๆ จากวียังไงก็ไม่รู้  ฉันไม่อยากจะเสียเพื่อนไปฉันจึงพยายามที่จะคุยกับวีมากขึ้น
	"วี...การบ้านข้อนี้ทำยังไงเนี่ยช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม"
	"ได้จ่ะ"
	วียังเป็นคนเดิมที่คุยเก่ง  และเรียนเก่ง  วีสอนฉันได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องมีแฟน  วีมักจะพูดถึงพี่วิทย์ให้ฉันได้ยินบ่อย ๆ จนกลายเป็นว่าฉันเริ่มสนิทกับพี่วิทย์เพราะวีเล่าเรื่องราวให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ไปแล้ว  วีเป็นคนสนุกสนาาน  คุยได้ทุกเรื่องจริง ๆ ความสัมพันธ์ของเราจึงคงแน่นแฟ้นอยู่ตลอด
	วันนี้หลังจากเลิกเรียนฉันพาวีไปส่งที่ชมรมวาดรูปแล้วฉันก็ไปซ้อมยูโดต่อ...ฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่น่าเบื่อมาก ๆ ทีเดียว  ผู้คนที่เบาะมากขึ้นจนไม่มีที่จะแทรกให้นั่งฉันจึงลงมติกันว่าเราน่าจะแบ่งกันว่าจะมาซ้อมวันไหนบ้างเพื่อให้เบาะพอแก่การซ้อม  แต่จู่ ๆ ฉันก็เหลือบไปเห็นอาจารย์คนเดิมที่ชอบมาแอบดูเราซ้อมบ่อย ๆ แต่คราวนี้อาจารย์คนนี้กลับเดินเข้ามาทักทายจนผิดปกติ
	"สวัดดีนักยูโดทุกคน...เบาะไม่พอเหรอ  ผมจะเขียนงบเสนอให้"
	"สวัสดีค่ะอาจารย์...."
	"ผมเป็นคณะบดีของคณะพละศาสตร์ผมจึงสามารถเสนอเรื่องได้รับรองว่าคุณจะมีเบาะพอเพียงและห้องจะกว้างขวางกว่าเดิม  แต่ก็ต้องร่วมมือกันเซ็นชื่อในใบคำร้องด้วยนะ  เชื่อว่าพวกคุณจะได้มาซ้อมทุกวัน"
	ฉันรู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ ที่อาจารย์ท่านนี้มาช่วยเราไว้  ฉันว่าท่านเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเราทีเดียว
	วันนี้พวกเราซ้อมเสร็จก็แยกย้ายกันไปยกเว้นนายเอิร์ทที่ยังคงปักหลักซ้อมด้วยท่าทางที่ไม่เอาไหนจนฉันรู้สึกทนไม่ได้จึงเข้าไปสอน  เมื่อเข้าไปสอนก็ดูท่าทางจะเอาจริงเอาจังผิดไปจากคนปากหมาคนเดิม  ฉันรู้สึกว่าดีเหมือนกันนะที่เขาตั้งใจเพราะนาน ๆทีฉันจะเห็นเขาตั้งใจแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็คราวนี้แหละ
	"นี่นะคะพี่เอิร์ทก้าวเท้าขวามาหน้าเท้าซ้ายแล้วย่อ  หมุนตัว  ย่อให้ตลอดแล้วก็ยืดเพื่อทำท่าทุ่ม  เอาละค่ะแบบนั้นละ"
	ดูท่าทางจะหัวไวเหมือนกัน  จากนั้นฉันจึงสอนให้เขาทุ่มได้  ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยที่เบาะฉันจึงหาหุ่นผู้ชายให้ไม่ได้  ฉันจึงต้องเป็นหุ่นเอง  เขาพยายามทุ่มแต่ก็ทุ่มฉันไม่ได้
	"นี่พี่เอิร์ทคะ  ถ้าคนตัวเตี้ยกว่าอย่าพยายามใช้แรงนะคะ  ย่อมาก ๆ เขาก็จะข้ามหัวไปเอง"
	แล้วพี่เอิร์ทก็ทำได้  เขายิ้มแล้วก็ขอบคุณฉัน  วันนี้ฉันจึงต้องเดินออกจากชมรมพร้อมกับพี่เอิร์ท  เมื่อเดินออกมาหน้าชมรมฉันก็เห็นพี่เบนซ์กำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมทำร้ายฉันจึงวิ่งเข้าไปช่วย  ฉันเอาชุดยูโดฟาดไปที่หน้าคนที่จับพี่เบนซ์ไว้  พี่เอิร์ทก็เข้ามาช่วยด้วยเหมือนกัน  ฉันก็เลยทุ่มพวกนั้นลงไปกองอยู่กับพื้น  ส่วนพี่เอิร์ทก็เอาวิชาที่เรียนมาใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน
	"ฝากไว้ก่อนเถอะ......!!!!"
	คนพวกนั้นวิ่งเตลิดกลับไปกันหมด  ฉันจึงพยุงตัวพี่เบนซ์ขึ้นมาและพาไปนั่งที่ม้านั่ง
	"พี่เอิร์ทฝากพี่เบนซ์หน่อยนะคะเดี๋ยวรุ้งมา"
	"จะไปไหน..."
	"ไปเอารถ"
	"ของพี่ก็มีไม่ต้องไปเรียกรถข้างนอกหรอก....!!!"
	ฉันวิ่งมาที่จอดรถของหอหญิงแล้วก็ขับรถ JAGUAR สีแดงออกมาจอดที่ถนนตรงหน้าโรงยิมส์
	"ขึ้นมาสิ"
	ฉันเปิดกระจกรถและเรียกให้พี่เอิร์ทพาพี่เบนซ์ขึ้นมา
	"รถเธอเหรอที่จอดใต้ถุนหอน่ะ  ผมนึกว่าเป็นรถอาจารย์ซะอีก  บ้านรวยนี่หว่าแต่ทำไมชอบทำตัวเซอ ๆ เออ...เธอนี่ก็แปลกนะ"
	"อย่าพูดมาน่าพี่เบนซ์เป็นไงบ้างก้ไม่รู้สลบไปแล้ว"
	ฉันขับรถออกมาพาพี่เบนซ์ไปส่งโรงพยาบาล  พี่เบนซ์ถูกแทงเสียเลือดมากทางโรงพยาบาลต้องการเลือดกรุฟโอฉันจึงยอมสละถ่ายเลือดให้พี่เบนซ์
	"นี่เธอจะแข่งอีกไม่กี่วันนะ  เธอจะให้เลือดนายเบนซ์ได้ยังไง"
	"ช่างเถอะ...ถ้าฉันเชื่อในรักแล้วฉันก็ยอมสละได้ทุกอย่างนั่นแหละ"
"เธอชอบเบนซ์เหรอ......แล้วทำไมเธอไม่บอกเขาไปล่ะ"
	"ฉันไม่ต้องการให้พี่เขารู้ว่าฉันชอบ  ฉันต้องการแค่ฉันทำอะไรให้พี่เขาได้บ้างก็เท่านั้น"
	ฉันเดินเข้าไปในห้องกับพยาบาล  ฉันมองหน้าพี่เบนซ์ตลอด  พี่เบนซ์เลือดของรุ้งคงพอที่จะช่วยพี่ได้บ้างนะคะ  กรุฟโอเลือดที่สุดแสนจะหายาก  ฉันต้องการให้พี่ทั้งเลือดและหัวใจของฉันโดยที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเลย...
	"คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ..."
	ฉันถึงกับกอดพี่เอิร์ทไว้แน่นทีเดียว  ฉันดีใจเป็นที่สุดที่เลือดของฉันช่วยเหลือพี่เบนซ์ได้  ถึงแม้ว่ามันจะช่วยไม่ได้มากก็ตามแต่ฉันก็เต็มใจ
	"รุ้ง ๆ ๆ"
	"เธอคงเป็นลมเพราะถ่ายเลือดมากไปพาเธอมาพักที่ห้องเร็ว"
	พยาบาลพาฉันมานอนพักฟื้นที่ห้องผู้ป่วย  เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาคนแรกที่ฉันเห็นก็คือพี่วิทย์กับวี  ส่วนพี่เอิร์ทนั้นนอนหลับอยู่ที่เก้าอี้และเอาหัวมาหนุนตัวฉัน  ฉันรู้สึกว่าฉันอุ่นใจที่มีคนพวกนี้อยู่ใกล้ ๆ ฉันชอบทุก ๆ คนเหมือนกับเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน  แต่ยังไง ๆ ฉันก็ยังมีอัคคติกับพี่เอิร์ทอยู่ดีถึงแม้ว่าเขาจะทำดีแค่ไหนก็ตาม
	พยาบาลให้ฉันพักผ่อนมาก ๆ แล้วก็กินยาบำรุงเลือด  ฉันเดินมาดูพี่เบนซ์ที่ห้อง  ฉันเห็นเขาฟื้นฉันก็ดีใจ
	"เอิร์ทคะทานผลไม้นิดนะคะ"
	ฉันเห็นพี่พรเอาใจพี่เอิร์ทด้วยท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใย  ฉันจึงไม่เข้าไปทักพี่เขาแล้วก็เดินออกมาจากห้องมานั่งรอข้างนอก
	"ไม่เข้าไปล่ะ...ชอบเขาไม่ใช่เหรอ"
	"พี่เขามีคนที่ให้กำลังใจอยู่แล้ว  ฉันก็ไม่ต้องเข้าไปหรอก  ดูห่าง ๆ ก็พอแล้วละ  ฉันตัดใจแล้วละเพราะฉันคิดว่าคนนิสัยดี ๆ หน้าตาดี ๆ อย่างพี่เบนซ์ก็ต้องมีแฟนเป็นธรรมดาพี่เอิร์ทไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอก  ฉันรู้ตัวดีว่าต้องยืนอยู่ตรงไหน  กลับเถอะเดี๋ยวรุ้งไปส่ง"
	"ไม่เป็นไรพี่ว่าพี่ขับรถไปส่งรุ้งดีกว่านะ"
พี่เอิร์ทพาฉันมาที่สวนสาธารณะ  พี่เอิร์ทนั่งคุยกับฉันอยู่เป้นเพื่อนฉัน  ปลอบใจฉันจนฉันรู้สึกว่าสบายใจมากขึ้น  ที่จริงพี่เอิร์ทก็มีข้อดีเหมือนกันนะ  เสียอย่างเดียวคือเป็นคนที่พูดจากวนประสาท  และก็ชอบทำท่าเก๊กเพราะถือว่าตัวเองหล่อเป้นดาวของมหาวิทยาลัย  จุดนี้แหละที่ฉันไม่ชอบเขา...
	"เอิร์ทมานั่งพอดรักกับใครเนี่ย....เดี๋ยวฟ้องเมย์นะ"
	"รุ่นน้องน่ะ  เขามีเรื่องไม่สบายใจก็เลยพามาสงบจิตสงบใจที่นี่"
	ฉันรู้สึกหมั่นไส้เสียงแจ๋แว๊ดของยายคนนี้จริง ๆ ก็เลยกันไปยิ้มแล้วก็ควงแขนพี่เอิร์ททันที
	"ก็ฝากบอกพี่เมย์ด้วยนะคะว่าพี่เอิร์ทไม่ชอบของเก่า  มันเหม็นปลาร้าเน่า  ของใหม่มันเด็กกว่าสวยกว่าสดกว่า  เข้าใจไหม  และฝากบอกอีกอย่างว่าฉันเป็นแฟนคนใหม่ของพี่เอิร์ท"
	"รุ้ง.........!!!"
	"กรี๊ด...........!!!"
	ยายคนนั้นถึงกับกรีดร้องทีเดียว  เป็นใครก็ดูออกว่ายายคนนี้มีท่าทีที่ชอบพี่เอิร์ท  แถมยังทำท่าเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเข้ามาควงแขน  ฉันก็เลยแกล้งซะให้เข็ด  แล้วก็เดินหนีพี่เอิร์ทออกมา
	"นี่อย่าหนีนะ....จะรีบเดินไปไหน  สนุกนักเหรอที่ทำแบบนี้  สงสัยเธออยากจะมีเรื่องกับยายเมย์ใช่ไหมถึงทำแบบนี้  เธอ...เดี๋ยว...!!!"
	ฉันรีบเดินมาขึ้นรถ  พี่เอิร์ทก็ตามขึ้นมา  เขาบ่นฉันตลอดทางทีเดียว  ฉันมาถึงหอพักก็จอดรถแล้วก็เดินขึ้นหอไปเลยโดยที่ไม่สนใจที่พี่เอิร์ทพูด...วันนี้รู้สึกสนุกมากทีเดียวที่ได้แกล้งยายคนนั้น  แต่ฉันก็ยังหวั่น ๆ ใจกับเหตุที่จะตามมาภายหลังเหมือนกัน...
..................................4................................
	
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ				
9 กันยายน 2547 11:13 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 17 )

สุชาดา โมรา

ตั้งแต่มีพี่เบลวมาเป็นคนปลอบใจฉันอยู่ตลอดเวลา  มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีที่พึ่งทางใจมากยิ่งขึ้น  บ่อยครั้งที่ฉันมักจะชวนกันไปทำบุญเพื่อที่จะให้จิตใจสงบ  และบ่อยครั้งที่ฉันจะนัดพี่เขาไปเที่ยวด้วยเสมอ ๆ จนทำให้ฉันและพ่อแม่ของพี่เขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น  แต่ฉันก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรให้พ่อแม่เขาฟังนักหรอกเพราะมันทำให้ภาษีเราไม่ดี
	ครั้งนี้เป็นการแข่งยูโด  ฉันไปในฐานะกรรมการผู้ตัดสินข้างสนามพี่เบลวไปแข่ง  ฉันคอยลุ้นอยู่ตลอดจนพี่เบลวเขาชนะได้ถึงสามคนจึงได้สายเขียวมาครอง  ฉันดีใจมากทีเดียว  
	ช่วงนี้เราค่อนข้างสนิทกัน  ไปไหนก็ไปด้วยกัน  ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราเป็นแฟนกันเพราะลักษณะเราเหมือนกับพี่น้องกันมากกว่า  ครั้งต่อไปเป็นการแข่งยูโดชิงถ้วยพระราชทานซึ่งครั้งนี้ฉันต้องไปแข่ง  แต่ก่อนไปแข่งฉันก็ได้ไปคัดสายที่จรัญสนิทวงศ์  โรงเรียนบูรณวิทย์  ฉันเข้าร่วมชั่งน้ำหนักและวอร์มร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม  สายครั้งนี้เป็นสายที่สำคัญกับฉันมากเพราะนี่เป็นสายน้ำตาลปลายดำ  ฉันต้องแข่งให้ชนะถึง 8 คนเพื่อที่จะได้สายมาครอง  แต่ทว่าจู่ ๆ อาจารย์ดนัยซึ่งเป็นกรรมการที่ไปตัดสินที่นั่นก็เอาประกาศนียบัตรสายดำมาให้ฉัน  นี่เป็นประกาศนียบัตรมาจากกองทัพอากาศ  ฉันดีใจมากที่สิ่งที่ฉันทำเพื่อประเทศนั้นมีความหมายและความสำคัญถึงเพียงนี้...
	ฉันจึงไม่ต้องแข่งคัดสายแล้ว  ส่วนพี่เบลวก็มาคัดสายฟ้า  พี่เขาเป็นคนเก่งหัวไวสอนอะไรก็เป็น  อาจารย์หลาย ๆ ท่านก็มาเทรนพี่เขาจนพี่เขาแกร่ง  เก่งและฟิตมากทีเดียว  ครั้งนี้พี่เขาแข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ  คู่ต่อสู้เป็นคนของกองทัพอากาศ  แต่พี่เบลวก็สามารถชนะมาได้ด้วยท่าพื้นฐานอย่างโมโนเตะ-เซโออินาเงะ  และก็สู้กับคนภายนอกอีกอย่างมหิดล  พระจอมเกล้า  พระมงกุฎในชุดสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นั่น  และของนอกสังกัดอีก  จนได้สายฟ้ามาครอง
	ที่จริงพี่เบลวเข้ามาเล่นยูโดเพียงไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็สามารถทุ่มได้  ต่อมาอีก 3 วันก็สามารถคว้าสายเขียวมาครองได้  และใช้เวลาอีก 1 เดือนก็สามารถคว้าสายฟ้ามาครองได้นี่ก็ไม่ธรรมดาเสียแล้ว  พี่เขาเก่งจริง ๆ แถมยังเป็นคนดีอีกต่างหาก  เหตุครั้งนี้จึงทำให้พี่เขาด้ฉายาในวงการว่าเป็นเจ้าชายวายุ  หมายถึงรวดเร็วมากในการได้สาย  ต่อมาพี่เขาก็ได้ไปแข่งอีกหลายครั้งจนได้เป็นนักกีฬาเขตการศึกษา 6  ไม่ว่าพี่เขาจะเก่งแค่ไหนแต่พี่เขาก็ไม่เคยลืมฉันเลย  พี่เขายังเป็นที่ปรึกษาให้ฉันเสมอ  ฉันรู้สึกดีใจมากที่มีพี่เขาคอยเอาใจใส่และเป็นที่พึ่งในยามท้อแท้ได้
	............................................
	ฉันไปแข่งยูโดชิงถ้วยพระราชทานที่ ม.รามคำแหง1อีกครั้ง  คราวนี้มีพี่เบลวมาแข่งด้วย  ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาแข่ง  แต่ก็รู้สึกว่าเจนสนามเสียแล้ว  ครั้งนี้ไม่ตื่นเต้นมากนัก  คราวนี้แข่งประเภททีม  มีพี่เจี๊ยบ  ฉัน  และพี่นก  เราแข่งมาจนถึงคู่สุดท้ายก่อนที่จะชิงถ้วยและเหรียญทองไปครอง  ฉันเป็นมือที่สามทำให้แรงกดดันมาอยู่ที่ฉันคนเดียว  คู่ต่อสู้ค่อนข้างแกร่งและมีฝีมือ  โดยเฉพาะที่เป็นเจ้าภาพแล้วยิ่งน่ากลัวใหญ่  เพราะใคร ๆ เขาก็ล่ำลือว่า ม.รามนี่มีฝีมือในการเล่นยูโดมากที่สุด  ฉันรู้สึกกลัว ๆ เหมือนกันแต่ก็ยังถือคติเดิมว่าจะสู้....สู้ ๆๆๆๆๆๆ....
	"ฮาจิเมะ.........!!!"
	ฉันเดินเข้าๆไปหาจังหวะคู่ต่อสู้  ฉันค่อนข้างมีสมาธิที่ดี  จนกระทั่งฉันหาจังหวะได้และเข้าท่าทุ่มทันทีแต่คู่ต่อสู้เก่งมากพลิกตัวกลางอากาศทำให้ฉันไม่ได้คะแนนในจุดนี้  ฉันจึงพยายามเข้าไป  รุกเข้าไปทุ่มอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จอีกจนกระทั่งหมดเวลา  ฉันเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นยอดของนักยูโดเข้าให้แล้ว...  กรรมการสั่งให้เสมอกัน  แต่ยังไง ๆ ทีมของฉันก็ชนะเพราะเราชนะมาถึง 2 คนแล้ว  ทีมของฉันจึงได้ถ้วยและเหรียญไปครองอย่างไม่คาดฝัน  ส่วนทีมของพี่เบลวนั้นก็ได้เหรียญทองและถ้วยมาครองเช่นกัน
	ขากลับฝนตกกระหน่ำ  รถกระบะต่อแคบใช่ว่าจะกันฝนได้  ฉันนั่งหนาวจนอาจารย์จอดรถและเอาผ้าใบมาบังฝนให้  จากนั้นก็ขับต่อไปอีก  ฉันง่วงมาก  ดึกก็ดึกไม่รู้จะทำยังไงดี  พี่เบลวอยู่ใกล้ ๆ ฉันก็เลยขอร้องเขา
	"พี่เบลวขอร้องอะไรหน่อยได้ไหม"
	"อะไรเหรอ..."
	"ง่วงแล้ว  ขอหนุนตักหน่อยนะ"
	ฉันไม่ทันได้ฟังว่าพี่เขาอนุญาติหรือเปล่า  แต่ที่รู้ ๆ คือตักพี่เขานุ่มมากไม่เหมือนตักผู้ชายเลย  แต่เสียอย่างเดียวนอนลำบากไปหน่อยฉันเลยขดตัวขึ้นมานอนบนม้านั่งแล้วก็หลับยาวจนกระทั่งอาจารย์มาจอดรถที่ปั๊มแห่งหนึ่ง
	"ดาว ๆ ตื่น ๆ ๆ"
	ฉันเงยหน้ามาอย่างัวเงียแล้วก็ลงมาเข้าห้องน้ำ  จากนั้นจึงเข้าไปซื้อมาม่ามาคัพมากินบนรถเพราะเมื่อหัวค่ำก่อนออกมาจาก ม.รามนั้นยังไม่ได้กินข้าวกันเลย  มาม่ามื้อนี้จึงอร่อยที่สุดเลย  พอกินเสร็จก็ขึ้นรถ  ฉันก็ยังตู่ขอนอนตักพี่เขาอยู่ดี  ทำให้พี่เก้าและพี่ต้นเพื่อนของพี่เบลวต้องแซวอยู่หลายครั้ง  ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาหมายความว่าอะไร  แต่ที่รู้ ๆ คือฉันนอนหลับยาวจนรถมาจอดที่สมาคมฯตอนตี 4 ได้
	"ดาว ๆ  ตื่นได้แล้วถึงแล้ว"
	ฉันเงยหน้ามาอย่างงัวเงีย  พี่เบลวพาฉันลงมาจากรถฉันจึงมานั่งหลับอยู่ที่ศาลาของสมาคมฯ  พี่เบลวโทรให้พ่อเขามารับ  พ่อของพี่เบลวจึงมาส่งฉันที่บ้าน  ที่บ้านเป็นห่วงฉันมากรอฉันทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอน  แต่พอฉันกลับมาทุกคนก็ดีใจแล้วก็เข้านอน  คืนนี้ฉันไม่อาบน้ำแล้วขอเข้านอนเลยดีกว่าเพราะง่วงมากเลย

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้นะคะ				
9 กันยายน 2547 11:04 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 16 )

สุชาดา โมรา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลท่านก็ยังตามไปช่วยเราได้  ฉันเพิ่งเชื่อก็ต่อเมื่อเจอกับตัวจริง ๆ วันนี้ฉันจึงมาโรงเรียนแล้วไปสักการะบูชาหลวงพ่อขาวแต่เช้ามืดและใส่ชุดยูโดวิ่งรอบหลวงพ่อขาว 9 รอบทันที  หนูมาแก้บนแล้วนะคะหลวงพ่อ...  จากนั้นก็ไปไหว้เจ้าพ่อศาฬพระกาฬ  องค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่วงเวียน  และก็มาที่ชมรมไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเพื่อแก้บนหลังจากที่กลับมาได้เพียง 2 วันด้วยความรู้สึกสัทธาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
พอกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวมาเรียนฉันก็รู้สึกสบายใจเหลือเกิน  วันนี้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตจริง ๆ... ฉันเดินเข้าไปที่หน้าเสาธงเห็นเพื่อน ๆ หลายคนซุบซิบนินทา  ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันแต่ที่รู้ ๆ เห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราโดยตรงเพราะพวกนั้นมองมาทางนี้...
	ฉันขึ้นเรียนวิชาสังคม  เพื่อน ๆ ก็มองราวกับเป็นตัวประหลาด  ครั้นจะคุยกับใครก็ไม่มีใครเขาพูดด้วย  เราจะทำไงดีนะ...
	"นางสาวแววดาว   เมธาธิพญา  ไปพบครูที่ห้องหน่อย"
	อาจารย์นารีรัตน์เรียกฉันไปคุยที่ห้องพักครูเป็นการส่วนตัว  ฉันเดินตามอาจารย์ไปติด ๆ จนมาถึงห้องพักครูที่อยู่ชั้น 3 ของตึก  ในห้องมีอาจารย์หลายคนนั่งอยู่คล้าย ๆ กับรอพูดกับเราเพราะสีหน้าและแววตาของอาจารย์จ้องมองมาทางฉันคนเดียว
	"เธอก็ดูเรียบร้อยดีนะ  หน้าตาก็สะสวยถามจริง ๆ เถอะทำไมเธอถึงใจเร็วด่วนได้ขนาดนี้"
	"อะไรกันคะอาจารย์"
	ฉันถามแบบงง ๆ เพราะจู่ ๆ ก็ถูกเรียกมาต่อว่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้
	"ยังมาตีหน้าซื่ออีกนี่ท่าฝ่ายปกครองรู้เธอโดนไล่ออกแน่ ๆ ครูขอเตือนเธอด้วยความหวังดีนะเลิกพฤติกรรมนี้ได้แล้ว"
	"อาจารย์คะ  นี่มันอะไรคะหนูไม่รู้เรื่องค่ะ"
	"พอกันทีเธอนี่มันหน้าทนจริง ๆ ไป...ไปเรียนได้แล้ว"
	ฉันรู้สึกงงมาก ๆ ที่จู่ ๆ ก็โดนว่าโดยไม่มีสาเหตุ  ฉันได้แต่คิด  คิด  คิดแล้วก็คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นฉันถึงได้ถูกว่าเสีย ๆ หาย ๆ อย่างนี้  ฉันไม่เข้าใจเลย  เพื่อน ๆ ก็ไม่มีใครคุยกับฉัน  ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนในห้องเลย  พอเข้ากลุ่มก็ไม่มีใครเขาอยากให้อยู่ด้วย  จะทำรายงานก็ต้องทำคนเดียว  ทุกคนเป็นอะไรไปกันหมด  วันนี้รู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย...
	พอพักเที่ยงฉันเดินออกมากินข้าวคนเดียวพอกินเสร็จก็เดินไปห้องสมุดแต่ทางตรงนั้นมันผ่านห้องพักครูพอฉันเจออาจารย์ทองซึ่งเป็นโฮมรูมของฉันแกก็เรียกไปพบ
	"มาแล้วเหรอแววดาว...เธอรู้ไหมว่าเธอทำผิดร้ายแรงมากโทษของเธอมันถึงกับโดนไล่ออกเชียวนะ  แต่นี่ครูไม่ได้บอกฝ่ายปกครองไม่งั้นเธอโดนแน่ ๆ"
	"ถามจริง ๆ เถอะค่ะหนูทำอะไรผิดเหรอคะอาจารย์ถึงได้มาพูดแบบนี้  นี่มันไม่ใช่แค่อาจารย์คนเดียวนะคะ  นี่อาจารย์ถึง 5 คนแล้วที่เรียกหนูไปว่าแบบนี้"
	"ก็เธอท้องไม่มีพ่อให้แม่พาไปทำแท้งถึง 3 เดือนไง  นี่ถ้าหัวหน้าห้องเธอไม่มาบอกนี่ครูไม่รู้นะเนี่ย...เห็นหน้าซื่อ ๆ ท่าทางเรียบร้อยไม่น่าเลยจริง ๆ"
	"อาจารย์อย่ามาพูดแบบนี้นะหนูไม่ชอบ...!!!!  จู่ ๆ มากล่าวหาแบบนี้ได้ยังไงหนูไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลยแต่อาจารย์มาพูดแบบนี้ได้ยังไง"
	ฉันโมโหจัดเลยพูดเสียงดังมากจนอาจารย์หลายคนที่อยู่ห้องติดกันวิ่งออกมาดู
	"อ๋อนี่น่ะเหรอเด็กที่เขาลือกัน  อ๋อ...."
	"ไหน ๆ อ๋อ...."
	อาจารย์หลายคนมามุงดูฉันกันใหญ่  ฉันรู้สึกทั้งโกรธและแค้นมากจึงพูดแรง ๆ ออกมา
	"ขอโทษนะคะอาจารย์หนูจะฟ้องแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับอาจารย์ทุกคนเพราะหนูไม่ผิด  หนูไปแข่งกีฬามาเพื่อประเทศแต่ผลที่ได้มันเป็นแบบนี้น่ะเหรอ  หนูไม่ยอมหรอก  และกรรมใดที่ให้ร้ายหนู  หนูขอให้มันคืนสนองอาจารย์ภายในวันสองวันนี้อย่าให้ชีวิตครอบครัวของอาจารย์ทุกคนที่กล่าวร้ายหนูมีอันได้อยู่สุขเลย  สาธุ......!!!!!"
	ฉันออกมาจากห้องพักครูและเดินวกกลับไปหน้าประตูโรงเรียนทันที  แต่ยามไม่ยอมให้ออกฉันจึงต้องปีนรั้วโรงเรียนทั้ง ๆ ที่ใส่กระโปรง  รั้วเกี่ยวกระโปรงจนตกลงมาแต่ก็ไม่ย่อท้อ  ฉันคิดอยู่เพียงว่าฉันไม่ผิดและไม่ยอมให้ใครมาดูถูกฉันได้  จากนั้นก็ตรงลี่ไปที่โรงพักที่อยู่ระแวกนั้นทันที  ฉันแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับอาจารย์ทอง  อาจารย์นารีรัตน์  อาจารย์พรชุมา  อาจารย์เสงี่ยม  อาจารย์บังอร  อาจารย์กาญจนาและอาจารย์รามด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างโกรธ  ตำรวจถามวกไปวนมาแต่ฉันก็ยังพูดคำเดิมว่าอาจารย์พวกนี้หาว่าฉันท้องไม่มีพ่อให้แม่พาไปทำแท้ง  ตำรวจจึงเรียกอาจารย์ทั้งหมดมา  จากนั้นก็เรียกผู้ปกครองของฉันมาที่โรงพัก...
	เรื่องมันจึงบานปลายตอนที่ย่าฉันมา  ย่าไม่ยอมความง่าย ๆ เพราะอาจารย์พวกนี้ทำให้ฉันเสียเกียรติมาก ๆ  และก็เกิดทะเลาะกันบนโรงพัก  ย่าเรียกเงินถึงหัวละ 2 แสนบาทเพื่อที่จะได้ไม่มีเงินจ่าย  ย่ากะจะให้อาจารย์พวกนี้ติดคุกหรือไม่ก็โดนย้ายไปเลย  
	"ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะเอาเงินมาจากไหนได้  แต่คุณต้องชดใช้..."
	"แน่จริงก็ไปหาหลักฐานมาพิสูจน์สิว่าเด็กไม่ได้ไปทำแท้งมา"
	"เออ...ใช่ ๆ ๆ"
	เสียงอาจารย์วิพากวิจารณ์บนโรงพัก  เสียงทะเลาะกันทำให้ตำรวจต้องมาไก่เกี่ยหลายครั้ง
	"ได้ฉันจะไปหาหลักฐานมา  ฉันจะพาหลานฉันไปตรวจ"
	ย่าพูดด้วยความโมโหแล้วก็ออกจากโรงพักมา  ฉันรู้สึกโกรธอาจารย์พวกนี้จริง ๆ ฉันไม่เข้าใจว่าฉันทำอะไรผิดนักหนาอาจารย์ถึงได้ใส่ร้ายฉันได้ขนาดนี้  แล้วฉันก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อชาติปางก่อนนี้ฉันทำกรรมเวรอะไรเพื่อนที่สนิทที่สุด  คนที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดถึงได้ทำกรรมทำเวรกับฉัน  สงสัยว่าชาติที่แล้วฉันจะทำบาปไว้มากหรือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันคนเหล่านี้ถึงได้มาจองเวรกับฉัน...
	ย่าพาฉันมาหาหมอ  หมอเรียกให้เข้าไปตรวจแต่ฉันกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะฉันคิดอยู่ว่าฉันเป็นสาวแล้วยังไม่มีสามีจู่ ๆ ก็ต้องมาเปิดอะไรต่อมิอะไรให้หมอดูมันน่าอายจริง ๆ ฉันกลัว...  กลัวจนแข้งขามันสั่นไปหมด  หมอเรียกให้ขึ้นขาหยั่งแต่ฉันทำท่าสั่น ๆ แล้วก็ไม่ยอมขึ้น  หมอจึงเรียกไปนั่งคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฉันจึงเล่าเรื่องการแข่งกีฬาที่ฟิลิปปินล์ให้หมอฟัง...  แล้วก็ลงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าฉันไม่มีรอยฉีกขาดแต่ประการใด  ย่าจึงเอาผลการตรวจไปให้ตำรวจ  ตำรวจจึงยื่นฟ้องต่อศาลเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้ฉันต้องเสียชื่อเสียงและเสียเกียรติทำให้ต้องอายแก่สังคมจากอาจารย์ทั้ง 7 คน
	..........................................
	ฉันรู้สึกเคว้งคว้างมากเลย  ไม่มีใครในห้องยอมคบฉัน  ไม่มีใครพูดกับฉันแม้แต่คนเดียว  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสะสาร  เขาถึงบอกว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากอย่างไรเล่า...
	ฉันมาซ้อมยูโดเหมือนเคย  แต่วันนี้ฉันมาเร็วเป็นพิเศษเพราะฉันโดดเรียน  ฉันไม่มีกำลังใจที่จะเรียนอีกต่อไปแล้ว  ฉันเบื่อหน่ายมาก ๆ กับการที่เป็นสะสารในห้องเรียนโดยที่ไม่มีใครพูดด้วย  ทำงานกลุ่มก็ไม่มีใครให้เข้าร่วมกลุ่ม  ฉันทั้งเซ็งทั้งเบื่อ  พอมาถึงสมาคมฯฉันจึงมานั่งที่ใต้ต้นไทรที่เดิมอีกครั้ง  ฉันคิดถึงวันเก่า ๆ พี่นัทคนที่เคยปลอบโยนฉันวันนี้ก็ไม่เป็นเหมือนวันเก่าแล้ว  พี่ดอนคนที่เคยช่วยให้คำปรึกษาเวลาท้อแท้แต่วันนี้ก็ไม่มีวันแบบนั้นอีกแล้ว  ฉันโหยหาคนมาดูแลหัวใจเหลือเกิน...
	"อาจารย์...ทำอะไรอยู่เหรอ  นั่งทำมิวสิคหรือไง...!!!!"
เสียงที่ฉันได้ยินมันออกจะไม่คุ้นหูมากนัก  ฉันจึงค่อย ๆหันไปมองหน้าคนพูดช้า ๆ ฉันเห็นพี่เบลวมายืนอยู่ที่ข้างหลัง  ฉันถึงกลับร้องไห้ทีเดียว  ฉันแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็นเสียแล้ว  ฉันไม่รู้สึกเลยว่าฉันอายแต่ตอนนั้นฉันรู้สึกเพียงว่าฉันเสียใจ  ไม่มีใครอยากจะคุยกับฉันเลยนอกจากคนที่นี่  ฉันอัดอั้นตันใจเหลือเกินพอได้ร้องออกมาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
	"มีเรื่องอะไรเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมอาจารย์"
	ฉันจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การที่ฉันคบกับพี่นัทจนมาถึงเรื่องของอาจารย์ที่โรงเรียนในปัจจุบันนี้ให้ฟัง
	"อ่ะ...ซับน้ำตาซะแล้วก็ร้องออกมาให้หมดอย่าเก็บไว้คนเดียวเดี๋ยวจะเครียดไปกันใหญ่"
	ยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้ก็มักจะมีใครสักคนมาปลอบใจ  คราวนี้ก็เป็นเช่นกัน  พี่เบลวมานั่งปลอบใจฉัน  แต่ครั้งนี้คนที่ปลอบใจคิดกับฉันเพียงพี่กับน้องเท่านั้น...  พี่เบลวนั่งห่างจากฉันถึงเมตรแล้วก็คุยกับฉันจนฉันรู้สึกว่าฉันสบายใจขึ้นมาก  ที่จริงฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่เบลวจะปลอบใจคนเป็นเพราะปกติแล้วพี่เขาไม่ค่อยได้พูด  ราวกับคนเป็นไบ้ทีเดียว
	"ใกล้เวลาซ้อมแล้วนะอาจารย์  อาจารย์ต้องไปสอนอาจารย์ต้องทำหน้าที่แล้วละ  อย่าให้เสียเรื่องเลย  ตั้งใจเรียนนะอาจารย์ถึงแม้ว่าใครจะไม่สนใจไม่พูดกับเรา  แต่ก็ขอให้อาจารย์เข้มแข็งและตั้งใจเรียนอย่าโดดเรียนอีกเพราะอาจารย์จะเรียนไม่จบ  อาจารย์อย่าละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง  ต้องทำตัวเป็นลูกที่ดี  เพื่อตัวเองและครอบครัวอย่าโดดเรียนอย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง"
	ฉันรู้สึกซึ้งใจพี่เบลวเหลือเกิน  แต่ถ้าหากมันทนไม่ไหวจริง  ๆ  ฉันก็คงต้องทำแบบนี้อีกแน่ ๆ  ฉันไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไงดี  ปากก็พูดได้ว่าจะต้องทำได้แต่พอเอาเข้าจริงมันคงไม่ไหว  ฉันจะทนอยู่และเรียนกับคนพวกนั้นได้นานแค่ไหนกันในเมื่อเหมี่ยวคอยยั่วยุอยู่ตลอดเวลา...
	"ไปอาจารย์....!!!!"
	"ขอร้องนะพี่เบลว  อย่าเรียกแบบนี้อีกนะ  ขอร้องละเรียกชื่อก็พอแล้ว"
	ฉันปาดหยาดน้ำตาจนเหือดแห้งออกจากใบหน้าแล้วก็ไปแต่งตัวเตรียมที่จะไปสอนและไปซ้อม...  ยังไง ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างแต่ฉันก็ยังรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ดี  ฉันไม่รู้จะหาทางออกได้ที่ไหน  ไม่รู้ว่าจะมีใครยอมรับฟังความไม่สบายใจของฉันบ้าง  ฉันรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
7 กันยายน 2547 23:18 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 15 )

สุชาดา โมรา

ฉันกลับมาพร้อมกับชัยชนะที่จะนำมาฝากครอบครัวและสมาคมฯ  และสิ่งที่ฉันได้ตามมาคือชื่อเสียงนอกจากนั้นฉันยังได้เลื่อนตำแหน่งจากนักกีฬาเป็นทหารมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์  พอเครื่องลงจอดฉันก็รีบนั่งรถตู้กลับมาลพบุรีทันที  ทุกคนที่บ้านตื้นตันใจมาก ๆ เพราะไม่คิดว่าฉันจะทำได้  พี่ ๆ ที่สมาคมฯก็ยินดีไปกับฉันด้วย  ฉันมีของมาฝากทุก ๆ คนเพราะเบี้ยเลี้ยงดีมาก ๆ ฉันรู้สึกดีใจที่สุดเลยที่ได้มีวันนี้  ความฝันของฉันสำเร็จไปได้ด้วยดี...
	"สวัสดีนักเรียนและนักกีฬาทุกคนวันนี้ครูมีข่าวดีมาบอกทางสมาคมของเรามีครูฝึกคนใหม่"
	ทุกคนฮือฮากันเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นผู้ช่วยอาจารย์
	"เงียบ ๆ กันหน่อย  หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักและหลาย ๆ คนที่มาใหม่อาจจะไม่รู้จักครูขอแนะนำอาจารย์ที่ทางกองทัพอากาศส่งมากู้หน้าพวกเราอาจารย์แววดาว  เมธาธิพญา"
	ทุกคนอึ้งเงียบกันหมด  จนอาจารย์ดนัยปรบมือทุกคนถึงกับหันไปมองและปรบมือ  ฉันจึงเดินออกมาข้างหน้าทุกคนพร้อมกับคำนับเพื่อแสดงตัวว่าฉันเป็นอาจารย์  ที่จริงตอนที่ฉันไปคุยกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวในห้องพักทหารอาจารย์บอกว่าเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์อีกหน่อยก็เป็นอาจารย์  อาจารย์ก็เลยให้ฉันดำรงตำแหน่งอาจารย์เลยทันที
	"คอนนิจิวะ  วาตาคุชิวะ  แววดาว   เมธาธิพญา  โมชิมาสุ  โดโซะโยโรชิกุ  โตอัสสะชุ  ชิมาสุ"
	"มิดิเตะ....!!!!"
	ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันทำให้ฉันมีความรู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ  ยกเว้นเหมี่ยวฉันจึงคิดได้ว่าสมาคมฯของเราควรที่จะมีกฎต้องห้ามฉันจึงพูดขึ้น
	"ฉันขอประกาศกฎที่ฉันตั้งขึ้นไว้ว่า  ข้อแรกห้ามส่งเสียงดัง  ทุกคนต้องมีสมาธิ  ข้อสองทุกคนที่ไม่ได้ขึ้นซ้อมในขณะนั้นต้องนั่งอยู่ที่เบาะแดงเท่านั้น  ข้อสามคือก่อนขึ้นมาบนเบาะควรเรียงรองเท้าให้เป็นระเบียบและเคารพเบาะทุกครั้งที่ขึ้นและลงจากเบาะ  ข้อสี่ใครที่มีสายสีแล้วถ้าวันไหนไม่ใส่สายสีของตัวเองจะถูกปรับด้วยการยึดพื้น 50 ทีตามขั้นสาย  ส่วนพวกสายขาวที่แอบเอาสายสีมาใส่ให้โทษถึงสองเท่า  ข้อห้าทุกคนเมื่อมาถึงแล้วควรทำความสะอาดเบาะอย่าให้มีฝุ่นจับและควรวอล์มร่างกายให้พร้อมด้วยการไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลคนละ 3 รอบ  ข้อหกห้ามขโมยของในล็อกเกอร์หรือแม้แต่ของสำคัญที่วางไว้บนโต๊ะถ้าใครฝ่าฝืนไล่ออกสถานเดียว  ข้อเจ็ดทุกคนต้องเข้าออกตรงต่อเวลาและห้ามมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นที่นี่  แต่ที่อื่นไม่ห้าม  ข้อแปดทุคนต้องมีน้ำในเป็นนักกีฬาห้ามทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเราถือว่าเรามีจิตวิญญาณเป็นนักกีฬายูโดเหมือน ๆ กันและห้ามยกพวกตีกันกับนักกีฬาที่อื่นหรือนักกีฬาต่างชนิท  ข้อเก้าเครื่องแต่งกายของยูโดต้องเรียบร้อยซ้ายทับขวา  สายก็เช่นเดียวกันซ้ายทับขวาและขวาทับซ้าย  คาดสายให้ตรงกับสะดือหรือต่ำกว่า  ห้ามรัดจนฟิตหรือจนเอวกิ่ว  และผู้หญิงควรใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวข้างในห้ามีลวดลายหรือสีอื่นข้อสุดท้ายต้องเคารพในสายและเคารพผู้ฝึกซ้อมนอกจากนั้นต้องเคารพในกฎระเบียบและกติกาการแข่งขันรวมทั้งกรรมการด้วย  กฎ 10 ข้อทำได้ไหม....!!!"
	ทุกคนเงียบอึ้งกันอีกครั้งจนอาจารย์ดนัยปรบมือขึ้นอีกครั้งทุกคนจึงปรบมือและกล่าวคำว่ารับทราบโดยพร้อมเพียงกัน
	ฉันได้นักเรียนใหม่เป็นผู้ชายที่ฉันต้องมาเทรนตั้งแต่การตบเบาะ 3 คนเป็นนักเรียนช่างที่สถาบันแห่งหนึ่ง  พวกเขาหัวไว  สอนอะไรก็เข้าใจและทำได้อย่างรวดเร็ว  พวกเขาอายุมากกว่าฉัน  มีชื่อพี่เก้า  พี่ต้น  และพี่เบลว  เวลาที่ฉันสอนพวกเขาดูพวกเขาจริงจังจนฉันต้องจริงจังด้วย  ฉันมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ
	"อาจารย์พี่อยากรู้ว่าเมื่อไรจะสอนทุ่มซะทีล่ะ  อยากทุ่มได้มานานแล้ว..."
	"นี่ขอร้องอย่าเรียกอาจารย์ได้ไหม  มันดูแก่น่ะ  เออ...แล้วไอ้เรื่องที่อยากทุ่มได้น่ะเอาไว้ตบเบาะแน่น ๆ ก่อนก็แล้วกันแล้วค่อยมาว่ากันไอ้เรื่องทุ่มน่ะมันของหวานเอาของคาวให้ได้ก่อน"
	"ของหวานของคาวอะไรกันผมไม่เห็นเข้าใจเลยอาจารย์"
	"นี่..."
	"ก็ได้ก็ได้ไม่เรียกอาจารย์ก็ได้แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ"
	"เรียกชื่อเฉย ๆ ไง  ตัวเองแก่กว่าเขาแล้วจะมาเรียกเขาแก่ได้ยังไงกัน"
	"ครับอาจารย์  เอ๊ยน้องดาว..."
	"ไม่ต้องมาทำเสียงหวานเลยพี่ต้น  ของหวานก็คือเรื่องง่าย ๆ อย่างการทุ่ม  ของคาวก็คืออาหารหลักที่ต้องใช้ไปตลอดอย่างการตบเบาะ  ถ้าทำไม่ดีโอกาสถึงตายมีได้  หรือแข้งขาหักไปละก็แย่เชียว  มันเป็นสำนวนของวงการนี้น่ะอย่าคิดอะไรมาก"
	"น้องดาวเรียนมากี่ปีแล้วถึงได้เป็นอาจารย์เนี่ย"
	"เรียนมาอืม...ปีนึงทำไมเหรอ"
	"เก่งเนาะ...จริงไหมวะเก้า  เบลว"
	"อย่ามายอกันเลย  ซ้อมต่อดีกว่าเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังนะจ๊ะพี่ ๆ"
	ด้วยความที่ฉันเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็เลยให้พี่ ๆ ทั้งสามคนซ้อมกันอย่างไม่หยุด  ฉันลืมเวลาพักเบรกไปเสียสนิท  ฉันไม่รู้หรอกว่ามีใครจับจ้องฉันบ้างแต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าหลังมันร้อนผ่าว ๆ เหมือนกำลังถูกไฟรนทีเดียว
	"พักเบรกก่อนนะพี่ต้น  พี่เก้า  พี่เบลว"
	"มีอะไรเหรอดาว"
	"เห็นใครมองมาบ้างหรือเปล่า"
	"ก็เห็นนะ  คนอ้วน ๆ คนนั้นที่หน้าตาดุ ๆ น่ะเขาจ้องเหมือนเคยมีเรื่องกันมาก่อนเลย"
	พอฉันหันไปดูก็เห็นเหมี่ยวจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว  แต่ฉันก็ทำเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเล่นยูโด  ฉันเก็บข้าวของแล้วก็เตรียมออกจากเบาะแต่ก่อนออกพวกพี่ ๆ ทั้งสามคนเรียกฉันไปนั่งคุยกันก่อนฉันจึงไปนั่งคุยที่ม้านั่ง  ขณะนั้นมีพี่โอม  พี่ตูน  พี่แท็ก  พี่ไก่  พี่นัทและพี่เจี๊ยบอยู่ด้วยส่วนคนอื่น ๆ กลับกันหมดแล้ว
	"ทำยังไงถึงจะได้สายน้ำตาลล่ะ"
	"ก็ขยันซ้อม  ขยันแข่งและหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้ก็เท่านั้น  มันไม่ยากนักหรอก"
	สักพักเหมี่ยวก็เดินมาใกล้ ๆ
	ปัง...................!!!!!!!!!
	เหมี่ยวเอาชุดยูโดตบที่โต๊ะแรงมากแล้วก็หันมาจ้องฉันเหมือนกับยักษ์ใจร้ายทีเดียว  ภาพในตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนเห็นผีเสื้อสมุทรในวรรณคดียังไงยังนั้นเลย
	"ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ  มึงอยู่ในนี้ปลอดภัยแต่มึงอย่าเข้าไปเรียนเชียวนะไม่งั้นมึงไม่รอด  กูจะไม่ให้มึงอยู่สุขสบายแน่.....!!!!!"
	"เหมี่ยวมันไม่มากไปหน่อยหรือไง...ข่มขู่นี่หว่า"
	พอพี่โอมพูดพี่นัทก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เหมี่ยวแล้วก็ตบหน้าทันที
	เพี๊ย.............!!!!!!
	"มาตบเหมี่ยวทำไม"
	"หยุดขี้อิจฉาได้แล้ว  อย่าทำตัวเองให้ต่ำลงไปกว่านี้เลย"
	พอพี่นัทพูดจบเหมี่ยวก็วิ่งออกจากสมาคมฯไปเลย  ฉันถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูกเลย  ฉันไม่เคยคิดว่าผู้ชายที่แสนดีเพียบพร้อมอย่างพี่นัทจะกล้าตบหน้าผู้หญิงแล้วก็เดินไปนั่งอย่างหน้าตาเฉย  ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย  แล้วที่เหมี่ยวพูดมันอะไรกัน  วันพรุ่งนี้ที่ฉันต้องไปเรียนมันจะเกิดอะไรขึ้นนะ  ฉันรู้สึกกังวลใจจริง ๆ				
4 สิงหาคม 2547 17:55 น.

เกร็ดน่ารู้ ตอนภาษาถิ่น6

สุชาดา โมรา

คำเรียกชื่อสัตว์
แมลงหวี่							แมงโลบ
แมงป่อง							ไอ้ทวย
แมลงปอ							แมงบี้
หมาร่า							หมาบ้า
บุ้ง								หนอนร่าน
กิ้งกือ							ผึ้งกือ,บุ้งกือ
กิ้งก่า							กะปอม
พยาธิ							เดือน
จิ้งจก							ตีนจก
หอยโข่ง							หอยขม
จิ้งเหลน							กล้องแกล้ง
พังพอน							มูสัง,มดสัง
ไก่ป่า							ไก่เถื่อน
ไก่นา							ไก่บ้าน
อีเห็น							มูสัง
ควายป่า							ควายเถื่อน
หมูป่า							หมูเถื่อน
เป็ดเทศ							เป็ดวา
ตัวเฮี้ย							แลน
งูจงอาง							งูบองหลา
ภาษามาตรฐาน				ภาษาถิ่นใต้
งูเหลือม							งูบ้องหลา
งูเหลือมทะเล						งูมังการ
งูเขียว							งูก้านพร้าว
งูเขียวหางไหม้						งูบองยอดกล้วย
งูสิง								งูบองหนาบควาย
ค่างดำ							ค่างกะ
นกฮูก							นกทึดทื่อ
นกหัวขวาน							นกขวานตีไหล,นกติ้น
นกกระจาบ							นกกะย้า
นกขมิ้น							นกบวด
นกดุเหว่า							นกตู้หู
เสือดำ							ค้างคูด
ชะมด							ขี้เท่,สังแหย้ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา