21 มกราคม 2548 18:10 น.
สิปราง
อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
กุหลาบกำซาบกลิ่น ดั่งรสรินฤดีเคียง
หวานชื่นรื่นสำเนียง เสนาะไซร้ฤทัยครอง
พุดซ้อนที่ซ่อนรัก ช่างยากนักหักใจปอง
กลีบรสหากทดลอง ก็ยากลี้ ณ ที่ใด
เอื้องเอยเมื่อเชยดอก เผยหอมออกยากบอกใคร
ขจรระรินไกล ภมรซาบเยื้องกรายรุม
เจ้าโสกโยกระย้า สีแดงจ้ามาลาคลุม
อย่าเศร้า ณ เจ้าพุ่ม จรจะมุ่งละมุนมาลย์
ชงโคช่างโก้สม น่าภิรมย์ด้วยวงศ์วาน
เด่นดวงละออการ ผลิแย้มยิ่งมิ่งอำไพ
จำปีนี้ผ่องแผ้ว รำเพยแถวทั่วแนวไพร
ไล้ลี้พิรี้ไร งามพร้อมกลิ่นประทินชม
ไก่แก้วพิศสกาว ช่อพะพราวแฉล้มพรม
ขาวผ่องป้องภิรมย์ อย่าหมายล่วงพิสุทธิ์อร
เข็มสร้อยช่างช้อยช่อ เก็บกิ่งก่อรอภมร
พวงพรรณบั่นจากจร ถนอมยิ่งมิทิ้งไกล
หางหงส์ทั่วดงถิ่น ขจรสิ้นทั้งพงไพร
เกลื่อนกล่นละมุนไม ผกาแย้มจรุงลาน
ดาหลาทรงวิลาส อุปมาสเกษมพาน
งามล้ำจำรัสจาร อนึ่งดวงเลิศรตี
ดอกดินมิสิ้นสูญ กิจอังกูรปฐพี
ไหวช่อล้อวารี ให้โปรยพร่าง ณ แดนทอง
อุบลมงคลหล้า สิวันทาสถาผอง
ประทุมเศวตครอง พร้อมถวายพระสัมมา
**********************
19 มกราคม 2548 18:30 น.
สิปราง
๑.
รัศมีฉายส่องทั่วท้องหล้า
ประมวลมาสร้างเสริมเติมประสาน
กอปรก่อเนื่องเรื่องวิถีมีมานาน
ถ้วนทั่วตามสรรพสิ่งอิงสุรีย์
๒.
กางปีกกล้าถลาแล่นแดนผาสุก
ร่อนอกรุกดุจกินนรจรสุขี
แจ่มใสเสียงสำเนียงแว่วแววอารี
ประหนึ่งศรีลาวัลย์มาพันทอง
ปีกหางงามสะอ้านอาดบาดดวงเนตร
รจเรขนับเป็นหนึ่งไม่พึงสอง
ทั้งสรีร์ดั่งกนกครอบปรกครอง
รูปทิพย์รองเรืองเพริศประเสริฐอัน
๓.
พนาไพรใหญ่น้อยคอยวิหก
กลางเขตปกสิขรอ้อนสวรรค์
ปีกแห่งผืนพฤกษ์ไพรในนิรันดร์
สถานอันจรรโลงหล้าหากล่อมพงศ์
ฤามีเพียงถิ่นฟ้าอาภาอาสน์
พิมานพาดห่อนหมายจะกลายหลง
สืบสร้างกองบุญญาศรัทธาคง
จะดำรงถึงถิ่นกลิ่นวิมาน
หวังซึ่งเพียงปีกเสรีปีติสม
สังวรลมพรมร่างให้พร่างขาน
เผยปีกรับแสงสุรีย์นี้ชั่วกาล
ฤาเทียบทานเสมออิ่มนั้นปริ่มพรหม
--------------------------------
18 มกราคม 2548 15:48 น.
สิปราง
ฉบัง กาพย์ ๑๖
๑. พะพลิ้วแผ่วแว่ววะวาบ ทอรุ้งแสงอาบ
หยาดทิพย์พร่างพราววาวใส
๒. ลำแสงน้อยค่อยโยงใย อาบฟ้าคราใหม่
ฉายจ้าโรจน์รุ่งรองเรือง
๓. อาทิตย์สถิตบรรเทือง สว่างยามเนือง
บันดาลทิพาราตรี
๔. สืบต่อเลอล้ำพันปี ธำรงส่งศรี
วัฏตะเวียนวนจำรูญ
๕. เหนือโลกสืบสร้างอาดูร ปีติวิญญูร
ฤาละกิเลสร้างลา
๖. มีเพียงรูปกายวิญญา ชดใช้กรรมา
ตราบเมื่อนิพพานประจน
***********************
17 มกราคม 2548 13:43 น.
สิปราง
สาลินี ฉันท์ ๑๑
หนาวเนื้อที่แม่ครอง ยากจะป้องหรือปกกาย
ฤดูที่พร่างพราย หยาดหยดวับระยับเมือง
ไม่เว้นแม้ข้างใน ที่หวนไห้กระไรเนือง
สุขไหนไม่ประเทือง ประทานโศกประสบจินต์
ระบายเป็นภาษา ปนน้ำตาและราคิน
หวังเพียงให้ยลยิน สดับบ้างนะคนทันธ์
รับช้ำมาเพียงไหน กลับคืนไปไม่นานวัน
วิโยครับโศกพลัน ประหัตเหตุกิเลสคืน
เริดร้างในวิถี ตราบภพตรีมิเคียงยืน
อยู่ไกลคนละผืน ณ แผ่นฟ้าชั่วราตรี
จำรัสเป็นลายลักษณ์ มั่นสลักยิ่งวจี
จารไว้ในฤดี ปรภพไม่สบตา
เพราะรักที่เสื่อมสูญ สิ้นจำรูญก็ไคลคลา
เปรียบพจน์ที่ลมพา ก็พัดพลิ้วละลิ่วจาง
เหือดห่างมล้างเหตุ ด้วยอาเพสที่ใจลาง
สั่นไหวไปทุกนาง เมื่อได้สบพบอินทรีย์
แดนไหนไม่พบสุข พบเพียงทุกข์ชั่วชีวี
หวังพึ่ง ณ มุนี ยากขจัดวิบากเบียน
แม้นมีสักร้อยรัก บังเกิดมักก็จุณเจียร
หวังแสงแห่งวิเชียร กลับร้อนเร่าเพราะไฟรุม
ทุกทิศก็กิจร้อน ณ โศกย้อนกระไรคลุม
กอบกรรมเข้าหลายขุม มละร่างจึงวางวาย.
----------------------------------------------------------------
10 มกราคม 2548 12:44 น.
สิปราง
ขวัญเอย...ขวัญเจ้า
ไปโลมเล้า...เย้าหยอก...ณ ที่ไหน
รีบกลับมา...เพื่อสร้างขวัญ...กำลังใจ
ให้ขวัญไซร้...ขวัญชีวี...ที่เฝ้าคอย
ขวัญเอย...ขวัญหล้า
ข้าตั้งตา...หาเจ้า...เว้าสุดสอย
หรืออยู่สูง...เกินเอื้อม...จึงเลื่อนลอย
หรือเจ้ากลอย...พรั่นพรึง...ถึงได้ลา
ขวัญเอย...ขวัญเนา
รีบกลับเข้า...คืนถิ่น...ถวิลหา
รู้บ้างไหม...ใครห่วง...นะดวงดา
จากวิญญา...แทบขาด...เหมือนบาดทรวง
ขวัญเอย...ขวัญโศก
วิปโยค...เจ้าหวั่น...ถึงชั้นสรวง
จึงหลุดลอย...ถอยห่าง...ลาร้างทรวง
โอ้พุ่มพวง...มิห่วง...บ้างหรือไร
ขวัญเอย...ขวัญเลิศ
กลับมาเถิด...สมดั่งจิต...คิดมุ่งหมาย
ขอวอนฤกษ์...เบิกทาง...สราญกาย
ให้หมดร้าย...ที่กลายกล้ำ...ทำช้ำทรวง
-------------------------------------------------------