30 มกราคม 2548 01:48 น.

นวนิยายแฟนซี : แผ่นดินมหาราช (ผขอเสนอเป็นตอนแรกค่ะ )

สุชาดา โมรา

หลังจากที่เกิดวิกฤตวันสิ้นโลกไปได้ร่วมหนึ่งหมื่นล้านปี  ผู้คนมากมายต่างล้มตายเป็นจำนวนมาก  โลกทั้งใบได้สร้างเกราะป้องกันตนเองจึงทำให้มหันตภัยร้ายแรงเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน  เนื่องมาจากฝีมือของมนุษย์ซึ่งได้ทั้งสร้างและทำลายสรรพสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติให้หมดสิ้นไป
จากกาลเก่าเล่าเป็นตำนานว่ามนุษย์โลกที่อาศัยอยู่บนผืนพิภพแห่งนี้ได้สร้างเทคโนโลยีล้ำสมัยจนลืมความสมดุลของระบบนิเวศที่ธรรมชาติได้สร้างมา  มนุษย์ตัดไม้ทำลายป่า  ปล่อยของเสียลงแม่น้ำลำคลอง  ปล่อยอากาศที่เป็นพิษทำให้โอโซนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก  โลกไม่สามารถที่จะทนต่อสภาพอันไร้ขีดจำกัดที่มนุษย์ได้ทำขึ้น  ธรรมชาติจึงเตือนภัยมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย  น้ำท่วมโลกเป็นจำนวนมาก  ผู้คนล้มตายนับหมื่นชีวิต  แต่มนุษย์ก็หาได้กลัวเกรงต่อภัยธรรมชาติ  มนุษย์ยิ่งทำลายสิ่งที่มีอยู่จนแทบจะไม่เหลือหรอ  ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์บนโลกใบนี้แทบจะไม่มีเหลือไว้ให้มนุษย์ได้ดู  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้ทดแทนขึ้นก็ตาม
โอโซนที่ถูกทำลายจนแทบจะไม่มีอะไรเหลือ  แสงแดดจากราชันย์แห่งอาทิตย์แผดเผาจนมนุษย์รู้สึกทนต่อสภาพอากาศไม่ได้  เกิดหนาวจัด  ร้อนจัด  ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายที่ธรรมชาติได้หักหลังมนุษย์  ไม่สามารถเยียวยารักษาได้ผู้คนล้มตายนับแสนชีวิต  นักพยากรณ์หลายท่านและองค์กรนาซ่าจึงได้ร่วมกันคำนวณระยะทางก่อนที่จะสายจนเกินไป  นักบินอวกาศจึงได้ไปสำรวจดาวอังคาร  ผู้คนมากมายโยกย้ายดินแดนไปอยู่บนดาวอังคาร  เหลือเพียงมนุษย์โลกกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมโยกย้ายถิ่นฐานไป
มนุษย์โลกที่เหลืออยู่ได้สร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่สืบมาเป็นตำนานที่เล่าขานมานับกว่าหมื่นล้านปี  โลกมิเคยหยุดอยู่แค่นั้น  มหันตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดนับเจ็ดร้อยปีได้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์หลังจากเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้วได้ทำลายมนุษย์นับแสนชีวิตจนต้องหาวิธีโยกย้ายไปอยู่บนโลกใบใหม่  ซึ่งเรียกว่าโลกแห่งดาวอังคาร  เหตุการณ์ครั้งนี้ทวีความรุนแรงเป็นอย่างมาก  ภูเขาไฟทั่วทั้งโลกระเบิดพร้อมกัน  ผืนแผ่นดินแยกออกไปสองส่วนและบีบตัวด้วยความเร็วสูงทำให้แผ่นผืนภิภพสะเทือน  ผู้คนไม่มีทางหนีได้  บาดเจ็บล้มตายนับแสนชีวิต  มหาสมุทรสั่นสะเทือนเกิดการแยกตัวแบบซึนามิ  ผืนแผ่นดินใต้มหาสมุทรที่เคยจมอยู่ยกตัวขึ้นสูงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเกิดปรากฏการอาฟเตอร์ช็อกขึ้น  หลายเมืองจมหายไปเหลือไว้เพียงตำนานที่เล่าขานกันเท่านั้น  มนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงหมื่นชีวิตได้สร้างอาณาจักรขึ้นใหม่อีกครั้ง  เกิดการสู้รบกันประปรายเพื่อชิงความเป็นใหญ่  และต้องการเป็นเจ้าผู้ครองภิภพแห่งนี้จนกลายเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบเป็นตำนานแห่งอารายธรรมเก่าแก่แห่งแคว้นเก้าแคว้นซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกษัติริย์แห่งแคว้นอุไร  ซึ่งไม่มีปรากฏแผนที่เมืองแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว  เนื่องจากเมืองนี้ได้จมหายไปบนดินแดนชมพูทวีปนับหมื่นล้านปีมาแล้ว
นับจากนั้นเป็นเวลา  10  ปี  ก็เริ่มเกิดอาณาจักรใหม่ขึ้นอีกครั้ง
บนผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ที่สุดห่างไกลจากชมพูทวีไม่มากนัก  มีแคว้นใหญ่น้อยมากมายถึงเก้าแคว้นด้วยกันคือ  แคว้นปุรนคร  แคว้นสุขวดี  แคว้นลวะศรี  แคว้นรัตนคีรี  แคว้นคีรินทร์  แคว้นเข็มราช  แคว้นบุรีนคร  แคว้นกัญจาศรี  และแคว้นราชันย์อุไร
แคว้นราชันย์อุไร  และแคว้นลวะศรี  เป็นแคว้นที่มีอำนาจทางการทหารมาก  ทั้งสองแคว้นมีพระมหากษัตริย์ที่สืบเชื้อสายเดียวกัน  คือพระเจ้าปฐมเทพกษัตริย์แห่งราชันย์อุไร  เป็นพระเชษฐราชินีแห่งแคว้นลวะศรี  ต่อมาองค์มหาลาเปงกษัตริย์แห่งลวะศรีเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วองค์ราชบุตรษุปิงจึงได้ขึ้นครองบัลล์ลัง  ทั้งสองเมืองจึงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากถึงแม้ว่าดินแดนของทั้งสองเมืองจะอยู่ห่างไกลกันมากก็ตาม
พระเจ้าปฐมเทพเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรด้วยรถยนต์พระที่นั่ง  พร้อมทั้งเจ้าหญิงรัตนมณีพระราชธิดาและเจ้าชายเทวธิราชพระราชโอรส  เจ้าชายเทวธิราชเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง  ซึ่งเป็นพระราชโอรสที่เกิดจากพระนางจรัสรัตน์พระมเหสีฝ่ายขวา  ซึ่งกำลังจะได้สถาปนาเป็นองค์มหาราชินีแห่งแคว้นราชันย์อุไรเนื่องจากเจ้าชายเทวธิราชได้ถูกสถาปนาให้เป็นรัชทายาทในวันนี้
เจ้าชายเทวธิราชเดินมายังหน้าท้องพระโรงท่ามกลางข้าราชบริพาลใหญ่น้อยที่ยืนเข้าแถวเรียงรายนับไม่ถ้วน  พรมสีแดงปูยาวตลอดทาง  นางกำนัลสามคนเดินโปรยดอกไม้สีขาวเพื่อแสดงความยินดี  เสียงแตรดังขึ้นกึกก้อง  พระเจ้าปฐมเทพสวมเครื่องทรงให้แก่เจ้าชายพร้อมทั้งยื่นคทาแห่งองค์รัชทายาทและตราประจำพระองค์ซึ่งสืบทอดกันมายาวนานให้  เจ้าชายคุกเข่าและยื่นมือไปรับด้วยความนอบน้อม  ข้าราชบริพาลคุกเข่าคำนับและยื่นมือขวามาประสานที่หน้าอกและพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันทันที
องค์รัชทายาททรงพระเจริญ.!!!!!
พร้อมกันนั้นพระเจ้าปฐมเทพได้เรียกเจ้าหญิงรัตนมณีให้ออกมายืนใกล้ ๆ กับองค์รัชทายาท  เจ้าหญิงเดินมาหยุดอยู่ตรงพื้นที่ต่ำกว่าองค์รัชทายาท  ช่างภาพหลวงทำการถ่ายภาพก่อนที่ทั้งสามพระองค์จะเสด็จออกนอกท้องพระโรงเพื่อเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของราษฎร.
ประชาชนทั้งหลายเก็บดอกไม้สีขาวที่โปรยปรายอยู่ตามพื้นพรมสีแดงทางด้านนอกของพระมหาราชวัง  ซึ่งเปิดให้ประชาชนมารับเสด็จ.  ผู้คนต่างแย่งยื้อดอกไม้นั้นเพื่อเป็นศิริมงคลหลังจากที่กษัตริย์ทั้งสามพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว
..
แคว้นกัญจาศรีเป็นแคว้นที่เรืองอำนาจด้านเศษฐกิจ  แต่ก็เป็นแคว้นที่มักจะพบกับภัยธรรมชาติอยู่เสมอ ๆ จึงทำให้แคว้นนี้ต้องการหาดินแดนใหม่ ๆ และขยายอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น  แคว้นกัญจาศรีมีพรมแดนติดต่อระหว่างแคว้นราชันย์อุไรกับแคว้นลวะศรี  แคว้นนี้จึงพยายามผูกมิตรกับทั้งสองแคว้นซึ่งเป็นแคว้นที่มีอำนาจทางทหารเป็นอย่างมาก  และเป็นแคว้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด  แต่พระเจ้าเมียงเตะกษัตริย์แห่งแคว้นกัญจาศรีก็หาได้เป็นดั่งพฤติกรรมที่ประพฤติต่อทั้งสองแคว้นไม่  พระเจ้าเมียงเตะหวังที่จะได้ดินแดนของทั้งสองเมืองเป็นของตนเอง  โดยเฉพาะดินแดนทางตอนใต้ของแคว้นราชันย์อุไร  ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดและไม่เคยประสบปัญหากับภัยธรรมชาติเลย
ส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นราชันย์อุไร  แสดงความยินดีกับรัชทายาท
เจ้าหลวงพระย่ะค่ะ  เหตุใดจึงไม่ส่งของขวัญไปเป็นบรรณาการเลยล่ะพระย่ะค่ะ
เจ้าหมายความว่า
พระเจ้าเมียงเตะกับพระมหาอุปราชราชินเสวนากันพร้อมทั้งหันลงไปมองเจ้าหญิงมินทราผ่านหน้าต่าง  ซึ่งเจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้อยู่กลางอุทยานหลวง.
เป็นความคิดที่ดีมาก  เสียลูกไปคนแต่ผลที่ได้นั้นคุ้มค่าที่สุด
พระเจ้าเมียงเตะทรงสรวนไม่หยุดเลยทีเดียว.
เจ้าหญิงมินทราถูกเรียกให้ขึ้นมาบนตำหนักของเจ้าหลวงเจ้าหลวงทรงตรัสรับสั่งกับเจ้าหญิง  จากนั้นเจ้าหญิงก็ทำท่าทางโศกเศร้าพร้อมกับเดินกลับไปยังตำหนักเพื่อทรงเครื่องตามประเพณี
เจ้าหญิงจะเสด็จไหนมังคะ.
เจ้าพ่อทรงให้เราไปทำหน้าที่อันใหญ่หลวงที่สุด
ทำสิ่งใดมังคะ  เหตุใดจึงต้องแต่งองค์ทรงเครื่องใหญ่ราวกับจะอภิเษก
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละตุงจี  เราต้องไปเป็นของขวัญแห่งเมืองราชันย์อุไร  เรายังไม่รู้ว่าเราจะได้อยู่ตำแหน่งใดเลย  พูดง่าย ๆ ก็คือเจ้าชายเทวธิราชได้สถาปนาเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง  เจ้าพ่อจึงส่งเราไปเป็นเมียของเขานั่นแหละ
พระนางประชาเทวีรู้ไหมมังคะ
ไม่มีใครรู้  นี่เป็นความลับเราอยากให้เจ้าตามเราไปด้วย  เราไม่อยากไปเพียงลำพัง
รถยนต์พระที่นั่งสำหรับเจ้าหญิงขับแล่นออกจากพระราชวังหลวง  ผู้คนมากมายและรถม้าที่สวนทางมาต่างก็ต้องหลบให้เพราะรู้ว่ามีเพียงกษัตริย์เท่านั้นที่ขับรถยนต์ได้  ประชาชนไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้รถยนต์เนื่องจากจะเสียปริมาณเชื้อเพลิงมาก  ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญเสียไป  และที่กษัตริย์ใช้รถยนต์ได้นั้นเพราะกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทรงปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน  จึงจำเป็นต้องใช้รถยนต์เพื่อร่นระยะทางในการเดินทางไปปฏิบัติภาระกิจ
นี่ถึงไหนแล้ว
ถึงพรมแดนแคว้นราชันย์อุไรพะย่ะค่ะและนั่นรั้วกั้นพรมแดนของแคว้นลวะศรีซึ่งอยู่ทางขวามือพะย่ะค่ะ  ส่วนของทั้งสามเมืองมีรอยต่อกันแต่ส่วนมากพรมแดนของลวะศรีจะล้อมแคว้นเราอยู่พะย่ะค่ะ
ราชองครักษ์หนุ่มตอบเจ้าหญิงมินทรา  เจ้าหญิงมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความชื่นชม  ความงดงามของแคว้นราชันย์อุไรทำให้เจ้าหญิงรู้สึกเหมือนกับต้องมนต์สะกดทำให้เคริ้มใจ  ปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติจนกระทั่งรถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงมินทราเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นราชันย์อุไร
ชายหนุ่มบนม้าสีขาวควบม้าตามรถยนต์พระที่นั่งมา  เจ้าหญิงมองเห็นชายหนุ่มบนหลังม้าก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นชายคนนั้นกล้าจ้องมองตอบเจ้าหญิง  เจ้าหญิงรีบปิดม่านลงและเอาผ้าสีชมพูมาคลุมโพกผมและปิดหน้าของตนเองทันที
เกิดอะไรขึ้นมังคะ!!!!
ตุงจี  ชายคนนั้นคนที่ควบม้าอยู่ทำสายตาจาบจ้วงต่อเรา  มิเกรงกลัวเราผู้เป็นเจ้าเหนือหัวทุกผู้เอาเสียเลย
ข้ากระหม่อมจะออกไปถามให้รู้เรื่องมังคะ
รถยนต์พระที่นั่งจอดขวางทางชายหนุ่มคนนั้นต้องหยุดม้ากระทันหัน  ตุงจีข้าหลวงฝ่ายในคนสนิทของเจ้าหญิงมินทราลงมายืนเท้าสะเอวถามชายหนุ่มคนนั้น
เจ้าบังอาจมากนะมิรู้หรือว่านี่รถเจ้า  เหตุใดจึงทำสายตาจาบจ้วงเจ้าหญิงของเรา
เรามิบังอาจหรอกใครจะกล้าจาบจ้วงต่อเจ้าหญิง  หากแต่เราสงสัยว่าท่านในนั้นมาจากแคว้นอะไรเท่านั้นเอง  เหตุใดจึงมาเร่งด่วนนัก!!!!
ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า.
ตุงจีข้าหลวงต่อว่าต่อขานชายหนุ่มคนนั้น  จากนั้นก็ขึ้นรถจากไป  ม้าของชายหนุ่มควบเข้าไปถึงในวังหลังจากที่รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงเพิ่งจอดสนิทตรงบริเวณหน้าตึกพระประเทียบ  ตึกรับรองของแขกบ้านแขกเมือง
เจ้าหญิงมังคะผู้ชายคนนั้น
ตุงจีชี้ให้เจ้าหญิงมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น  เจ้าหญิงเห็นเขาหันมายิ้มก็รู้สึกขวยเขินแต่ก็ต้องเก็บอาการเพราะผิดต่อขัติยนารี  ชายหนุ่มคนนั้นคุยกับข้าราชบริพาลคนหนึ่งซึ่งนำเสื้อคลุมมาสวมให้จากนั้นก็เดินเข้าไปในเขตพระราชฐานทันที  เจ้าหญิงรู้สึกงวยงงเป็นอย่างมาก  ทรงสงสัยว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันแน่
สาสน์จากพระเจ้าเมียงเตะแห่งแคว้นกัญจาศรี
ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงมินทรายื่นพระราชสาสน์ให้กับราชองครักษ์ที่เดินเข้ามาถาม  ราชองครักษ์คนนั้นพาเจ้าหญิงและผู้ติดตามทั้งสองคนเข้าไปยังห้องรับรองแขกบ้านแขกเมือง  จากนั้นราชองครักษ์ก็หายไปครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาพร้อมกับข้าหลวงอีกสองคน
พระราชาของเรารับสั่งให้ท่านไปพักผ่อนที่ห้องรับรองที่ทางเราจัดไว้
เจ้าหญิงและผู้ติดตามเดินมายังห้องที่ทางแคว้นราชันย์อุไรจัดให้  เจ้าหญิงนั่งลงที่เก้าอี้  ข้าราชบริพาลคนนั้นบอกให้เจ้าหญิงเตรียมตัวเพื่อจะไปร่วมงานฉลองการมาเยือนของเจ้าหญิงในฐานะพระชายาในคืนนี้
อะไรมันจะเร็วขนาดนี้เรายังไม่พร้อมเลยตุงจี
ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแหละมังคะ
เจ้าหญิงมินทรากล่าวหลังจากที่ข้าราชบริพาลแห่งแคว้นราชันย์อุไรเดินนำตองมูราชองครักษ์ของเจ้าหญิงไปยังที่พักรับรองของข้าราชบริพาล
.1.
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ				
30 มกราคม 2548 01:42 น.

นวนิยาย:บันทึกรักสีชมพู ( ตอนที่ 2 )

สุชาดา โมรา

มีอะไรเหรอครับ
	วันนั้นที่ร้านอาหารเอ่อคุณลืมกระเป๋าสตางค์ทั้งไว้ที่ร้านค่ะ
	อัปสรสวรรรค์พูดด้วยน้ำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เธอนั่งลงที่เก้าอี้และยื่นกระเป๋าให้เขาทันทีนายตำรวจหนุ่มรับกระเป๋าสตางค์มาจากนั้นก็เปิดดูข้าวของที่อยู่ในนั้นและก็ยิ้ม ๆ
	ขอบคุณครับอย่างนั้นวันนั้นคุณคงจะเห็นเอ่อ
	ค่ะฉันเห็นคุณสองคนไม่เข้าใจกันกระเป๋าใบนี้ขว้างมาเกือบจะถูกหน้าของฉันแต่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะวันนั้นฉันพยายามวิ่งตามเพื่อที่จะเอากระเป๋าใบนี้ส่งคืนแต่ก็ไม่ทัน  ฉันก็เลยเปิดกระเป๋าดูแล้วก็สุ่มเลือกที่จะมาคืนให้ที่นี่ค่ะ
	ขอบคุณจริง ๆ ครับ
	นายตำรวจหนุ่มพูดและก็ยิ้ม ๆ เขาคุยกับเธอด้วยท่าทางเป็นมิตรจากนั้นก็เดินลงมาเป็นเพื่อนเธอเพื่อมาส่งเธอที่รถตามมารยาท
	ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
	เอ่อค่ะ
	อัปสรสวรรค์ยิ้มละไมเธอเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่งบนรถทันที  สายตาของเธอมองไปที่กระจกหลังจากนั้นจึงขับรถถอยลังออกมาจากลานจอดรถ
	ก๊อกก๊อกก๊อกนายตำรวจหนุ่มเคาะหน้าต่างกระจกรถอัปสรสวรรค์เปิดกระจกรถและหันมามองเขาด้วยท่าทางยิ้ม ๆ แล้วก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
	มีอะไรเหรอคะ
	มีเบอร์โทรไหมครับผมหมายถึงว่าคุณจะมีเบอร์สำหรับติดต่อไหมครับแบบว่าเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไงครับสำหรับมิตรภาพที่ดี
	นายตำรวจหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แขนทั้งสองข้างของเขาท้าวไปที่หลังคารถ  สายตาของเขาเบิกบานและจ้องมองเธอราวกับจะโปรยเสน่ห์  ทำให้อัปสรสวรรค์ต้องหลบสายตาอยู่หลายครั้งทีเดียว
	ขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ
	เอาไปทำไมครับ
	เถอะน่า
	อัปสรสวรรค์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  สายตาเธอมองเขาราวกับจะบอกเขาด้วยสายตาเชื้อชวนให้ทำตามนายตำรวจหนุ่มจึงยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องบางให้กับเธอทันทีเธอรับมาและกดเบอร์โทรของตัวเองและโทรเข้าเครื่องตัวเองทันทีเสียงโทรศัพท์ในรถดังขึ้น  อัปสรสวรรค์กดสายตัดและส่งคืนให้นายตำรวจหนุ่มทันที
	นี่เบอร์ของฉันค่ะ
	ครับ
	อัปสรสวรรค์ขับรถออกมาจากโรงพัก สภอ.เมืองลพบุรี  ด้วยท่าทางเบิกบานในหัวใจนายตำรวจหนุ่มยืนมองรถบีเอ็มคันหรูที่กำลังขับออกไปนอกโรงพักด้วยสายตาหวานเยิ้มละมุนละไม  เขามองจนรถคันนั้นลับสายตาออกไป  จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปบนโรงพักเพื่อที่จะทำงานต่อไป
	อัปสรสวรรค์ขับรถมามหาวิทยาลัยเพื่อที่จะมาเรียน  เธอรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะเธอได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูดตอบโต้กับเธอ  ทั้งๆที่ตัวเธอเองก็เพิ่งจะได้เจอเขาซึ่งๆ หน้าแบบนี้
	ทฤษฎีการเขียนการเขียนมีหลายลักษณะแล้วแต่ความนิยมของผู้เขียนว่าจะเขียนแนวไหนนวนิยายเป็นงานเขียนที่บอกถึงทั้งอุปมาอุปไมย  จินตลักษณ์และอื่นๆ ครูอยากให้ทุกคนลองเกริ่นนำนวนิยายมาตอนหนึ่งโดยที่ครูจะเขียนข้อความไว้บนกระดานไวท์บอร์ดห้าคำ
	อาจารย์ทัศนีย์เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ซึ่งมีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านการแต่งนิยาย  บทความ  เรื่องสั้นเป็นอย่างมาก  ทั้งชั้นเรียนก็เห็นจะมีแต่อัปสรสวรรค์คนเดียวที่สามารถแต่งบทความเรื่องสั้นและนวนิยายได้  แต่เธอกลับไม่สามารถที่จะเขียนเรื่องราวที่เป็นงานทางวิชาการได้กันนั่นแหละคนเรามันต้องได้อย่างเสียอย่างละอาจารย์ทัศนีย์เขียนข้อความห้าคำบนกระดานไวท์บอร์ดมีคำว่า  ทานตะวัน,  สายลม,  ความรัก,  ฉันและเธอ  และการเริ่มต้น
	ครูคิดว่าทุกคนคงจะแต่งเสร็จแล้วนะไหนลองอ่านทีละคนนะ  ครูจะสุ่มดู
	แต่ก็เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าศิษย์รักศิษย์โปรดนั้นมีเพียงไม่กี่คนกิ๊บเก๋ได้ถูกเอ่ยนามก่อนคนอื่นๆ เพราะเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์รักมากที่สุด  เธอเป็นหัวหน้าห้อง  ช่างประจบ  เอาใจคนเก่ง  และเป็นคนสวย  แต่คนในห้องก็รู้ๆ ดีอยู่ว่าความสวยของเธอนั้นนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ
	ฉันและเธอเราพบรักที่ทุ่งทานตะวัน  สายลมพัดผ่านมาทำให้ใจเราสั่นไหว
	กิ๊บเก๋พูดขึ้น  อาจารย์ถึงกับส่ายหน้าทีเดียวทั้ง ๆ ที่เพื่อนทั้งห้องต่างก็ปรบมือกันยกใหญ่อาจารย์เรียกคนต่อไปคือพี่น้องฝาแฝดที่นิสัยหยาบกระด้าง  เจ้ายศเจ้าอย่าง  บ้าอำนาจทั้ง ๆ ที่พ่อตัวเองเป็นแค่ อบต. บ้าอิทธิพล  ชอบข่มขู่ผู้อื่น  ขี้ฟ้องก็เป็นที่หนึ่ง  เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็เรียกกันว่าตัวอันตรายและชอบอวดร่ำอวดรวยทั้ง ๆ ที่ไม่มีดีจะให้อวดอาจารย์เรียกให้เส้นหมี่อ่านก่อน  และตามด้วยปอยไหม  ทั้งคู่อ่านแล้วอาจารย์ก็ต้องส่ายหน้าเพราะท่านยังรู้สึกว่ามันยังเหมือนกับการเรียงประโยคแบบเด็กๆ อยู่
	อาจารย์เรียกเพื่อน ๆ ไล่ทีละคน  คนแล้วคนเล่า  แต่แกก็ไม่หันกลับมาเรียกอัปสรสวรรค์เลยเพราะแกค่อนข้างจะชิงชังกับนักศึกษาที่เก็บตัว  ไม่ค่อยพูดกับใคร  ไม่มีเพื่อน  ไม่มีสังคมอย่างเธอและอาจารย์เองก็ได้ฟังจากปากของศิษย์รักสามคนแล้วด้วยกับข่าวลือที่ว่า  เธอมีคู่หมั้นแล้ว  ขับรถยนต์คันหรูไม่ซ้ำคันมาเรียน  และเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นว่าเล่นจึงทำให้อาจารย์คิดว่าอัปสรสวรรค์เป็นผู้หญิงไม่ดี  มีอาเสี่ยเลี้ยงเพราะเธอเป็นคนสวย  พูดจาหวานๆ หนุ่ม ๆ จึงเข้ามารุมล้อมเธอมากมาย  เธอถึงได้มีกิ๊กถึง 16 คน
	คนสุดท้ายไหนอ่านสิ
	ในยามที่แสงสุริยากำลังจะโผล่จากฟากฟ้าไอหมอกที่ฟุ้งกระจายเต็มอยู่ทั่วบริเวณท้องทุ่ง  หญิงสาวเดินลัดทิวเขาเพื่อลงมาพบกับชายหนุ่มที่ตนเองรักอยู่เป็นประจำทุกเช้าทั้งคู่แอบลักรอบได้เสียกันจนเกิดเป็นรักต้องห้ามเพราะทั้งสองหมู่บ้านนั้นไม่ลงรอยกันความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์  ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะพยายามพรากทั้งคู่ออกจากกันอย่างไรแต่ทั้งคู่ก็ยังแอบมาเจอกันที่นี่เป็นประจำวันไหนที่หญิงสาวไม่ได้ลัดทิวเขาลงมานั้น  ชายหนุ่มก็จะชะเง้อคอรอสาวเจ้าอยู่ทุกเมื่อทั้งคู่มีสัญญารักต่อกัน ณ ทุ่งทานตะวันแห่งนี้
	อัปสรสวรรค์อ่านให้ทุกคนฟัง  เพื่อน ๆ ปรบมือกันกราวเลยทีเดียว  อาจารย์ทัศนีย์จึงเรียกเธอไปพบเพราะเห็นแววนักเขียนในตัวของเธอ
	ครูจะให้เธอแต่งเรื่องอะไรก็ได้ตามถนัดมาให้ครูอ่าน  ครูจะลองปรับแก้งานของเธอดู  ถ้าหากงานนั้นดีจริง ๆ ครูจะส่งสำนักพิมพ์ที่ครูรู้จัก
	ค่ะ
	อัปสรสวรรค์รับคำ  เธอยิ้มหน้าระรื่นออกมาจากห้องพักครูและเดินตรงมาที่ลานจอดรถ  จากนั้นจึงขับรถออกไปทานอาหารข้างนอกกับแม่ว่าที่สามีของเธอก่อนที่จะกลับมาเรียนในตอนบ่าย
..2..

	
โปรอดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ				
30 มกราคม 2548 01:38 น.

นวนิยาย:คิดจะรัก...ต้องพักรบ ( ตอนที่ 8 )

สุชาดา โมรา

กิ๊กฟื้นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าอันหมองเศร้าเธอโผกอดเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้และร้องไห้ฟูมฟายเลยทีเดียว
ร้องออกมาเสียให้หมดเถอะอย่าเก็บเอาไว้อีกเลย  แนนซี่พูดขึ้น
คุณภูริแอบยืนมองอยู่ห่าง ๆ ที่ตรงริมหน้าต่าง  เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับหยิบรูปที่หล่นอยู่ที่พื้นใบเดียวมาให้  ภาพนั้นยิ่งทำให้กิ๊กรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคนในภาพนอนเคียงข้างอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่มีความสุข
นี่คุณไม่รู้เรื่องเลยหรือไงเพื่อฉันยิ่งเสียใจอยู่  คุณมาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
ผมขอโทษเพียงแต่ผมคิดว่าผมอยากให้คุณกิ๊กตัดใจให้ขาดเสียเถอะก่อนที่จะสายจนเกินไป
หมายความว่าอย่างไรคุณพูดให้มันดี ๆ นะ
กัญญาจูงแขนคุณภูริออกไปข้างนอกเพื่อคุยกัน  คุณภูริจึงเล่าเรื่องที่ไปเห็นคุณเอกนายตำรวจหนุ่มสามีของกื๊กพาคุณรัชนีตำรวจหญิงไปฝากท้องที่โรงพักในวันที่กิ๊กคลอดลูกพอดีกัญญารู้สึกตกใจมาก  เธอคิดมาตลอดว่าทำไมนายตำรวจหนุ่มจึงมีสีหน้าไม่ยินดียินร้ายที่ได้เป็นพ่อคนแบบนั้น
ฉันคิดอยู่แล้วเชียว
กัญญาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด  เธอกำหมัดแน่นแล้วก็หันไปมองกิ๊ก  สายตาของเธอเริ่มอ่อนโยนลงจากนั้นก็หันมามองคุณภูริด้วยสายตาที่เหมือนกับจะบอกว่าขอบคุณที่ทำให้เธอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกิ๊กได้กระจ่างมากยิ่งขึ้น
กิ๊กเลิกฟูมฟายเสียอกเสียใจ  เธอเริ่มเปลี่ยนเป็นคนใหม่หลังจากที่มีที่ปรึกษาดีอย่างแนนซี่แนนซี่แปลงโฉมให้กิ๊กใหม่ทำให้เธอดูสาวสวย  และสวยกว่าที่เป็นอยู่เสียด้วยซ้ำจนคุณภูริถึงกับตกตะลึงทีเดียว
นี่คุณเพื่อนฉันย่ะห้ามมอง
หึงละสิจะให้ผมมองแต่คุณคนเดียวใช่ไหมล่ะ
คุณภูริพูดขึ้นพร้อมกับทำสายตาหวานเยิ้มใส่  กัญญารู้สึกเขิน ๆ เธอหันไปตีไหล่คุณภูริเบา ๆ ทันที
อย่ามาทำตาหวานเยิ้มใส่ฉันนะ
คุณภูริจึงหันมาตีไหล่ตอบบ้าง  แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายทำให้เผลอทิ้งแรงออกไปมากกัญญาจึงหันมาตีตอบ  หนักเข้า ๆ ก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มทะเลาะกัน  แนนซี่จึงต้องมาห้ามศึกทั้งคู่เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้
นี่หยุดหยุดหยุดได้แล้ว
แนนซี่ตะเบงเสียงดังลั่นจนทั้งคู่ต้องหยุด  กิ๊กถึงกับหลุดขำออกมาทันที
เออยายกัญญาไปแต่งตัวซะ  ฉันมีอะไรจะบอกละ  กิ๊กพูดขึ้น
อะไรเหรอมีอะไรก็พูด ๆ ออกมาสิ
ก็ยายหนูนาติดไปสัมภาษณ์สดที่ระยองน่ะเขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อสักพักได้มั้ง
กิ๊กและแนนซี่พูดไปเดินไปจนถึงห้องแต่งตัว
แล้วอย่างนี้ใครจะไปเป็นเพื่อนเจ๊ล่ะ โดนเจ๊อีกสองคนเบี้ยวแล้วใช่ไหม เพราะมองหาไม่เห็นทั้งหนูนาและก็ยายแป้งส่วนยายต่ายก็คงจะมาเพราะขานี้ไม่มีทางพลาดหรอก
ก็ฉันไงล่ะ
กิ๊กพูดขึ้นพร้อมกับยิ้ม  สีหน้าที่โศกเศร้านั้นเหือดหายไปภายในพริบตา  ทั้งกัญญาและแนนซี่ถึงกับฉีกยิ้มดีใจที่เห็นกิ๊กกลับมาสดใสเหมือนเดิมอีกครั้ง
เดี๋ยวนะคืนนี้ยายหนูนาเขาจะออกทีวีว้าย...ใช่...ใช่เลย...แล้วนี่แนนซี่ลืมได้ยังไงเนี่ย...ว้า...เสียดาย
เสียดายอะไรย๊ะหล่อน
เสียดายที่ไม่ได้ไปด้วยน่ะสิย๊ะถ้าไปด้วยฉันคงได้เห็นคุณภูวดล  เพราะเขาคงจะต้องตามยายหนูนาไปทำข่าวแน่ ๆ เลย
หล่อนรู้ได้ไงใครบอกหล่อน  วันนี้คุณภูวดลมาที่นี่ย่ะเธอน่ะพลาดข่าวแล้ว
จริงเหรอจริงเหรอ!!!!
แนนซี่ทำท่าดีอกดีใจมากเป็นพิเศษ  เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดซ้ายบิดขวา  สายตาของเธอเหม่อมองไปข้างนอกราวกับจะสร้างวิมานในอากาศอย่างนั้นแหละกิ๊กจึงต้องสะกิดให้แนนซี่นั่งลงมาช่วยแต่งตัวให้กับกัญญาซึ่งเป็นเจ้าของงาน
คืนนี้เธอต้องสวยที่สุด  นางฟ้าสีขาวของฉัน
ของเธอที่ไหนของผู้ชายที่นั่งรออยู่ข้างล่างต่างหากล่ะ
เออใช่
แนนซี่พูดและหันไปค้อนควับกับกิ๊ก  ทั้งคู่ช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับกัญญาราวกับเจ้าหญิง  จากนั้นแนนซี่ก็พากัญญาไปเก็บตัวในห้องและเดินลงไปเรียกให้คุณภูริมาแต่งตัว  แต่คุณภูริไม่ยอมเพราะกลัวว่าแนนซี่สาวประเภทสองจะทำมิดีมิร้าย
อย่าดึงราวบันไดสิคะตามฉันมา  ฉันไม่ทำอะไรหรอก
แนนซี่ฉุดกระชากลากถูคุณภูริจนมาถึงห้องแต่งตัว  แนนซี่จึงให้คุณภูริแต่งตัวใหม่เพื่อให้เข้ากับกัญญาเจ้าของงาน
ใส่นี่ซะ  ฉันจะไปรอข้างนอก
ทำไมต้องใส่
ไม่อยากเป็นคู่ควงกับเจ้าหญิงของเราหรือไง
คุณภูริถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นแนนซี่ออกไปนอกห้อง  เขาแต่งตัวด้วยความระมัดระวัง  สายตาของเขาจ้องมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความหวาดระแวงเพราะกลัวว่าแนนซี่จะแอบมองเขาขณะที่เขากำลังใส่กางเกงอยู่นั้นแนนซี่ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา  เขาถึงกับตำใจดึงผ้าผ่อนที่วางระเกะระกะอยู่มาปิดช่วงล่างของเขาทันที
ลืมของค่ะ
แนนซี่พูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปที่คุณภูริแบบขำ ๆ เมื่อแนนซี่ออกไปนอกห้องแล้วคุณภูริจึงวิ่งไปล็อกประตูทันที  เขาสวมเสื้อผ้าจนเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดล็อกประตูเขาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ทีเดียว
นึกว่าจะเสร็จกระเทยซะแล้วสิคุณภูรินึก
แนนซี่เดินมาเคาะประตูสามครั้ง  คุณภูริยังไม่ทันได้ตอบอะไรแนนซี่ก็เดินตรงเข้ามาโปะแป้งให้กับเขาทันที
ผู้ชายน่ะไม่ต้องแต่งตัวอะไรมากหรอก  ยังไง ๆ ก็หล่ออยู่ดีนั่นแหละ
แนนซี่พูดขึ้นพร้อมกับพาคุณภูริเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและพามาที่ลานกลางงานในตอนหัวค่ำผู้คนเข้ามาในงานมากมาย  คุณภูริหันไปมองหลายคนที่สวมหน้ากาก  เขาพยายามมองหากัญญาแต่ก็ไม่พบ
พี่ภูริ
ไงดลหล่อเชียวนะแก
ไม่ได้หรอกวันเกิดหวานใจผมทั้งทีผมก็ต้องมาสิ
เดี๋ยวแกได้หวานใจแน่นั่นไง
คุณภูริพูดแล้วก็อมยิ้มพร้อมกับหันไปมองแนนซี่ซึ่งเดินมาพร้อมกับกิ๊กในชุดเจ้าหญิงสีขาว  แต่แนนซี่สวมชุดซูสีไทเฮาเดินตรงมายังคุณภูวดลซึ่งบังเอิญสวมชุดฮ่องเต้ตามคำบอกเล่าของหนูนาซึ่งก็เป็นไปตามแผนที่แนนซี่วางไว้ให้หนูนาไปปล่อยข่าวว่างานนี้สวมชุดแฟนซีและกัญญาจะสวมชุดจีนให้คุณภูวดลแต่ตาม
คุณภูริถึงกับหลุดขำออกมาทันที  เขาไม่ยอมบอกสิ่งที่เขารู้ให้กับน้องชายทราบเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ขำเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง  กิ๊กพาคุณภูริเดินมาใกล้ ๆ กับต้นพิกุลจากนั้นก็ชี้ให้คุณภูริเห็นผู้หญิงชุดขาวที่สวมหน้ากากขนนกยืนอยู่ทางด้านหน้าของเขา
นั่นไงคะไปสิ
คุณภูริเดินเข้าไปคุยกับกัญญา  แต่เธอไม่ยอมตอบอะไรเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดหน้ากากคุณภูริพากัญญาเดินเข้าไปเต้นรำที่กลางลานที่จัดเตรียมเอาไว้ในขณะที่คุณภูวดลกำลังเต้นรำเพลิดเพลินอยู่กับแนนซี่กระต่ายเต้นรำกับพี่โอสามีของเธอแป้งเต้นรำกับพี่นันต์สามีของเธอส่วนกิ๊กนั้นก็มีชายหนุ่มแต่งกายชุดสีขาวเดินมาโค้งขอเต้นรำกับเธอ  เธอจึงเดินออกไปเต้นรำกับเขาที่กลางลาน
เพื่อน ๆ ทุกคนมากันพร้อมหน้า  ขาดเพียงหนูนาคนเดียวที่มาร่วมงานไม่ได้  ช่างภาพจับภาพผู้คนในงาน  กล้องหลายตัวจับจ้องไปยังกัญญาและคุณภูริ  ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีนักข่าวแอบปะปนเข้ามาในงานด้วย
..8..
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ				
30 มกราคม 2548 01:34 น.

นวนิยาย:ปางอดีต ( ตอนที่ 3 )

สุชาดา โมรา

จริงเหรอคุณน้ำผึ้งที่คุณมีสัมผัสที่  8  สามารถถอดจิตไปยังอดีตได้  ผมว่ามันวิเศษมาก ๆ เลย  เพราะตัวผมเองเวลาที่หลุดออกไปต้องอาศัยการนั่งสมาธิแต่คุณจู่ ๆ ก็ไปโดยที่ไม่รู้ตัว
	มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ  มันเหมือนกับฝัน  แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คือฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันรู้สึกว่าฉันเห็นคนในอดีตในโลกปัจจุบัน
	เนื้อคู่หรือเปล่า
	คงไม่หรอกค่ะอาจารย์เพราะในอดีตชาติฉันเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของฉัน
	ผมว่านะจิตของคุณอาจจะสื่อถึงกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัวก็เป็นได้ชาติที่แล้วคงจะผูกพันธ์กันมากถึงได้มาเจอกันอีกถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะฝันถึงคุณบ้างนะ  แต่เขาคงไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวว่าคุณหรือใคร ๆ จะหาว่าเขาบ้า
	น้ำผึ้งเดินออกจากมหาวิทยาลัยและกลับมายังบริษัททัวร์ของตัวเอง  สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย
	สวัสดีค่ะ
	ผึ้งเธอรู้ไหมว่าพระเอกของเธอรถคว่ำอาการสาหัสมาก  รีบมาด่วนเลยนะ
	ที่ไหน
	ลพบุรี
	ขอบใจนะส้มฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละ
	ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องรีบไป  แต่ที่รู้ ๆ คือฉันคงนั่งเฉย ๆ รอฟังข่าวของเขาไม่ได้  ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย
	น้ำผึ้งรีบขับรถจากกรุงเทพฯ มายังลพบุรี  เมื่อมาถึงโรงพยาบาล  เธอก็ตรงไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อถามถึงเขา  แต่เธอเจอส้มเสียก่อน
	ผึ้ง!!!!  ทางนี้
	น้ำผึ้งวิ่งตรงมายังส้มทันที  เธอมาถึงหน้าห้องผ่าตัด
	ใครเป็นอะไรเหรอ
	คุณแก้มแฟนของผู้หมวดพระเอกของเธอกำลังเจาะเอาเลือดคั่งในสมองออก  ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด
	แล้วผู้หมวดล่ะ
	อยู่ห้องไอซียู  ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย
	น้ำผึ้งนั่งรอหน้าห้องผ่าตัดอยู่ครู่หนึ่งแพทย์ก็ออกมา
	ใครเป็นญาติของคุณรัศมีครับ
	ผมเองครับ
	ผู้หมวดดำรงพูดขึ้นเขาเป็นพี่ชายของคุณแก้มแฟนสาวของผู้หมวดหนุ่มคนนั้น
	ตอนนี้ต้องรอผลต่อไปนะครับต้องดูกำลังใจของเธอว่าเธอจะอยู่ได้นานแค่ไหนเพราะอาการสาหัสมาก  หมอไม่สามารถบอกได้ว่าเธอจะรอดได้กี่เปอร์เซ็นต์  ตอนนี้ก็ต้องรอดูใจกันไปก่อนนะครับ
	น้ำผึ้งฟังแล้วก็ตกใจ  เธอรีบวิ่งไปยังห้องไอซียูทันทีเพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้หมวดหนุ่ม  เธอจับมือของเขาไว้แล้วก็ร้องไห้  เธอกระซิบข้าง ๆ หูของเขาเบา ๆ แล้วก็หยิบเครื่องรางที่ได้มาจาก  ดร.เกษม  ใส่ที่ข้อมือของเขา  เธอนั่งมองเขาแล้วนึกอยู่ตลอดเวลาว่าต้องไม่เป็นอะไร  ไม่เป็นอะไร
	
	แม่หญิงเจ้าคะแม่หญิง!!!
	น้ำผึ้งแก้วหันมายิ้มแล้วก็ถือพานดอกไม้เดินเข้มาในเขตพระราชฐานชั้นใน  ในขณะที่คุณหลวงบดินทร์นฤนาถยืนมองหล่อนอยู่จนกระทั่งประตูเขตพระราชฐานฝ่ายในปิด
	คุณหลวงมาแอบมองอะไรตรงนี้ขอรับ!!!
	ไม่ได้มองอะไร  แล้วหมวกลอมพอกของข้าอยู่ไหนส่งมาเร็วเดี๋ยวข้าเข้าไปร่วมประชุมไม่ทันเดี๋ยวอ้ายฝรั่งมันก็หลอกเราอีกหรอก
	คุณหลวงบดินทร์นฤนาถสวมหมวกลอมพอกพร้อมกับเสื้อคลุมเดินเข้าไปในท้องพระโรงสมเด็จฯ ท่านรับสั่งให้เขาไปอยู่ดูแลติดตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์คุณหลวงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเอาเสียเลยที่ต้องไปรับใช้ฝรั่งมังค่า  เขาเดินตามหลังเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไป  จากนั้นก็เคี้ยวหมากคำใหญ่ด้วยความโกรธ
	คุณหลวงบดินทร์นฤบาลต้องไปเรียนภาษาฝรั่งกับพวกสอนศาสนาเพื่อนให้รู้เท่าทันฝรั่ง  เขานั่งเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระสั่งอ่านออกเขียนได้
	คุณหลวงคุณหลวงขอรับ
	มีอะไรรึอ้ายมิ่ง
	แม่หญิงน้ำผึ้งแก้วกำลังลงเล่นน้ำกับพระสนมและหม่อมห้ามที่ท่าน้ำหลังวังขอรับ
	เดี๋ยวก็หัวขาดหรอกถ้าใครรู้เข้าต้องแย่แน่ ๆ เลยเอ็งจะให้ข้าไปแอบมองอย่างนั้นรึ
	กระผมขออภัยขอรับ  กระผมเห็นว่าคุณหลวงชอบไปแอบมองแม่หญิงอยู่บ่อย ๆกระผมเห็นท่านมองมาตั้งแต่แม่หญิงยังไม่ตัดจุกเลยนะขอรับ
	อย่าทำเป็นสู่รู้ข้าจะเรียนเอ็งมีอะไรทำก็ไปไป๊!!!
	คุณหลวงบดินทร์นฤนาถดุนายมิ่งบ่าวคนสนิทเสียเสียงเขียว  จากนั้นก็ทำท่าอ่านตำราฝรั่งอย่างตั้งอกตั้งใจ  จนนายมิ่งเดินออกไปจากห้องนานพอควร  คุณหลวงจึงกระโดดออกจากหน้าต่างตึกบ้านหลวงรับราชทูตของเจ้าพระยาวิชาเยนต์แล้วก็เดินหลบออกไปยังท่าน้ำทันทีเพื่อขึ้นเรือเก๋งโดยพายไปชะลอใกล้ ๆ กับที่นางในอาบน้ำกัน  เขาแอบมองเห็นสาว ๆ หลายคนลงเล่นน้ำ  สายตาของเขาสอดส่ายจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
	น้ำผึ้งแก้วอยู่ไหนนะเขานึกอยู่ในใจจนกระทั่งเขาเห็นหล่อนกำลังถูกขัดสีฉวีวรรณด้วยขมิ้น  หลังขาว ๆ ของหล่อน  เนื้อนวลละมุมนละไมน่ากอดยิ่งนัก  รูปร่างบอบบางดูมีทรวดทรงองเอว  หล่อนไม่ต่างจากหม่อมห้ามเท่าไรนักเพราะผิวพรรณของหล่อนสมกับเป็นลูกผู้สืบเชื้อสายมาจากวังเดิม  หล่อนมีเชื้อสายสุโขทัยแห่งราชวงศ์พระร่วงเจ้า
	คุณหลวงบดินทร์นฤนาถแอบมองหล่อนอยู่นานจนหระทั่งเหลือบไปเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายในหรือคุณท้าวจันทร์แก้วยืนจ้องมองมายังเรือเก๋ง  เขาจึงรีบพายเรือกลับไปเก็บยังท่าทันที
	สาว ๆ นางในแตกตื่นเมื่อคุณท้าวจันทร์แก้วตะโกนว่ามีคนแอบมอง  เหล่าทหารมากมายรีบตามจับผู้ที่ล่วงละเมิดเขตหวงห้ามแต่ก็ไม่พบ  พวกเขาพบแต่เรือเก๋งที่จอดอยู่ที่ท่าน้ำของเจ้าพระยาวิชาเยนต์หลายลำก็เท่านั้น  เมื่อมีคนเข้ามายังตึกรับรองก็พบคุณหลวงบดินทร์นฤนาถนั่งอ่านหนังสืออยู่  ทุกคนจึงไม่กล้าไต่ถามอะไร  แล้วก็กลับไปในที่สุด
	เฮ้อ!!!! โล่งอกไปทีโชคดีนะที่พายเรือกลับมาทันเวลาพอดีคุณหลวงนึก  ใจของเขาเต้นรัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวความผิด  เขาสงสัยอยู่ว่าคุณท้าวจันทร์แก้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาแอบมองหรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนกระทำแบบนี้แล้ว
	คุณหลวงตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไปยังพระราชวัง  เขาเห็นสาว ๆ นางในหลายคนตื่นเต้นดีใจกับน้ำพลุที่ผุดขึ้นจากสระน้ำ  เขาจึงเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็นน้ำอะไรที่โผล่ขึ้นมาจากสระเหมือนกัน
	อุ๊ย!!!!
	น้ำผึ้งแก้ว!!!!
	คุณหลวงเดินชนน้ำผึ้งแก้ว  เขาเกือบจำหล่อนไม่ได้เพราะหล่อนดูเป็นสาวได้รวดเร็วเหลือเกิน  ผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง  กลิ่นน้ำอบจันทร์หอมรัญจวนไปหมด  หล่อนคงปรุงน้ำหอมขึ้นมาใช้เองได้แล้วตามตำรับชาววัง
	ขออภัยเจ้าค่าคุณหลวงบดินทร์นฤนาถ!!!!
	หล่อนก้มหน้าก้มตาขอโทษ  เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณหลวงยืนยิ้มอยู่  หล่อนถึงกับเรียกชื่อด้วยความตกใจ
	ดูอะไรรึเจ้า
	ดูน้ำผุดจากสระเจ้าค่า
	ฝรั่งเขาเรียกว่าน้ำพลุเจ้าเคยได้ยินหรือไม่
	หล่อนส่ายหน้า  คุณหลวงจึงคุยให้ฟังหลายเรื่อง  จนเจ้าพระยาวิชาเยนต์เดินเข้ามาอธิบายเรื่องน้ำพลุให้หล่อนฟัง  หล่อนทำท่าเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพระยาวิชาเยนต์พูดมากกว่าที่คุณหลวงพูดให้ฟังเสียอีก
	พี่ต้องไปหอพระก่อนนะพรุ่งนี้เจ้าว่างรึไม่
	อิฉันต้องกลับบ้านเจ้าค่าพอมีเวลาว่างบ้างมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ
	เจอกันที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนะเจ้าพี่จะพาเจ้าไปกราบพระ
	หล่อนยิ้มอย่างอาย ๆ แล้วก็เดินไปกับนางในที่มาด้วยกันในบรรดานางในทั้งหมดน้ำผึ้งแก้วเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่งดงาม  และเป็นคนที่งามที่สุดงามยิ่งกว่าหม่อมห้ามหลายองค์เสียด้วย จนทำให้คุณหลวงรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเจ้าของวังจะเห็นดอกไม้ในสวนเขาจึงพูดกับเจ้าพระยาวิชาเยนต์เรื่องการสู่ขอนาง
	เอาเถอะเราจะช่วยท่าน  แต่ท่านอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ล่ะ
	คุณหลวงบดินทร์นฤนาถมารอน้ำผึ้งแก้วที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุแต่เช้า  เมื่อหล่อนมาถึง  คุณหลวงก็จับมือจูงหล่อนเข้าไปในวัดทันที  หล่อนสะบัดมือออกแล้วก็เดินนำหน้าคุณหลวงไป  เมื่อก้มลงกราบพระคุณหลวงก็อธิฐานให้หล่อนได้ยินทันที
	พี่สาบานว่าจะไม่รักใครนอกจากแม่
	น้ำผึ้งแก้วขยับหลบเพราะกลัวว่าใครจะครหา  คุณหลวงก็ขยับตาม
	เจ้าจักเชื่อพี่หรือไม่
	อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกไม่อย่างนั้นอิฉันจะฟ้องเจ้าคุณย่าว่าคุณหลวงพูดจาลวนลามอิฉัน
	พี่ไม่ได้ลวนลามเจ้าดอกพี่เพียงแต่พูดไปตามที่ใจปรารถนาเท่านั้นเองพี่จะไปสู่ขอเจ้าให้เป็นหน้าเป็นตา
	อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกเลย  หากคุณหลวงยังเห็นว่าอิฉันเป็นหลานถ้าหากพูดอีกอิฉันจะไม่เกรงใจ  อิฉันจะทูลฟ้องเสด็จฯ ท่าน  พระองค์คงกริ้วถ้าหากรู้ว่าคุณหลวงพูดจาหยาบหยามกับนางห้ามตำหนักในที่วัดเยี่ยงนี้
	พี่ให้คำสัจจริงว่าพี่จะรักเจ้าทุกชาติ ๆ ไปนี่กำไลของพี่  พี่ไปขอหลวงพ่อมาเพื่อเจ้า  พี่นั่งถักร้อยกำไลด้วยตัวเองเชียวนะ  พี่ให้เจ้าไว้ป้องกันภัย
	หล่อนไหว้แล้วก็รับมา  คุณหลวงจึงใส่กำไลให้หล่อนทันที
	กำไลนี้มีอานุภาพยิ่ง  เขาว่ากันว่ากำไลนี้จะทำให้คนรักกันจำกันได้  ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนชาติไหนก็จะตามไปพบเจอ
	กำไลสวยนะเจ้าคะจริงหรือที่พูด
	จริงสิ
	อิฉันจะรอคุณหลวงมาสู่ขอเจ้าค่า
	คุณหลวงบดินทร์นฤบาลถึงกับยิ้มหน้าบานทันที  เขารีบกราบพระและเดินตามหล่อนออกไปนอกโบสถ์  เขาพาหล่อนชมบริเวณวัดจนสายจากนั้นก็ให้บ่าวพายเรือไปส่งหล่อนถึงบ้าน  เขาเข้าไปคุยกับเจ้าคุณย่าอยู่หลายเรื่อง  จากนั้นก็ลากลับไป
3.
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ				
30 มกราคม 2548 01:29 น.

นวนิยาย:ดาวประดับรัก ( ตอนที่ 33 )

สุชาดา โมรา

การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษษเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด 

การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพื่อสื่อไปยังผู้รับได้อย่างกว้างไกล นอกจากนั้นการเขียนยังมีคุณค่าในการบันทึกเป็นข้อมูลหลักฐานให้ศึกษาได้ยาวนาน 
จุดประสงค์ของการเขียน 

การเขียนทั่วไปมีจุดประสงค์ดังนี้
01. เพื่อบอกเล่าเรื่องราว เช่น เหตุการณ์ ประสบการณ์ ประวัติ ฯลฯ 

02. เพื่ออธิบายความหรือคำ เช่น การออกกำลังกาย การทำอาหาร คำนิยามต่างๆ ฯลฯ 

03. เพื่อโฆษณาจูงใจ เช่น โฆษณาสินค้า ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ 

04. เพื่อปลุกใจ เช่น บทความ สารคดี เพลงปลุกใจ ฯลฯ 

05. เพื่อแสดงความคิดเห็น 

06. เพื่อสร้างจินตนาการ เช่น เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ฯลฯ 

07. เพื่อล้อเลียน เช่น บทความการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ 

08. เพื่อประกาศแจ้งให้ทราบ เช่น ประกาศของทางราชการ ประกาศรับสมัครงาน ฯลฯ 

09. เพื่อวิเคราะห์ เช่น การเขียนวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง วิเคราะห์วรรณกรรม ฯลฯ 

10. เพื่อวิจารณ์ เช่น วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิจารณ์ภาพยนตร์ วิจารณ์หนังสือ ฯลฯ 

11. เพื่อเสนอข่าวสารและเหตุการณ์ที่น่าสนใจ 

12. เพื่อกิจธุระต่างๆ เช่น จดหมาย ธนาณัติ การกรอกแบบรายการ ฯลฯ 

จุดประสงค์ของการเขียนคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องคำนึงว่า ในการเขียนงานเขียนแต่ละครั้งนั้นต้องการเขียนเพื่อสื่อเรื่องใด โดยผู้เขียนต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งหลักการเขียนประกอบการเขียน เพื่อให้การเขียนเพื่อการสื่อสารนั้นๆบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 

. 

หลักการเขียน 

เนื่องจากหลักการเขียนเป็นทักษะที่ต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ และป้องกันความผิดพลาด ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องใช้หลักในการเขียน ดังต่อไปนี้ 

1. มีความถูกต้อง คือ ข้อมูลถูกต้อง ใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ 

2. มีความชัดเจน คือ ใช้คำที่มีความหมายชัดเจน รวมถึงประโยคและถ้อยคำสำนวน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงตามจุดประสงค์ 

3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำธรรมดาเข้าใจง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้ได้ใจความชัดเจน กระชับ ไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย 

4. มีความประทับใจ โดยการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ อารมณ์และความรู้สึกประทับใจ มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ชวนติดตามให้อ่าน 

5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตทั้งสำนวนภาษาและลักษณะเนื้อหา อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน 

6. มีความรับผิดชอบ คือ ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล มุ่งให้เกิดความรู้และทัศนคติอันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
นอกจากหลักการเขียนที่จำเป็นต่อการเขียนแล้ว สิ่งที่มีความจำเป็นอีกประการหนึ่งคือกระบวกการคิดกับกระบวนการเขียนที่จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพื่อที่จะทำให้สามารถเขียนได้ดียิ่งขึ้น 

. 

กระบวนการคิดกับกระบวนการเขียน 

กระบวนการเคิดกับกระบวนการเขียนนั้นมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากการเขียนงานเขียนทุกประเภทต้องใช้ความคิด ต้องสร้างสรรค์ วิเคราะห์ กลั่นกรอง เรียบเรียงให้ดีเสียก่อน แล้วจึงลงมือเขียน อันจะทำให้การเขียนนั้นๆสำเร็จลงด้วยดี 

กระบวนการคิด 

1. คิดให้ตรงจุด หมายถึง คิดถึงจุดประสงค์ที่สำคัญเพียงจุดเดียว โดยการคิดให้อยู่ในวงจำกัด การคิดให้ตรงจุดมีดังนี้
..........1) คิดในหัวข้อที่จำกัด ไม่กว้างเกินไป จำกัดขอบเขตของเนื้อหาให้ชัดเจน
..........2) คิดเฉพาะสิ่งที่รู้ เพราะจะทำให้คิดได้ดี คิดอย่างชำนาญ มีประสิทธิภาพ 

2. คิดให้เป็นระเบียบ หมายถึง การจัดลำดับความคิด มีดังนี้
..........1) จัดลำดับเรื่องราว คือ การจัดลำดับว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อนเกิดหลัง
..........2) จัดลำดับสถานที่ คือ เขียนรายละเอียดของสถานที่ให้ตรงตามความเป็นจริง ไม่วกไปวนมา
..........3) จัดลำดับตามเหตุผล คือ มีเหตุแล้วต้องมีผลตามมา หรือการกล่าวว่าผลที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด 

3. คิดให้กระชับและชัดเจน คือ ต้องมีความคิดหลักเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับประเด็นได้ และความคิดนั้นต้องสามารถทำให้ผู้อ่านสื่อได้ตรงกับความคิดของผู้เขียน โดยไม่สับสน เช่น ผู้เขียนต้องการเสนอความคิดเกี่ยวกับคุณค่าของการประหยัด ต้องทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วเห็นคุณค่าของการประหยัดอย่างแท้จริง โดยไม่เห็นแตกต่างออกไป 

นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้เขียนต้องคำนึงถึงเสมอก่อนจะลงมือเขียนเรื่องใด ก็คือ มารยาทในการเขียน เนื่องจากงานเขียนบางประเภท หรือบางเรื่องอาจก่อให้เกิดความเสียหายในอนาคตได้ ฉะน้น เพื่อป้องกันความเนียหายที่จะเกิดขึ้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องเขียนอย่างมีมารยาท ดังนี้ 

มารยาทในการเขียน 

1. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพราะอาจเกิดความผิดพลาด หากจะเขียนก็ควรศึกษาค้นคว้าให้เกิดความพร้อมเสียก่อน 

2. ไม่เขียนเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือสถาบันเบื้องสูง 

3. ไม่เขียนเพื่อมุ่งเน้นทำลายผู้อื่น หรือเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตน พวกพ้องตน 

4. ไม่เขียนโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นบรรทัดฐาน 

5. ต้องบอกแหล่งที่มาของข้อมูลเดิมเสมอ เพื่อให้เกียรติเจ้าของข้อมูลนั้นๆ 

6. ไม่คัดลอกบทความหรือเนื้อหาตอนใดตอนหนึ่งมาโดยเจ้าของเรื่องไม่อนุญาต				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา