8 กุมภาพันธ์ 2549 20:10 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ
................
แผลเก่าฤาแผลใหม่ในใจขวัญ
คือแปรผันดั่งรอยไถไร้ชีพชื่น
ทุกคืนวันแว่วเสียงขลุ่ยมิย้อนคืน
เฝ้าสะอื้นรอรักเก่าเรา..ที่เดิม...
วันแห่งรักแล้วไยเล่าเฝ้ากำสรวล
ใจนวลนวลเหมือนเปลี่ยวร้างกับเศร้าเพิ่ม
รอนกน้อยคล้อยหลงรังเคยต่อเติม
เหมือนทุกข์เพิ่มเหมือนไร้หวังสิ้นพลังรัก
เคลียหมอนนิ่มริมแก้มฟังแสนแสบ
อกก็แปลบใจก็ปลาบสิ้นไร้ภักดิ์
หัวใจเอยไยชาเฉยไม่อยากรัก
ใช่อกหักเพียงมันว่างณ..กลางใจ
ไม่มีใครไม่มีรักไม่มีรอ
ไม่วอนขอไม่อ้อนใครไม่หวามไหว
ไม่มีแล้วไม่มีแก้วเสน่หาณ..กลางใจ
ไม่มีใครในเส้นทางอ้างว้างลา
เส้นแห่งชีวีขนานใช่แอบชิด
คนละทิศคนละทางแสนเหว่ว้า
คืนของอ้ายรอสว่างพร่างพรายกับกาลเวลา
คืนของสาวนารอท่า..ฟ้ามืดมิด
จูบลั่นทมห่มผ้านอนนิทราฝัน
ไม่เอื้อมจันทร์ไม่คว้าดาวหนาวชีวิต
มีเพียงเงามายาคว้าลมลวงบ่วงลิขิต
มีเพียงสิทธิ์นับวันลา...อย่าได้พบ...
จบด้วยลืม...ลืม และลืม...ละคอนลม..
............................
ดูหนัง..*แผลเก่า*
ฟังแสนแสบ บรรเลง
ด้วยดวงใจว่างเปล่า ในคืนเหงางามเงียบงัน
ราตรียังคงหมุนมา
ทิวายังคงหมุนไป
ใครใครมีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มเติมมากับกาลเวลา
กับการรอท่า ความสนุกเร้าใจในชีวิต
ทิ้งทอด
ให้คนชิดใกล้ หนาวเหน็บดวงใจดายเดียว...
ในวันแห่งความรัก...
ละคอนลมลวง..
ควงพลิ้วระบัด*เช่นกังหัน*
ที่พัดผ่านคืนวัน
แล้ว
รอยรักรอยคำมั่นสัญญาใจ..
ก็...
แปรไป ก็แปรใจ *ดั่งรอยไถแปร..*เช่นเฉกกัน..
คนดี..
รอยแผลเก่า..
รอยแผลใหม่...
และ..
รอยแผลใจสุดท้าย
คงฝังฝากไว้ในกายสาวนา
ไว้..
กับผืนหล้า..นาเดิมนาดิน
กับถิ่น...กลิ่นโคลนสาบควาย
กับ
ร่างไร้ สิ้นแล้ว...หวานใด..หวานใจ..
...................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ
อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ
เจ็บจำดังหนามยอกแปลบ แปลบ
แสบแสนจะทน
โอ้ว่ากังหัน ทุกวันมันพัดสะบัดวน
อยากจะรู้จิตคน จะหมุนกี่หนต่อวัน
ย่างเดือนสิบสอง ฟากคลองเจิ่งนองน้ำหลั่ง
อยู่ไกลกันคนละฝั่ง ฝั่ง ยังร้องสั่งกัน
สิ้นเดือนสิบสอง น้ำนองแห้งคลองขอดพลัน
สิ้นความรักจากกัน
เหมือนกังหันเปลี่ยนทางลม
แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง
นี่คือโลงทองของเรียม ขวัญ เขาฝากชีพจม
แต่คลองยังช้ำ เหลือไว้แต่น้ำขุ่นตม
พี่จึงช้ำจึงช้ำขื่นขม ขม ตรมเสียกว่าคลอง
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน...
5 กุมภาพันธ์ 2549 10:32 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html
(ขวัญเรียม)
สาวนาไม่สบายมาหลายวันแล้ว
ได้แต่นอนซุกตัวในกระท่อมไพรกว้าง
อย่างดายเดียว
ยามราตรี..แหวกม่านมุ้ง
มองออกไปหาดาวประจำเมืองประจำใจ
แต่ทำไมแสงเรืองๆจึงดูริบหรี่ๆเสียเหลือเกิน
สาวนา..
ได้กลิ่นไม้ผลิใหม่ในราวป่าหอมอวลมา
กับสายลมอ่อนๆที่พัดพลิ้ว
พาให้หัวใจสาวนาลิ่วลอยราวกับได้ยินเสียงสายฝนชัดช่า
ที่สาวนาหลงรอท่า ที่พรากลาไปนานวัน
ให้หวนกลับมาชะล้างหลังคากระท่อม
และรอยหมองในดวงใจสาวนา
เสียงกระรอก
วิ่งไล่กันบนกิ่งไผ่ไหวเอนลู่ริมหนองน้ำบึงบัว
กลิ่นกองไฟคงใกล้มอดมัวดับ
มีเพียงควันคุกรุ่นลอยคว้างเป็นวงหายลับ
ไปกับท้องฟ้ายามสลัวมืดค่ำ
เจ้าสายน้ำและลาแล้ง
คงเบิ่งตารอท่าสาวนา
ไย..ไม่มาจูบโหนกหนอกบอกรักเหมือนเช่นเคย
เป็นค่ำคืนที่มืดมิดและแสนเย็นเยียบในดวงใจ
แสนแปลกใจที่สาวนาได้ยินเสียงนกฮูกร้องครางครวญ
ราวร่วมรับรู้อาการไข้ไม่สบายของสาวนา
สาวนาหลับๆตื่นๆในท่ามเตียงนอนนวลนุ่ม
หอมหอมผ้าห่มอ่อนอุ่นที่คลี่คลุมราวกับได้กลิ่นดวงดอกแดด
ในนิทรา..
สาวนาผวาละเมอ..
ฝันเห็น*ข้าวโพด*แตกยอดอวบอิ่ม*
ด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา
และ..
ไม่นานช้า ฝักข้าวโพดหวานก็ผลิละออไปทุกต้นสูงใหญ่
สาวนาดีใจ
ที่จะได้มีข้าวโพดฝักใหญ่ทำขนมหรือไม่ก็ต้มสุกแล้ว
นำไปถวายหลวงพ่อที่วัด
กับได้แจกไปตามบ้านเพื่อนญาติมิตรสนิทกัน
ให้ได้ทดลองชิมพันธุ์ใหม่
ที่แสนหวานมันส์อร่อยเป็นที่สุด.
หัวใจดวงซื่อใสหยุดละเมอเพ้อไข้
ด้วยรอยยิ้มหยาดน้ำตา
เมื่อ
ในท่ามนิทราฝันนั้น
พลันเห็นอ้ายพายพาเรือแจวไปตามบึงบัว
ในท่ามม่านฟ้าสลัวงามราวเรียวรุ้ง
พุ่งไปตามบึงพราวที่มีบัวดอกแดงนับพันพร่าง
ที่มี
สาวนานั่งราวแม่ย่านางกลางลำเรือ
ยิ้มแย้มยิ้ม ตาสบตาอิ่มเอม ไร้คำพูดใด
หากทำไมสายน้ำตา
สาวนาจึงไม่หยุดไหล
ราวปิติใจจนถึงยามตื่นอย่างชื่นฉ่ำทรวงเป็นที่สุด
ราวกับ
*เป็นความจริงเสียยิ่งกว่าจริง*
ทั้งๆที่..
เมื่อลืมตาตื่นมา..
ฝันนั้น..
ก็สลายลา..ลางเลือนไป..ราวกับม่านหมอกในยามเช้า..
ให้แสนเหน็บหนาวใจ...
เมื่อ..
ควานคว้าข้างกาย..ฤาจะมีร่างอ้ายเคียง ก็หาไม่...!
แล้ว..
ราตรีกับอาการไข้ร้อนๆหนาวๆ..ก็จางคลาย.
สาวนาตื่นมากับกลิ่นโคลนสาบควายระรวยริน
กับไออุ่นกลิ่นดินหอมละมุนรับอรุณใหม่อีกครา
กับ..
อวลอากาศแสนสดชื่นแจ่มใส
กับใจดวงที่ยังต้องดำเนินต่อไปตามวิถีไพรวิถีนา..
กับฟ้าดิน
ที่ยังคงมีพระเมตตา
ให้สาวนาได้ดำรงร่างเพียงเพื่อ.
ทำหน้าที่ต่อไปให้อย่างดีที่สุด
ก่อน..
ที่จะซุกซบจบชีพพลี..ลงบนพื้นหล้าใต้ฟ้ากว้างนี้
อย่าง..
แสนเหว่ว้าอ้างว้าง อย่างดายเดียว.ไร้ทุกข์ทนอีกต่อไป..
......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ ของเรียม
หวนคิดผิดแล้วขมขื่น ฝืน ใจเจียม
เคยโลมเรียม เลียบฝั่ง มาแต่หลัง ยังจำ
คำ ที่ขวัญเคยพรอดเคยพร่ำ
ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่
แว่ว แว่ว แจ้ว หู ว่าขวัญชู้ เจ้ายังคอย
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม.
เขียวเขาเขียวข้าวเขียวผัก
คืออาณัติธรรมอันยิ่งใหญ่
คำจุนหมุนโลกเอื้อวัย
สัจจะสอนใจพึ่งพา
เขียวทุ่งปรุงทิพย์รอยไถ
เหงื่อไคลสาบควายกลายกล้า
กลิ่นโคลน คน หลอมปนพสุธา
แปรมาเป็นรวงระย้าสีทอง
เคลียตาเคลียใจพุ่มกระถิน
มิมีวันสิ้นมนต์ลอยล่อง
หอมเกินใดบริสุทธิ์ใสตามครรลอง
นาทองนาไทยใจไม่จน
บัวบานตระการเหนือหนอง
รับสายทองสอนธรรมทุกหน
ขมิ้นข่าตะไคร้เคียงกระท่อมทุกตำบล
คู่คนคู่ครัวเคียงนา
หอมข้าวใหม่รับอรุณแรก
มะลิอวลแทรกกลิ่นน้ำค้างกลางพรรษา
สู่อุโบสถถือศีลสมาธิภาวนา
หิ้วตะกร้าลายงามดอกพิกุล
น้ำพริกมะเขือแฟงแตงร้าน
ทอดย่านโอบยอดทุกทิวาหมุน
ทุกข์ทนจนยากฝากอิ่มอุ่น
กี่รุ่นกี่กาลผ่านมา
เตาถ่านปะทุหม้อดินน้ำข้าว
ไผ่หลาวเป่าไฟในอุษา
ข้าวหอมเดือดแดงสร้างไทมา
คือปุจฉาดิบเดิมสัจจธรรม
เขียวข้าวกลายสีเป็นเลือด
หวังมิเหือดแห้งวิถีรินร่ำ
เกษตรทฤษฎีใหม่น้อมนำ
ไทยทำไทรักผืนดิน
ยอดสะเดาขมนักใช่ผักหวาน
บุราณนำมาสอนใจมิรู้สิ้น
ยามรักน้ำต้มผักหวานฉ่ำพร่ำระริน
แค่ลมลิ้นลมลวงบ่วงทุกข์พันธนา
ไร้เขียวไร้ข้าวรับทุกข์
น้ำตาลสุกไหม้ลามเหว่ว้า
ผืนดินแตกระแหงกัปป์กาลเวลา
ปรารถนาใดเล่าเท่าอิ่มท้อง
มิสายไปหากมิใจดวงพิสุทธิ์
อย่ารู้หยุดสืบตำนานไททั้งผอง
ข้าวในนาปลาในน้ำตามครรลอง
ทรัพย์เนืองนองยังรอท่าอย่าล้าใจ
กราบบูชาดินน้ำฟ้าแม่พระโพสพ
รู้สยบกินกามเกียรติสร้างจิตใส
รู้พอดีพอเพียงสมถะใจ
คือยิ่งใหญ่เกินค่าทุนนิยมระทมทุกข์
หวังแผ่นดินสิ้นทุกข์วิปโยค
รังสรรค์โลกวิถีงามสงบสุข
หันกลับมองธรรมชาติสอนธรรมมวลมนุษย์
คือ*วิมุตติมาลี*รอคลี่บานประดับใจ..
(ทุกดวงใจไทยสุวรรณภูมิพุทธิ์)