16 พฤศจิกายน 2547 18:41 น.
สิปราง
๑.
อึกทึกครึกโครมตระโบมลั่น
แรงป่วนปั่นสนั่นเสียงสำเนียงสาน
สะเทือนซ้ำย้ำเติมเหิมอีกนาน
ตราบชั่วกาลผ่านวันหวั่นหวาดแปลง
พายุลมบ่มชิวที่ปลิวผลัด
สั่นสาดซัดพัดพรำกี่กรำแสง
ตั้งประเด็นเย็นเยียบแล้วเฉียบแรง
อาจกำแหงแกร่งกล้าท้าสิทธิ์ตน
ผ่านร้อนหนาวคราวล้าธาราเรื่อย
ปรับไหลเอื่อยเฉี่อยฉิวละลิ่วฝน
มิเหน็ดหน่ายบ่ายหนีวิถีคน
เปลี่ยนแปลงปนวนกลับรับเสรี
๒.
สรรเสาะตามความเงียบเปรียบก่อนหล้า
ผ่องผุดพาน่าชื่นรื่นฉวี
รุ้งทอดผ่านธารละไมในชีวี
งามฤดีเอื้ออวลอุ่นละมุนลม
ล่องใบไหลใสชื่นผืนแผ่นงาม
ณ เขตคามตามช่องล่องเหมาะสม
ดุจคันฉ่องส่องหล้าช่างน่าชม
ผุดความเงียบที่ซ่อนจมเพราะลมพา
๓.
ณ แดนใดใต้เหนือเจือความฝัน
หากลมพลันปั่นร้ายมาดหมายหนา
ถ่ายทอดผ่านธารสายปลายวาจา
กลับต้องหมองครองน้ำตาด้วยว่าลม
-----------------------*****---------------------------
4 พฤศจิกายน 2547 21:36 น.
สิปราง
๏ ลมเอย...ลมลวง
พัดเลย...ลาล่วง...อย่าห่วงขาม
ลาแล้ว...ลาไกล...ใช่ติดตาม
ดั่งนิยาม...ลมพัด...ไม่ลัดทวน
๏ โบกเอย...โบกพลิ้ว
โชยผ่าน...แล่นฉิว...อย่าปลิวหวน
ณ จุดเริ่ม...ตรงนี้...ที่เรรวน
เมื่อไต่ถ้วน...จงตัด...เพื่อวัดใจ
๏ ไหลเอย...ไหลล่อง
กัดเซาะ...เลาะช่อง...ผ่านห้องไหน
วันแล้ว...วันเล่า...เฝ้าถามใจ
ผ่านแมกไม้...น้อยใหญ่...ในสายธาร
๏ แตกเอย...แตกร้าว
หินผา...แข็งกร้าว...ยังร้าวฐาน
ลมเอย...น้ำเอย...เมื่อเลยกาล
เป็นพยาน...ในหล้า...คราลบเลือน
๏ ใจเอย...ใจช้ำ
บาดแผล...ถูกย้ำ...จึงช้ำเหมือน
ลมบาด...น้ำเซาะ...ย่างเยาะเยือน
ตราบชั่วเดือน...เกินหยั่ง...หมดทั้งใจ