25 พฤศจิกายน 2547 12:19 น.

นวนิยาย:เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ (ตอนอวสาน)

สุชาดา โมรา

ดาว  พี่ขอคุยด้วยคนสิ
	มีอะไรเหรอพี่นัท
	พี่จะต้องไปทำงานแล้ว  พี่คงไม่ได้มาเล่นยูโดอีกแต่พี่จะติดต่อมาบ่อย ๆ นะ  แล้วอย่างอแงล่ะ  อ้อ...อย่าไปทำขี้อ้อนกับเจ้าเบลวมากนักนะเขาจะรำคาญ  อีกอย่างก็เพลา ๆ การหยอกเย้าเล่นหัวกับพวกผู้ชายได้แล้วเขาจะหึง  ยิ่งคนเงียบ ๆ อย่านี้นะน่ากลัวที่สุดเลยรู้ไหม...
	พี่นัทขยี้หัวฉันแล้วก็เดินออกไปจากสมาคมฯ  ถึงตอนแรกฉันจะยิ้มแต่พอเขาเดินจากไปฉันก็รู้สึกว่าจิตใจมันหวั่นไหว  เพราะฉันยังไม่อาจลืมเขาได้เลย...  ทำยังไงนะฉันถึงจะลืมเขาได้
	หลังจากนั้นไม่นานพี่เบลวก็พยายามพูดคุยมากขึ้นจนเราสนิทกันมากขึ้น  ความผูกพันธ์มีมากขึ้นจนทำให้ฉันรักพี่เขาเข้าแล้ว...  ที่จริงฉันเริ่มชอบ ๆ พี่เขาตั้งแต่ตอนที่ปรึกษาเรื่องราวต่าง ๆ แล้วละ  ยิ่งตอนที่ฝนตกนั่งเปียกมาด้วยกันแล้วตอนนั้นฉันจำได้ดีว่าตักของเขาอุ่นมากทีเดียว  ฉันว่ารักของเรามันเริ่มก่อตัวก็ตอนนั้นแหละ  เขาเป็นเหมือนทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างของฉันจนฉันไม่อาจแยกจากเขาได้
	พักหลังเหมี่ยวไม่มาเรียนบ่อยมาก  เพื่อน ๆ ในกลุ่มต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเหมี่ยวติดผู้ชายที่เป็นกระเป๋ารถเมย์  ทำให้เหมี่ยวติด มส.หลายตัวจนเท่ากับฉัน  แต่ของเหมี่ยวนั้นติดของ ม.6 แต่ฉันติดของ ม.5  พักหลังเหมี่ยวก็ไม่มาเลยจนอาจารย์โฮมรูมคนใหม่ต้องเรียกผู้ปกครองหลายครั้ง  แต่ก็ไม่มีใครมาจนวันหนึ่งฉันอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่าเหมี่ยวถูกข่มขืน  11 คนตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจมากที่เหมี่ยวโดนแบบนั้น  ฉันสะใจมากทีเดียวเพราะไม่คาดคิดว่าเหมี่ยวจะกรรมตามทันขนาดนี้...  แต่พอมานึก ๆ ไปก็สงสารเหมี่ยวเหมือนกัน...  เหมี่ยวอายเพื่อนอายทุกคนที่สมาคมฯจนไม่กล้ามาเรียน  และในที่สุดก็หมดอนาคตต้องไปอยู่บ้านเลี้ยงลูกที่ไม่อยากให้เกิดมา  น่าสงสารจริง ๆ...
	ฉันเรียนจบ ม.6 แต่ฉันก็ไม่ได้จบตามเพื่อนเพราะฉันต้องมาเรียนซ้ำเพื่อแก้ มส.ให้หมดทั้ง 7 ตัวหลังจากที่อาจารย์ทำฉันแสบมาก ๆ ในตอนนั้น  แต่ฉันก็ไม่ย่อท้อนะฉันสามารถที่จะไปเรียนกับรุ่นน้องได้โดยที่ไม่อาย  นั่นเป็นเพราะคำพูดของพี่เบลวในวันนั้น  ฉันจำได้ดีว่าพี่เขาบอกให้ฉันอดทน  และกล้าเหมือนที่เล่นยูโด...
	หลายวันต่อมาทางกองทัพอากาศก็มีหนังสือมาถึงโรงเรียน  ในหนังสือฉบับนั้นพูดถึงเรื่องที่ฉันไปแข่งกีฬาที่ฟิลิปปินล์เมื่อปีที่แล้ว  ก็ช่วง ม.5 นั่นแหละอาจารย์ทุกคนจึงประชุมและเห็นพ้องต้องกันว่าฉันไม่สมควรที่จะติด มส.  อาจารย์จึงให้ผ่านมาได้ด้วยดี
	......................................
	ฉันเรียนจบจนได้  ถึงแม้ว่าจะไม่จบพร้อมเพื่อนก็ตาม  ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้  ฉันมีความสุขมากที่เจอสังคมใหม่ ๆ เจอเพื่อนใหม่ ๆ เพื่อน ๆ ทุกคนดีกับฉัน  ฉันตั้งใจเรียนจนเป็นที่ภาคภูมิใจแก่พ่อแม่และทุก ๆ คนรวมทั้งคนรักของฉันด้วย  พี่เบลวยังคงให้กำลังใจฉันเสมอมา  ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่เบลวจะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ฉันก็ตาม  เพราะพี่เบลวไปเรียนต่อวิศวะที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจึงทำให้เราไกลกัน  แต่ความหวังความฝันและความรักของเรายังคงอยู่ใกล้กันเสมอ...
	เราคบกันมา 7 ปี ตอนนี้ฉันเรียนจบแล้ว  พี่เบลวก็เรียนจบฉันตั้งใจไว้ว่าจะเปิดโรงเรียนสอนยูโดเป็นของตัวเองเสียทีเพราะชีวิตฉันฝากความหวังไว้กับสิ่งนี้...  ฉันมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งมาจากการแข่งขันและเงินเดือนที่ได้จากการเป็นอาจารย์สอนยูโด  ฉันจึงรวมเงินกับพี่เบลวและเปิดโรงเรียนขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ...  
	นักเรียนทุกคนพร้อม...ตบเบาะท่าที่ 1 ปฏิบัติ
	เสียงนักเรียนตบเบาะกันดังสนั่น  คนมาเรียนมากมาย  พอฉันได้สอนนักเรียนพวกนี้ก็ยิ่งทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้นทำให้ฉันหวนคิดถึงวันเก่า ๆ ที่มีพี่นัทอยู่  แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเฉย ๆ แล้วละเพราะคนที่สำคัญของฉันอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว  ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่นัทอีกต่อไปแล้ว  นั่นเป็นเพราะฉันมีพี่เบลวมาคอยเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาดหายไป  ฉันมีความสุขและพอใจกับสิ่งที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้มากทีเดียว...
	งานเลี้ยงที่ใหญ่โตเริ่มขึ้นพี่เบลวแต่งตัวภูมิฐานเป็นพิเศษ  ใส่สูตรผูกไทน์  ส่วนฉันสวมชุดขาวยาวลากพื้นเดินมาที่หน้างาน  พี่เบลวเดินไปจับมือฉันและพาเดินมาหาผู้คน  ย่าของฉันคล้องมาลัยให้ฉันและพี่เบลว  จากนั้นฉันก็ไปนั่งหมอบอยู่ที่ที่ผู้ใหญ่เตรียมไว้  ฉันประนมมือรับไหว้ผู้ใหญ่  ย่าของฉันค่อย ๆ บรรจงหลั่งน้ำสังข์ลงบนมือฉัน
	อย่าทะเลาะกันนะลูก  มีอะไรก็ใช้เหตุผลคุยกัน  เบลว...ย่าฝากน้องด้วยนะ
	รักกันนาน ๆ นะลูก  เบลวแม่ฝากน้องด้วยนะ
	พ่อไม่มีอะไรจะพูดหรอก  แต่พ่อดีใจที่มีวันนี้  ดูแลกันดี ๆ นะ  เบลวพ่อฝากน้องด้วยนะ
	แม่ฝากพี่เขาด้วยนะลูก
	พ่อฝากพี่ด้วยนะลูก
	งานแต่งงานผ่านไปได้ด้วยดี  ตอนนี้ชีวิตฉันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว  ฉันของเพียงแค่เรามีกันและกัน  มั่นใจในรักและเชื่อมความสัมพันธ์กันไปตลอดกาล...
	ดาว...พี่รักดาวนะ
	ดาวก็เหมือนกันค่ะ
	ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตของฉันมากเลย  ฉันจะดุแลเขาให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ฉันจะทำได้  ฉันจะเป็นศรีภรรยาที่ดีแก่เขาฉันสัญญา....
..................................จบ................................

ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ				
25 พฤศจิกายน 2547 12:11 น.

นวนิยาย:เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ (ตอนที่20)

สุชาดา โมรา

หลังเลิกเรียนฉันมักจะแอบมาเล่นยูโดอยู่บ่อย ๆ  ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันมาเล่นเพราะทุกคนกลับบ้านเย็น  แต่ว่าวันนี้ฉันกลับไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่ฉันสอนยูโดอยู่นั้นพ่อได้แอบมาดูฉัน  พอฉันเลิกซ้อมก็มาแต่งตัวและเดินออกมา  พี่เบลวบอกว่าพ่อพี่เบลวมารับให้ฉันกลับด้วย  
	พ่อคะ....สวัสดีค่ะ
	ฉันกำลังจะขึ้นรถของพ่อพี่เบลว
	ดาว....!!!!มาขึ้นรถพ่อเดี๋ยวนี้
	ฉันถึงกับสะดุ้งโหยงทันทีเมื่อได้ยินเสียงพ่อ  ฉันหันไปมองพ่อแล้วก็หันกลับมามองพ่อพี่เบลวแล้วก็ยิ้มจากนั้นจึงเดินไปขึ้นรถ  พ่อขับรถมาได้พักหนึ่งก็ถามฉัน
	รักยูโดมากไหม
	ฉันเงียบไม่ตอบอะไร  ได้แต่ทำท่าสลดเพราะฉันมีความผิดที่หนีมาเล่นยูโดทั้ง ๆ ที่ท่านสั่งห้ามไม่ให้เล่น
	พ่อจะอนุญาติให้เรามาเล่นก็ได้  แต่ต้องตั้งใจเรียนและแก้ มส.ให้หมดด้วย  ได้ยินที่พ่อพูดไหม...!!!
	ค่ะ
	ฉันตกใจเสียงพ่อมากถึงกับรีบตอบทันที  แววตาของพ่อดู ๆ ก็รู้ว่าโกรธ  แต่พ่อทำใจเย็นแล้วก็ฝืนใจให้ฉันมาเล่นยูโด
	ที่จริงยูโดไม่ได้ทำให้ฉันเสียคนหรอก  แต่ที่ฉันเสียคนก็เพราะมีเพื่อนไม่ดี  เพื่อนที่แย่มาก ๆ ใส่ร้ายสารพัด  แกล้งและรังควานเราอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ฉันไม่อยากจะเข้าเรียน  แต่เพราะฉันมีพี่เบลวนี่แหละถึงทำให้ฉันเข้าเรียนได้...
	งานฤดูหนาวใกล้จะมาถึง  ทางโรงเรียนก็เตรียมงานจัดข้าวของเสียยกใหญ่  ฉันได้รับคัดเลือกให้ไปเดินขบวนเชิญชวนมางานฤดูหนาว  ฉันจึงต้องแต่งชุดไทยแล้วขึ้นมานั่งบนเสลี่ยงมีคนหามถึง 16 คน  ปีนี้ฉันได้ออกงานเป็นเทพีงานฤดูหนาวเพราะฉันชนะการประกวดสตาร์วีคมัธยมศึกษาที่โรงเรียน  ฉันจำได้ดีว่าฉันแสดงความสามารถพิเศษคือเล่นยูโด  ตีระนาดเอก  สีซอด้วงและเล่นกีตาร์ซึ่งผิดแปลกกว่าคนอื่น ๆ จากนั้นจึงเดินบนเวทีด้วยชุดไทยจักรี  พอชนะการประกวดครั้งนั้นฉันก็ได้ไปแสดงโชว์อีกหลายงาน  ได้ไปรำไทยที่นาฏศิลป์ไปครอบครูที่นั่น  จากนั้นก็เป็นงานฤดูหนาวนี้  อาจารย์จึงมีโล่ห์และเกียรติบัตรให้เพราะฉันกีฬาเด่นกิจกรรมดีเป็นนักเรียนตัวอย่าง  แต่อาจารย์ก็ไม่รู้หรอกว่าฉันติด มส. ระนาวเลย...
	พอเดินขบวนกันเสร็จอาจารย์ก็ให้ไปถ่ายรูปและฉันก็เป็นต้นแบบให้อาจารย์วาดรูปด้วย  ทำให้ฉันกลายเป็นที่รักของอาจารย์หลาย ๆ คนเพื่อน ๆ ก็เริ่มพูดคุยกับฉันจนฉันมีกลุ่ม  แต่ฉันก็ไม่ได้คบกับคนพวกนี้จริง ๆ จัง ๆ หรอกเพราะฉันกลัวว่าจะเป็นเหมือนเหมี่ยว  ฉันรู้สึกเข็ดกับคำว่าเพื่อนจริง ๆ  รู้หน้าไม่รู้ใจทำอะไรก็หักหลังปัดแข้งปัดขาไปซะทุกเรื่องฉันจึงคบกับเพื่อนแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น
	ฉันเดินงานฤดูหนาวกับพี่เบลวอย่างมีความสุข  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้จับมือกับพี่เบลว  ฉันเป็นคนคว้ามือเขามาจับเองแหละเพราะเขาเป็นคนที่ไม่ล่วงเกินใคร  จากนั้นฉันก็เดินเที่ยวจนเพลิน  ฉันไม่รู้ตัวหรอกว่ามีใครแอบมองฉันอยู่  ฉันเดินกับพี่เบลวอย่างเปิดเผย  พอเมื่อยก็ซื้อน้ำมานั่งดื่มที่หน้าหลวงพ่อขาว  สักพักก็เดินต่อจนกระทั่งฉันมาเลือกซื้อโคมไฟที่ทำจากปลาดาว  มันสวยมากพอฉันเดินออกมาฉันก็เจอพ่อ
	เพี๊ยะ..........!!!!
	พ่อตบหน้าฉัน  ผู้คนหันมามองกันเป็นแถว
	มีอะไรกับมันแล้วใช่ไหมถึงให้มันจับมือ....!!!!!
	พ่อพูดด้วยอารมณ์โมโห  ฉันไม่เข้าใจว่าแค่คนรักกันเดินจับมือกันมันผิดตรงไหน  ฉันไม่ได้ทำอะไรเสียหายขนาดที่พ่อเข้าใจหรอกและพี่เบลวก็ไม่ใช่คนแบบนั้นด้วย  พ่อทำไมถึง...  ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ และไม่คิดหรือพยายามจะเข้าใจด้วยเหมือนกับที่พ่อไม่เข้าใจฉัน
	กลับบ้านเดี๋ยวนี้...นายมาด้วย...เร็ว....!!!!
	พ่อให้ฉันกับพี่เบลวขึ้นรถ  พ่อบอกว่าอายเขาจะให้ไปเครียกันที่บ้านพี่เบลวจึงโทรหาพ่อกับแม่ของเขาให้มาที่บ้านฉัน  พอพ่อขับรถมาจอดที่หน้าบ้านฉันเปิดประตูลงจากรถพ่อก็ฉุดกระชากลากถูฉันเข้ามาในบ้านทันที  พ่อคว้าไม้เรียวออกมามือหนึ่งจับข้อมือฉันและอีกมือหนึ่งก็เอาไม้เรียวฟาดที่หลังของฉันหลายที  ฉันจำไม่ได้ว่าพ่อฟาดไปเท่าไร  แต่พ่อฟาดไม่หยุดเลย  ฉันทั้งเจ็บและก็ปวดใจมากที่พ่อไม่ฟังเหตุผลของฉันเลย...
	แกมีอะไรกับมันแล้วใช่ไหม....!!!!
	เปล่า...หนูไม่ได้ทำอะไรเสียหาย  พ่อ....!!!
	คุณอาผมกับดาวไม่มีอะไรกัน
	นายอย่ามาพูด...มันไม่ใช่เรื่องของนาย
	ทำไมจะไม่ใช่ในเมื่อมันเกี่ยวโยงกับผม  คุณอาน่าจะรู้นะว่าลูกสาวคุณอาเป็นคนถือเนื้อถือตัว  แต่วันนี้เธอมาจับมือผมเอง  ผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอทำไมถึงมาจับมือกับผมทั้ง ๆ ที่ผมคบกับเธอมาได้แค่เดือนเดียว  คุณอาต้องเชื่อในเกียรติของลูกสาวคุณอาสิ
	พ่อตีฉันด้วยความโมโหแต่พอพ่อฟังพี่เบลวพูดทำให้พ่อวางไม้และเดินมานั่งที่โซฟา  พี่เบลวเป็นคนพูดนิ่ม ๆ แต่พ่อเป็นคนอารมณ์ร้อน  เมื่อใช้น้ำเย็นเข้าข่มไฟที่ร้อนระอุอย่างพ่อจึงสงบลง  สักพักพ่อกับแม่ของพี่เบลวก็มาถึง
	สวัสดีค่ะ
	สวัสดีครับ
	แม่ของพี่เบลวเดินเข้ามาคุยกับพ่อ  ส่วนพ่อของพี่เบลวก็เดินมาคุยกับพี่เบลว  ฉันเองจึงหลบเข้าห้องไป  ฉันไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่คุยอะไรกันแต่ฉันคิดว่าฉันอาจจะต้องเลิกคบกับคนดี ๆ อย่างพี่เบลวแน่ ๆ และอาจจะไม่ได้ไปเล่นยูโดอีก...  ฉันส่องกระจกดูหลังของตัวเอง  ฉันเห็นรอยไม้เรียวที่หลังเต็มไปหมด  บางรอยเป็นรอยนูนขึ้นมาแตกมีเลือดซิบ ๆ ฉันรู้สึกแสบหลังมากเลย  ถ้าวันนี้ย่าไม่ไปหาหมอย่าคงช่วยฉันได้  แม่ก็ไปทำงาน  ปู่ก็ไปทำใบภาษี  วันนี้จึงไม่มีใครอยู่ช่วยฉันได้เลยสักคนเดียว...  ย่าจ๋ากลับมาเร็ว ๆ หน่อยนะคะหนูไม่อยากอยู่กับพ่อในเวลาอย่างนี้เลย...
.................................20..................................
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะกำลังจะอวสานแล้วค่ะ
ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ  ตอนนี้ได้ตีพิมพ์เป็นเล่มแล้วใช้ชื่อใหม่ว่าสาวน้อยเลือดยูโดนะคะ
ขอบคุณค่ะ				
25 พฤศจิกายน 2547 12:01 น.

นวนิยาย:เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ (ตอนที่21)

สุชาดา โมรา

ดาวลูกไปร้านตัดชุดกับพ่อหน่อยได้ไหม  นี่เราจะไปกันทั้งครอบครัวเลยนะ
	ถึงฉันจะไม่อยากไปกับพ่อแต่ฉันก็ต้องไป  เพราะฉันรู้ว่าถ้าท่านโกรธขึ้นมาคงจะแย่มาก  พ่อมาร้านตัดชุดวิวาห์  พ่อเลือกชุดอยู่ส่วนฉันก็นั่งดูแบบไปเรื่อย ๆ
	ดาวนี่พ่ออยากให้หนูมาลองชุดนี้จังเลย
	หนูไม่เอาหรอกเพราะหนูไม่รู้ว่าจะใส่ไปไหน  ไม่ลองนะคะ
	ไม่ได้....!!!
	พ่อพูดเสียงดังลั่นร้านฉันเลยต้องเดินไปลองชุดราตรีสีขาว  ชุดนี้หลวมมากแต่ช่างบอกว่าจะเอาเข้าให้พอดี  ช่างให้ฉันเดินออกมาให้พ่อกับแม่ดู
	สวยมากเลยลูก...แต่เอ๊ะนี่มันรอยไม้เรียวเมื่อวันนั้นเหรอ  ทำไมมันเป็นแผลขนาดนี้
	ฉันก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไร  พ่อเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ จากนั้นทั้งแม่  ย่า  อาและปู่ก็รุมว่าพ่อเลย  ทุกคนว่าพ่อว่าทำเกินกว่าเหตุทำให้หลังฉันเป็นแผลเป็นลึกเพราะพ่อตีอย่างไม่ยั้งมือ  พอทุกคนทะเลาะกันหนักเข้าฉันก็เลยไปเปลี่ยนชุดและนั่งร้องไห้ในห้องแต่งตัว  ฉันรู้สึกแย่มากที่เห็นทุกคนทะเลาะเบาะแว้งกัน  ฉันรู้สึกว่าฉันเองเป็นฉนวนให้ครอบครัวแตกร้าว...  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพ่อจะให้ฉันไปงานไหน  แต่ตอนนี้จิตใจฉันมันบอบช้ำมากเลยฉันไม่อยากจะไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น
	พอกลับมาบ้านทุกคนก็ไม่มีใครคุยกับพ่อ  พ่ออารมณ์ไม่ค่อยดีจึงเดินไปหลังบ้าน  ส่วนคนอื่น ๆ ก็นั่งดูทีวีกัน  ฉันเองก็เข้าไปเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะไม่อยากพูดหรือคุยกับใคร  ฉันอายและรู้สึกแย่  หัวใจมันเหี่ยวเฉาจนไม่อยากจะมองหน้าใครอีกต่อไปแล้ว
	ดาว...โทรศัพท์ลูก
	สวัสดีค่ะ...พี่เบลวเหรอคะ  ค่ะ  ค่ะ  ค่ะ  หา....!!!!
	พี่เบลวโทรมาบอกเรื่องานหมั้น  ฉันตกใจมากที่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าฉันจะต้องหมั้นหมายกับพี่    เบลว  ไม่เห็นมีใครมาบอกฉันเลย...  ที่จริงฉันก็ชอบพี่เบลวนะแต่ลึก ๆ ในใจมันยังคงมีพี่นัทอยู่  จะให้ฉันทำยังไงดีเนี่ย  ฉันรู้สึกสับสนกับตัวเองมากเลย
	ฉันไปซ้อมยูโดเป็นปกติ  แต่วันนี้ทุกคนพูดกันหนาหูเรื่องงานหมั้นของฉันกับพี่เบลว  เป็นเพราะพี่เบลวไปเล่าเรื่องให้พี่ตูนฟังแท้ ๆ ตานี่ถึงได้ปากโป้ง
	ดาว...พี่ขอคุยด้วยได้ไหม
	ฉันอึ้งมากพี่นัทเดินเข้ามาคุยกับฉัน
	ดาวจะหมั้นจริงเหรอ...
	ฉันเงียบไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ก้มหน้าทำหน้าตาซึม ๆ อยู่ตลอดเวลา
	ดาวจะร้องทำไมในเมื่อดาวกำลังจะหมั้น...พี่ขอให้ดาวโชคดีนะ...อย่าทะเลาะกันล่ะ  และอย่าให้ใครมาแยกความรักให้เดินกันคนละทางอีกนะ  พี่ไม่อยากให้ดาวต้องมาเจ็บช้ำเหมือนกับตอนที่คบกับพี่
	ฉันเช็ดหยาดน้ำตาแล้วก็ยิ้มให้พี่นัท  พี่นัทเป็นคนดีถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าพี่นัทเสียใจ  และภายในใจฉันก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ เวลาที่ได้เห็นหรือได้ยินคำพูดจากปากของพี่นัทแต่ฉันก็ต้องวางตัวให้เหมือนพี่น้อง  ต้องวางตัวเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ฉันถวิลหาเขามาโดยตลอด  แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  ฉันมีคนรักใหม่ที่ดีกว่าคนเก่า  และอีกหลาย ๆ อย่างที่เขามีมากกว่าพี่นัทคือ  ไม่ว่าเหมี่ยวจะยั่วยวนพี่เบลวเท่าไรแต่พี่เบลวก็ไม่สนใจ  เหมี่ยวพยายามทำทุกวิถีทางให้พี่เบลวแยกจากฉันแต่ก็ไม่สำเร็จนั่นเป็นเพราะพี่เบลวเป็นคนที่หนักแน่น  จริงจังและจริงใจไม่เหมือนกับพี่นัท...
	แล้ววันหมั้นก็มาถึง  พี่ ๆ และอาจารย์ที่สมาคมฯก็มาร่วมงานกันอย่างหนาแน่น  ฉันได้ออกมาจากห้องก็ตอนเริ่มพิธี  ทุกคนมองกันเป็นตาเดียวเพราะไม่คิดว่าฉันจะแต่งตัวออกมาได้สวยขนาดนี้  ฉันค่อย ๆ เดินมานั่งหน้าพ่อกับแม่ทั้งฝ่ายฉันและฝ่ายเขา  ย่าฉันถึงกับยิ้มแก้มปลิทีเดียว  พี่เบลวหยิบกล่องแหวนออกมา  แหวนวงนั้นเป็นแหวนเพชรสวิตน้ำหนัก 2.00 การัตเรือนเป็นทองคำขาวทำให้ทุกคนฮือฮากันใหญ่  ช่างภาพที่จ้างมาก็ถ่ายภาพอยู่ตลอดจนฉันรู้สึกแสบตา
	ไหว้พี่เขาสิลูก
	เสียงแม่บอกให้ฉันไหว้พี่เบลว  ฉันจึงก้มลงกราบที่อกของเขา  จากนั้นก็รอฤกษ์
	ได้เวลาแล้ว 9.00 น.  สวมแหวนให้น้องเลยลูก
	พี่เบลวค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนให้ฉัน  จากนั้นทุกคนก็ปรบมือกัน  ฉันก้มลงกราบที่อกเขาอีกครั้ง  เขาจึงหยิบกล่องเครื่องเพชรออกมา  ในนั้นมีทั้งสร้อยคอ  สร้อยข้อมือและต่างหู  พี่เบลวจึงนำมาใส่ให้ฉัน  พอเสร็จพิธีก็ร่วมกันถ่ายรูป  พี่ตูนแอบเหยียบชายกระโปรงฉันอยู่หลายครั้ง  ส่วนพี่เบลวก็คอยประคองฉันเพราะกลัวว่าจะล้ม  พองานเลิกฉันก็ไปเปลี่ยนชุดและไม่ยอมออกมาจากห้องอีกเลย  ไม่ว่าใครจะชวนให้ออกมากินข้าวฉันก็ไม่ยอมออกมา  จนพ่อแม่ของพี่เบลวทนไม่ไหวพาพี่เบลวกลับบ้านไป  พ่อจึงมาดุฉัน
	เปิด...เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ  ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง....!!!
	คุณ...ลูกทำใจไม่ได้เพราะลูกเพิ่งจะรู้เรื่องได้เพียงอาทิตย์เดียวคุณอย่าไปดุลูกเลยนะ  เมื่อเช้าลูกก็เหนื่อยมาพอแรงแล้วไหนจะตื่นมาแต่งตัวแต่งหน้าตั้งแต่ตี 4 อีกล่ะ  คุณไปนั่งดูทีวีดีกว่านะ
	ฉันแอบฟังพ่อกับแม่คุยกัน  สักพักฉันก็โทรหาพี่เบลว
	พี่เบลวเหรอ  ดาวขอโทษนะคือดาวปวดหัวน่ะพี่คงไม่ว่ากันนะ
	ฉันดีใจที่พี่เบลวไม่ว่าอะไร  ฉันรู้สึกสำนึกผิดเพราะฉันทำตัวไม่เหมาะสมเลย  ฉันนี่แย่จริง ๆ ฉันไม่น่าทำลงไปแบบนั้นเลย
	เช้าวันใหม่ฉันก็ไปเรียนตามปกติ  เพื่อน ๆ หลายคนเดินเข้ามาถามฉันถึงเรื่องการหมั้นเพราะเหมี่ยเอามาพูดให้คนอื่นรู้กันทั่วทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ไปงานนี้
	จริงเหรอที่ดาวหมั้นไม่เห็นบอกกันบ้างเลย
	จริงเหรอ
	...............................
	สักพักกลุ่มของเหมี่ยวก็เดินเข้ามาถาม
	จริงเหรอที่แกแย่งแฟนเพื่อนถึงขนาดลงทุนหมั้นหมายเพราะกลัวว่าเหมี่ยวจะแย่งคืน
	ฉันรู้สึกโมโหจริง ๆ ที่ได้ยินเอ๊ะพูดแบบนี้
	เธอเชื่อเหมี่ยวได้กี่เรื่อง  เหมี่ยวโกหกมากี่เรื่องแล้ว  ถามจริง ๆ เถอะเพื่อนแบบนี้เธอคบเข้าไปได้ยังไง  ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าการศึกษาสูง ๆ อย่างเธอนี่จะถูกเหมี่ยวจูงจมูกได้ง่าย ๆ
	พวกนั้นถึงกับอึ้งชั่วคณะ  แล้วก็หันมาจะทำร้ายฉัน
	นี่แกด่าฉันเหรอ...แก...
	อย่านึกนะว่าฉันจะไม่สู้....!!!!
	ฉันพูดด้วยท่าทางเอาเรื่องพวกนั้นจึงเดินออกไปไม่มารังควานฉันอีก...
                        ............................21.................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ  กำลังจะอวสานแล้วนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อนๆมากที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา  ขอบคุณค่ะ				
16 พฤศจิกายน 2547 09:48 น.

นวนิยาย:เสี้ยวหนึ่งของวิญญาญ ( ตอนที่19 )

สุชาดา โมรา

พี่เบลวมาส่งมารับฉันทุกวัน  แต่เขาไม่รู้หรอกว่าบางทีฉันก็หนีเรียนบ้างเพราะฉันรู้สึกกดดันทุกทีที่เจอเพื่อน  แต่ก็นั่นแหละการเรียนฉันเริ่มแย่ลงเพราะผลมาจากการที่ไม่เข้าเรียนนี้แหละ  ไม่มีใครคาดคิดว่าฉันจะเรียนตกต่ำเพราะฉันเรียนได้เป็นอันดับต้น ๆ ของห้องตลอดระยะเวลา 2 เทอมที่ผ่านมา  ใกล้สอบแล้ว  ฉันยังคงเข้าเรียน  อาจารย์ที่เป็นความกับฉันก็กดคะแนนฉัน  เขาคงแค้นที่ฉันกับย่ายื่นฟ้องต่อศาลเพราะป่านนี้แล้วคดีก็ยังไม่ไปถึงไหนเสียที
	เรื่องนี้ยืดเยื้ออยู่หลายวันจนอาจารย์ทั้งหมดยอมความ  แต่ย่าฉันไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้หรอกย่ายื่นคำร้องร้องเรียนถึงกรมสามัญศึกษา  และทำอย่างนี้หลายครั้งจนอาจารย์ทั้ง 7 คนถูกเรียกไปสอบสวนหลายครั้ง  จากนั้นทางโรงเรียนก็สั่งย้ายอาจารย์ทั้ง 7 คนภายใน 24 ชั่วโมงทำให้ฉันได้อาจารย์ประจำชั้นใหม่  แต่ผลที่ตามมาคือก่อนที่อาจารย์ทั้ง 7 คนจะไปนั้นเขาได้ส่งใบเกรดไปแล้วว่าฉันต้องติด  มส. (หมดสิทธิ์สอบ)  แน่นอน  ฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับฉันเลย  ฉันต้องติด  มส. ถึง 7 ตัว  ฉันรู้ตัวเลยว่า  ม.5 นี้ฉันเรียนไม่จบแน่ ๆ  ฉันจะทำอย่างไรดีนะ  ชีวิตฉันจะดำเนินไปอย่างไร...
	พอฉันรู้ว่าฉันติด มส.ก่อนที่จะได้สอบปลายภาคฉันไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดีจึงไปปรึกษาอาจารย์ในสมาคมฯ  อาจารย์ดนัยและอาจารย์อีกหลายท่านลงชื่อเซ็นหนังสือราชการส่งไปที่สมาคมยูโดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูประถัมป์  แต่ยาวนานมากข่าวคราวไม่ได้ตอบรับเสียที  ฉันรู้สึกหมดหวังแล้ว  คิดว่าต้องเรียนไม่จบแน่ ๆ ประวัติฉันล้มเหลวแล้ว  ฉันจะเข้าเรียนที่ไหนได้อีกถ้าในใบทรานสคิปมี  มส.ยาวถึง 7 ตัวแบบนี้
	ฉันเข้าสอบเฉพาะวิชาที่ไม่ติด มส.  ฉันไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรแต่ที่รู้ ๆ คือฉันต้องเรียนไม่จบ ม.5 แน่ ๆ  เพราะฉันต้องมาเริ่มต้นเรียนวิชาพวกนี้ใหม่อีกครั้ง
	ฉันไม่กล้าบอกใครเลยจริง ๆ ว่าฉันจะเรียนไม่จบ  แต่ฉันก็กล้าที่จะมาพูดกับพี่เบลวเพราะฉันมีความรู้สึกว่าพี่เบลวเป็นคนที่ฉันให้คำปรึกษาได้
	ฉันมาซ้อมยูโดเป็นปกติ  แต่วันนี้มันไม่ปกติเสียแล้ว...ฉันเดินมาจนเกือบจะถึงหน้าประตูกรม  ร.พ.ศ.ที่2  ฉันเห็นพี่นัทกำลังมีเรื่องชกต่อยกับนักเลงกลุ่มหนึ่งฉันจึงวิ่งเข้าไปช่วย  ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดหรอกว่าฉันเป็นผู้หญิงคงสู้พวกนั้นไม่ได้เพราะพวกนั้นมีมีด  แต่ฉันก็วิ่งเข้าไปช่วยเพราะใจฉันยังแคร์พี่นัทอยู่
	นี่มันอะไรกันเนี่ย...พวกแกเป็นใคร...
	แฟนแกเหรอ  สวยนี่หว่า...คืนนี้ไปนอนกับพี่ไหมน้อง....!!!!
	ฉันทั้งอึ้งและโมโหจึงเข้าไปเอาชุดยูโดที่ทั้งหนาและหนักเควี้ยงใส่หน้าผู้ชายคนนั้นทันที  จึงทำให้พวกนั้นโกรธและจับมือฉันไว้
	สวย ๆ แบบนี้  ดุ ๆ อย่างนี้พี่ชอบ  ไป...เฮ้ยพวกเราคืนนี้มีของเล่นใหม่แล้วเว้ย....!!!!
	ฉันทั้งโกรธและกลัวจึงดิ้นกระโดด ๆ จนชายคนนั้นรำคาญเลยหันมาตบหน้าฉันแต่ไม่ทันได้ตบฉันก็จับแขนหักเลยแล้วก็ถีบจนหงายท้องและวิ่งเข้าไปหาพี่นัท  พี่นัทกำลังจะถูกซ้อม  คนพวกนั้นจับแขนพี่นัทไว้และจะต่อย  ฉันจึงวิ่งกระโดดถีบชายคนนั้นทันที  พี่นัทดิ้นจนหลุดแล้วก็คว้าชุดยูโดพาฉันวิ่งมาที่ประตู  แต่ยังไม่ทันจะถึงพวกนั้นวิ่งเอามีดมาจะแทงพี่นัทฉันจึงเอาตัวเข้าขวาง
	ดาว.....!!!!
	พี่นัทร้องเสียงหลง  คนพวกนั้นก็ตกใจจึงวิ่งหนีไป  ส่วนฉันนึกว่าตัวเองไม่รอดแน่ ๆ จึงฟุบตัวลงแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ตื่นมาอีกทีก็รู้สึกว่านอนอยู่บนเบาะซ้อม  ฉันคิดว่าตัวเองตายไปแล้วซะอีก  ไม่มีเลือดซักนิด
	ดาว...ฟื้นแล้ว  ขอบใจนะ
	ดาวไม่ตายเหรอพี่นัท
	จะบ้าเหรอ...พูดอะไรอย่างนั้น  พี่ตกใจมากนึกว่าดาวถูกแทงตายซะแล้วเหมือนกัน  แต่ดีนะที่ดาวกอดชุดยูโดอยู่ตลอดพอไอ้พวกนั้นเข้ามาแทงมีดเลยติดชุดนี่แหละ
	ฉันดีใจมาก  อย่างน้อย ๆ ฉันก็ได้ปกป้องคนที่ฉันรักได้ครั้งหนึ่ง  ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รักกันอีกแล้วก็ตาม  แต่ฉันก็ดีใจที่เขาปลอดภัย...  ฉันตั้งปณิธานเอาไว้ว่าสักวันฉันจะต้องช่วยเขา  วันนี้ฉันทำสำเร็จแล้ว...  ฉันไม่รู้ว่าพี่เขาไปมีเรื่องอะไรกับใครมาแต่ฉันก็จะไม่ถามหรอกเพราะฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะถามได้อีกต่อไปแล้ว...
	ฉันไม่รู้หรอกว่าขณะที่ฉันฟื้นขึ้นมานั้น  มีคน 2 คนกำลังจ้องมองฉันอยู่  คนหนึ่งมองด้วยความเกลียดชัง  แต่อีกคนหนึ่งมองด้วยความห่วงหา...ฉันเข้าไปแต่งตัวในห้องแล้วก็เดินออกมา
	ดาว ๆ ๆ...เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า
	ไม่เป็นอะไรแล้วละพี่เบลว...ขอบคุณนะที่เป็นห่วง
	ฉันรู้ทันทีว่าคนที่ห่วงฉัน  แอบมองฉันนั้นคือพี่เบลว  แต่อีกคนที่มองฉันด้วยความเกลียดชังนั้นฉันรู้โดยที่ไม่ต้องบอกเลยว่าคือเหมี่ยว...  วันนี้ฉันจึงซ้อมยูโดด้วยความสุข  ฉันเริ่มรู้ตัวแล้วว่าพี่เบลวสายตาไม่เหมือนเดิม  ฉันไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะแต่ฉันรู้ด้วยสัญชาตญาณของตัวฉันเอง  ฉันจึงลองใจเขาด้วยการเอาไดอารี่ที่ฉันเขียนเป็นกลอนทั้งหมดแอบเอาไปใส่ในกระเป๋าเขา  ในนั้นฉันไม่ได้บอกว่าฉันหมายถึงใคร  แต่ฉันจงใจเขียนในตอนท้ายเป็นชื่อพี่เบลว  และแผ่นรองปกก็มีชื่อฉันอยู่ด้วย...ฉันไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้าอย่างไรเมื่อได้อ่าน  ถ้าเขาชอบฉันเขาคงจะมาหาฉัน  แต่ถ้าเขาไม่มีใจเขาก็คงจะโกรธหรือว่าว่าฉันบ้า...
	เช้ารุ่งขึ้นของวันปิดเทอมวันแรกฉันมาช่วยงานศพของอาจารย์สิงห์ทอง  หลังจากที่เขาไว้ศพมาเป็นเวลายาวนานมาก  ฉันมานั่งจัดอาหารเลี้ยงพระ  พี่เบลวเขาก็มา  เขามาก่อนฉันเสียอีกแต่เขานั่งกับผู้หญิงคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน  เขาคุยกันอย่างคนสนิทจนฉันรู้สึกตัวว่าบ้าไปเองที่คิดว่าเขามีใจให้  ฉันนั่งจัดอาหารจนเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากวัดพร้อมกับพี่เจี๊ยบ  มาเดินเล่นบนรางรถไฟเพื่อดูแม่น้ำที่อยู่ข้างล่างสะพาน
	ดาว....ดาว....
	พี่เบลววิ่งมาเรียกฉัน  ฉันตกใจมากคิดว่ามีเรื่องอะไรเพราะเห็นเขาทำหน้าตาตื่น ๆ อย่างไรชอบกล  เขาวิ่งมาคุยอะไรกับพี่เจี๊ยบก็ไม่รู้จนพี่เจี๊ยบเดินออกไป
	อ้าว...พี่เจี๊ยบจะไปไหนล่ะ
	ฉันตะโกนลั่นสุดเสียงพี่เจี๊ยบหันมายิ้มแล้วก็โบกมือบ๊ายบายแล้วก็เดินออกไป  ส่วนพี่เบลวก็เดินมาหาฉันแล้วก็ส่งไดอารี่คืนมาให้ฉัน
	เมื่อวานใครไม่รู้เอามาใส่ในกระเป๋าพี่  อ่ะพี่คืนให้
	แอบอ่านหรือเปล่า....!!!!
	ก็นิดหน่อย  แต่เก่งนะเขียนชีวิตส่วนตัวเป็นกลอนไปหมดเลย
	ฉันรู้สึกอาย ๆ แล้วก็รู้สึกว่าเราเองไม่สมควรทำแบบนั้นเลย  ฉันจึงเดินหนีออกมา
	พรุ่งนี้วันเผาศพอาจารย์สิงห์ทองถึงพี่จะมาไม่ทันแกแต่พี่ก็จะบวชให้แก  ดาวว่างหรือเปล่า  ถ้าว่างพรุ่งนี้มาช่วยงานได้ไหม  คือพี่อยากให้ดาวมาถือใบบัวให้พี่ตอนโกนผม  พี่จะได้เอาใบบัวไปลอยน้ำไง
	ฉันพยักหน้าแล้วก็เดินออกมา  ฉันคิดว่าพี่เขาจะว่าเราซะอีกที่แท้ก็มาพูดเรื่องแค่นี้เอง  ฉันเดินกลับเข้ามาในงานอีกครั้ง  ฉันเห็นพี่เบลวเดินเข้าไปคุยกับพี่เจี๊ยบแล้วพี่เจี๊ยบก็ตีไหล่พี่เบลว  ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่ 2 คนคุยอะไรกันแต่ที่รู้ ๆ ต้องไม่เกี่ยวกับเราแน่นอน
	วันนี้เป็นวันที่พี่เบลวและพี่ ๆ อีกหลายคนจะบวชให้อาจารย์สิงห์ทอง  ฉันมาที่วัดแต่เช้ามืดเอาใบบัวมารองผมให้พี่เบลว  พี่นัท  พี่ดอนและพี่ ๆ อีกหลายคนมองมาเป็นตาเดียวแล้วก็แซวฉัน
	ตกลงปลงใจกับไอ้ทึ่มนี่แล้วเหรอ
	ฉันทำหน้างง ๆ แล้วก็หันไปถาม
	ไม่เข้าใจ...อธิบายหน่อยได้ไหมคะ
	ทุกคนหัวเราะแล้วก็ไม่พูดอะไร  พอตอนเย็นเผาศพอาจารย์เสร็จอาจารย์นิพนธ์ก็ไปเอาธงชาติที่คลุมอยู่บนฝาโลงออกมาเพื่อที่จะถวายวัด  ส่วนพวกพี่ ๆ ก็ไปสึกบนกุฏิ
	ดาว...เธอรอพี่เบลวหน่อยนะ
	เธอ...
	ฉันเป็นแฟนพี่เก้าน่ะ  ไม่ใช่แฟนพี่เบลวหรอกอย่าคิดมาก
	ฉันทำหน้างง ๆ แล้วก็หันไปมองคนอื่น  ใคร ๆ เขาก็กลับกันหมดฉันจึงเดินออกไป  ฉันไม่รู้ว่าจะรอพี่เบลวทำไมเพราะฉันไม่ใช่แฟนของเขานี่...
	ดาว....!!!!!
	พี่เบลววิ่งตามฉันออกมาแล้วก็ขึ้นรถเมย์มาพร้อมกัน  มาลงที่หน้าสมาคมฯ  ฉันเดินข้ามสะพานลอยมาโดยไม่พูดอะไร  พี่เบลวก็ไม่พูดเหมือนกัน  ราวกับว่าไม่รู้จักกัน  พอเล่นยูโดเสร็จพี่เขาก็นั่งรถเมย์มาส่งฉันถึงหน้าปากซอย  พี่เขาไม่พูดอะไรสักนิดจนกระทั่งลงจากรถเมย์
	ดาว...พี่รักดาวนะ....!!!!
	ฉันอึ้งแล้วก็หันไปมองหน้าพี่เบลว  พี่เขายิ้มอย่างจริงใจแต่ฉันก็ทำหน้าเฉย ๆ
	อ๋อ...เหรอก็รู้มานานแล้วละ
	รู้ได้ไง...
	รู้ของฉันหมายถึงรักแบบพี่ชาย  แต่พี่เบลวคิดว่าฉันรู้ว่าเขารักฉันอย่างคนหนุ่มสาว  เพราะหลังจากที่ฉันบ้าไปเองก็เลยทำให้หัวใจตายด้าน
	พี่เบลวชอบดาวเหมือนน้องใคร ๆ ก็รู้...
	ไม่ใช่อย่างนั้น...เป็นแฟนพี่ไหม
	ฉันอึ้งแล้วก็หันไปยิ้ม
	เอาไว้พิจารณาก็แล้วกันนะ...วันนี้ไปส่งดาวให้ถึงบ้านได้ไหม
	พี่เบลวจึงเดินไปส่งฉันถึงบ้านเป็นครั้งแรก  ทุกคนในบ้านชอบพี่เบลวมากยกเว้นพ่อของฉัน  ดูท่านจะไม่พอใจเอาเสียเลย  แต่ยังไง ๆ ฉันก็รู้แล้วละว่าที่ฉันคิดว่าฉันบ้านั้นมันไม่จริง...ฉันเดาถูกว่าเขารักฉันจริง ๆ...
......................................19.....................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ  จะอวสานแล้ว				
20 กันยายน 2547 09:48 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาญ ( ตอนที่18 )

สุชาดา โมรา

หลายวันผ่านไปฉันไปเรียนด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากไปเรียนเลย  ฉันมีความรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของฉัน  ไม่เหมือนที่สมาคมฯ  ถึงแม้ว่าจะเจอเหมี่ยวเหมือนกันแต่อย่างน้อย ๆ ที่นั่นก็มีคนคุยกับฉันไม่เหมือนที่นี่...  ฉันเข้าไปเรียนวิชาสุขศึกษาที่ตึกเก่าพอฉันนั่งที่โต๊ะก็เกิดเรื่อง
	ผว๊ะ...........!!!!!........โครม..........!!!!!
	ใครคนหนึ่งตรงลี่เข้ามาตบหน้าฉันจนโต๊ะแล็กเชอร์ล้มไปทางฝั่งขวาทำให้ไม้ลองแขนกระแทกชายโครงของฉันจนจุก  จากนั้นใครต่อใครอีกหลายคนก็มารุมทำร้ายฉัน  ฉันไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เพราะมันชุลมุนวุ่นวายเหลือเกินจนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นได้  ฉันรู้สึกว่ามึนงงทำอะไรไม่ถูก  ไม่มีใครมาช่วยฉันเลย
	อะไรกันน่ะ
	เสียงอาจารย์ดังขึ้น  อาจารย์ไตร่สวนเรื่องราวและก็ส่งไปที่ห้องปกครองให้อาจารย์ทำโทษ  ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีความผิดแต่โทษก็เท่ากัน  ฉันถูกอาจารย์ตี 3 ทีเท่า ๆ กับพวกนั้น  ที่จริงฉันไม่เข้าใจเลย  มันเป็นเพราะสาเหตุอะไรพวกนี้ทั้งห้องจึงมารุมทำร้ายฉัน  ฉันงงไปหมดจึงถามพวกนี้ต่อหน้าอาจารย์
	ถามจริง ๆ เถอะทำไมต้องมาตบฉันด้วย
	ก็หมั่นไส้น่ะมีไรไหม...เห็นไปแข่งมาเก่งนักนี่ไม่เห็นใช้วิชาที่เรียนมาทำร้ายใครได้เลย  ถุย...ทุเรศใช่ไหมพวกเรา
	พออาจารย์ได้ยินจึงเรียกทุกคนในห้องยกเว้นฉันไปทำโทษด้วยการให้ไปพัฒนาชุมชนในที่ต่าง ๆ และถ่ายรูปพร้อมกับให้ชาวบ้านเซ็นมาว่าไปจริง...
	ฉันได้ยินเสียงบ่นเสียงด่าเสียงพูดจาเสียดแทรก  เสียดสีจนรับไม่ไหวอีกแล้ว  หนัก ๆ เข้าห้องนี้ฉันก็ชักจะอยู่ด้วยไม่ได้แล้วละ  ฉันจึงตัดสินใจไม่เข้าเรียนอีกครั้งเพื่อหนีปัญหาที่รุมเร้าในจิตใจ  ฉันหาทางออกไม่ได้จริง ๆ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ที่เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้  
	พอฉันไม่เข้าเรียนฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนก็เลยมานั่งที่ศาลาในโรงเรียนจนเจอเพื่อนคนหนึ่งชื่อฟิล์ม  ที่จริงเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรอกแต่ว่าเรามาสนิทกันตอนที่จะหนีออกจากโรงเรียนเนี่ยแหละ  ฉันจึงพาฟิล์มไปที่ประตูข้างของโรงเรียนแล้วก็ปีนออกมา  ฟิล์มรู้จักร้านขายอุปกรณ์การเรียนอยู่ร้านหนึ่งก็เลยพาฉันเข้าไปหลบสารวัตรนักเรียนที่นี่  ฉันจึงสนิทกับลูกจ้างของร้านที่ชื่อดวง
	หลังจากนั้นมาฉันก็ไม่ยอมเข้าเรียนอีกเลยจนกระทั่งอาจารย์ทองเรียกผู้ปกครองไปพบเพราะฉันไม่เข้าเรียนมาหลายวันแล้วพอผู้ปกครองมาอาจารย์ก็เอารายละเอียดการโดดเรียนออกมาให้ปู่ฉันดูจนวันนั้นกลับไปบ้านฉันจึงถูกตีหลายทีจนเนื้อแตก  
	หนูสัญญาว่าจะเข้าเรียนค่ะ....!!!!
	แต่พอวันรุ่งขึ้นฉันมาเข้าเรียนสังคมในห้องก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ยังมีการเสแสร้งและก็กล่าวร้าย  พูดจาเสียดแทงตลอดจนแทบจะทนไม่ได้  นอกจากนั้นก็ยังมายืนรุมด่าทออีก  ฉันรู้สึกเครียดมาก  รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหมาหัวเน่าที่ไม่มีใครเขาคบอีกแล้ว...  ฉันจึงตัดสินใจอีกครั้ง  คราวนี้ฉันไม่เข้าเรียนเลย  แต่ฉันยังคงเข้าไปเล่นยูโดต่อ  เหมี่ยวก็เอาไปพูดที่สมาคมฯนินทาฉันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันไม่เข้าเรียน
	นังแววดาวนะไม่เข้าเรียนละเธอ  สงสัยจะมีผัวละเลยไม่เข้าเรียน
	เหรอ...ไม่อยากจะเชื่อเลยเห็นหน้าหงิม ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ถึงว่าพี่ ๆ ที่นี่ถึงได้รุมจีบที่แท้ก็พวกให้ท่าให้ทางนี่เอง  แต่ดูอย่างพี่เหมี่ยวสิถึงไม่สวยแต่ก็มีเสน่ห์เนาะพี่นัทถึงได้มาชอบ
	หยุดพูดแล้วแล้วแก้ม.....!!!!เลิกพูดถึงพี่นัทได้ไหมในเมื่อนังดาวมันแย่งไปหมดแล้ว  ดูสิแข่งคัดสายมันยังแย่งสายจากพี่เลย  แล้วตอนที่ไปแข่งมันยังแย่งจนได้ไปเที่ยวเมืองนอก  กลับมาทำเป็นเก่งมาสอนคนอื่นที่แท้ก็เทียบกันไม่ติด
	จริงเหรอ...พี่ดาวร้ายขนาดนี้เลยเหรอ...
	อืม....
	เหมี่ยวไม่รู้หรอกว่าฉันยืนอยู่ที่ประตู  ฉันได้ยินทุกคำพูดเพราะประตูอยู่ห่างจากเหมี่ยวและแก้มเพียงแค่เมตรเดียวเท่านั้น  ฉันรู้สึกฉุนก็เลยพูดคำแรง ๆ ออกมา
	ต่ำ.....!!!!!
	แล้วก็เดินผ่านหน้าไปทำให้เหมี่ยวและแก้มถึงกับอึ้งเงียบทันที  ฉันเดินมาเคารพเบาะแล้วก็ขึ้นไปวอร์มอัพจนเครื่องอุ่นได้ที่ฉันจึงเรียกเหมี่ยวขึ้นมา
	เห็นบอกว่าเก่งเจ๋งมากไม่ใช่เหรอมา....ขึ้นมาสู้กันซะตั้งเป็นไร  ตัวต่อตัวนะอย่าเล่นหมาหมู่เหมือนทุกที  ฉันไม่ชอบเล่นสกปรก  ขึ้นมาเลย
	ฉันทั้งโกรธและโมโหมากที่จู่ ๆ ก็ถูกนินทาทั้งต่อหน้าและลับหลัง  ฉันแค้นที่สุดจังหวะนี้แหละฉันจะทำให้เห็นว่าใครกันแน่ที่โกหก  ใครกันแน่ที่พูดปดมาตลอดเวลา  คนที่นี่อุตส่าห์ให้อภัยมาหลายครั้งหลายหน  แต่เหมี่ยวก็ยังไม่เลิกสันดารเดิม ๆ อีก  ฉันจึงต้องใช้วิธีนี้แหละ...  เหมี่ยวถึงกับอึ้งไม่กล้าขึ้นมาเทียบสายกับฉันเลย  ระหว่างสายดำกับสายขาวที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างเหมี่ยวใครมันจะแน่กว่ากัน  ปกติแล้วเหมี่ยวไม่ค่อยอยากจะซ้อมเพราะทำฟอร์มว่าท้อง  พอไม่ฝึกปรือฝีมือก็ถดถอยมาเร่งซ้อมตอนหลังก็ไม่เห็นจะไปแข่งอะไรที่ไหนได้เลย  น่าเบื่อจริง ๆ ที่มีคนแบบนี้อยู่ในโลก  ชีวิตฉันนี่มันยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าเสียอีก
	เหมี่ยวทำท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ฉันจึงต้องตะโกนย้ำลงไปอีก  แต่คราวนี้ผู้คนในนี้เริ่มมากขึ้นกว่าตอนแรก  ฉันตั้งใจใจไว้ว่าจะให้อายสู้หน้าใครไม่ได้ทีเดียว  จะทำให้เหมือนกับที่เหมี่ยวทำกับฉันเอาไว้ที่โรงเรียน  แลกกัน....!!!!
	ทำไม....กลัวหรือไง  จะอ่อนข้อให้ก็ได้  ขึ้นมา....!!!!
	พี่เหมี่ยวขึ้นไปสิจะมัวรีรออะไรอยู่  ไปจัดการกับมันเลย  มันจะได้รู้ว่าพี่เจ๋ง
	แก้มยุให้ขึ้นมาจนเหมี่ยวต้องเดินขึ้นมาหาฉัน  ทุกคนที่นี่ก็รู้อยู่ว่าฉันกับเหมี่ยวไม่ถูกกันก็เลยมามุงดู  และพี่โอม  พี่นัท  พี่ดอน  พี่ทิพย์และพี่เก้าก็มาร่วมเป็นกรรมการด้วย  
	ฮาจิเมะ.....!!!!
	ฉันเดินเข้าตรงใส่ด้วยอารมณ์ที่บ้าบิ่นบ้าเลือดและบ้าครั่ง  ฉันฉุนมาก ๆ ในใจก็คิดว่าจะเอาให้ตายไปข้างนึงเลย  แต่อีกใจก็คิดว่าอย่าทำเลยมันไม่ดี  แต่ฉันควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ไหวแล้วจึงรุกเข้าไปหักแขนและทุ่มทันทีด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะ  คือจับแขนหักและดึงแขนหลบในเข้ามาก่อนที่จะทุ่ม  โชคดีที่ฉันยั้งมือแขนจึงไม่หัก  แต่พอทุ่มได้ฉันก็ฉุดขึ้นมาให้สู้ต่อ  ฉันทุ่มได้หลายทีและก็สกัดจุดสำคัญได้หลายครั้ง  ฉันเล่นนอกเหนือกติกาที่วางไว้เพราะฉันใช้ลูกเล่นเข้าไปใส่อย่างการกดลิ้นปี่  การกดทัดดอกไม้  การสกัดจุดลมไม่ให้เปิดและการกดไหปลาร้าไม่ให้มีทางสู้ได้ซึ่งมาจากการที่ฉันเคยเล่นโยคะและไทเก๊กเมื่อครั้งอายุ 3 ขวบทั้งนั้น  ฉันรุกจนเหมี่ยวสู้ไม่ไหวล้มลงไปตบเบาะยอมแพ้แต่ฉันดึงมือขึ้นมาไม่ให้ตบเบาะได้ครบ 3 ทีเพื่อที่จะสู้ต่อ  ฉันรุกเข้าใส่อย่างคนบ้าครั่งจนพี่ ๆ ต้องเข้ามาห้าม
	พอ....พอ ๆๆๆๆ  พอได้แล้วจะเอาให้ถึงตายหรือไง....!!!!
	ดาวพี่ว่าพอเถอะสงสารเหมี่ยวบ้าง
	พี่นัท....!!!!พี่นัทจะมาห้ามดาวทำไม  ทำไมไม่คิดบ้างเวลาที่ดาวโดนรังแก  ดาวไม่ใช่นางเอกน้ำเน่านะที่จะได้อ่อนแอสู้คนไม่ได้  ถ้ามาสู้กันตัวต่อตัวละก็สู้ได้อย่าอย่าเล่นหมาหมู่หรือสงครามประสาทกัน  ดาวไม่ชอบ....!!!!
	ฉันพูดอย่างเน้นเสียง  น้ำเสียงที่เปร่งออกมาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและชิงชังที่สุด
	ดาว...พอเถอะเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวรนะ  มาคุยกับพี่เถอะจะได้สงบสติลงบ้าง
	พี่เบลวมาจากไหนตอนไหนก็ไม่รู้  แต่พี่เขาก็ให้สติกับฉันทำให้ฉันอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน  ฉันไปนั่งที่เดิมตรงใต้ต้นไทร  พี่เบลวให้ฉันระบายความในใจออกมาให้หมดและบอกฉันว่าตอนเย็นจะไปที่ร้านนั้นจะไปรับฉันมาที่สมาคมฯ  ตอนเช้าเขาจะรีบมาส่งฉันเข้าไปเรียน  พี่เขาให้ฉันสัญญาว่าจะเข้าเรียน  ฉันจึงจำเป็นต้องสัญญาทั้ง ๆ ที่ฉันไม่อยากเข้าเรียนเลย...
	ฉันกลับบ้านด้วยความหดหู่ใจพอมาถึงบ้าน
	ดาวเข้าเรียนหรือเปล่าลูก
	ฉันไม่ตอบย่าเพราะไม่อยากโกหก  ฉันหันไปมองแล้วก็เดินเข้าห้องไป  ฉันไม่ได้โกหกว่าฉันเข้าหรือไม่เข้าเรียน  เพียงแต่ฉันไม่ได้พูดออกไปก็เท่านั้น  แต่ทุกคนก็มักจะเค้นเอาความจริงกับฉันอยู่ตลอดจนฉันไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงหลบหน้าหลบตาคนในบ้านแล้วก็นั่งอ่านหนังสือให้เขาเห็นแต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าฉันนั่งอ่านการ์ตูนไม่ใช่หนังสือเรียน
	ฉันรู้สึกแย่ที่สุด  ทำไมชีวิตฉันมันต้องเป็นแบบนี้  ได้อย่างเสียอย่างไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย  การเรียนดี  กีฬาเด่น  กิจกรรมดีแต่ชีวิตคู่และเพื่อนฝูงไม่มี  ซ้ำร้ายยังโดนทำร้ายแบบไม่มีสาเหตุ  ฉันจะทำอย่างไรดี  ชีวิตฉันทำไมหักเหแบบนี้นะ  ใครก็ได้มาช่วยหาทางออกให้ฉันที  ฉันจะได้พ้นออกจากห้องมืดแคบ ๆ ที่อยู่ในใจฉัน  ฉันจะได้พ้นบ่วงกรรมนี้...  ฉันทำกรรมอะไรไว้นักหนานะ...
..............................18....................................

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา