19 กรกฎาคม 2547 12:55 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
(คำมั่นสัญญา)
*************
ฝนโปรยสายพรายพลิ้วภายนอกกระท่อม
ตั้งแต่ยามย่ำรุ่ง..ถึงอุษาสาง
สาวนา..ตลบชายมุ้งสีขาวขึ้น
หลับตานิ่งทิ้งใจปลดปล่อย
ฟังท่วงทำนองดนตรีฝนหล่นกระทบชายคาจาก
ที่แสนไพเราะพริ้งพราวราวระรินร่ำพร่ำ
ก่อทิพยดนตรีฝันฝัน
พร่างพร่างกลางดวงใจใสใสหวานพอกัน
ปานปันรสหอมงามแห่งธรรมชาติ
ที่แสนพิลาสพิไลพิเศษสุด
พลังสดจากรวงลมพรมพาพวงพะยอมหอมกรุ่น
เข้ามาหวานละมุนถึงห้องหับ
จำปี บานพรึบพรับตั้งแต่ยามค่ำ
ที่สาวนานำมาพันผูกผมพรมกลิ่นพร่างถึงยามเช้า
เพื่อเร้ารมย์ดอมดมประทิ่นกลิ่นรัญจวน..ใจจรุง
ชมนาด..วาดพวงดอกรูปถ้วย
สวยละออล้อพรายฝน
กอริมกระท่อมหอมน่ารัก
กลิ่นหวานจัดรวยระริน
คล้ายน้ำคั้นจากใบเตย
เผยหอมให้ถวิล ราว*ข้าวที่สุกใหม่*
จนใครๆพากันเรียก*ดอกข้าวใหม่*ไฉไลงามระคน
ตันหยง..ยังมิปลงปลิดปวงพวง
สีเหลืองละออช่อดอกดก..
รอทยอย บานส่งกลิ่น
ระรินหอมคล้าย*ดอกจันทร์กะพ้อ*
มะลิ..มะลิฉัตร.. มะลิซ้อน
มะลิพวง ..มะลิลา ดอกไม้โบราณนานมา
ที่มีความรัดร้อยพันผูกกับวิถีไทย
ไยแย้มกลีบเหว่ว้านวลใย
ซ้อนแซมไหวหอมเย็นร่ำ
ราวอยากร่ำลาราตรี..คลี่กลีบรับอรุณรุ่ง
ให้สาวนานำจรุงลอยน้ำล้างหน้า..รับฟ้าใหม่..ใสงามพอกัน
กับ*คูน*พรายพรรณดั่งทองนพคุณ*ริมชายนา..
แก้วเจ้าจอม....
จอมใจ..สมเด็จพระปิยมหาราช..มหาราชา
ที่ทรงนำมาปลูกในวัง
หวังรำลึกพระนามพระนางสุนันทากุมารีรัตน์ขัตติยนารี
และนะบัดนี้
สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา
นำมาเป็นต้นไม้มงคล
และตั้งชื่อโดยศาสตราจารย์ดร.เต็ม สมิตินันทน์
ประจำสถาบันแสนงาม
ที่สาวนาทราบผ่านจากหลวงพ่อ
ที่สาวนาไปขอกอแยกมาปลูกจนชิดเชยชายคา..
บัวดิน..เปราะป่า รวงผึ้ง หงส์เหิร
พากันบานเพลิน
ให้หอมพร่างอภิรมย์ใจ
ยามฝนโปรยไพรโปรยปรายทั่วชายทุ่ง
สลับสีราวเรียวรุ้งพร่างนะกลางลานดิน
และยังมีไม้ดอกไม้ไพรไม้ทุ่ง
ค่อยๆคลี่กลีบบานจรุงหลังฝนตกอีกมากมายดอกดก
ให้หัวอกหัวใจสาวนาสะทกสะท้าน
รับหวานหอมในทุกโมงยาม
กับทิวาหวามราตรีฝัน..
ราวหวังจะประโลมใจให้สาวนาอย่าล้าใจ
สาวนา..จึงมักนอนคะนึงในยามเช้า
และแย้มยิ้มหวานๆรับละมุน
ให้จิตวิญญาณกรุ่น
ด้วยความรักในวิถีธรรมชาติสะอาดสด..
ที่สาวนาแสนแหนหวงค่าแห่งความงามงด
แห่งวิถีไทย ภูมิใจในทุกสรรพสิ่ง
ที่
ยังนิ่งเงียบงาม
แฝงความอ่อนโยนละเมียดละไม
ไม่รีบเร่งแย่งชิง..วิ่งรุดหน้า
พากันลืมเติมต่อก่อเกื้องามภายใน..ให้ใสสวยเย็นฉ่ำ
เพื่อ
รับกระแสอันบ่าโหม
อันบ้าคลั่งตามโลกวัตถุวายวุ่น
หมุนแบบรวดเร็ว..อย่างน่าตกใจ..
ว่าทุกดวงใจจะพรายพลัดไปนอกโลกสักวัน
ให้ค้นหาฝันกันมิพบเจอ
เหลือเพียงโลกไร้ร้างอ้างว้างราวทะเลทราย
สาวนา..ชักนอนคิดมาก
หวงแหนความแนบแน่นสนิทเนา
ในเงาเงื้อมงามธรรมชาติมากไปแล้ว...
อย่ากระนั้นเลย..
จำสลัดร่าง สร้างงานเฉกกัน
แม้นจะห่างกันไกลไปคนละวิถีทาง
แต่อย่างช้าช้า.
สาวนามีเวลานั่งหน้าคันฉ่องโบราณ
และยิ้มหวานเพิ่มพลังให้ตัวเอง
อย่างที่ควรกระทำทุกเช้าเฝ้าสร้างกมลละไม
ให้หัวใจรับแต่สิ่งดีดี..ที่จะเข้ามาให้สู้ทน..ทำนา
สาวนา
ลุกและเตรียมขันเงินวาววับ
กับสมุนไพรที่จะใช้ในการอาบน้ำ
ในท่ามกลางบึงบัวธรรมชาติ
ที่แม้นจะดาระดาดด้วยดวงดอกบัวนานาพรรณ
หากน้ำนั้นก็ยังใสงามเนื่องจากเป็นบึงกว้าง
ที่น้ำไหลพร่างมาตลอดปีจากลำธารสายงามเหนือภูเขา
และยิ่งในเงาฝนพรายอย่างฤดูนี้ ที่น้ำยิ่งมีมากจนล้นเอ่อ
ให้แหวกว่ายได้ฉ่ำเย็น
สาวนาคว้าพาย
มาพายงัดพายงัดเรือมาดลำน้อยน้อย
ค่อยๆออกแรงให้ลอยไปในท่ามกลางบึงบัวสวยใส
รับดวงตะวันอันอ่อนอุ่น
ฟ้าเริ่มละมุนด้วยสีชมพูรำไรรำไรเรื่อเรืองสวย
ด้วยสายแสงสีส้มทองผ่องพรายพร่างทั่วไพร
ไล่โทนสีม่วงจางหวานปานเรียวรุ้ง
กระทบน้ำในบึงนิ่งใส
สะท้อนไหววะวับวาวราวอาบด้วยประกายเพชร..พร่าง
และดวงใจใสสวยพิสุทธิ์
หวังวันนี้วันพระ
หากเสร็จกิจธุระแล้วจะไปถวายเพลหลวงพ่อ
และจะ
ขอเด็ดบัวน้อยลอยชูช่อรออรุณมาสักกองาม
ที่ทั้งบานทั้งเต่งตึงตูมตั้ง
หวังน้อมนำมาก้มกราบอธิษฐานใจ
เกิดมาชาติไหนไหน
ให้หัวใจลูก..สาวนาอย่าได้เดียวดายเหว่ว้า
และ
ให้หอมยิ่งกว่าเกสรบัว..พร่างนะกลางบึง
ภาวนาขอให้มีคนดีเอื้อมถึงเห็นงาม
มิใช่แค่นำมาประดับบ้านประดับไว้บนหิ้งบูชา
ให้พบพาพบพานพระเอกหัวใจดวงดี
ดวงตระการธรรม
น้อมนำไปประดับใจ..ให้ไสวสว่างไปด้วยกัน
ตราบชั่วชีวิต..ชั่วนิจนิรันดร...
สาวนาราพาย
และ
กับพรายแดดอ่อนอ่อนอันอุ่นอ่อนซ่อนหวาน
ของดวงตะวันอันไหวหวาม
สาวนาค่อยๆเปลี้องเสื้อตัวงามออก
ให้ในยามนี้
เห็นหนั่นเนินเนื้อนวลแดดละมุนละม่อมหอมพราย
สีผิวคล้ายกรุ่นแกมดวงดอกการะเกดก็มิปาน..
หากเป็นงามลำพังสัมผัส..ในยามนี้
ที่แสนที่จะน่าเสียดาย
ช่างสิ้นไร้กายภมรมาเคียงใกล้หมายเชยชมชิด
ให้พิสวาทมิคลาดคลา..
ดั่งบทเพลงคำมั่นสัญญา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...
*********
และอย่างช้าๆ..ช้าๆ
สาวนาค่อยค่อยปล่อยร่าง
ลงนะกลางชลว่ายวนราวมัจฉา
ระเริงร่าระรินร่างอย่างอ้างว้าง
หากให้หอมหวลนวลร่าง
พร่างไปถึงนวลใจงามแบบไพรไพรเสียไม่มี
ในยามนี้..ที่สาวนา..ใช้ขมิ้นผสมไพร
กรรมวิธีอาบน้ำแบบใสงามตามท้องถิ่นภูมิปัญญาไทย
ที่สาวนาทำเครื่องประทิ่นกลิ่นร่ำ
ไว้ใช้เองแทนสบู่อันมีสารเคมี
ที่จะทำให้ผิวเสียผิวตึงผิวพังง่ายไร้แข็งแรง
สาวนา..
จะใช้ข้าวเจ้าข้าวเหนียวที่ยังเป็นข้าวเปลือก
เลือกมาคั่วด้วยไฟอ่อนอ่อน
จนกระทั่งล่อนบานออกเป็นข้าวตอกแตกเสียก่อน
แล้วใช้ส่วนที่เป็นเปลือกข้าวตอกซึ่งร่วงหลุดแล้ว
เก็บมาโขลกให้ละเอียดยิบจนเป็นแป้งแล้วจึงนำไปผสม
กับดอกไม้รายรอบกระท่อมที่เลือกกลิ่นหอมตามใจชอบ
และว่านต่างๆที่นำมาสะตุแล้ว
และใช้ไพลกับทานาคานำมาผสมกับขมิ้นอ้อนขมิ้นชัน
*การสะตุเป็นวิถีไพรที่สาวนาอ่านจำมาจากหนังสือ
ชื่อ*ทางเลือกมีมากกว่าหนึ่งภาคสอง*
และ
*การสะตุคือการทำอย่างละเมียดละไมด้วยใจที่เป็นสุข
ใช้น้ำดอกไม้หลากพันธุ์ผสมกันเช่นดอกนมแมว พิกุล
บุนนาค สารภี เป็นต้น นำออกตากแดดก่อน
แล้วจึงสะตุกับหม้อดิน..
หม้อดินที่ใช้นั้นจะคว่ำลงไปในเตาซึ่งมีถ่านอ่อนๆอยู่
จากนั้นใช้*ครั่ง*ถูก้นหม้อให้ทั่ว
ถูก้นหม้อแล้วจึงถูในหม้อ
พอให้เนื้อครั่งสมานในหม้อดิน
แล้วจึงนำสิ่งที่ต้องการสะตุลงไปสะตุในหม้อ..
และต้องทำด้วยใจเป็นสุข
คือค่อยๆเคล้าไปในหม้อด้วยไฟอ่อนถ่านอ่อนมากๆ
ใช้เวลาไปเรื่อยๆเป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่เปลืองเวลา
เพราะว่าให้ผลที่ละม่อมละไม
คุ้มค่าในการทำสิ่งใดก็ตาม
ที่ต้องแฝงงามละเมียดละเอียดอ่อนในชีวีชีวิต
จิตวิญญาณผ่านภูมิปัญญาชาวบ้านชาวไพรชาวทุ่ง
มิรุ่งเรืองหากงามพินิจคิดแบบฉลาดล้ำ
ให้งามนั้นมิกลับมาทำร้ายกรายกล้ำในภายหลัง
แบบสะสมสารเคมีที่ก่อเกิดพิษภัยมากมายในทุกวิถีที่เร่งรีบ
และนี่คือ
การใช้ภูมิปัญญาไทยในการอาบน้ำ
หากใครจะอยากทราบวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้
ที่แสนไทยไทยติดดิน
แบบผู้หญิงโบราณโบราณหวานหอม
มาหลอมละลายร่างใจ
ก็คงต้องหาตำราอ่านเอง
และลองจำมาทำดูแบบสาวนานะ
และว่างๆสาวนาจะมาบอกเคล็ดลับอีกมากมาย
ที่คคงต้องใช้สะโลแกนว่า
*ไม่ต้องรวยก็สวยได้แบบธรรมชาติ
สะอาดหมดจดพิลาสพิไลยิ่งกว่าใครในปฐพีนี้
หากชีวีเรียนรู้รักษ์ธรรมชาติ..
นะเจ้าดวงสวาทนะเจ้ายอดดวงใจ
นะจะบอกให้*
สาวนา...จึ่งมีความสุขในทุกยามกับงามนี้
ที่เลือกแล้ว...จ๊ะ
กับตะวันที่ผันดวงลอยเหนือหล้า
กับเรียวรุ้งท้องทุ่งนาโคลนเลน
กับรวงเอนไหวระย้าย้อยห้อยเคลียดิน
กับสายถวิลรักวัวควายคล้ายเพื่อนยาก
ที่พากันร่วมตรากตรำจำทน
ให้กมลและหน้าก้มเชยเพียงดิน
หลังงอสิ้นตราบวันตาย
และ
กับว่ายวนของวังวนชีวีชีวิต
ที่ถูกลิขิตให้รักเรียวแดดละออ
กับดวงดอกโสนล้อสายลมไหวริมชายทุ่ง
และ
กับอรุณรุ่ง
ที่หอมจรุงใจด้วยกลิ่นดวงดอกไม้ไพรพนา
กับฟ้ำหลังฝนหอมๆพราว
เคล้าด้วยกลิ่นดินกลิ่นไอฝน
กับคืนจันทร์เสี้ยว..จันทร์เพ็ญเด่นดวง
ดลดวงใจให้ไหวรับหยาดสายแสงงามปานน้ำผึ้งรวง
และ
กับทุกเวลา
ที่มิปล่อยให้แรมราลาล่วงอย่าไร้ค่า
ให้สมกับที่
ได้เกิดมาในผืนพสุธาไทยแห่งนี้
อันเป็นที่รัก..เสียยิ่ง...นักแล้ว...
2 กรกฎาคม 2547 22:26 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=594
ท่ามกลางแสงตะเกียงอันริบหรี่
ท่ามกลางแสงใจอันรุบหรู่ไหวหวั่น
สาวนาตื่นแต่ยังย่ำรุ่ง..
แหงนเงยดู
ฟากฟ้ายังงามปรุงงามปลั่ง
ด้วยพลังแห่งสายแสงเพ็ญเด่นเดือนดวงงาม
พร่างนวลเมฆเสกรัศมีแขงามพราย
คล้ายแดนสรวง...สวรรค์
เดือนทอประกายฝันนวลนวลทอง
ยามสาดส่องแตะแต้มรวงเรียวงามล้ำ
ดั่งผืนแพรไหมถักทอด้วยใยทองคำ..
วะวับวาววะวับวามในท่ามกลางราตรีสีเงินงาม
สายลมบางเบาเคล้าคลอ
หยอกล้อพ้อระบัดราวคลื่นฝันรัญจวน
*สวรรค์ไพร สวรรค์หล้า สวรรค์บ้านนา สวรรค์บนดิน*
ถิ่นทองของขวัญล้ำค่าจากฟากฟ้าเบื้องบนประทาน
รางวัลที่บางครั้งแถมทนทุกข์ยากฝากแด่ชาวดิน
สอนให้รู้ค่าคำ..รักถวิลสู้...
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน
หลงกลิ่นโคลนกลิ่นนา..ก้มหน้าหากินไปวันวัน
เพื่อปันแบ่ง..ให้ผองชนทุกแดนไทยได้มีอะไรใส่ปากใส่ท้อง
มิต้องมาข้องเกี่ยวให้มือกร้านหว่านเหงื่อไปทั่วนาหน้าตาดำๆ
ขอเพียงชาวนายังมีแรงทำมีน้ำท่าพอเพียงจะมิเกี่ยงเลย..
สาวนา..พยายามไม่คิดไกล..
ไม่น้อยใจวาสนาชะตากรรม
คนเราต้องเกิดมาพึ่งกันรักกันฉันท์พี่น้อง
ให้ปรองดองสามัคคีรู้สมถะ
รักความพอดีพอเพียง
เสมือนดั่งคำพระราชดำรัสของในหลวง
พ่อพระแห่งสยามนามขวานทองผ่องพิสุทธิ์
ที่ทุกดวงใจเทิดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม
ดั่งจอมใจจอมขวัญแห่งปวงชนชาวไทย..ไปตราบนานเนานิรันดร์
และไหน
หลวงพ่อ..ที่เพียรสอนทุกวันพระ..
ให้รักษาศีลสมาธิทุกเช้าค่ำพร่ำภาวนา
สอนให้รู้รักษาใจ..เป็นปัจจุบัน..ไม่คิดฝันไปไกลเกินตัว
ไม่..มัวห่วงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ไม่...ให้คะนึงถึงอดีตยอมแพ้พ่าย
ให้*เจ้าแห่งความทุกข์ทนหม่นหมองครองใจ
ครองจิตวิญญาณ นานเกินไป*
ให้เพียรพยายามรักษาใจให้เบิกบาน
เสมอเสมือนดอกบัวโผล่พ้นน้ำ
รับแสงอรุณธรรม..อรุณทอง
แม้นจะต้องพบเจอวิบากกรรม..ก็ให้รู้ทันรู้เท่า..
และ
อุษานี้..
เพื่อนรักคนดีของสาวนา
ที่กลับมาจากเมืองฟ้าเมืองกรุงเมืองบางกอก
ที่เลิกนุ่งผ้าถุงดอกแล้วหันมาใส่เสื้อสายเดี่ยว
ที่เที่ยวท่องล่องลงหาประสบการณ์หางานทำ
ที่ไปฝันฝันวันวันวุ่นวายวุ่นวงหลงแสงสีมานานปี
ที่ เริ่มทาสีที่ปากทาเล็บแดงๆ
มาแกล้งชวนสาวนา
ให้..
ลานาลาทุยเลิกลุยโคลน
หนีกลิ่นไพรกลิ่นใบไม้กลิ่นข้าวหอมใหม่ๆ
ไปสัมผัสโลกศิวิไลซ์สักวันสองวัน
เอานะ..นะจ๊ะ
สาวนา..ตอบตกลง
มิใช่จุดประสงค์..จะหวังตามหาอ้ายดอกนะ
ถึงแม้เพื่อนสาวจะเฝ้าขยั้นขะยอ
ขอให้สัญญาว่าจะพาไปตามอ้ายให้ถึงที่..
สัญญาที่คิดว่าจะทำให้สาวนาหลงดีใจ
รีบไป..ตามหา..แต่
รู้บ้างไหมจ๊ะ
เพื่อนคนดี..
สาวนา ไม่มีสิทธิ์จะไปตามหาอ้าย
เพราะแสนเจียมตัวเจียมใจ
เพราะสาวนาคนนี้คือสาวไทยสาวไพร
หัวใจใสซื่อถือรักมั่น
หากใจยังมีศักดิ์ศรีรักค่าคำกุลสตรีมิวิ่งหาใคร
หากใจเขาคนนั้น มิฝันมิคิดห่วง
หวนหาสาวนาอีกเลยแล้ว
ก็*ช่างเขาเถอะนะหัวใจ*..
สาวนา..จึงตัดสินใจ
หาผ้าถุงผืนเก่าที่แอบเก็บร่ำ
ที่คิดว่าสวยล้ำสุดใจมาใส่มาแต่งในวันนี้
ทั้งๆที่เพื่อนบอกว่า
ไม่มีใครใส่ใครนุ่งกันแล้วนะ
ระวัง..คนจะพากันหันมามองราวคนประหลาด
โอ้..น่าอนาถใจ..สาวนาคิด
ทำไมสาวนาต้องตามใจใครตามใจโลกย์
ตามกระแส ยอมแพ้ความชอบส่วนตัวละกระนั้นหรือ..
ถึงจะมีคนนับถือยอมรับ..ค่าคน..ค่าใคร
มิใช่จากงามดวงใจดอกละหรือ...
หรือ..ว่า
คนเราทุกวันนี้
เพียงยึดถืองามจากภายนอก
ตามๆหลอกๆกันไปกับโลกแห่งวิไลวัตถุมากมีมากมาย
ที่หาง่ายแสนง่ายแค่ใช้เพียงเงินงาม
ก็หามาประดับร่างได้ทันควัน..ได้ทันที.
.กระนี้ละหรือกระไรละหนอ..ช่วยขอบอกที..
เอานะ..
สาวนา...ผู้กล้า..
จะลองนุ่งผ้าถุงเข้ากรุงเข้าเมืองเรืองรุ่ง
ที่ใครๆว่าในกรุงแสนจะเจรืองจรุง
มีแต่คนงามฟุ้งราวเมืองสวรรค์เมืองฟ้าอมร
สาวนา..มีเพียงหัวใจสะออน
จะพาหน้าเนียนละอออ่อน
ด้วยเรียวแดดพรายพรมห่มร่างงามคล้ายสีน้ำผึ้งรวง
พาดวงใจละเมียดละไม
ผู้มีแต่งามภายในดวงใจดวงใสดวงงาม..
ไร้เครื่องประทิ่นประทับโฉม
จะทดลองโถมท้า
อารยธรรมเมืองเรืองวัฒนธรรมนอก..มิหลอกใจตัวมิกลัวใจใคร
สักครั้งครา ดูสิว่าจะไหวมั้ย
ว่าแล้ว...
ยามอุษาฟ้าแก้วกระจ่างทั่วนภางค์สว่าง..แล้ว
สาวนา...
มิได้..คว้าตะกร้าหรือชะลอมแทนกระเป๋า
ใส่ผลไม้หิ้วไปฝากใคร..ทั้งๆที่ใจอยากทำ
เพราะ
หัวใจอ้ายคงมีใครให้รินร่ำรสรักคอยปรนนิบัติพัดวีแล้วนะบัดนี้
อย่ากระนี้ กระนั้นเลย
สาวนาคนหัวใจดิบเดิมเริ่มเข้าใจอภัยให้อ้ายคนดี
ที่คงลืมชะลอมหอมหอมดอกไม้..ผลไม้ไพรแล้ว
หัวใจคงกู่ไม่กลับ เสียแล้ว..
ก็อีกแหละนะ*ช่างเขาเถอะนะหัวใจ*
สาวนาพายเรือช้าช้าออกจากท่าน้ำหน้ากระท่อม
มาตามลำประโดง
มาผูกโยงไว้ที่หน้าวัด..รอเพื่อน
จากเรือขึ้นรถสองแถว
จากรถสองแถว...ถึงท่ารถอันสับสนอลหม่าน
ไร้หวานใสสวยพิสุทธิ์ด้วยอากาศแสนดี
ที่สาวนาเพิ่งจากมาราวอยู่กันคนละโลก
เต็มไปด้วยควันพิษ
และมนุษย์เมือง..มากมายหลายพันหน้าดำๆ
ดูดูทำไมคร่ำเคร่งคร่ำเครียดคลาคล่ำ..ตามๆกันไป
กระไรหนอกระไรนี่
ช่างไม่ดีกับหัวใจเอาเสียเลย
สาวนา..มองสองฟากฝั่งวะเวิ้งตา
ผ่านนา..
ผ่านเมือง ...
ผ่านนา...
ผ่านเมือง
และ
ถึงเมืองกรุง
ที่มุ่งมาเมืองสุดท้าย..ชื่อว่ากรุงเทพ...
เพื่อนพาหนีผู้คนราวฝูงผึ้งหึ่งหากินจากท่ารถ..
ที่ดูดูแสนสกปรกสับสน
พาขึ้นรถแท๊กซี่
เพื่อนคนดีพามาลงตรงหน้าศูนย์การค้าใหญ่
กระไรเลย อีกนะนี่
ที่สาวนาเริ่มอยากอาเจียรด้วยเวียนศรีษะ
และกับผู้คนขวักไขว่มากหน้ามากมาย
ที่ดูแต่งหน้างามราวกำลังจะมีงานวัดงานใหญ่
และ
ทำไม
สาวนาดูสาวๆทุกคน
แต่งตัวซ้ำๆและทำอะไรคล้ายๆกันไปเสียหมด
เช่นเดินไปหัวเราะไปพูดไป..ในมือมีโทรศัพท์แทบทุกคน
และทำไม..ทุกคนช่างมีธุระราวทุกนาทีแม้กระทั่งยามที่เข้าห้องน้ำ
ที่เพื่อนแอบพาสาวนาไปอาเจียนด้วยเวียนศรีษะสุดทน
โอ้
กมลสาวนา..เริ่มสับสน..
ผู้คน ข้าวของมากมายก่ายกอง
วางกองๆกันในร้านสวยงาม
ดูล้นหลามวัตถุ..
แต่ถึงหรูถึงสวยอย่างไร
สาวนาไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน
มันไม่เหมาะกับหัวใจกับกระท่อมไพรและ
คนอย่างสาวนาเอาเสียเลย..
และ
นั่น
เพื่อนชี้ให้สาวนาดูร้านหนึ่งซึ่งสาวสาวต่างพากัน
แต้มเล็บประดับประดาทาสีสวย
เพนท์ลวดลายงามและราคาก็งามตามค่านิยมทันสมัย
สาวนาไถลตามองมาที่เล็บตัวเองแล้วแสนเวทนา
กับมือไม้ที่แสนธรรมดาแสนกร้านงานหนักงานนา
และทั้งเนื้อทั้งตัว
มีเพียงวัตถุประดับร่างเพียงอย่างเดียว
คือกำไลขวัญกำไลรักกำไลเงินงาม..
ที่งามกระจ่างใจยิ่งใหญ่
เกินกว่าใครจะรับรู้ถึงพลังมหัศจรรย์รัก
ที่อ้ายฝากไว้..
คล้ายแทนรักแทนดวงตาแทนดวงใจงามใสซื่อเฉกกัน
นะยอดขวัญยอดดวงชีวานะยอดดวงใจ..
ให้เป็นพลังใจที่แสนสวยใสงดงาม
ทุกยามตามติดมิพรากลา..มิพรากไกล..
จากใจเป็นดั่งนิรันดร์รัก..
เพื่อนคนดีพาไปนั่งที่ร้านอร่อย
บอกอาหารจานแพงนะตั้งเกือบร้อยแน่ะ
สาวนาแทบลุกไม่ทัน
บอกเพื่อนขวัญว่า..หากินที่อื่นเหอะ
ร้อยหนึ่งนะ ใช้ได้หลายวันนะ
หากอยู่ที่นา
เพราะมีผักปลาแล้ว
แค่ไว้ซื้อของจำเป็นเล็กๆน้อยๆ
เพื่อน..
เริ่มหันมาบ่นว่า
หาว่าสาวนาเชย
*เธอดูสิใครๆเขาก็กินกัน
ฉันอุตส่าห์พามากลัวหิว
ดันมัวห่วงเงินอยู่ได้คนอะไร*
แล้วดูสิเธอดันนุ่งผ้าถุงมา
คนคงคิดว่าฉันพาสาวนาที่ไหนไกลกรุง..
เชยเชยมาบรรเทิง..เลยหันมองกันยกใหญ่
เธอ..รู้ไหม..สาวที่ไหนจะยังอยากนุ่งผ้าถุงแบบเธอ
สาวนา
สงสารเพื่อนมาก..หากได้แต่กระซิบบอก
ทำไมเหรอ
ผ้าถุงมิได้บอกว่าเรารักวัฒนธรรมไทยดอกละหรือเธอ..
เฮ้อ.
*สาวนา
ทำไมหัวโบราณจัง..
ยังจะอนุรักษ์อะไรไว้ให้โลกถอยหลังนะ
เพื่อนพึมพำ..ด้วยทั้งขำทั้งเบื่อสาวนา*
สาวนา..คิด
นี่เหรอเมืองกรุง..
แค่มายุ่งเกี่ยวแค่ไม่กี่เสี้ยวนาที
หัวใจสาวนาดวงดีก็พานพาคิดถึงบ้านวิมานดินกระท่อมทับ
ที่รอรับด้วยความหอมงามแห่งอากาศสดใส
หอมกลิ่นไอดินและดวงดอกไม้ไทยไทย
หอมถึงหัวใจหัวจิตถึงดวงชีวีชีวิต
ให้แสนซ่านเกษมเอมอิ่มกับกลิ่นไพรไพรไสวรวงเรียว..
ที่รอเก็บเกี่ยว รอเคียวคม..
ไหนจะลอมฟางที่งามนุ่มกระจ่าง
ยามเอนตัวฟังเสียงขลุ่ยคลอ
พ้อเรียกมาจากอีกฝั่งลำประโดง
กับโค้งฟ้าแจ่ม
กับแอร่มดอกโสนในนาเหลืองพราย
กับทิวไผ่ร่ายมนต์เสียดเสนาะไพเราะ
ราวมนต์รักลูกทุ่ง
เพลงแห่งเรืองรุ่งหวานงาม
ตามธรรมชาติธรรมดาๆใจที่
ดิบเดิมที่ติดดินที่เดียวดาย
ยามได้ยินได้ฟังมานานหว่านประดับท้องทุ่งรวงทอง
ให้น้องพี่สดับรับรสจากทิพยดนตรีคีตสวรรค์..ไพร
และยามเดือนเพ็ญพราวเมฆสกาวราวเรียวรุ้ง
จะก่อกองไฟหอมฟุ้ง
ทำข้าวหลามหลามข้าวเหนียวหอมใหม่ในกระบอกไม้ไผ่
ให้ส่งกลิ่นหอมหอม..ม...ม...ไปทั่วราวไพร..
ยั่วน้ำลาย..ไปสามบ้านแปดบ้าน
ชีวิต..หนอชีวิต
หากให้ลิขิตสาวนา
มาอาศัยนานในใจกลางเมืองกรุงรุ่งเรื่อง(หรือรุ่งริ่ง)
สาวนา...
คงเหว่ว้าราวปลาผิดน้ำ
คงพะงาบๆให้หามไปไอซียูแน่แน่เลยเชียว
และ
นาทีนี้สาวนาแสนดีใจ..
ที่อ้ายมาพรากไป พรากไกล
ด้วยสาวนา..รู้ดี ทุกชีวีต่างจิตต่างใจ
ใครใครก็ต่างคิดต่างลิขิตฝัน
ต่างวิ่งหาสวรรค์กันคนละรูปแบบ
สาวนานั้น
สวรรค์อยู่ที่ดิน เสมือน..
*ดวงทองถวิลดั่งคำทำนาย*
ที่บอกไว้ว่า*ชีวาสาวนาคือทองใต้หล้าผืนนาผืนพสุธาไทย*
สาวนา..ไม่เสียใจเลยจ๊ะ
และฝากกระซิบมาถึงอ้ายนะ
*ความดายเดียว
คือพลังแสงสว่างแห่งปัญญาพาหลุดพ้น*
ที่เราจะค้นพบเพียงลำพังใครทำแทนกันมิได้
ให้ชีวีดั่งดวงตะวันอรุณหมุนเหนือกาลเวลา
ไม่มีคำว่าอดีตอนาคตหมดจดใจ..
นิ่งในงามกับความพอใจในปัจจุบันจ๊ะคนดีนะดวงใจ
อย่าเศร้าเสียใจเลยนะ..
ที่เราจำพรากไกลกันราวดั่งตะวันกับจันทร์ฉาย
ขอแค่ให้ขวัญฝันพบแต่ดี มีแต่สุขทุกทิวาราตรีกาลเลยนะ ..นะจ๊ะ..
29 มิถุนายน 2547 23:01 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4888
ในกระท่อมใบไม้ร่ายมนต์ฝัน
น้ำผึ้งจันทร์หยาดสายพรายหอมห่ม
ความรักบ้าน ซ่านพรู พราวพร่างพรม
สะเทือนถมสู่ร่างช่างหวานล้ำ..
ทิ้งตัวนอนผลอยไปในชุดเก่า
ซุกใจเหงาตะวันรอนอ้อนฟ้าฉ่ำ
ฟ้าสีโศกโลกสีไพลใจระกำ
ระรินร่ำเสียงนกไพรไกลไกลมา..
ช้อนนัยน์ตาดูรังต่อคลอกิ่งแก้ว
ยินแว่วแว่วใบไม้ร่วงคอยห่วงหา
กระซิบพร่ำอย่าร่ำไห้สายลมอ่อนจะกลับมา
ไม่นานช้าได้กอดร่างห่างวกวน..
กลางกระท่อมสนธยาราตรีนี้
ตะเกียงหรี่วูบวับกับลมฝน
อวลกลิ่นแก้วช่อนมแมวหอมพร่างพรม
ราวปาริชาติบนแดนสรวงร่วงพรูสู่แดนดิน..
ดวงดอกฟ้าอยากประดับใจใครควรค่า
ฝากชีวางามชีวีกว่าจะสิ้น
อยากเคียงข้างเคลียเคล้าเจ้าดอกดิน
เฝ้าถวิลสิ้นโลกหล้ารอท่าเธอ...
สร้างกุศลผลพิสุทธิ์ดุจธารใส
ล่องแพใจสู่ธารสวรรค์ใช่ฝันเก้อ
หวังชาติหน้าถ้ามีโชคใช่เพียงเพ้อ
เคียงคู่เธอ*เทวดาเดินดิน*ตราบสิ้นใจ!
.....................
สาวนา...จุดตะเกียงแสงนวลพร่างเรืองรองรำไรๆ
มุ้งเก่าคร่ำตลบชาย กระเพื่อมไหวไปตามแรงลมพัดวู่วู่อยู่ภายนอก
ความรู้สึกรักกระท่อมไพรแล่นพรูสั่นสะเทือนทั่วเรือนร่างร้าว
สร้างพลังหวานเศร้าในหัวใจให้เอิบงาม
ผลอยหลับไป..ด้วยความไม่สบายไข้รุมนิดนิด
ในดวงจิตหวานล้ำสงบสุข กับงามเงียบยามตะวันโพล้เพล้
กับใจดวงดายเดียวเหว่ว้า..มายาวนานนัก
รอบข้างอ้างว้างหมองหม่นเทาทึมด้วยหมอกฝน
บทเพลงแห่งสายฝนพรมพรำ
ร่ำรินรวงร่วงหล่นดวงดอกกระจาย..ชายคาจาก
ราวหยาดน้ำตานางฟ้าพราก โศกสะเทือนแทน
เห็นเพียงคอกวัวรำไรใต้กอไผ่ไหวพลิ้ว
กองฟางงามกระจ่างสว่างในใจ
ในกมลลึกลึก
และ
รู้สึกราวได้ยินเสียงลมพัดตึงคลึงยอดตองเคล้ายอดตาล
นวลใบไม้ในร่องสวนร่ายมนต์กระซิบระรินร่ำ
พร่ำปลอบประโลมให้หลับฝันดี
ให้สายฝนดั่งดนตรีธรรมชาติ
พลีฝันหวังวาดว่าสักวันหนึ่งไม่นาน
สายลมงามบางเบาจะพัดหวนคืนกลับนา
ลบเหว่ว้าเติมรัก..แท้แน่นอนนานเนา
สู่ทุ่งทองปองใจเป็นเงาขวัญมหัศจรรย์รัก..
ราวรอแสงสวรรค์ธารสวรรค์มาทายทัก
รอคำมั่นสัญญารักสัญญาใจ
และ
มาตรแม้นบางที
ชีวีใช่ดอกไม้สยายกลีบรอละอองหยาดน้ำค้างพร่างริน
ที่ยังพร่างถวิลกลับมาในยามดึก..
เหมือนต้นไม้ในไพรลึกรอฤดูฝนวนกลับมาใหม่
หากทว่าชีวาสาวนาสาวไพร
ราวรอรอไปไร้ฤดูใด..
มีเพียงฤดีใจดายเดียว..ลำพัง
*******************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4888
น้อยใจรัก
ผ่องศรี วรนุช : : Key F
สี่ในสี่ ห้องหัวใจ
ฉันให้คุณหมด
หมด ไม่มีเหลืออยู่
คุณ ไม่รักแล้วไม่เอ็นดู
พอหัวใจคุณเปิดประตู
ไม่มีฉันอยู่ ในนั้นเลย
เก็บความหม่น ทนระทม
ทุกข์จมความโศก
โลก สร้างมาเหลือเอ่ย
ฉัน ทุ่มใจเพราะยังไม่เคย
รักเขาเต็มใจหมดเลย
พิโธ่เอ๋ยนี่โดนหนามยอก
หัวใจของคุณ
คงแบ่งปันสักพันสักหมื่น
แต่ใจฉันนั้นมันขมขื่น
เพราะคุณยื่นความช้ำความชอก
ไม่รักฉันอยู่ตั้งนานแล้วไยไม่บอก
ฉันรักคุณแล้วพูดไม่ออก
ให้คุณบอกไม่รักสักคำ
หนึ่งในสี่ ใจของคุณ
ว้าวุ่นไปได้
ใช่ ก็ใครเขาทำ
เคย ห้ามใจโถมันไม่จำ
แม้เขาจะพร่าจะยำ
เจ็บปวดช้ำก็ยังยิ้มรื่น
หัวใจของคุณ
คงแบ่งปันสักพันสักหมื่น
แต่ใจฉันนั้นมันขมขื่น
เพราะคุณยื่นความช้ำความชอก
ไม่รักฉันอยู่ตั้งนานแล้วไยไม่บอก
ฉันรักคุณแล้วพูดไม่ออก
ให้คุณบอกไม่รักสักคำ
หนึ่งในสี่ ใจของคุณ
ว้าวุ่นไปได้
ใช่ ก็ใครเขาทำ
เคย ห้ามใจโถมันไม่จำ
แม้เขาจะพร่าจะยำ
เจ็บปวดช้ำก็ยังยิ้มรื่น...
13 มิถุนายน 2547 00:18 น.
สาวบ้านนา
ฝนพรำพรม..เปาะแปะๆ
รอบข้างมืดมาก
มองเห็นเพียงคอกวัวใต้กอไผ่รำไรๆสลัว
เลือนลางในท่ามกลางความมืด
ต้นมะขามหลังบ้านเป็นเงาตะคุ่ม
แผ่คลุมเชยชายคากระท่อม
หอมหอม
ดวงดอกพุดและดอกการะเวกลอยมา
สาวนาจุดตะเกียงลาน..ให้แสงอ่อนหวานอบอุ่น
วางเคียงหัวนอน
ในความมืด..
สาวนา
ค่อยๆล้มตัวลงนอน
รับความเงียบงาม
แห่งเสียงดนตรีสายฝน
สาวนารักทุกสรรพเสียงแห่งธรรมชาติไพร
ที่แสนไพเราะกว่าเสียงใดในหล้าโลกนี้
ที่แสนสุขใจยามได้เงี่ยหูฟัง
เสียงน้ำค้างระรินหลั่งรดรวงเรียว
เสียงเรียวดอกไม้อ้อนสายลม
เสียงผสานผสมนกไพรและเรไรจิ้งหรีดร่ำร้อง
เสียงของสายฝน เสียงลมพายุ
เสียงใบไม้ไหว
เสียงสายน้ำไหลระริน
เสียงทุกเสียงที่สาวนาใช้ใจภายในสัมผัสได้
ด้วยใจดวงดายเดียวกับทุกเงียบงาม
สาวนามีความสุขอย่างลึกซึ้ง
และแม้จะคิดถึงอ้ายสักปานใด
สาวนาก็รู้รำงับใจและ
และคิดว่า..หัวใจสาวนาที่เหว่ว้าลำพัง
ก็ให้ความสุขแบบนิ่งงันงดงาม
จนยากจะหานิยามใดมาอธิบาย
สาวนา..รู้ว่าเพราะชีวีเกิดมากับดิน
กับความร้างไร้
ที่สอนให้สาวนาชอบชีวิตเรียบง่ายเปล่าดาย
มีแค่วัวควาย
มีทุ่งนามีผักปลามีแม่พ่อก็พอใจก็แล้ว
ชีวิตสาวนาชินกับความไม่มี
และรู้สึกดีกับความยากไร้
สาวนา
คล้ายได้ธรรมะจากธรรมชาติสอนสั่ง
ให้หันหลังหนีจากโลกวายวุ่น
มีดวงใจที่รับหอมกรุ่น
จากหอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
และกับกมลที่ชอบความสงบงาม
ร้างไร้ แสงสี ห่างไกลผู้คนมากมีมากมาย
ที่พากันว่ายวนหลงในโลกวัตถุนี้ที่
คิดให้ดีดีก็เท่านั้นก็เท่านี้
หาใช่สุขที่ถาวรจีรังไม่
สาวนา..จึงพอใจที่จะอยู่กับโลกไพร
โลกท้องทุ่ง
กับเรียวรุ้งคุ้งโค้งบนฟากฟ้า..
ที่งามเจิดจ้าสวยสดใสกระจ่างใจจรัสตา
ในทุกคราที่หาดูได้ง่ายแสนง่าย
ราวเวทีฝันสวรรค์หล้า
ที่ฟ้าเบื้องบนเมตตาประทานพร
ให้สุขทุกดวงตาดวงใจชาวดิน
สาวนา..
กราบขอพรพระและพร่ำสวดมนต์ภาวนา
ขอชีวิตสาวนาพบงามง่ายงามเงียบอย่างนี้
ตลอดไปไม่เคยหวังสิ่งใด
ด้านวัตถุเพิ่งรกรุงรัง
ขอแค่ได้ฝังร่างใจ
มีเสื่อผืนหมอนใบ
มีชีวิตไพรและ
มีข้าวเต็มนาปลาเต็มหนองก็พอใจแล้ว
แม้ห้องหับก็แค่ฝาไม้ไผ่
หากหัวใจก็รู้สึกงามว่าง
อย่างได้สัมผัสซึ้งถึงบึ้งธรรมชาติ
สาวนาไม่มีทีวีดู มีแค่วิทยุยี่ห้อธาณินท์เก่าๆ
ก็มิเหงาใจ ได้ฟัง
บทเพลงลุกทุ่งไทยสะท้อนใจสะเทือนทุ่ง
รับอุษาสางก็งามใจบรรเจิดพอแล้ว
สาวนาจะเด็ดผักมาจากริมบึง
และหุงข้าวหอม
รอใส่บาตรหลวงตา
และ
รอเวลาฟ้าไม่ทันสว่าง
น้ำค้างยังหยดเยียบเย็น
เดินไปคันนา..รอเวลาหว่านไถ
และนี้คือวิถีชีวีไพรของสาวนา
ที่พอใจและคงมั่นมีผันแปรไปตามกระแสโลก
กระแสเมือง..
ให้เปล่าเปลืองเสียเวลาไล่ล่าหาเงินงาม
และตามมาด้วยความเครียดจากโรคร้ายทางใจ
ในความมิเคยรู้จักอิ่มจักพอ..
ล้อไปตามคลื่นความต้องการ
ที่จิตวิญญาณและร่างมิเคยได้ผ่อนพัก
หนักแสนหนักกับแอกใจบนบ่ากับการแสวงหาเพียงสุขภายนอก
มิลอกเปลือกพบแก่นกระพี้
ที่ทุกชีวิต่างก็ดิ้นรนมิพ้นแรงกรรม
ที่กระหน่ำวัตถุมาป้อนเปรอปรนจนลืม
และรู้จักความสมถะพอดีและพอเพียง
และนี้คือหัวใจดวงดินดวงเดิมของสาวนา
ที่ยอมรับเหว่ว้าด้วยความดายเดียวลำพัง
ได้อย่างงามงดและแสนสุขใจเสียไม่มี
10 มิถุนายน 2547 23:19 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3102
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4721
(ข้าวคอยเคียว)
****************
จำปีลืมต้นลาหล่นฝนเดือนห้า
ช่อมะม่วงลาตามลมลวงรวงรอฝน
อ้ายไปบางกอกหลอกสาวนาเฝ้าสู้ทน
ฟ้าฉ่ำฝนหวังหว่านกล้ารอท่ารอ...
ฝนเดือนหกตกผืนนากล้าชุ่มฉ่ำ
นาเคยทำดำไถใจเริ่มท้อ
อ้ายหลงแอร์ลืมข้าวกล้าสาวนารอ
ขลุ่ยครวญพ้อทุยครวญครางร้างรารวง...
ใต้ตาลเดี่ยวสาวนาเหลียวไม่เห็นอ้าย
ฝากหวานไว้ใต้ตาลหวานหอมห่วง
กระซิบหลอกบอกสาวนาหอมกว่ารวง
แล้วลาล่วงลาลับกับลมแล้ง..
ตะแบกร่วงม่วงโศกโลกแสนเศร้า
อ้ายเคยเฝ้าเคียงสาวนาทุกหนแห่ง
ลืมกำกล้าลืมนาน้อยลืมฟักแฟง
ลืมยอดแตงตำลึงบึงบุ้งนา...
ลืมสาวนาเสื้อสีไพลใส่วันพระ
ลืมสัจจะมิพรากไกลใจห่วงหา
หน้าพระพุทธในโบสถ์คร่ำย้ำสัญญา
เฮ็ดไร่นาพากันฝันสวรรค์ไพร..
ฟังเสียงแคนเจื้อยแจ้วแว่วแว่วหวาน
ฝากฟ้าผ่านถึงใจอ้ายอยู่หนไหน
คืนกลับนาอย่าให้คอยหลงน้อยใจ
ทิวไผ่ไหวไกวกอพ้อริมน้ำ..
หรือพบหญิงแก้มนวลมิหวนบ้าน
หรือหลงหวานหลงลิ้นที่รินร่ำ
หรือหลงขาวสาวหมวยเริงระบำ
ทิ้งระกำช้ำระทมตรมหัวใจ..
ฟังเอเอ็มเพลงเศร้าส่งข่าวอ้าย
เดือนร้องไห้ดาวกระพริบริบหรี่ไหว
ดาวประจำเมืองเคยเรืองรุ่งอ้ายฝากใจ
มองทีไรใจสาวนาเหว่ว้านัก...
ฟ้าใกล้สางดุเหว่าแว่วหอมแก้วพร่าง
ทิวไม้ครางรออ้ายพ้อขอซบตัก
นวลเนื้อสาวหนาวนานเก็บหวานรัก
พลีใจภักดิ์ร่างสาวหอมยอมหนุ่มเดียว..
เรียวรวงข้าวไหวระริกรับน้ำค้าง
เหมือนใจร่างสาวนารอขอรักเกี่ยว
ทั้งนาข้าวนาน้อยคอยดายเดียว
หวังคมเคียวมิบาดใจไกลแรมลา...
*****************
สาวนาได้ยินเสียงเพลงขลุ่ย..*มนต์รักลูกทุ่ง*
หวานแว่วแผ่วมาจากสองฟากฝั่งลำประโดง
ผ่านโค้งคุ้งท่าน้ำ....
ผ่านฟ้าหวานพราว...ราวเรียวรุ้ง...ยามสนธยาย่ำ
ฟ้าคืนเพ็ญ สวยเย็นงามแจ่ม
ดาวเอ๋ยดาวน้อยจรัสแสง ลอยเด่น
แข่งเดือนพราวดาวแวววาวระยับ...จับฟากฟ้ากว้าง
กระท่อมกลางไพร เงียบงาม
ในยามเข้าไต้เข้าไฟ
ด้วยแสงตะเกียงรำไรๆวูบไหววับแวม
สาวนายืนฝันฝันรับลม เหว่ว้า...ริมนาใต้ต้นตาล
ผ้าถุงผืนเก่าคร่ำสะบัดไหวพลิ้วไปตามแรงลม
แนบไปกับร่างร้าว
ในเงาดาวงามเคล้าเรียวหน้าละออแดด
นวลเนื้อเนียนยังงามแน่น
โผล่หวานผ่านเสื้อแพรสีไพลแขนกระบอก..
สาวนาเก็บผักบุ้ง จอก แหน ไปแนมน้ำพริก
มือสาวนาสั่นระริกเมื่อรำลึกนึกถึงอ้าย
ผู้ชอบกินผักบุ้งผัดรสมือสาวนา
อ้ายคนดี
จดหมายไม่มีสักตัว
สาวนากลัวนักหนา
กลัวว่าเนื้อในจดหมายจะบอกใบ้บอกข่าวร้าย
ให้สาวนา
ลืมอ้ายคนดี..ที่จะไม่หวนคืนนา
ใครใครเขาบอก
ที่โค้งคุ้งฝั่งขะโน้น
ใครใครก็มีโทรศัพท์มือถือ
อ้ายคนดีมีมือถือหรือมือเปล่าเล่า
จึงปล่อยให้สาวนาเหงาใจ
แม้จะโชว์เบอร์ไม่โชว์ใจ
แต่สาวนาก็คงอิ่มอุ่นใจ
หากได้ยินเสียงใสซื่อ
ช่างออดอ้อนวอนรักจากใจจากน้ำคำอ้าย
ว่ายังคงแน่นหนักมั่นคงซื่อตรงในรักแท้
มิแพ้ใจมิแพ้ระยะทาง
มิแพ้สาวหมวยสวยอวบขาวราวปุยนุ่น
อ้ายเอ๋ย...
เคยให้สาวนาหนุนแขนต่างหมอน...ริมกองฟาง
เคยออดอ้อนรำพันฝันฝากรักจนอุษาฟ้าสาง
ต่างครวญครางแข่งเสียงดุเหว่าแว่ว..แผ่วหวานพอกัน
อ้ายเอ๋ย..แล้วไยเล่า
ให้สาวนารอพ้อจนผ้าถุงเก่าขาด
รอแล้วก็รอเล่า
ให้อ้ายซื้อผ้าใหม่มาฝากดั่งคำสัญญา
นี่ก็เดือนหกแล้ว
ฝนตก..และแสนหนาว..
สาวนาได้แต่นอนกอดหมอนแทนท่อนแขนอ้าย
เมื่อไหร่จะได้พบพานหวานรักด้วยกันเล่า..
เจ้าแก้วจอมใจ..ของสาวนา..