4 พฤศจิกายน 2547 09:22 น.
สาวบ้านนา
Url http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=30
(คลอรวงคือรัก)
************************
สาวนาตื่นมายามฟ้าสาง
พระจันทร์ยังค้างฟ้า
ดูสุกปลั่ง
ดาวประจำเมืองยังเรืองรุ่งประดับฟ้ายามอรุณ
สาวนาตื่นมากับละมุนใจในนิมิตรมหัศจรรย์
ในสายฝันเกษม..
ราวสายรุ้งพร่างรัศมีทรงกลดแวววาว
วาดวงเวิ้งงามในดวงจิต
ดั่งดวงแก้วนิรมิตกระจ่างใจ
สว่างไสวพรายพร่าง
จนถึงนะบัดนี้..
ที่ยังคงตราอยู่ในพิมพ์จิตราวนิมิตรฝันนั้นจริง
ที่ช่างแสนงามงด
ที่มิปรากฎว่า
เป็นแดนดินใดไหนเล่า
ที่ราวไม่มีทิวาวัน
มีเพียงพยับหมอก
เป็นช่อชั้นราววิมานแมนวิมานเมือง
ที่มี
สายแสงพรายพระจันทร์มากมายหลายดวงฉายฉาน
และเปล่งประกายงามราวสายรุ้งทอดทอรัศมี
ทรงกลดอร่ามเรืองรองในราวฟ้า
ที่ราวเพชรพร่างส่องกระจ่างไกล
ให้ดวงจิตดวงใจรับงามอย่างหาคำเปรียบประมาณใดมิได้
สาวนา..คิดได้แล้ว
คงเป็นเพราะเมื่อวันพระที่ผ่านมา
หลวงพ่อได้เทศนาถึงสวรรค์นรก
และได้หยิบยกให้ทราบถึงกฎแห่งกรรม
หลวงพ่อเล่าถึงสวรรค์อันแสนงาม
พร้อมยกบทกวีที่ได้รางวัลซีไรท์มาให้ญาติโยมประทับใจ
ในบทที่กล่าวถึงสวรรค์
และ
บทนี้นั้นสาวนาได้รับอนุญาติ
จากมัคทายกผู้รู้จักรู้ใจรักสาวนาดั่งลูกหลาน
ให้ได้รับเกียรติอ่านแทนหลวงพ่อเพราะว่ายาวมาก
และ
เพราะสาวนาเคยคุยกับท่านไว้ว่าแสนประทับใจ
และใครๆก็เข้าใจว่าสาวนานั้น
ทันสมัยและรักบทกวี
และ
นี่คือนิมิตรที่จิตจับมา
รำลึกนึกถึงดีกว่า..นึกถึงเรื่องทิดมีกับสาวบุญมา
ที่ชาวบ้านพากันนินทาว่าวนกรรมหนีตามกันไป
ซึ่งสาวนาก็อดห่วงใยและเหี่ยวแห้งใจไปด้วยไม่ได้
มิใช่ด้วยอิจฉาที่เขาพากันไปมีความสุข
หากเพราะผิดประเพณี
และทำให้สุขนั้นตั้งอยู่บนความทุกข์ใจของบุพการี
ที่ไร้เสียงใดอวยชัยให้พร
และนอกจากนั้น
เดี่ยวนี้หากสาวนาเห็นใครตกบ่วงรัก
สาวนามักรำพึงรำพันราวพบสัจจธรรมว่า
บ่วงเกิดแล้วหนอกรรมเกิดแล้วหนอ
รอทนทุกข์สุขน้อยถดถอยไป
แบบใช้จิตตัวเองที่ผ่านมาตัดสินว่า
รักคือทุกข์หาใช่สุขจีรังไม่
ดั่งคำพระพุทธองค์เพียรค้นพบมาสอนสั่งฝากฝังใจ
ให้ชาวพุทธไหวทัน
ที่พระบรมศาสดาของเรานั้น
สู้อุตส่าห์หนีสาวสรรสวรรค์กำนัลใน
ที่นอนผ้าผ่อนหลุดลุ่ยน้ำลายไหลไร้งาม
ด้วยอุจาดตาหนีออกบวชเสียดีกว่า
ด้วยสุดอิ่มสุดทนในวงกามกรรมซ้ำๆรอยเดิม
มาเติมเพียงคำทุกข์ทนมิพ้นพรากลา
และ
ที่ใครๆว่าทำไมสาวนาทันสมัยจัง
อย่ากระนั้นเลย
หากใครมีดวงตาที่สามตามทัน
มองเห็นจิตวิญญาณภายในสาวนาได้จะยิ่งงงงันจะตกตะลึง
เพราะ
มากมายมากมีสิ่งที่ยากอธิบายจิตใส
ให้ใครหยั่งถึงได้เพียงข้ามวัน
และ
ด้วยดวงใจดวงจิตคิดใฝ่ดีใฝ่เพียรพยายาม
หาความรู้มาตามโลกมาตามทัน
ว่าในวันนี้โลกเรานั้นหมุนไปในทิศทางใด
และ
ให้รำลึกรู้ว่าเราเองในฐานะพลเมืองโลก
ที่ยังต้องอาศัยในโลกโศกสุขคลุกเคล้าไปตราบชั่วอายุขัย
ก็ต้องคอยหมุนวงใจวงกรรม
ให้ไหวทันให้รู้เท่า
ให้เฝ้ารำงับให้ดับได้ในทุกสรรพสิ่ง
ที่ต้องพึ่งพาพิงพึ่งกันฉันท์น้องพี่
ที่เมื่อเกิดมาแล้วนี้
ไม่คลาดแคล้วต้องเวียนวนกระทบกันไปทั้งโลก
อันวายวุ่นนี้
ที่หมุนวนวงกลม
ราวกับตรงมาสอนใจสอนคำให้ซึ้งซาบใจ
ในคำว่ากรรมวนกรรมเวียน เปลี่ยนเพียงร่างคืนหลังมารับกรรม
จนกว่าจะแตกดับด้วยน้ำมือผู้สร้างและทำลายนี้
ให้เราทุกดวงจิตได้พึงตระหนักรำลึกรู้
เฝ้าดูและเฝ้าคิดว่าจะพาวงชีวิตไปในทิศทางใด..
อย่ามัวหลงใหลจนตาย
หายไปอีกชาติหนึ่งแบบไร้ค่านะคนดีนะดวงใจ
และ
วันนี้ต่อจากฟังเทศนา มีรายการเกี่ยวกับราชการ
ที่มาใช้วัดเป็นศูนย์กลาง
ให้ชาวนาชาวบ้านได้รับรู้วิทยาการงานนา
สาวนาจึงต้องฟังวิทยากรมาบรรยายเรื่อง
ข้าว ข้าว ข้าว
มิใช่สาว สาว สาว หรือเรื่องเนื้อหนังมังสา
หากคือข่าว ข่าว ข่าว ข้าว ข้าวข้าว
ที่ยังต้องพัฒนา
ให้มีสายพันธุ์ใหม่ไว้เลี้ยงร่างเลี้ยงใจไทยทุกดวง
ให้ได้ดำรง มิอดตาย
ก่อนที่จะได้ใช้ชีวิตแข็งแรง
ได้เลือกโลกแห่งชีวาชีวิตว่าจะหมุนไปในทิศทางใด
ทางโศกหรือทางสุข
หรือ
กลางกลางค่อยๆวางค่อยๆปล่อยว่างให้ร่างไร้ราวไร้ตัวตน
ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ให้รู้จักค่าคำมรณานุสติฝึกตายก่อนตาย
และ
คิดไปคิดมาชาวนาอย่าได้น้อยใจเลย
ที่ต้องคู้หลังลงนาก้มหน้าลงดิน
เพราะ
ทุกๆคราวที่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกับเจ้านั้น
เคี้ยวข้าวทุกคำทุกครากลืนใส่ปากท้องนั้น
คือ
พระธรรมกำลังหลั่งรินสอนใจสอนจิตสอนธรรมชาติชีวิต
ให้พึงรำลึกรู้ ทัน
ให้เจ้าเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
ผู้ยังพอมีดวงตาเห็นธรรมแลดวงจิตยังไม่มืดบอดนั้น
ได้ตระหนักว่า
ไม่มีดินไม่มีนา ไม่มีฟ้าไม่มีฝน ไม่มีอากาศพอเหมาะพอสม
ก็ไม่มีข้าวกล้าตั้งท้อง
ออกรวงเรียวระบัดดั่งทองทาระย้าย้อยห้อยเคลียดิน
รอหอมให้เคียวเกี่ยวมาให้พวกเจ้านั้นได้กินประทังท้อง
และ
ได้จ้องหาแต่เรื่องรกสมองมาประเทืองประทับใจไปวันวัน
อันบางทีแสนไร้แก่นสาร
และ
ด้วยหวังฝากข้าวทุกคราคำประท้วงให้
หยาดเหงื่อแรงงานงามแห่งชาวนาสยาม
ที่ได้ละหลั่งรินราวหยาดเลือด
และหยดน้ำตาที่รินรดหยดหลั่งลงบนพื้นพสุธาดอกแล้วดอกเล่า
ราวหยาดสายโลหิตแห่งหวัง แห่งงามใจ
ได้ทำให้พวกเจ้าได้สำนึกค่า
ของคนจนบนผืนหล้าพสุธาทองแห่งน้องพี่
แห่งเดียวกันนี้ว่า
คนจนคนรวยไม่ช้าก็ม้วยมรณา
คนดีและข้าคือชาวนาคือผู้มีพระคุณ..
ต่อร่างต่อใจไทยทุกดวงนะเจ้ายอดดวงใจ
มาหล่อเลี้ยงชีพไสวให้ยังคงมีร่างพิไลพิลาสได้
เพราะกระเพาะอิ่ม..หาใช่วัตถุงามนอกหลอกใจไปวันๆไม่ดอกนะ
กลับมาอีกที..
กับสิ่งที่สาวนา
ได้รับฟังจากเกษตรกรอำเภอ
ที่มาให้ความรู้และมีข้อเสนอมา
ขอให้ชาวนาหรือสาวนาได้เสนอผืนนาน้อย
ให้กลายเป็นที่ทดลองพันธุ์ข้าวใหม่
ที่ทำให้สาวนาแสนเอิบใจอิ่มจิตภาคภูมิในชีวิต
ที่ได้ทำสิ่งแสนดีแสนเสียสละ
ราวรวงใจได้หยาดฝนหล่นพรำร่ำหอมนะกลางจิตกลางใจ
ให้เพื่อนร่วมใจร่วมอาชีพ
ผู้ทนทุกข์ยาก
หากมาตรแม้นราวผู้ปิดทองเบื้องหลังพระก็มิปาน
ที่ถึงเช่นไรก็มิอาจทำให้สาวนาระย่อท้อใจ
ต่อการทำความดี ฝึกจิตพลีพร้อมที่เป็น*ผู้ให้*
เกษตรอำเภอได้เล่าในที่ประชุมศาลาวัดว่าไว้ดังนี้
เกี่ยวกับเทคโนโลยี่ชีวภาพเพื่อข้าวไทย
*เพราะภาคการเกษตรเป็นภาคเศรษกิจสำคัญของประเทศ
การใช้เทคโนโลยี่เข้าช่วยจึงเป็นการเพิ่มผลผลิตและพัฒนาคุณภาพ
ส่งผลในระยะยาวให้เกษตรกรมีรายได้และชีวิตความเป็นอยุ่ที่ดีขึ้น
ไบโอเทคได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ในการใช้เทคโนโลยี่ชีวภาพมาพัฒนาสายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ105
ที่มีคุณสมบัติในการทนต่อน้ำท่วม โรค แมลง ในพื้นที่นาน้ำฝน
ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
โดยที่ยังคงรักษาคุณภาพการหุงต้มที่ดีเอาไว้
สายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ105 ที่พัฒนาขึ้นใหม่มีคุณสมบัติดังนี้
........สายพันธู์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ทนน้ำท่วมฉับพลัน
........สายพันธู์ข้าวขาวดอกมะลิ 105ที่ต้านทานโรคขอบใบแห้ง
........สายพันธู์ข้าวขาวดอกมะลิ 105ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
........สายพันธู์ข้าวขาวดอกมะลิ 105ที่ทนน้ำท่วมฉับพลันและต้านทานโรคขอบใบแห้ง
ข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้ผ่านการทดสอบและทดลองปลุกในพื้นที่จริง
โดยได้รับความร่วมือจากสถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร
และพื้นที่ของเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
ภาคอีสานตอนบน และภาคอีสานตอนล่าง
ซึ่งคาดว่าเมื่อประสบความสำเร็จจากการทดลอง
จะเผยแพร่พันธุ์ข้าว4ชนิดนี้แก่เกษตรกรต่อไป
********
และ
เพราะอย่างนี้วันนี้นาทีนี้
เมื่อมีเวลาสาวนาจึงได้ได้ทบทวนชีวิต
และคิดได้ว่า
ที่สาวนามีฝันไกลมีจิตใสดวงนี้
เพราะสาวนาได้เพียรพยายามอ่านมากฟังมาก
ที่สาวนาแสนโชคดี
ที่ดวงชีวีพร้อมที่จะเปิดจิตเปิดใจไหวรับงาม
อาจจะด้วยเนื้อนาบุณย์เก่า
มาน้อมหนุนนำ
ให้คิดได้คิดให้คิดเป็นคิดเย็นคิดงาม
ตามคำที่หลวงพ่อบอก
และ
จากหนังสือมากมายมากมี
ที่มีคนนำมาบริจาคให้วัด
และ
สาวนาพยายามใฝ่คว้าความรู้มาใส่ตัวประดับใจ
ทั้งๆที่
หัวใจดวงนี้จริงจริง
เบื่อโลกแสงสี
มิหลงยึดมั่นยึดติดและอยากรู้เรื่องวัตถุเทคโนโลยี่สักเท่าไร
หากบางทีบางครั้งอย่างที่ว่าไว้
โลกยังต้องหมุนไป
เรายังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยมาใช้พัฒนา
ในสิ่งจำเป็นกับชีวาชีวิต
เพราะ
ตราบใดที่เรายังต้องอาศัยในโลกใบใหญ่นี้
ที่ยังต้องหมุนไปข้องเกี่ยว เกี่ยวพันกระทบกันเป็นลูกโซ่
ก็ยังหาหนีพ้นได้ไม่
ฉะนั้นทุกครั้ง
ที่หลวงพ่อผู้มากเมตตาปรานีและเป็น
ผู้ที่ราวจะรู้จักรู้ใจเข้าใจสาวนา
ได้อนุญาติให้สาวนา
มาแสวงหาและหยิบยืมหนังสือทุกชนิดไปได้
ให้สาวนาได้เติมจิตวิญญาณ
นอกเหนือจากการอ่านเพียงหนังสือธรรมะเพียงอย่างเดียว
เพื่อมาเติมเต็มในวิทยาการความรู้
ที่ยังต้องเคียงคู่โลก
ให้เรามนุษย์ทุกผู้
ได้รู้รักษาไว้ให้สืบทอดไปอีกนานแสนนาน
อย่าได้ถึงกาลแตกดับเร็วเกินไปเลย
หลวงพ่อจะเรียกห้องสมุดทางจิตวิญญาณ
ที่มีหนังสือมากมายมากมีว่า
*ห้องสมุดดวงจิตนิรมิตงาม..*
ภายในกุฎิไม้เก่าคร่ำหลังนี้
อันซ่อนตัวรื่นรมย์ภายใต้ร่มไม้ใบบัง
ให้พระเณรในวัดและอุบาสกอุบาสิกา
ได้มาค้นคว้าหาความรู้ทั้งทางจิตและค้นพบทางชีวิต
เพื่อให้รู้ให้อยู่ให้เป็นแบบเหนือโลกย์
พยายามรู้ทันเท่าโศกสุข
ที่มาคลุกเคล้าทุกคราคราวทุกค่ำคืน
ที่ทนฝืนกระแสแทบไม่ไหว
นอกจากอาศัยต้องฝึกจิตใสดวงงาม
ให้กระจ่างมิรู้รับขยะมากมายมากมีที่รกล้นโลกรับเข้ามา
สำหรับสาวนานั้น เข้าใจแล้วว่า
กายนั้นเราถูกบังคับให้หิวกระหาย
ใคร่อยากดื่มกินมิสิ้นสุด
เพื่อดำรงชีพชอบ
มาประกอบกรรมดีไปต่างๆนานาตามสาขาอาชีพที่ถนัด
หากทว่าหากไม่รู้วิธีพอดีพอเพียง
ก็จะมีบทเรียนให้ได้รับผลพวง
จากกรรมจากการกินเกินพอดีนั้น
ให้มีอันต้องรับโรคภัยมากมีมากมายที่คอยรอท่า
และส่วน
สำหรับจิตวิญญาณ ดวงใสดวงงามนั้น
เราต้องเพียรเพาะบ่มห่มหอมด้วยทานศีลบริสุทธิ์
ให้รู้หยุดรู้คิดได้
ให้เพียรมีสมาธิภาวนาพาจิตให้วางว่าง
ร้างไร้การยึดมั่นถือมั่น
และ
พลันเมื่อจิต..ดวงดี
มีพลังปิติเกษมจนรวมพร่างก่อให้เกิดกระจ่างใจ
ราวมีแก้วใสราวเพชรพรหม
จิตดวงนั้น
ก็ราวกับจะได้รับการปัดกวาด
ความรกใจที่เคยหุ้มห่อไว้
ให้ขาวสะอาดราวบ้านที่ไร้ขยะฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น
ให้ดวงจิตอันใสเดิมอันเคยขาวราวแสงใสเลื่อมประภัสสร
ในความหอมเย็นอิ่มฉ่ำ
แบบยังไม่ได้มาพอก
ราวทารกน้อยบริสุทธิ์ใส
ที่ราวไร้ร่างว่างตัวตนมิเคยหลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดใด
ในทุกสรรพสิ่ง
ที่มนุษย์นี้เพิ่งมาเพิ่มเติมทีหลัง
ไม่ว่ากับข้าวของผู้คนหรือแม้นกมลที่จะรักใคร
ซึ่งบางครั้งอาจจะยังหวามไหววาบหวาม
ด้วยรักรสพิสวาท
ด้วยวิบากรักวิบากรรมเก่าตามมา
ให้ทำใจลำบาก
กว่า
จะฝ่าฟันพลันพ้นเครื่องกีดขวาง
ให้พบทางงามแบบพิเศษพิสุทธิ์ใส
ที่
พระพุทธองค์ได้ทรงเพียรแผ้วถางทางไว้แล้ว
อยู่ที่เราจะเลือกเดินตามไปติดๆ
หรือจะหยุดนิ่งสนิทมัวเก็บดอกไม้เรี่ยรายทาง
ที่บางทีอาจเสียเวลาไปอีกนานชั่วกาลกัปป์กัลป์
ที่เราผู้เป็นมนุษย์นี้นั้น
ยังมากมีที่หลงฝันหลงใฝ่ในฝันอัน
แสนดีแสนหวาน
ที่ไม่อยากจะตื่นมายอมรับความจริง
ที่จริงยิ่งกว่าจริง ที่ทุกสรรพสิ่งคือสัจจะจากธรรม ธรรมชาติ
ว่าธรรมะที่แท้ไซร้
คือ หยาดน้ำใสที่จำเป็นใช้รินไหล
พาจิตล่องไปในกระแสธารธรรม
จนกว่า
จะข้ามพ้นห้วงมหานทีสีทันดร อันแสนกว้างใหญ่
หากพายใจพายจิตเราไม่แข็งพอ
ก็รอเพียงหล่นตกไปในทะเลโลกย์ทะเลโศกสุข
ที่มีมนุษย์มนามากมายพากันตะเกียกตะกายดิ้นรน
หากหนีไม่พ้น
ไม่ยอมต่อเรือทองเรือธรรมอันผ่องผุดหยุดกิเลสวน
เพื่อพาตนไปถึงซึ่งฝั่งฝันพระนิพพาน
ด้วยความคิดว่าระยะทางยังอีกไกล
ยอมถอดใจทดท้อแพ้พ่ายเลิกเพียร
กลับมาเวียนว่ายหลงวนสละเรือแห่งชีวิตสนิทเนาทิ้งไป..
ดวงใจและจิตใส
นะบ้านภายในของสาวนาในวันนี้
จึงแสนเงียบงามสงบสุขเสมอมา
ไม่ว่าอะไรมากระทบกระทั่งให้หวั่นไหว
เศร้าใจวาบหวามดายเดียวเปลี่ยวเหงา
หากมินานวันเวลา
สาวนาก็จะพาพบพาน
หาทางน้อมนำธรรมมาพร่ำห่มหอมใจ
ให้ในที่สุดก็รู้รำงับดับได้ไม่นานเกินไม่นานกาล
ไม่นานคิดติดต้องใจ
ไม่มาหวั่นไหวหวั่นหวามหวั่นหวานราวเรื่องรจนามากมาย
ที่นะบางที
ต้องมีจิตดวงเศร้าไว้ระบาย
เป็นแค่กุศโลบายไว้ให้ทุกดวงใจดวงจิตรับไหวละมุนละม่อม
เพื่อน้อมนำมาเป็นบทเรียน
ว่ารักคือทุกข์สุขน้อยเพียงนั้นอย่าได้หลงเดินตาม..
มาในเส้นทางนี้ทางเดียวกันกับสาวนานะยอดดวงใจ
สาวนา..
จึงเพียรพยายามใช้ชีวีอย่างสมถะ
ไม่สะสมวัตถุมากมายมากมี
ด้วยสองหูสาวนานี้ยังมีบุญนัก
ที่ราวกับยังได้ยินเสียงก้อง
อันแสนยิ่งใหญ่งดงาม
ท่ามท่วมจิตดวงนี้จากองค์พระประมุขแห่งชาติ
พระผู้มากล้นหยาดน้ำพระหฤทัย
ด้วยมากเมตตาปรานี
ต่อทุกดวงชีวีชีวิตของพสกนิกรไทย
บนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองนะแห่งนี้
อย่างไม่มีคำว่าศาสนาใดมากางกั้น
ที่หยาดน้ำพระหฤทัยนั้นเปรียบประดุจดั่ง
หยาดเพชรพร่างดั่งหยาดน้ำค้างดับแล้งไร้
ให้ทุกดวงใจไทยทุกดวงในทุกถิ่นที่ได้รับ
อย่างถ้วนหน้าในทุกธลีหล้าแผ่นพสุธาไทยพสุธาทอง
แห่งผองเราให้ร่มเย็นเป็นผืนเดียวกัน
ให้ตระหนักถึงคำ
*รู้รักสามัคคี รู้ใช้ชีวีสมถะพอเพียงและเพียงพอ*
ใช่เลย!
หากเพียงแค่นี้ทุกดวงใจ
ในพสุธานี้ก็จะมีแต่ความสงบสุขร่มเย็น
และหากรู้ใช้ชีวิตให้เป็นให้เย็นให้งาม
รู้พอเพียงเพียงพอ
ก็จะไม่ก่อหนี้มากมาย
ให้เครียดและจำต้องชดใช้เป็นหนี้ท่วมชาติ
ตั้งแต่ระดับล่าง กลางไปถึงระดับประเทศ
สาวนา..
จึงเพียรมีความสงบสมถะรู้พอใจ
กับชีวิตชาวดินชาวนาชาวป่าเขาลำเนาไพร
ที่แค่ยังมีความเป็นไทหัวใจเสรี
มีดวงใจดวงจิต
ไร้ความทะเยอทะยานสะสมสร้างในทางที่ผิด
ให้ชีวิตติดบ่วงตราบจนแก่ตาย
ให้ได้รับแต่ความเครียด
จากความลำบากลากใจ
ให้หลงใหลไปตามโลกวัตถุนี้
ที่ผลิตออกมามากมายรับใช้หัวใจคน
ที่ยังวนวนโลกเปลือกภายนอก
ที่หลอกให้สุขเพียงชั่วขณะ
หาได้ให้งามจีรังยั่งยืนตลอดไม่
ที่ลองคิดไปคิดมาให้ดี
ก็จะรู้ว่าวัตถุกลับมามีบทบาท
ให้มนุษย์นี้
ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
ที่ยิ่งทำให้โลกนี้แสนแล้งไร้เข้าไปทุกวี่วัน
คล้ายเสมือนไม่มีจิตวิญญาณ
นอกจากจะนำมาประดับร่างประดับบ้าน
ให้รกไม่สิ้นสุดมิรู้หยุดรู้พอ...
สาวนา..
จึงยังดีใจที่ยังมีดวงตาภายใน
ได้มองเห็น...
ฟ้ากว้างแสนกว้างที่ยังงามว่างกระจ่างใส
ไร้มลพิษ
ได้เห็น..ความวิจิตรใจ
ของเวทีไพรเวทีนาเวทีธรรมชาติบนฟากฟ้า
เล่นแสงสีสวยมากำนัล
มาให้ฝันฝันฝันหวานหวานหวาน
ในทุกยามค่ำคืนและทิวาหวามทิวาวัน
ที่ธรรมชาติแสนยุติธรรม
ได้ปันหอมห่มห้วงทุกดวงใจ
ไม่ว่าจะทุกถิ่นที่ใดในหล้าโลกนี้
ใน
ที่มาตรแม้นมิเงินหรือไม่มี
อยู่ที่ไหน..
ในกระท่อมไพร
หรือคฤหาสน์ก็ฝากฝันวาดฝันได้อย่างอิสระเสรี
อย่างที่เท่าเทียมกัน
ขอเพียงหากดวงใจนั้นรู้รัก
ก็เพียงแค่แหงนเงยมอง..จ้องไป
ก็จักพบประสบงามฝันอันแสนบรรเจิดจิต
สาวนา..
ยังได้รีบอากาศสดใสบริสุทธิ์ในทุกยาม
เช้าค่ำถึงร่ำราตรี..
ที่ไร้ควันพิษหรือไรฝุ่นละออง
แบบคนเมืองเรืองรุ่งริ่งลุกลี้ลุกลนเร่าร้อน
ให้ค่อยๆตายแบบผ่อนส่งในทุกวี่วัน สิ้นฝันไร้ไฟไร้นวลใจ
ให้ดายเดียวให้ปลงก็ตายไม่ปลงก็ตาย..
สาวนา..
ยังได้เชยชมชิดท้องทุ่งรวงทอง
ว่ายละล่องท่องในลำธารสายสวยใส
บึงตระการหวานบัวหลากพันธุ์บัวผันบัวเผื่อน
บัวหลวงบัวงาม
และแม่ดวงดอกไม้ไพร
ดอกไม้ป่ากล้วยไม้นานาตามคาคบไม้ในดงพงลึก
ได้รำลึกถึง
ท้องทุ่งรวงทองที่หล่อเลี้ยงผู้คนบนผืนดินนี้
ให้มีชีวาชีวิตให้ดวงจิตสราญทุกเช้าค่ำ
ให้ร่ำรินสอนใจ
หากไม่มีคนทำคนไถ
แล้วโลกนี้จะกินเหล็กไหลเข้าไปแทนเข้าวได้ละหรือคนดียอดดวงใจ
สาวนา....
ยังมีดวงตา มองเห็นสายฝนหล่นพร่างลงมา
ในท่ามกลางรวงทิพย์รวงทอง
ที่ราวหยาดเพชรพร่างพร้อย
ทำให้พวงรวงข้าวระย้าย้อยห้อยระเรี่ยลงเคลียดินค้อมดิน
สาวนายังได้ยิน..
ทุกสรรพเสียงแห่งดนตรีธรรมชาติ
ดนตรีไพร เสียงเรไรจิ้งหรีดกรีดก้อง
ร้องผสานผสมกับกบเขียดในนา
ดังพร้องขรมระงมทุ่ง..ทอง..ให้หอมห้วงหัวใจ
สาวนา...
ยังได้เห็นแม่ยอดผักบุ้งค่อยดีดตึงผึ่งงาม
ยามทอดยอดอ่อนละออพ้อพร่ำรำพึงพลอด
อ้อนออดหวานให้หยาดฝนพร่างพรูพรม
ที่หล่นลงริมบึงริมทุ่ง
ได้เห็นดงดอกกระถินปลิวไสว
เห็นตำลึงเลื้อยพันไปพันพร่างพ้อล้อไปกับรั้วไม้ไผ่
ที่งามกระจ่างใจ
กว่ารั้วเหล็กดัดแสนแพงสีทองปลอมๆ
หากราวกรงกางกั้นให้คนคุกป่ายปีน..กระนั้นกระนี้เหมือนเลย
สาวนา...
ยังได้..ลอยเรือไปเก็บสายบัวสายใจ
ดวงดอกตูมตั้งละออใจ
มาพับกลีบให้หัวใจปริ่มอิ่มปิติ
เพื่อเพียรสร้างสวยใสสอนใจตน
ให้คิดดีคิดได้ให้มีสมาธิภาวนา
มากราบกราบภาวนาเพียรเพาะบ่มหอมงาม
ให้หยาดน้ำค้างกลางใบบัวพ้นน้ำ
ได้หยาดรินพร่างมานำทางมาให้บทเรียน
ให้เพียรพาตนให้หลุดพ้นพันธนาจากเปลือกตม
ให้ชูช่อรอท่าที่จะน้อมนำมาบูชาพระพุทธองค์
เพื่อให้ได้ปลอดปลงเลิกหลงบ่วงใจบ่วงใด
ให้นำน้อมดวงจิตใส
ให้อภัยแผ่เมตตาและรู้รักษาศีลบริสุทธิ์
เพื่อพาตนพ้นทุกข์..พบธรรมทอง
ยามนั้น..
ที่สาวนาได้ใช้พลังปิติเกษม
อันงามเงียบก่อให้เกิดปัญญาเฉียบแหลมคม
นำมาพรมพร่ำสอนใจ
ให้รินไหลงามราวสายธาร ธาราธรรม
พาเรือจิตเรือชีวิตของสาวนา
ให้ลอยล่องไปพบฝั่งฝันอันคือนิรันดร์รักนิรันดร
อันคืองามว่างเปล่าไม่เราไม่ร่างไม่มีใคร
คงมีเพียงงามเงียบใสเย็น
*ดั่งอัญมณี*ที่อยู่นะใกล้ๆตรงนี้กลางจิตเราใช่ไกลเกิน
หากได้พบเห็นในเวิ้งฝันอนันตกาล
หากมีบุญญาบารมีมากพอ
เป็นดั่ง..วิเวกนาม..นฤพาน..
สาวนา..
ยังได้เสกมนต์ในยามค่ำ
ในลานลั่นทมในดงดวงดอกทองกวาว
ให้..
ดาวดวงร่วงพราวพร่างลงมาในอุ้งมือนี้
ที่ง่ายแสนง่าย
แค่ใช่จิตใสในงามรักรจนา
ไปหยิบคว้าเอื้อมไขว่มาประดับใจประดับตน
บางครา..
สาวนา
ก็แค่หลับตา..
แล้วพาร่างลอยขึ้นไปไกวชิงช้าเมฆ
ที่มีรวงดาวผูกเป็นสายเปลสายใจสายใยรักถักทอ
ราวร่างลอยท่ามวิมานแมนวิมานเมฆ
ที่ทรงกลดสดสีรัศมีงามตา
พาแสนสุขใจแสนประทับใจ
ให้ไสวสว่างพร่างพราวราวเพชรพรหม
ในท่ามกลางทะเลเมฆรับวิเวกเพียงลำพังๆ
สำหรับ..พลังฝันพลังใจ
ในทุกสิ่งแสนดีที่รินร่ำทุกราตรี
คือคืนวันที่สาวนา
ได้นั่งเพียรภาวนาสมาธิ
ในท่ามกลางแสงเทียน
ที่สว่างไสวกับดวงจิตใสว่างพอกัน
กับงามจันทร์เด่นดวงแจ่มจรัส
กับพระพายพัดโบกหอมอวล
ดวงดอกไม้ที่แค่ได้กลิ่นหากไม่ยึดมั่น
เพียงมาพร่างฝันพร่างพรม
ให้ดำรงรำงับดับความรู้สึกเพียงนั้น
และ
กับบางวันเวลา
ที่สาวนาได้จุดตะเกียงเคียงหัวนอน
ร่ายบทกลอนบทกวีฝันฝันฝัน
มาปันแบ่งให้ทุกดวงใจ
ได้ไหวรับรสอันสดชื่นฉ่ำเย็น
ได้พลีลมหายใจนี้
ที่ยังมีสมองคิดดีคิดได้ให้คิดเป็น
มาแบ่งฝันปันหอมในห้วงหอมห้วงหัวใจอันแสนใส
ที่ยากหยั่งถึงเพียงตัวอักษรซึ้งไม่กี่บรรทัด
และ
กับราตรีนี้
ที่สาวนากราบกรานสวดมนต์แผ่เมตตา
และขออธิษฐานจิตให้ทุกดวงชีวิต
ได้พบงามดวงใจใครเล่ารู้นี้
และนำมาพลีคืนพสุธาทอง
ให้ผองชนได้ผ่านตา
หวังฟ้าดินมิสิ้นเมตตา
ให้สมองสองมืออย่าล้าโรยแรง
ให้มีพลังแสงสว่างจากใครบางคน
ในร่มธรรมร่มทองมาร่วมคล้องสายใจด้วยสายใยรัก
อันหนักแน่นตราบชีพวาย
เพื่อเพียงคืนกลับให้แผ่นดินมาตุภูมิอย่างคุ้มค่าคน
ที่ได้เกิดมาบนผืนโลกนี้
ที่แสนดีแสนงามให้
ได้พักพิงได้พบค่าคนค่าคำ
ที่แสนรักเอยแสนรักในกมลอันละเมียดละไมนี้
ที่จะพากันประคองลอยล่อง
สู่เส้นทางสีขาวพราวผ่องผุด
ประดุจมหัศจรรย์แห่งรักภักดิ์พลีไปตราบชั่วฟ้าดิน
จนกว่าจะสิ้นแสงตะวันลา
แห่งชีวาชีวิตนี้
ที่แสนสั้นเป็นยิ่งนักแล้วนะแก้วตานะทุกยอดขวัญยอดดวงใจ!
.....................
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=30
ทุ่งรวงทอง
ชรินทร์ นันทนาคร : : Key Eb
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
เห็นข้าวออกรวงน่ามอง
ดุจแสงทองสีแห่งศรัทธา
พี่มาได้ยล นฤมลนวลน้องบ้านนา
ถึงจะสวยตามประสา
ก็โสภาเหนือกว่านางใด
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
น้ำเปี่ยมอยู่ริมฝั่งคลอง
เช่นพี่รัก น้องเปี่ยมฤทัย
สะพานเชื่อมคลอง เหมือนพี่กับน้องเชื่อมใจ
ถึงอยู่แสนไกลแค่ไหน เชื่อมหัวใจให้สมปอง
พี่ เยือน ถึงถิ่น น้องเอยอย่าหมิ่น
น้ำใจเพื่อนใหม่ จะหมอง
ขออยู่ ขอตายจนวันสุดท้ายกับน้อง
ให้ทุ่ง รวงทองนี้เป็นเจ้าของ เรือน ตาย
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ ขาดน้อง
ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย
พี่มาจากกรุง หมายมุ่งมาหาเพื่อนตาย
รับปากรักพี่ได้ไหม
โอ้ขวัญใจ ทุ่งรวงทอง
ทุ่ง เอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ขาดน้อง
ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย
พี่มาจากกรุงหมายมุ่งมาหาเพื่อนตาย
รับปากรักพี่ได้ไหม
โอ้ขวัญใจทุ่งรวงทอง...
1 พฤศจิกายน 2547 11:15 น.
สาวบ้านนา
urlhttp://thaipoem.com/web/songshow.php?id=392
(ดอกไม้ใกล้มือ)
********************
คืนนี้จันทร์วันออกพรรษา
ยังแจ่มดวง
สาวนา..ตื่นมากับเสียงไก่ขัน..กระชั้นทุ่ง
รับอุษาวดี
ที่บนฟากฟ้ายังประดับด้วยนวลดาวดวงจันทร์
สาวนา..หุงข้าวหอมข้าวใหม่
แล้วเจียนใบตองรองขันข้าว
พร้อมใส่บาตร
พร้อมกับเก็บมะลิขาวสะอาดริมสวนมาโรยพราว
ให้ข้าวยิ่งหอมหอมหอม
พอกับใจแม่ดวงดอกพะยอมป่าพะยอมไพรดอกนี้
ฝนทิ้งช่วง
จนสาวนาห่วงว่ารวงข้าวจะลีบ..เล็กลงๆ
อ้ายพรากไปอีกคราแล้ว
ให้หัวใจสาวนา..ชาชินรู้รำงับดับคิดถึงคะนึงหา
ให้ใจดวงดายเดียวเหว่ว้า ยอมรับความจริง
นิ่งสงบทบทวนจิต ชีวิตสาวนา
ว่า..ชะตากรรมของคนเรานั้น
ยากจะหนีพ้น
ไม่มีอะไรจะคงที่คงทน
ตราบที่เรายังมิหลุดพ้นบ่วงกรรม
สาวนา จึงชาเฉย
ราวไร้ร่างในบางเวลาบางหน
ราวกมลภายในนั้นว่างเปล่า สิ้นไร้หวังสิ้นไร้ใคร
ไม่ไยดี ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเรา...
และ
ราวกับจิตดิ่งด่ำ
กับความเป็นปัจจุบันมากขึ้น
ตามคำหลวงพ่อ
ที่เทศนาพานำทางสว่างให้กระจ่าง..จิต
ไม่ให้หลงยึดติดยึดมั่น
ไม่หลงละห้อยคอยหาใครนาน
ไม่หวานหวัง..เฝ้ารอใคร..
ที่เราก็รู้ดีว่าต่างจิตต่างใจ
ต่างกรรมต่างกาล
ต่างห่างต่างแยก.
และ
บางทีอ้ายคนดีอาจจะได้พบใครบางคน
ที่ดีกว่า.ควรให้โอกาสแด่ผู้ที่เรารัก
อย่านำมาแบกไว้ให้หนักแอกใจเลยจะดีกว่า
สาวนา..
จึงพร่ำสวดมนต์ภาวนานานขึ้นนานเข้า
ให้พลังแห่งกระแสเมตตานั้นได้หลั่งรินไหล
ให้บทพระคาถาชินบัญชร
พระพุทธมนต์อันวิเศษแต่ละสูตรมารวมกัน
สอดคล้องเป็นกำแพงแก้วคุ้มกันผองภัย..
ตั้งแต่กระหม่อมจอมขวัญ
ของสาวนาผู้เพียรภาวนาพระคาถา
ให้พระคาถาลงมาจนล้อมรอบตัว
ให้หัวใจไร้หมองมัวมีแต่เบิกบาน
พ้นภัยพาลภยันตรายใดใด
ที่จะหมายมากรายกล้ำ
เพราะหาช่องโหว่มิได้
วันนี้..วันออกพรรษา
สาวนาจึงตั้งใจไปบำเพ็ญบุญ
หนุนเนื่อง..น้อมนำมงคลมาสู่ชีวีชีวิต..
...........
สาวนา จึงลงสวน
มิใช่จะไปเด็ดดอกลำดวน
หากไปเด็ดพริกขี้หนูมา
เพราะ
ตั้งใจว่าจะตำน้ำพริกรสดี
พร้อมกับขูดมะพร้าว
คั้นกะทิลวกยอดผักบุ้งอวบตึง
คลึงคลอแนมด้วยผักสดนานา
มีแตงกวาถั่วพู มะเขือเปาะ มะเขือพวง
ถั่วฝักยาวงามพราวเขียวแน่น
และ
แถม
มีผักตำลึงผักหวานยอดสล้าง
เป็นแกงจืดหวานธรรมชาติ
มีปลาสลิดทอดแดดเดียวแกะไร้ก้าง
วางไว้ใกล้กันกับน้ำพริก
มียำมะม่วงสับกับกุ้งสดรสโอชา
ที่สาวนามีสูตรเด็ดเคล็ดลับ
ว่าสาวนาต้องทำทุกอย่างสดใหม่
หากเป็นสูตรโบราณ..
เสร็จแล้ว
สาวนาจึงจัดสำรับ
ใส่ตะกร้าลายดอกพิกุลงามที่ถักสานละเมียดสวย
และ
สาวนาไม่ลืมลงบึงไปดึงเด็ดสายบัว
และแม่ดอกบัวตูมบัวบาน
ที่พร่างไสวชูช่อละออมาเต็มกำมือ..
ไว้มาจัดพับกลีบไปกราบกรานถวายหน้าพระพักตร์พระพุทธ..
สาวนา.อาบน้ำนะกลางบึง
แอบดูมวลหมู่ภู่ผึ้งคลึงเคล้าเกสรบัว
แล้ว..พลางก็..
คิดบางสิ่งบางอย่างได้
แล้วเลยฮัมเพลงออกมาจากก้นบึ้งแห่งดวงใจ
ให้เสียงหวานใสหวานเศร้าเคล้ากอบัว
ลอยละล่องไปทั่วทั้งท้องทุ่งคุ้งโค้งน้ำ..นา
.................
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=347
บัวกลางบึง
สุนทราภรณ์ : : Key Eb
อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...
........
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
..........
และพอถึงตอนนี้
สาวนาก็น้ำตาซึมซึ้ง
อยากร้องไห้..
อย่างมิอายฟ้าดิน
สิ้นแล้วความหวังใดใด
ด้วยน้อยใจ
ไม่อยากรอใครไม่อยากรักใคร
ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม
ให้จิตวิญญาณห่วงหา
มีพันธนาไปอีกไม่รู้จักจบสิ้น
และไม่อยากถวิลวาดฝันละเมอ
ที่พอเผลอบางทีคำมั่นสัญญานั้น
อาจจะกลายพลันปันอื่นเป็นอื่น
สาวนา..หยุดหลั่งรินน้ำตา
และแหงยเงยหน้าให้แสงตะวันสีทอง
อันอ่อนอุ่นโลมลูบไล้ใบหน้าเนียนแดดละมุน
ให้หยาดน้ำตาระเหยหายวับ
พอกันกับหยาดน้ำค้างกลางใบบัวยามแดดทอ
สาวนา..
ตัดใจเหมือนถอนสายใยบัวเช่นเฉกกัน
พร้อมหันหลังลาบึง
แล้วพาร่างบึ่งไปวัด
ไปทำจิตสงบสวยใสจะดีกว่า
ไปฟังธรรมะ
ฟังหลวงพ่อเทศน์
ให้จิตพร่างปิติเกษมสงบ
พบสุขใสจีรัง
เย็นว่างราวได้ละอองน้ำค้างพร่างงามหอมห่มใจ..
สาวนา..
สวดมนต์เช้าและเฝ้าอธิษฐานจิตแผ่เมตตา
ให้แด่ทุกสรรพสัตว์
แล้วกรวดน้ำตาม..
ให้งามจิตงามใจแผ่ไพศาล
ไปลบเร่าร้อนในโลกแห่งวิโยคโศกเศร้านี้
หลังจากกลับจากวัด
ด้วยดวงใจงามพิสุทธิใสสว่าง
สาวนา..
รีบพาตัวเองเข้าป่าเข้าไพร
หวังใจไปดูดวงดอกดุสิตานะลานหิน
ก่อนที่จะสิ้นสายแสงสุริยา
ก่อนที่ตะวันจะลาลับฟ้า
ป่าที่แสนงาม
มีเส้นทางเล็กๆ คดเคี้ยว
พาเลี้ยวขึ้นเนินผา
มีต้นไม้เพิ่งจะแตกใบสาวยังเยาว์ราวดรุณเคียงข้าง
เป็นป่าทดแทนต้นไม้ใหญ่ที่โดนโค่นตัดออกไป
แผ่ไสวต้นสูง
ออกอวดดอกสีชมพูสดสะพรั่งไปทั้งราวป่าราวไพร
เห็นผ้ายตาเสือที่มีดอกสีเหลืองนวลละออ
ดอกดินแดงแทงรากไม้อื่นขึ้นเป็นดง
หญ้าหนวดเสือและดอกกระดุมเงิน
จะพรายพร่างไปตามพื้นที่ชื้นแฉะ
สาวนานั่งแวะพักที่ต้นไทร
ไหวเอนที่มีหินก้อนใหญ่
ให้แอบหลบฟ้าฝนได้
ต้นไทรเอ๋ยไทรงาม
มีร่องรอยการมาตั้งแคมป์ไฟ
ของพวกผจญไพร..ท่องไพรแสวงหาธรรมชาติชีวิต
เหนือเนินผากว้าง
ข่อยดาน ดอกหวานเศร้าขาวนวลพร่างกลิ่นหอมเย็นๆ
ต้นมะค่าสูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นที่มีฝักสีดำป้อมๆ
สาวนาเห็น ลูกกระบก ที่วัว ขย้อนออกมากองไว้
เนื้อในของลูกกระบกสีขาวได้รสหวานมันปะแล่ม
แต่ถ้ากินมากเกิน ก็จะ เลี่ยน
และโน่น..!
ป่า เต็งรัง มีหญ้าสีทองขึ้นเต็ม
ดวง อาทิตย์ใกล้ลาลับฟ้า
กับหวานหอมของมวล
ดวงดอกไม้ป่า
นานาพรรณ
ที่ได้นามพระราชทานแสนไพเราะ
บนลานผาหินกำลังบานสะพรั่งพรึบ
มีดงดอกสีชมพูเข้มคล้ายดอกชบา
ดอกหญ้าป่าที่เพิ่งเริ่มคลี่ผลิบาน
ดอกสร้อยสุวรรณาสีเหลือง
อวลอบกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนหยาดน้ำผึ้ง
กระดุมเงิน ดอก กลมๆ สีขาวขึ้นเป็นกระจุก
หญ้าหนวดเสือมีลำต้นบอบบาง
ดอกสีม่วงที่มีกลีบดอก
เชื่อมกันสามกลีบแสนบอบบาง
ขณะที่
จอกบ่วาย ....
หรือหยาดน้ำค้างแนบติดอยู่กับพื้นดิน
ที่สาวนานำมาเป็นยารักษาโรคหัวใจไว้แจก
เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน
และมาทา หน้าแก้ฝ้าได้อีกด้วย
จอกบ่วาย นี้มีมากมายคลอหนามเดือนห้า
ซึ่งเป็นพืชกินแมลงเหมือนกัน
ลำต้นสีแดงเล็กๆ
กิ่งก้านคล้าย หนวดปลาหมึก
ปลายใบม้วนงอ ขนเล็กๆ
ที่ปกคลุมทั่วใบมีน้ำใสๆ เหนียวๆ
ติดอยู่ตลอดเวลา
เพื่อล่อแมลงให้เข้ามาไต่ตอม
ก่อนจะปล่อยน้ำย่อยอกมาละลายเป็นอาหาร
เห็ดหอมสีขาวพราวแน่น
ขึ้นเต็มอยู่ใต้ซากใบไม้ร่วงทับถม
สาวนาตั้งใจ จะเก็บกลับเอาไป
เป็นอาหารได้อีกหลายมื้อ
และฝากเพื่อนบ้าน
ที่ฤดูนี้
ปลายฝนต้นหนาว
จะมากมายมากมี
ให้สาวนาเก็บไม่หวาดไม่ไหว
สาวนาค่อยๆพาตัวเองขึ้นไปถึง *ภูผาหอม *
และ
นอนรอชมดวงอาทิตย์ตก
นอนดูมวลหมู่นกไพรบินฉวัดเฉวียนไปมา
บางทีโฉบมาใกล้
จนได้ยินเสียงปีกที่แทรกผ่านอากาศ
สาวนานอนนิ่งเงียบๆ ริมหน้าผา
ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีทอง
เบื้องล่างเป็นป่าทึบ
อัดแน่นไปด้วยต้นไม้ รายรอบ
สลับสล้างเขียวขจี
สีไพลสีทองแซมซ้อนสลับน้ำตาลทองผ่องผุดพิลาสไพร
สาวนานอนคิดน้ำตาซึมซึ้ง
คิดถึงอ้าย..สุดหัวใจ
ที่เคยทำมงกุฎดอกไม้ไพรดอกไม้ป่ามอบให้
ด้วยหัวใจแสนใสแสนรักแสนพิสุทธิ์
และสาวนา
แสนดีใจ
ที่มาตรแม้นในวันนี้
ไม่มีอ้ายคนดีมานอนเคียงข้างเชยชมร่าง
ชี้ชวนนับดาวพราวพร่างฟ้า
ที่ระยิบระยับแสนสุกใส
ราวกับจะเอื้อมมือคว้าไขว่มาแนบใจประดับใจได้
ที่อ้ายเคยฝันเคยเพ้อว่า
หากมีปีกบินได้เหมือนนกก็จะผกโผผินบินไปโฉบ
สอยลงมาจากราวฟ้าราวสรวง
มาถักร้อยดั่งสร้อยสรวงรวงดาว
มอบกำนัลให้สาวนาด้วยรักมั่นแทนคำสัญญา
เป็นสายสร้อยร้อยใจร้อยใยสวาท
ไปตราบชั่วฟ้าดินสิ้นกาล...กัปป์กัลป์..
ชั่วนิจนิรันดร...
ที่วันนี้แม้นไม่มีอ้าย
ให้หัวใจสาวนาแสนดายเดียวเหว่ว้า
หากทว่าลึกลึกสาวนาก็รู้สึกดีใจและอิ่มใจ
ที่สาวนาได้เห็นความงามอันยิ่งใหญ่
หากดิบดินเคียงหล้านะ *ลานดุสิตา*
ลานผาหินที่มากมายมากมี
ดอกไม้ป่าดอกไม้ไพร
ดอกไม้แห่งความงามบริสุทธิ์ใส
ในท่ามกลางความแล้งไร้
หากยังคงอวดดอกงามให้ งามสอนใจ
ว่าดอกไม้ไม่ว่านะที่แห่งไหนในพสุธานี้
จะดอกในเมือง
ในบึง ในป่า
ในพงไพรลึกพนา
แบบแม่ดวงดอกไม้ป่ากล้วยไม้ไพร
ก็ยังคงบานงามไสวมิยอมระย่อท้อแดดลม
และยังคงประดับใจให้ทุกดวงใจในโลกนี้ได้เห็นงาม..
ดับความเร่าร้อนให้โลกยังคงแสนเงียบงามสงบสุขไปชั่วนิจนิรันดร..!
*******************
urlhttp://thaipoem.com/web/songshow.php?id=392
ดอกไม้ใกล้มือ
มัณฑนา โมรากุล : : Key Ab
มวล เหล่าดอกไม้ใกล้มือ
เป็น สื่อ ให้คนเด็ดถือชมเชย
เจ้า อยู่ในที่เปิดเผย
เขา ใคร่ เชย เห็นเจ้าก็เลยเด็ดมา
คน เด็ดก็เพราะมันใกล้
ใคร ใกล้ เด็ดไปได้สมอุรา
บานล่อใจใครจะรู้ ค่า
ต่างปรารถนาจะได้ชม
ทิ้งไว้หมองไหม้เสียเปล่า
ขืนปล่อยเจ้าผึ้งไม่เคล้าก็เฉาด้วยลม
ทิ้งไยให้ตรม เหยื่อผึ้ง เหยื่อลม
ให้คนเขาชมดีกว่า
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น
โรย หล่น ผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือ ว่า
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่ห่างไกล
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น
โรย หล่น ผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือ ว่า
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่ห่างไกล...