1 สิงหาคม 2548 10:13 น.

เจ้าดวงดอกบานชื่นระรื่นรักระรินรส..!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song556.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4580.html
.......................


ได้เกิดมาชาตินี้มีบุญหนัก
พ่อแม่รักพี่น้องคอยพร้อมหน้า
อยู่กับดินกินกับทรายไม่นำพา
โอฬารตาวัตถุเง่าเปลืองเปล่าดาย

เช้าช่อเอยเจ้าช่อดอกบานชื่น
บ้านระรื่นแต่งช่อพ้อความหมาย
รอไออุ่นแดดเช้ามาเคล้ากาย
กลีบกระจายจึ่งพรายพร้อยในดอยดง

เช้าช่อเอยเจ้าช่อดอกบานชื่น
โบยลมครืนห่มหอมดอมให้หลง
อย่าด่วนร้างดอกโปรยร่วงโรยลง
โปรดเถิดรอธำมรงค์หนุ่มบ้านนา..
..............



ดาวบนฟ้ายังสุกปลั่ง
ลมหลังฝนพัดพากลิ่นไอดิน
และเรณูละอองดอกไม้ป่าให้หอมรินๆมาเป็นระยะๆ

สาวนาถูกปลุกมาด้วยเสียงไก่ขันเอ๊กอีเอ๊กๆ
ลืมตาแลลอดยอดใบมะม่วงน้ำดอกไม้สูงใหญ่ริมชายคากระท่อมทับ
พร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดเพลง..
จากวิทยุทรานซิสเตอร์สถานีเจ้าประจำ
ที่ต้องฟังในทุกยามย่ำรุ่ง..ยามอุษาฟ้าสาง....ใกล้สว่างรำไรๆแล้ว


เสียงเพลง..คนดังลืมหลังควายแว่วมา
แบบตัดพ้อต่อหวาน
แบบบริสุทธิ์ใส...จากดวงใจหญิงชาวไพรชาวนาป่าดง

ให้อ้ายคนดีอย่าลืมหลังวัวหลังควาย
อย่าลืมกลิ่นทุ่งลอมฟางและดงตาลเดี่ยว
ที่เคยพิงแอบอิงอ้อนในอ้อมตักอ้อมใจสาวนา.....



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4580.html
 
คนดังลืมหลังควาย..ขับร้องโดยคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์

นึกไว้ทุกนาที
ถ้าเขาไปได้ดีแล้วคงไม่มาขี่ควาย
เขานั้นคงแหนงหน่าย
เบื่อนั่งหลังควาย เบื่อเคียวเกี่ยวหญ้า
นึกไว้ทุกคืนวัน
เพียงเดี๋ยวเดียวลืมกันทิ้งกันให้คอยตั้งตา
ไปได้ดีมีค่าก็ลืมสาวชาวนา คนซื่อชื่อรวง
ได้เจอะคนเล็บแดงแดง
ปากแดงแก้มแดงแดงที่ในเมืองหลวง
ทิ้งให้สาวนานอนน้ำตาเอ่อทรวง
คนซื่อชื่อรวงเขาคงไม่ห่วงไม่สน
นึกไว้แล้วแล้วเชียว
คำว่าดังตัวเดียวจึงทำให้คนเบี้ยวคน
ลวงให้เราหมองหม่น
นี่หรือใจคน พอดังก็ลืมหลังควาย

นึกไว้ทุกนาที
ถ้าเขาไปได้ดีแล้วคงไม่มาขี่ควาย
เขานั้นคงแหนงหน่าย
เบื่อนั่งหลังควาย เบื่อเคียวเกี่ยวหญ้า
นึกไว้ทุกคืนวัน
เพียงเดี๋ยวเดียวลืมกันทิ้งกันให้คอยตั้งตา
ไปได้ดีมีค่าก็ลืมสาวชาวนา คนซื่อชื่อรวง
ได้เจอะคนเล็บแดงแดง
ปากแดงแก้มแดงแดงที่ในเมืองหลวง
ทิ้งให้สาวนานอนน้ำตาเอ่อทรวง
คนซื่อชื่อรวงเขาคงไม่ห่วงไม่สน
นึกไว้แล้วแล้วเชียว
คำว่าดังตัวเดียวจึงทำให้คนเบี้ยวคน
ลวงให้เราหมองหม่น
นี่หรือใจคน พอดังก็ลืมหลังควาย.....
.....................................




แล้ว..
สาวนา..ก็รำลึกนึกถึงบทกวี
จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์..*ฉบับ..เช้าวันอาทิตย์นี้*
ในหน้าศิลปวัฒนธรรม ..จากคอลัมน์*ข้างคลองคันนายาว*
ที่ใครก็ไม่รู้ทิ้งไว้ตรงลานหินที่วัด

ทำให้สาวนาได้อ่านผ่านตาและพาให้แสนซึ้งใจ
ราวกับได้ยินเสียงขานขับของเจ้าของบทกวี

กำลังมาร่ายรสสุนทรีย์
อย่างเชือดเฉือนใจ
อย่างได้อารมณ์ที่ตรงหน้า

อย่างที่สาวนาคิดว่าช่างเป็นบทกวีที่ใช้คำ
แทนใจแทงใจโดนใจประทับทั้งคนทั้งควายที่สุดแล้ว..!!!!!



*ควาย*......โดย  คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ตีนแปลงนอนจมปลัก
ยึดเป็นหลักอยู่เป็นแหล่ง
น้ำแอ่งก็นอนแอ่ง
ทั้งน้ำดินก็นอนดี

กินหญ้าเคี้ยวเอื้องหญ้า
ในทุ่งท่าอยู่ช้าที
ตัวเปล่าทั้งตาปี
มีหญ้าน้ำและดินนอน

ให้แรงไม่ราลด
แลให้หมดเมื่อม้วยมรณ์
ถกแล่กระดูกล่อน
จนเลือดเนื้อแลเขาหนัง

เมื่ออยู่ประโยชน์ใหญ่
เมื่อย่อยยับประโยชน์ยัง
เกราะดังกระดึงดัง
กระทั่งขี้ก็ให้คุณ

ถูกหยามถูกเหยียดเย้ย
ไม่เคยเลยจะการุณ
ความดีไม่เคยดุลย์
กลับด่าซ้ำว่าต่ำทราม

จงยลไว้เป็นเยี่ยง
จงเอาอย่างประโยชน์ยาม
จงอย่าให้เขาหยาม
จงดูควายอย่าเป็นควาย...

...........................



ฝนเริ่มพร่างพรม..พรำๆสายลงมาอีก....ในอุษาหวานนี้
จันทร์เสี้ยวดวงเศร้า
ดาวประกายพฤกษ์หลบหน้าหายเข้ากลีบเมฆหม่นมัวสลัวเลือนลาง
ในท่ามกลางสายฝนและสายหมอก....


สาวนาคว้าผ้าฝ้ายทอมือมาห่มร่างคลุมไหล่...

ในหัวใจสาวนา
ยังคงได้กลิ่นกายอ้าย
ราวฝากแฝงไว้ในผ้าหอมผืนงามยามคลี่คลุม


กลิ่นมะลิ กุหลาบ ลั่นทม หอมฉมมาให้ชื่น

ใกล้วันแม่แล้วสินะ
ที่ใครๆคงปรารถนาแสดงกตเวทิตา
ต่างพากันไปกราบตักแม่
และคงไม่ยกเว้นแม้แต่สาวนา

ที่ตั้งใจว่า...
วันแม่ในปีนี้
สาวนาคนดีจะมีดอกไม้มาลัย
ที่ร้อยจากใจสาวนาดวงพิสุทธิ์ใส
น้อมนำไปกราบแทบตักแม่เพื่อขอพร


ทั้งๆที่แม่สาวนาเคยบอกว่า
ในทุกราตรี
แม่คนดีของสาวนา
ก็สวดมนต์ขอพรหน้าพระพักตร์พระพุทธ...ให้สาวนาทุกค่ำคืน

และ
ทั้งๆที่แม่เคยยึดคำสอน...จำคำสอนของ
*หลวงพ่อท่านพุทธทาส*
ที่แม่แสนเคารพบูชา
ผู้ล่วงลับดับสังขารไปแล้ว
ที่ท่านได้เคยกล่าวรจนาไว้ว่า..



       *ทำดี ดีแล้ว เป็นพร                  ไม่ต้องอ้อนวอน
 ขอพร กะใคร ให้กวน
        พรที่ ให้กัน ผันผวน                 เป็นเหมือน ลมหวน
อวลไป  อวลมา อย่าหลง
         พรทำ  ดีเอง  มั่นคง               วันคืน ยืนยง
ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ธรรม
  อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ-           เพ็ญบุญ กุศลนำ
เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
      ทุกคน เกิดมา เป็นคน               ชั่วดี  มีจน
เป็นผล แห่งกรรม  ทำเอง
     ถือกรรม  เชื่อกรรม ยำเยง          บาปชั่วกลัวเกรง
ทำแต่ กรรมดี ทวีพร ....*
...........................




สาวนาจึงได้แต่น้ำตารื้นชื่นนัยน์ตา
เพียงเพราะคิดถึงคำ..อันแสนล้ำเลอค่า
ที่สาวนาก็แสนศรัทธาเชื่อมั่น
เพียรประพฤติตามคำสอนท่านและคำสอนแม่เสมอมา....



สาวนา....
 ค่อยๆเดินฝ่าสายหมอก...
ที่กำลังหยอกเอินข้าวใหม่ข้าวกล้าในนา
เพื่อไปริมชายนาชายบึง

ที่สาวนาปลูกพันธุ์ดอกไม้ยั่วยวนแมลงภู่ผึ้งเอาไว้นานา
ทั้งกุหลาบจำปีจำปาราตรีมะลิวัลย์
ทั้งชบา ดาวเรือง ทั้งบานไม่รู้โรยหลากสี

ที่สาวนาแค่นำมาหว่านโปรยเมล็ดฝัน
ก็พลัน....!บานสะพรั่งพรึบรับขวัญกำนัลใจประดับใจแด่สาวนา
*ราวอุทยานดอกไม้ในสวนสรวงสวรรค์ก็มิปาน*


ไหนจะ ยังมีพุด หลากหลายพันธุ์ 
มะลิฉัตรมะลิลามะลิซ้อน
ทั้งโมกกอ ทั้งหอมพ้อหอมพรายด้วยต้นเตยหอม
ที่นำใบเขียวมาใช้ต้มดื่ม
และ
ทั้งที่ใช้ถนอมผิว
และ..
ยังประโยชน์ได้อย่างมากมายมากมี
อย่างกุหลาบหลากสีดอกใหญ่ 
ที่สาวนาจะค่อยๆเลือกแบ่งเด็ดดอกใกล้ราโรยมาทั้งดอกดวง


แล้ว
นำมาล้างให้สะอาด
ก่อนจะนำมาตาก
แล้วเก็บไว้ในภาชนะที่แห้ง
ให้ยังสดใหม่
เพื่อนำมาชงแทนชาสำหรับดื่มเพื่อรักษาหัวใจ

ไหนบางที
จะค่อยๆเด็ดกุหลาบหนูดอกตูมตั้งดอกยังเยาว์น่าเอ็นดูสักสี่ห้าดอก
มาปลิดกลีบสด
แล้ว...หย่อนลงไปในน้ำร้อน
มาดื่มซดให้แสนสดชื่นใจ

ไหนจะยังแสนสวย
ด้วยดวงดอกยามลอยวนในถ้วยชา ให้พายิ่งน่าดื่มนัก...


สาวนา...ผู้หญิงบ้านป่า..หัวใจรักสมุนไพร
จึงจำต้องปลูกทั้งพันธุ์ไม้ใหญ่ไม้ดอกนานาพรรณ

ทั้งล้มลุกสุกงอมหอมหวานเก็บมากินได้
อย่าง...กล้วย..มะละกอ..ลองกอง ..ชมพู่ ทุเรียน  มะม่วง
และ
พวงพรรณรายของไม้หอมไม้สมุนไพรสำหรับขอนำมาใช้ปรุงยา


และ...
บางครา...
ก็นำมาทำเป็น*สปา*
แบบที่เคยได้ยินจากวิทยุว่า..
*ผู้หญิงสมัยนี้นิยมไปอบร่ำผิวกัน*
เพื่อผ่อนคลายในชีวิตประจำวัน
อันแสนเร่งรีบเร่าร้อนลุกลนจนหมดสุขหมดสวย ..สงบงาม..


สำหรับสาวนานั้น
ใช้ตำราพื้นบ้านมานานแล้ว
ที่เคยได้รับคำสอนสั่งจดจำมา
*ดั่งภูมิปัญญาพื้นบ้าน*มานานแสนนานจากผู้เฒ่าผู้แก่

ที่เคยบอกว่า
*หากอยากอาบน้ำเพื่อล้างพิษ
ต้องใช้ขิงสดมาต้ม
และ
อยากอาบน้ำเพื่อสมองปลอดโปร่ง
ต้องนี่เลย มะนาว ส้ม สาระแหน่ ใบสน.


และ..
หากสำหรับกมลสาวๆช่างฝัน
หรือยามมีอ้ายเคียงกายกอดนอน
สาวนาจะใช้
*ตำราอาบน้ำแบบให้หอมเย้ายวนใจ* ที่เรียกว่าเสน่ห์ไพรพนา
จาก
ขมิ้น ลั่นทม พุด จำปา จำปี 
เพียงแค่นี้อ้ายก็เคยบอกว่าสาวนาหอมกว่าใคร...เกินกว่าใครแล้ว..!

และ...
เพราะนี่คือวิถีไทยวิถีใจจิตวิญญาณ
ที่สาวนาผู้หญิงหัวใจโบราณๆ...ยังอยากรักษาไว้ให้นานแสน...



ฉะนั้นในทุกคราทุกเช้า
ยามอุษาฟ้าสางทั่วนภางค์สว่างแล้ว

ที่สาวนามีโอกาสไปอาบน้ำในบึง
สาวนาจะใช้กลีบเกสรบัวอันแสนหอมหวานซึ้งมาขยี้ที่ร่างตัว
ราวมิกลัวภู่ผึ้งจะมารอเชย

เป็นความหอมเอยหอมงามแสนสุขใจ
แบบไม่ต้องสิ้นเปลืองซื้อสารเคมีใดใดมาประเทืองประทิ่นให้ตกค้าง
และ..
ยังให้ผิวมิร้างมิสิ้นกลิ่นหอมถนอมเยาว์.. 

ฉะนี้แล้ว
ในท่ามอุษาวดี
ที่ฟ้าสลัวแสนซึ้งเศร้าหม่นมัวด้วยเมฆฝนนี้

สาวนา..คนดี
จึงค่อยๆเดินไปเลือกเด็ดกุหลาบดอกโต
ชบาสีแดงโดดดอกเด่น
มะลิพวงมะลิลาจำปาจำปี

และ...
ดวงดอก*บานชื่นหลากสีที่งามแสนงามนัก*
ดอกไม้ที่รักแสนรัก
แถมยิ่งแสนประทับใจ
ด้วยราวกับจะสอนสัจจะงามใจงามง่ายที่ชื่อก็แสนให้มงคล


แม่บานชื่น บานฉ่ำ บานรับตะวัน หยาดน้ำค้าง
บานทุกบ้านทุกเรือนอย่างเตือนใจนานมา
อย่างตราจำไว้ในดวงจิต

บานรับความคิดความหวังแห่งทุกชีวาชีวิตชั่วนาตาปี
บานชั่วชีวีชีวาเห็นมาตั้งแต่ยามเยาว์

บานเฉลิดเฉลางามแจ่ม 
บานแต้มให้ใจหอมกว่าหอม..ราวดวงดอกไม้ใกล้มือ

ที่คงคืองามเคียงดิน งามมิรู้สิ้นในจิตวิญญาณ
งามเคียงบานไม่รู้โรยราแรมร้างข้างดงดอกรักภักดี
พลีพร้อมพรักบานทายทักทุกดวงใจชาวดิน


และ
นาทีนี้...
สาวนาแสนถวิลหวังหว่านพันธุ์ฝัน 
*อันคือ
*เมล็ดฝันพันธุ์จิตวิญญาณละเมียดละมุน

ให้ยังคงกรุ่นค่าหอมงามแบบสงวนศักดิ์
ให้รู้รักถนอมร่างเป็นเยี่ยงอย่างยอดแบบหญิงกุลสตรีไทย*


ให้ทุกดวงใจใสงาม
อย่าง..*บานชื่นบานฉ่ำระร่ำริน*..
.ไปตราบชั่วฟ้าดินตราบชั่วนิจนิรันดร

ให้มิแปรผันไปตามกระแสกิเลสโลกย์ยอกย้อน
ที่จะพบโศกสิ้นสาว...สิ้นสุข..
และ
จักทุกข์เพราะฉาบฉวยสวยแต่รูปจูบไม่หอมตรึงตรา
รวยหลอกตาเพียงภายนอก
หลอนหลอกโลกไปวันวัน
ให้สิ้นหวังหวานแสนไร้สาระ...


สาวนา...
จึงยินดีมาหว่านหวัง
พลีกำนัลพลังชีวิต
*จากเมล็ดพันธุ์บานชื่น..บานเช้า*


ให้ทุกชีวาชีวิตได้พบรักระรื่นร่ำ
ได้รับความสดฉ่ำระร่ำริน...มากับสายฝนพรำ...ในยามนี้
และ
อย่างมิรู้สิ้นรู้จบทบทวีคูน...จากใจ....
ไปตราบชั่วกาลนะคนดีนะทุกดวงใจ..!
ในร่มรักเรือนใจเรือนไพรวนา...

ที่สาวนาแสนรักแสนปรารถนาดี..อย่างที่สุดแล้ว...!!!!

...........................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song556.html

อุทยานดอกไม้

ชมผกาจำปาจำปี
กุหลาบราตรี
พะยอมอังกาบทั้งกรรณิการ์
ลำดวนนมแมว
ซ่อนกลิ่นยี่โถชงโคมณฑา
สายหยุดเฟื่องฟ้า
ช-บาและสร้อยทอง
บานบุรียี่สุ่นขจร
ประดู่พุดซ้อน
พลับพลึงหงอนไก่พิกุลควรปอง
งามทานตะวัน
รักเร่กาหลงประยงค์พวงทอง
บานชื่นสุขสอง
พุท-ธชาติสะอาดแซม
พิศ พวง ชมพู
กระดังงาเลื้อยเคียงคู่
ดูสดสวยแฉล้ม
รสสุคนธ์ บุญนาค นางแย้ม
สารภีที่ถูกใจ
งามอุบลปนจันทร์กะพ้อ
ผีเสื้อแตกกอ
พร้อมเล็บมือนางพุดตาลกล้วยไม้
ดาวเรืองอัญชัญ
ยี่หุบมะลิวัลย์แลวิไล
ชูช่อไสว
เร้าใจในอุทยาน

พิศ พวง ชมพู
กระดังงาเลื้อยเคียงคู่
ดูสดสวยแฉล้ม
รสสุคนธ์ บุญนาค นางแย้ม
สารภีที่ถูกใจ
งามอุบลปนจันทร์กะพ้อ
ผีเสื้อแตกกอ
พร้อมเล็บมือนางพุดตาลกล้วยไม้
ดาวเรืองอัญชัญ
ยี่หุบมะลิวัลย์แลวิไล
ชูช่อไสว
เร้าใจในอุทยาน...
				
10 กรกฎาคม 2548 16:20 น.

เจ้าดอกพยอมหากคนเขาขอหอมจะทำเช่นไร..!.

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html(มนต์รักลูกทุ่ง)
http://www.thailandcd.com/detail.asp?txt_id=aud0702
(คุยกับดอกไม้)


สาวนากำลังฟังเพลงนี้ที่แสนน่ารักนัก
ในความรู้สึกสาวนา
จากคลื่นลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม.95 ในทุกวันศุกร์ในช่วง
 "ลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม.เน็ทเวิร์ค"เวลา 21.00-24.00 น. 


คัฑลียา มารศรี
 เพลง : คุยกับดอกไม้ 
ชื่อชุด : หางเครื่อง 3 ช่า
คำร้อง/ทำนอง : วิเชียร คำเจริญ 
เรียบเรียงเสียงประสาน : อ้วน นครชัยศร



http://www.thailandcd.com/detail.asp?txt_id=aud0702

ดอกเอย เจ้าดอกพยอม
ถ้าว่าคนเขาขอหอม แล้ว จะทำยังไง
จะหลบมั้ย จะหลีกมั้ย จะเลี่ยงมั้ย
ถ้าเลี่ยงไม่ได้แล้วเจ้าจะทำยังไงดี

ประสบการณ์ กับคนโดนหอม
ต้องไม่ย้อมต้องไม่ยอมและ ไม่ยอมทันที
ก็หลบไปก็หลีกไปไม่ก็หนี
เยื้องกรายย้ายที่ทำทุกทีที่เจอ

หอมขวาหลบซ้าย หอมซ้ายหลบขวา
พลาดทีพลาดท่าก็หลับตาเสมอ
อยากหอมก็ได้ แต่ต้องไปนั่งใต้ลม
ให้ลมโฉบไปให้ชม  ฝากลมเสนอ

ดอกไม้จ๋าทำอย่างว่าหรือเปล่าเธอ
เมื่อพบเมื่อเจอคนมาขอหอม

แก้มสาวก็ต้องมีหนุ่มดม
ไม้ดอกน่าชมก็ต้องโดนดมดอม
เจ้าหลบลมเพราะเจอะลม เลยต้องยอม
นั่นซิถึงหลบคนหอมถึงโดนหอมทุกที
..........




สาวนา..กำลังร้องคลอตาม
อย่างได้อารมณ์ที่สุด...แบบเททุ่มถอดใจร้อง

อย่าง..ดอกไม้อ้อนอ่อนหวาน
หากยังมิวายซ่อนหนาม..น้ำผึ้งพิษร้ายแรงไว้..
หากชายหวังเพียงเชยขยี้แยก
ให้กลีบเกสรแหลกราญสิ้นหวานหายหวานหอม

ใช่..!เพียงงามประดับโลก..



สาวนา
คนนี้ชอบเพลงลูกทุ่ง เป็นชีวิตจิตใจ
เพราะ...
เพลงลูกทุ่งคือ
*ลมหายใจแห่งแผ่นดิน*

และ...
เปรียบประดุจดั่ง
เป็นตำนานสะท้อนความเป็นไทย
สะท้อนวิถีไทยวัฒนธรรมพื้นบ้าน
ประเพณีอันแสนงดงามเรียบง่าย
การใช้ชีวีอย่างสมถะพอเพียงเพียงพอ
ได้ชิดใกล้ใกล้ชิดสนิทแนบนวลใจ
ไปกับธรรม ธรรมชาติมาอย่างยาวนาน...


และ..
ประมาณ 60ปีมาแล้ว 
เริ่มต้นจากบทเพลงลูกทุ่งเพลงแรก
 "เพลง " โอ้เจ้าสาวชาวไร่" ขับร้องโดย
"ครูคำรณ สัมบุญณานนท์" ประพันธ์ คำร้อง-ทำนอง โดย
ครูเหม เวชกร เมื่อ พ.ศ.2481



และ...
ได้ทำหนัาที่เสมือนเป็นสายน้ำใส
อันแสนไหลฉ่ำเย็นชุ่มริน
ให้ทุกดวงใจไทย ดวงใจ คนยากไร้ ในแผ่นดิน

คนที่รักแสนรัก..ท้องนาท้องไร่ผืนถิ่น
รักรวงเรียว
รักวิถีเกี่ยวเก็บ
รักท้องฟ้ารักสายวสันต์
รักทิวาวันอันแสนหอมชื่นกมลนวล
รักปวงดวงดอกไม้นานาพรรณ
รักทุ่งฝัน รักธรรมชาติไพร ได้มิเหงาใจ
ให้ บทเพลงเป็นดั่งกระจกเงาสะท้อนสังคมไทยตลอดมา....



ที่สาวนาแสนศรัทธาชื่นชม..มาก.
และยังมีคนเล็งเห็นคุณค่า
เป็นที่มาแห่งรางวัลเกียรติยศ
ให้ปรากฎเรียก
*รางวัลมาลัยทอง *ไว้คล้องประดับใจ

เป็นเกียรติยศ และขวัญ กำลังใจอันแสนยิ่งใหญ่
ให้คนที่ได้ชื่อว่า
มี*พรสวรรค์แห่งแผ่นดินศิลปินแห่งชาติ*
ทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ได้ปิติใจได้สร้างงานที่แสนน่าจะภาคภูมิ


เพื่อเทิดทูนยกย่อง ให้เกียรติ
ให้หอมความดีได้พลีขจรขจาย
*ดั่งมาลัยทอง*อันคือสัญญลักษณ์
แห่งเกียรติยศชื่อเสียง

ให้คนไทยได้ร่วมชื่นชมสืบสาน
ได้กล่าวขาน ไปอีกนานแสนนาน
ตราบผืนดินไทยยังร่มเย็นใสพิสุทธิ์
*ในน้ำยังมีปลาในนายังมีข้าว*


และ
ยังมีหนุ่มสาวบ้านนา
คนรุ่นใหม่ที่ยังรักบทเพลงแห่งลูกทุ่งไทย
มีไฟฝันมีพลังหวังหวาน
ที่จักเพียรสืบสานตำนานทองแห่งท้องทุ่ง
ให้จรุงแจ่มแต้มนวลใจไปตราบนานแสน
รู้รักษ์วิถีเกษตรกรรม นำทางจิตวิญญาณ


รู้หันหลังคืนถิ่น 
ไปใช้ชีวีตติดดิน คลุกโคลนเลนสาบควาย
ร่ายมนต์ฝันไสว
ไปกับตาลเดี่ยวเกี่ยวรักรัดร้อยใจดั่งตำนานขวัญ เรียม
 
ฤาไม่ก็เป่าเพลงขลุ่ย
ดูเจ้าทุยนอนผึ่งพุงเล่นน้ำในคลอง..สราญ
ดั่งมนต์ม่าน ลูกทุ่งฝากตราตรึงให้แสนซึ้งสุขใจ


ดูดวงดอกโสนไพรเหลืองพรายพราว
ร่ายกลีบเรียกเพรียกหารักริมคันนา
ดูฟ้าใสแสนงามยามอรุณรุ่งมาแย้มเยือน

ฟังจิ้งหรีดเรไรร่ำร้องเตือนยามวสันต์มา
ฟังเพลงเหว่ว้าแว่วหวานหาคู่กู่ร้องจากดุเหว่าไพร
ในยามฟ้าสางนภาเรื่อเรืองรำไรรำไรในม่านหมอกหนาว
ที่น้ำค้างพราวบนใบหญ้าเรียวรวง
ให้ตักตวงมีความสุขเสียยิ่งกว่า


แทนการมาเป็นปลาผิดน้ำ
ดิ้นขลุกขลักขลุกขลิกสำลักควันพิษในเมืองหลวง
เมืองลวงอันเรืองรุ่ง ริ่งยิ่งพันธนาการ
หาหวานมิพบเจอหนักเข้าทุกวัน

ไฟฝันก็มืดดับ
เพราะ...
ความเหน็ดเหนื่อยกับงานหนัก จราจรติดขัด
และ
พอถึงบ้านก็แทบอยากคลานขึ้นเตียง
หมดแรงที่จะทำสิ่งสร้างสรร สวรรค์ใดอีกเลยแล้ว



นี่คือวิถีสมัยใหม่ในระบบโลกทุนนิยม
ที่ต้องตรอมตรม
เพราะความอยากได้เกินพอดี

ที่แสนเปลืองตัวเปลืองใจ
เสียเวลาในเรื่องหัวใจปรารถนา 
ที่หาใช่สุขแท้จีรังไม่..

ดั่งบทเพลงอมตะจากใจที่ฟังทีไร
หัวใจสาวนาก็ชื่นใสฉ่ำเย็นทีนั้นอย่างราวกับ
รวงได้ฝน กมลได้ฝัน 

ราวสวรรค์ลอยมาเยือนตรงหน้า
ราวกับว่าทั้งโลกหล้าคือความเย็นเงียบงามเรียบง่าย..
อย่างแสนสุขสงบใจที่สุดแล้ว
.............


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html
มนต์รักลูกทุ่ง

หอมเอยหอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง
มองเห็นบัวสล้างลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยค่อย
ก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้าเจ้า
บัวตูมบัวบาน

หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
อวลระคนธ์หอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่ว
พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา
หวานแว่วแผ่วดังกังวาน
โอ้เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ...

...........




ให้รู้อยู่อย่างพึ่งพาพึงพิง 
อย่างมีสรณะจิต
ที่จักฝากดวงชีวิตไว้ใน
*อ้อมหัตถ์แห่งไพรวัลย์อ้อมขวัญแห่งพฤกษ์ไพร*

ให้มีใจดวงอิสราฝัน
ไร้ทุกข์พันธนาหนี้หนีรัก ราวนกไพร
ที่ยังมีนวลใจสวยใสแสนงาม
พร้อมผกโผบินไปทุกถิ่นที่
ใช่มีโซ่บ่วงรัดร้อยไว้ให้หนักแสนหนักดั่งแอกใจ



และ...
รู้คุณค่าของชีวิตว่า
*การเกิดมาในชาติหนึ่งนี้นั้น
หวังมาพบพระธรรม และธรรมชาติ*

และ...
รู้เฝ้าเพียรพาจิตวิญญาณ
เดินตามรอยพระบาทบรมพระศาสดา
เข้าสู่กระแสธารธรรม
คือรู้ปลงสังขาร
มรณังทุกขังอนิจจังอนัตตา
ไปสู่ความว่างนิรันดร์
อันคือสัจจธรรมเที่ยงแท้
นะทุกดวงใจ..นะทุกคนดี
....................


มาลัยทองของสาวนาแด่ลูกทุ่ง 
ราวเรียวรุ้งถักทอใจจากใบข้าว
พลีคล้องใจตำนานไพรสู่ดวงดาว
ตำนานสาวตำนานหนุ่มรักทุ่งนา

แสนศรัทธาคารวะใจมาลัยข้าว
ดั่งขวัญเกล้าสวรรค์งามประดับหล้า
คือรางวัลอันยิ่งใหญ่รวงเรียวนา
ดั่งทองทาดั่งเพชรนิลทุกถิ่นไทย...

ด้วยดวงใจคารวะแด่ครูเพลงและนักร้องทุกท่าน
ที่พลีจิตวิญญาณผ่านหยาดเลือดรัก
รจนาเป็น..ดั่งขวัญหล้า..ประดับไทย..ประดับใจค่ะ
.........................


				
4 กรกฎาคม 2548 10:02 น.

มิสิ้นแสงดาว..!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html(ปรารถนา)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
(คิดถึงพี่ไหม)
....................




ฝนทิ้งช่วงไปนาน..แล้ว...
จนดินดานแตกระแหง..แล้งไร้ไปทั่วทุ่ง

สาวนาเพิ่งลงแรง
เก็บเกี่ยวข้าวพันธุ์แก่นจันทร์มาไว้ในยุ้ง
และ
ให้หอมทั้งข้าวใหม่ลอมฟางจรุงไปทั่ว...




สาวนา
กำลังใช้แม่ควายคู่ใจช่วยไถแปร

ตั้งใจจะลงข้าวโพดหวาน
พันธุ์ที่ไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม
ที่วิทยากรด้านเกษตรกรรมเพิ่งอบรม
และแจกพันธุ์ให้มาฟรี
เป็นพันธุ์ใหม่ธรรมชาติ

ที่คงฝากหวานพอกันกับมือคนเพาะปลูก
ที่ใช้น้ำรักรดระริน 
พลีหลั่งไว้ในผืนดินทองแผ่นดินเกษตรกรรมไทย..
ณ..ที่แห่งงามไสวด้วยฟ้าฝน..เป็นใจ..



สาวนา ไม่ค่อยสบายคล้ายๆภายในใจโหวงๆ
และ
คิดห่วงใยด้วยสมองใสๆซื่อๆแบบสาวนา
เมื่อทราบจากใครใครว่าน้ำมันเริ่มแพงแสน



แพงเสียจน อนาคตไม่ทราบว่า..
คนไทยคนในเมืองกรุงเรืองรุ่งศิวิไลซ์

เมืองที่วัตถุมากมายล้นไปทั่วทั้งเมือง 
จะอยู่กันอย่างไร



ที่ต่างพากันฝากชีวิต
ที่แสนฉาบฉวยไว้ในมือระบบสังคมทุนนิยม

ที่คงจะพังลงในชั่วพริบตา
หากโลกหล้าไร้น้ำมัน

ไม่ว่าเครื่องบินรถรา โรงงานอุตสาหกรรมนานา
และ
แม้นกระทั่งสถานบันเทิงเริงรมย์ให้เลิกหลงลงนรก
คงต้องตรอมตรมพร้อมกันหยุดกิจการ ประหยัดน้ำมัน 
ราวยามสงครามก็ไม่ผิด



หากทว่าสำหรับชีวิตสาวนา
ที่เดินสวนทางกลับกับใครๆ
และโลกศิวิไลซ์นานมา
คงมิเดือดร้อน

สาวนา ไม่เคยใช้ไฟฟ้า



มีเพียงแสงตะเกียงเคียงกระท่อมมาจนชิน
มีเพียงเทียนทองทอ ในทุกยามที่ถวิลอยากจุด 
เพื่อให้ความรู้สึกละมุนงดงาม
ในยามกราบกรานนั่งสวดมนต์สมาธิเพียรภาวนา
หน้าองค์พระพักตร์พระพุทธ อย่างรู้หยุดรู้พอ
อย่างขอแค่ความสุขสงบงาม ณ กลางจิตกลางใจ



สาวนา เคยถูกปรามาสว่า 
ช่างคิดทำอะไรไม่เหมือนใครเอาเลย

ใช่สิ..
เพราะสาวนาคนนี้เกิดมากับแสงตะเกียง
รักเสียงสายฝนพรำ
รักธรรม ธรรมชาติ 

รักสายแสงแห่งตะวันแรก
ยามอรุณรุ่งอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน



ที่สาดสายอันโอบเอื้ออ่อนหวานอาบทาบทา
ทั่วพรายผืนนา
ดั่งพรมทองผ่องพิลาสพิไลผ่องผุด
ให้ความงามพิสุทธิ์อย่างล้ำล้นใจ
อย่างเลอค่าใจ 



ที่แสนจะยิ่งใหญ่
ให้รู้ค่าความงามธรรมชาติ
ที่ฟ้าเบื้องบน ประทานให้มา

ให้รู้สึกว่า ฟ้าช่างงามไสว
ทำไม..
และ
ไยหัวใจ....ช่างแสนละไมละเมียดละมุนเสียเหลือเกินแล้ว



ให้ใจดวงมิหวังเบียดเบียนโลกได้จรุงในทุกครา

ยามย่ำรุ่ง
น้ำค้างพร่างกรุ่นกลางกลีบเกสรดอกไม้
ให้เรียวหญ้ารวงข้าวถูกไล้ด้วยเรียวหมอกหยอกเอิน
ราวสาวอายเอียงเอียงอายยามต้องมือชายหมายรัก



สาวนา ยังรักวิถีทุ่งวิถีธรรมชาติ
ที่ดวงดอกไม้ไพร

และ
บัวกลางบึงยังค่อยๆแย้มกลีบใสบริสุทธิ์
ค่อยๆผลิละออไหวหวาน
แย้มตระการรอรับมวลหมู่ภู่ผึ้งภมร

ให้ค่อยๆร่อนถลาเชยชม
 ดอมดมดูดดื่มอย่างระรื่นรมย์ 
ให้ได้รับรสอันสดเกษมเปรมปรีย์
ค่อยๆเป็นไปตามวัฎฎธรรมชาติ 



ใช่...ดอกไม้เมือง
ที่บางดวงดอก
มิประเทืองประทับใจ
ราวดอกไม้พลาสติกไร้ใจ

คิดรีบปรุงรัก เร่าร้อน
มิค่อยๆผลิหอมฝากค่า
แบบค่อยเป็นค่อยไป

จนต้องไหวครวญ
ยามถูกขยี้หวานผลาญพร่า....
ให้กลีบรักร่วงแหลกกระจาย...!!!!!!



โพล้เพล้..แล้ว
ตะวันสีไพลใหญ่เท่ากระดังฝัดข้าว
มาลอยเหนือราวไพร 
ดงไผ่กอ

ให้สาวนานอนดูนกกระจาบบินกลับรัง
พ่อ แม่ลูกคงทายทัก พากันร้องระงม



สาวนา...
เอนอิงร่างในกระท่อมไพรภาวนา
ท่ามดงดอกลั่นทมหลากสีเหว่ว้า

ที่พากันกรายกิ่งไหวมาริมหน้าต่าง
มาแย้มเศร้าเฝ้าห่วงใยทักถาม
ปานประหนึ่งสายลม...ที่ยังหวานระรินถวิลหา




น้ำตาจากความปิติที่รักเงียบงามนิ่งงัน
ชอบฝันดายเดียว...ราวโลกนี้ไร้ร้าง

ช่างสงบสงัดชัดลึกให้รำลึกรู้  
ราวในบึงใจ
มีเพียงหยาดใสแห่งน้ำพระอมฤตธรรมที่ใสเย็นฉ่ำ  
ให้ดื่มด่ำเอมอิ่มเอิบงามในดวงวิญญาณ ....ปานประมาณนั้น




สาวนา...จุดตะเกียงทองเหลือง
และ
ให้แสงทองทาทาบอาบงามไปทั่ว


ก่อนที่จะพาตัวไปริมคอกวัว..ควายที่ใช้ไถนา
แสงสลัวสะท้อนโหนกน้อยให้ค่อยๆเอามือลูบไล้

ให้..
สาวนาจุดไฟไล่เหลือบยุงริ้นไร
ให้หญ้าน้ำ และปลอบด้วยคำหวานเบาๆ
*อ้ายคงกลับมาในไม่ช้า แล้วนะ...เจ้าสายน้ำ*

*เราจะรอเขานะ 
จนกว่าเขาจะตัดสินใจคืนหลังกลับบ้าน
วิมานไพร วิมานวนา ของเรา*


*วันที่เราสองคงจะมิเหงาใจอีกต่อไปนะ
วันที่ฟ้าคงสว่างไสวกระจ่างจ้าจรัสราวเรียวรุ้ง
ราวฟ้าหลังฝนหลังลมพายุพัดผันผ่าน

และ
วันที่เราจะมีกันและกันพร้อมหน้า
ให้สาวนาซ้อนซบโอบร่างรักภักดีเอาไว้อย่างแนบแน่น
แล้วขี่หลังเจ้ากรายทุ่งลุยนา

มาครวญบทเพลงหวานแสนหวานบานเบิกใจ
มาพรายนิ้วพลิ้วไหวพรมขลุ่ยยามเดือนเพ็ญ
มาเดินเคียงไหล่ทุกเช้าเย็นดูผืนนาฟ้าสวย
ดูลมระรวยล่องข้าวเบา *



มาดูเงาน้ำในลำธาร
ยามพายเรือไปเก็บบัวบูชา

ดูสาวนาอาบน้ำ
ในท่ามดาวเดือนกระพริบล้อ

มากอดหยอกล้อ ยามสาวนาหนาวเนื้อใช้เนื้อห่มให้หนาวคลาย
มาร่ายบทกวี แสนงาม ในยามเข้าไต้เข้าไฟ



มาหอมหัวใจรักภักดี  
มาพลีเลือดและหยาดเหงื่อ 
หลังสู้ฟ้าหน้าสู่ดิน ถิ่นพสุธาทอง
เพื่อผองชนคนไทยได้มีข้าวกินได้อิ่มท้อง
 
และ
ราวให้ใจเราสอง
ได้แสนปิติภาคภูมิราวอิ่มทิพย์ ในชีวิตนิดน้อยหนึ่งนี้

ที่ยังมีชีวีแลร่าง
ได้ฝากประโยชน์พลีแด่ผืนดินแม่มาตุภูมิ....




สาวนา...น้ำตาคลอ เมื่อแหงนเงยเห็น ดาวประจำเมือง
พร้อมกับได้ยินเสียงอ้ายคล้ายเคยฝากไว้....

..............


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
คิดถึงพี่ไหม...

คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจพี่
ห่างกัน อย่างนี้
น้องคิดถึงพี่ บ้างไหม
อย่าลืม อย่าลืม อย่าลืมสัจจา สัญญาที่ให้
ว่าตัวห่างไกลหัวใจชิดกัน 
คิดถึง พี่ก่อนน้องนอนก็ได้
เมื่อยาม หลับไหล
น้องเจ้าจะได้ นอนฝัน
ข้างขึ้นเมื่อใดแก้วใจโปรดมอง
แสงของนวลจันทร์
เราสบตากัน ในแสงเรื่อเรือง
คืนไหน ข้างแรม ฟ้าแซมดารา
น้องจงมองหา ดาวประจำเมือง
ทุกคืนเราจ้องดูเดือนดาว
ทุกคราวเราฝันเห็นกันเนืองเนืองถึง
สุดมุมเมือง ไม่ไกล
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจเจ้า
พี่ตรม พี่เหงา
เพราะคิดถึงเจ้า เชื่อไหม
ฝากใจกับจันทร์ ฝากฝันกับดาว
ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกัน...
..........




และ...
ด้วยใจดวงดินดวงเดิมดวงดี

นาทีนี้ 
สาวนา ได้แต่รินน้ำตา 
ได้แต่ฝากปรารถนาไปในบทเพลง
ที่คือบทบรรเลงรักร่วมกันมา
อย่างแสนหวานชื่นฉ่ำระหว่างเรา
ในเงาอดีตนานปี....!!!!!!!!!


......................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
ปรารถนา...ทูล ทองใจ


หากแม้นเลือกเกิด เองได้ 
คนทุกคนเลือกเกิดอย่างไร
ตามใจเขา ปรารถนา 
แต่ตัวฉัน นั้นขอตั้ง สัจจะวาจา
ถึงชาตินี้ ชาติหน้า ปรารถนาเกิดมาใกล้คุณ
หากร้อนผิวกาย ใจระทม
ตัวฉันยอมเลือกเกิดเป็นลม
เฝ้าลูบชมเนื้ออ่อน ละมุน
หากหนาวนัก ขอเอารัก วางไว้เป็นทุน
ขอเกิดมา เป็นผ้าอุ่น
เกิดเป็นหมอนหนุน สำหรับนาง
อยากเกิดมาเป็น สีแดง
แต้มแต่งสองริมฝีปากคุณ
อยากเกิดเป็นแป้งหอมกรุ่น
ลูบไล้เนื้ออุ่น สองปราง
อยากเกิดเป็นสร้อยห้อยคอไว้
อยากเป็นดอกไม้ที่ทัดหู
อยากอยู่ร่วมหอ ไม่ห่าง
จะขอเป็นแหวนสวมก้อย 
เป็นกำไรสวมใส่มือน้อย 
เกิดเป็นรอยรับบาทของนาง
อยากแนบเนื้อ ขอเป็นเสื้อสวมใส่สรรพางค์
ขอเกิดเป็นหมอนข้าง
เพื่อนางนวลน้อง ได้กอดนอน...

				
1 กรกฎาคม 2548 01:14 น.

กราบบูชาครูด้วยมาลัยใบข้าว!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4682.html
(เทพธิดาผ้าซิ่น)


สาวนา...
กำลังหลั่งรินน้ำตาในราตรีนี้นาทีนี้
หลังจากที่เพื่อนแวะมาชวนไปดูทีวีรายการ
*ชัยบดินทร์โชว์*


ที่เชิญ..
*คุณครูชลธี...ธารทองศิลปินแห่งชาติ*เทวดาเพลง*
และ
คุณครูไพทูรย์ ขันทอง
มาเพื่อเป็นแขกกิติมศักดิ์
เป็นเกียรติออกรายการ



เพื่อพลีเทิดทูนปูชนียบุคคลอันทรงคุณค่า
ในสาขาด้านประพันธ์เพลง
ที่อยากให้
ทุกดวงใจคนไทยเล็งเห็นและประทับใจซาบซึ้งใจ
กับคำว่า*ศิลปิน*
ว่าน่าจะขึ้นหิ้งบูชา
น่ายกย่องชื่นชมคารวะศรัทธาสักแค่ไหนเพียงใด
เพราะร้อยวันพันปีใช่จะมีเกิดมาง่ายๆ
ใช่จะหาซื้อขายจิตวิญญาณแบบนี้ได้ตามตลาดสด


และ
น่าจะหันมาให้กำลังใจ
พร้อมกับ
เชิดชูพระคุณครูให้มีขวัญพลังใจทำงาน
ให้ตราบนานเท่านานชั่วนิรันดร์

เป็นมิ่งขวัญหล้าประดับฟ้าเมืองไทย
ประดับใจชาวนาชาวไร่ชาวบ้านชาวเมือง
ที่แสนเข้าถึงด้วยความตราตรึง
ประเทืองประทับใจในบทเพลงแห่งลูกทุ่งไทย




ด้วยเพื่อนทราบดีว่าสาวนานี้
ชอบร้องเพลง
และ
หลงรักเพลงลูกทุ่งเป็นชีวิตจิตใจ
เข้าไปถึงเนื้อในจิตวิญญาณดวงโบร่ำโบราณเลยทีเดียว

จนกระทั่ง...
ในวันหนึ่ง
สาวนาคนหัวใจซึ้งๆ
คนรักเพลง
คนรู้ค่าคนค่าคำ

เคยมีโอกาสได้
ไปกราบคารวะคุณครูชลธี 
ที่สาวนาแสนรักศรัทธาถึงบ้านกาญจนบุรี

 


และ..
สาวนาแสนโชคดี
ที่คุณครูเมตตาต้อนรับสาวนาพร้อมกับยินดี
มอบลายเซนต์ให้
ที่สาวนาแสนภาคภูมิใจ
จนต้องนำมาใส่กรอบไว้ด้วยดวงใจแสนปิติอย่างที่สุด
ที่นาทีนี้ สาวนาค่อยๆเดินไปหยิบขึ้นมาดู..
และด้วยดวงใจไหวสะเทือนจนอยากร่ำไห้
ด้วยหยาดน้ำนัยน์ตาเอ่อซึม




*ยินดีได้พบคนอยู่ในมิติเดียวกัน..*

นั่นคือคำของคุณครูแห่งแผ่นดิน
ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้แต่งเพลงลูกทุ่ง) ปี2542





ผู้ประพันธ์เพลงลูกทุ่งอย่างงามงด
หมดจดด้วยเนื้อหา
ที่แสนพิสุทธิ์ใสไม่กลายพันธุ์อย่างทุกวันนี้
อย่างเข้าใจชีวิตชาวดินชาวนาชาวไพร
และความเป็นไปของวิถีไทยวิถีถิ่นมาอย่างยาวนาน


และ
รจนางามเพลงมากว่า2000กว่าเพลง 
รวมทั้งอยู่ในวงการมานานมากราว40ปี
และ
ที่ทำให้สาวนาแทบน้ำตารินคือคำล้นค่า
ที่ครูบอกผ่านในรายการนี้ว่า



*ไม่ว่าเกิดมาชาติไหนก็จักขออธิษฐานจิต
ให้มีชีวิตกลับมาเกิดเป็นครูเพลงตลอดไปด้วยใจรักแสนรัก*



และ
แม้นจักถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุน
ผู้ไม่เห็นคุณค่าของพรสวรรค์
ที่ฟ้าประทานให้มาอย่างเลอค่า
ดั่งอัญมณีที่หายากยิ่งในแผ่นดิน
เป็น ศิลปินแห่งชาติ 


ที่ฟ้าประทานให้มีใจดวงใสสะอาดพิลาสพิไล
มิจิตวิญญาณพร่างดั่งเพชรไสว
ที่ต้องพลีหยาดเลือดรักและหยดน้ำตา
กว่าจะคิดจะเขียนเพลงออกมาได้อย่างล้ำล้นค่า
อย่างคู่ควรเมืองอย่างแสนประเทืองประทับใจ



 อย่างแสนยิ่งใหญ่ในด้านจิตวิญญาณ
เพื่อฝากตำนานแห่งผืนดินแม่มาตุภูมิ
และ
ฝากตำนานเพลงลูกทุ่ง
ที่คือวิถีทุ่งวิถีไทย 
วิถีภูมิปัญญาอันพร่างพรายจากใจดวงงามดวงให้
ดวงที่รจนาด้วยความรัก 
และ..
ไม่เคยได้รับการปกป้องด้านลิขสิทธิ์อย่างยุติธรรม


ที่บางครั้งได้ค่าตอบแทนมาแสนนิดน้อย
ไม่พอเลี้ยงตัวและครอบครัวให้อยู่รอด
แทบอดตายหากก็มิแล้งไร้น้ำใจดวงงาม
ที่จักจะสานฝันปันพลี
หยาดน้ำค้างใสแสนสะอาดเพื่อผองชน



หากงานที่รจนา
ด้วยดวงปัญญาความสามารถ
อันแสนงามจรัสจรุงช่วงโชติชัชวาลย์
ปานประหนึ่งปลายปากกาจุ่มด้วยน้ำนมข้าว
หยาดน้ำผึ้งและเกสรดอกไม้


ที่ได้ถูกนำไปสานสรรหาผลประโยชน์
ใส่ตัวเพียงนายทุนและพวกพ้องครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายล้านตลับ 
อย่างไม่น่าเชื่อว่า...
ทำไมและเหตุใด คนไทยด้วยกัน
ที่คือนายทุนเงินท่วมฟ้าบางค่ายเพลง
ถึงได้ใจดำแล้งไร้น้ำใจแด่ศิลปินเพลงผู้เหนื่อยยากได้ถึงเยี่ยงนี้



และ...
นี่คือความขมขื่นของคนของแผ่นดิน
บนถนนนักเขียนไม่ว่าด้านใด

ที่ต้องระรินหยาดเลือดรักจากใจ 
มาฝากทาไว้ให้พสุธาได้รับรู้คู่พสุธาไทยพสุธาทอง

หากต้องยอมรับความจริงทนนิ่งเฉย 
อย่างไม่มีใครเหลียวแลเลยที่จะแก้กฎหมายให้ยุติธรรม



ช่างแสนน่าเศร้า 
ที่หูของผู้คนได้ยลยินเพียงเสียงหวานแว่วเบื้องหน้า
หากทว่า...
 ปล่อยให้ผู้อยู่เบื้องหลังผู้ประพันธ์บทเพลงแสนไพเราะนั้น
ราวกับหลั่งน้ำตาสังเวย
ใช่แค่ปิดทองหลังพระ
หากเปรียบเสมือนว่าถูกพระทับไว้เลยทีเดียว
ที่ครูบอกว่า..ช้ำชอกใจ..เสียใจ...จนชาชิน..แล้ว




สาวนา..กำลังแว่วบทเพลงลูกทุ่งในดวงใจ

*เทพธิดาผ้าซิ่น*ที่คุณเสรี รุ่งสว่าง*ขับร้อง
หวานแว่วลอยลมมา
กับฟ้ากว้าง 

หลังจากเดินบนสะพานข้ามลำประโดงกลับกระท่อมลำพัง


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4682.html
(เทพธิดาผ้าซิ่น)

ว่างจากงาน หว่านไถ
จะร้อยมาลัย ใบข้าว
ห้อยคอสาว จำ ปา
เจ้าเป็นเทพ-ธิดา ของบ้านนา บ้านทุ่ง
นุ่งผ้าถุง ไทย เดิม
หน้า สวย ด้วยแดด แรง
แก้ม แดง ไม่แต่งเติม
เจ้าไม่เคย เห่อเหิม เติมต่อ ดินสอพอง
ช่างขยันการเรือน มิแชเชือนหน้าที่
สิ่งที่ดี ที่ควร
เฝ้าถนอมออมอวล หอมหวลอวลลมทุ่ง
หนุ่มก็มุ่ง หมาย ปอง
ค่ำ ลง ก็เข้าเรือน
ฟังแม่เตือน ให้ไตร่ตรอง
หากมีชายหมายปอง ระวังเจอของ เหลือเดน
แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ
จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณร
ถ้าบาน คอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอน เพล
คอยได้ไหมคนดี
พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน
เชื่อโบราณ ดี แล
หากเลือกวัว ดูหาง แม้นเลือกนางดูแม่
นั่นแหละแน่ เข้า ที
บ้าน เรือน สะอาดตา
พูด จา เสนาะดี
ตำน้ำพริกทุกที เสียงตำถี่ จนทุ่งสะเทือน

แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ
จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณร
ถ้าบาน คอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอน เพล
คอยได้ไหมคนดี
พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน
เชื่อโบราณ ดี แล
หากเลือกวัว ดูหาง แม้นเลือกนางดูแม่
นั่นแหละแน่ เข้า ที
บ้าน เรือน สะอาดตา
พูด จา เสนาะดี
ตำน้ำพริกทุกที เสียงตำถี่ จนทุ่งสะเทือน...
............



ที่คืนนี้ดาวบนฟ้ายังไสว 
หากไยเล่าหัวใจสาวนาและหลายล้านคนไทยที่ซึ้งเข้าใจ
จิตวิญญาณศิลปินไทยทุกท่านจึงดายเดียวนัก

ด้วยน้ำตาแห่งรักและสะเทือนใจแทน
ไปกับถ้อยร้อยรัดใจแสนเศร้าสะท้อน
จากจิตจากชีวิตอาภัพ
ผู้ปั้นดาวประดับฟ้าปั้นนักร้องดังไปทั้งประเทศมากมายหลายร้อยคน


ด้วยมนตราจากลีลาเพลงเนื้อหาเพลง
ผู้ที่บรรเลงพลีด้วยดวงใจรัก

เพื่อสืบสานตำนานเพลงอันแสนศักดิ์สิทธ์
มีมนต์ขลังให้ลิขิตขีดเขียนออกมาฝังฝากใจ
ให้ทุกดวงใจยากไร้ในทุกไทยทุกถิ่นทุ่งทอง
มิสิ้นหวังหวานได้บานเบิกใจ



ให้รอยไถยังมิแปรไปตามกระแสกิเลสโลก
ฝากปลอบปลุกสุขโศกคืนโลกแล้งด้วยบทเพลงแห่งรัก
อันคือนิรันดร์ภักดิ์แห่งฝันดีแห่งวิถีเกษตรกรรมวิถีไทใจดวงรักอิสรา
และให้พากันติดปีกใจ มิสิ้นไร้ไฟฝัน หวังทำความดี
จนกว่าผืนดินแม่นี้จะกลบหน้า..



ที่หากลูกหลานไทยยังไม่เห็นคุณค่า
*คนกับควาย *ไม่นานช้า
ก็จักพากันน้ำตาเช็ดหัวเข่า
หิวจนท้องกิ่วไม่มีแรงแม้นจะพูดมือถือหรือ
ทำสิ่งส่วนเกิน วิถีวงกรรม มิใช่วิถีวงธรรม วงท้องทุ่ง
วงแห่งงามหยาดรุ้งรุ่งเรียวรวง

ที่ท้องจะกลวงหิวโหยอดหยาก
หากไม่มีมือทำ..
มือทองของชาวนาที่พลีหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาฝากไว้

หากไม่รู้คุณค่าธรรมชาติ 



และ...
มาตรแม้นชีวิต*ครูเพลง*
นั้นจักลำบากยากแค้น 
ที่สาวนาแสนอ้างว้างใจแทนสะเทือนสะท้อนใจแทน

ยามคุณครูเล่าว่า
ยากจนแม้นผ้าอ้อมก็ยังไม่มีพันกายเลย ยามเกิดมา..


หากทว่า..ณ.
วันเวลายาวนานที่ผันผ่านมา
ครูได้เพียรฝ่าฟันปีนบันไดฝัน
พลันหยิบเอื้อมดาวเดือน
มาประดับใจและกำนัลแด่ทุกดวงใจได้อย่างงดงาม

ที่หาใดเปรียบประมาณมิได้

และ
นี่คือคนของแผ่นดิน
หนึ่งในหกสิบล้านที่ฟ้าประทานพร...ให้มาประดับไทย..!!!


.....................................



ชลธี ธารทอง ครูเพลงเทวดาเพลง
 ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง 
(ผู้แต่งเพลงลูกทุ่ง) ปี 2542 วัย 67 ปี


 ครูชลธี ธารทอง มีชื่อจริงว่า 
นายสมนึก ทองมา เกิดที่ ต.สระสี่เหลี่ยม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี 
แต่มาตั้งรกรากอยู่ที่ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 
ในปัจจุบัน ที่บ้านยากจนมาก
ชีวิตเศร้ายิ่งกว่านิยายน้ำเน่า 
ตอนเด็กๆ ไม่มีผ้าจะนุ่งต้องเอาผ้าถุงมาใส่ไปโรงเรียน 
ต้องแวะเข้าป่าอ้อยกินอ้อยแทนข้าว 
อาศัยเป็นคนที่รักการเรียนมาก 
ทำให้กลายมาเป็นศิลปินแห่งชาติ 
และเป็นครูเพลงที่มีเพลงดังจำนวนมาก
ในยุคสายัณห์ สัญญากำลังเฟื่องสุดๆ 


อีกทั้งยังได้ฉายา "เทวดาเพลง" 
หลังจากยิ่งยง สะเด็ดยาด เป็นคนตั้งใหญ่ 
ผลงานที่ขึ้นชื่อของชลธี ธารทอง 
มีมากมาย อาทิ เพลง "ล้นเกล้าเผ่าไทย"
 "เทพธิดาผ้าซิ่น" จนถึงเพลง
 เรียกพี่ได้ไหมและล่าสุด

 


ที่เพิ่งบันทึกเสียงเสร็จไป 
คือชุดที่สุนารี ราชสีมา ร้องให้ทั้งชุด 
อยากจะฝากถึงนักแต่งรุ่นใหม่ๆว่า 
การเป็นนักแต่งเพลงไม่ใช่เรื่องยาก 
ขอให้เด็กๆ สนใจภาษามากๆ
 แล้วจะประสบความสำเร็จ 
เพราะชอบภาษาไทย 
ตอนเด็กๆ แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด



ผลงานเพลงที่โด่งดังของชลธี ธารทอง 
ล้นเกล้าเผ่าไทย, ลูกสาวผู้การ, 
กินอะไรถึงสวย, จำปาลืมต้น, 
จดหมายจากแนวหน้า, จดหมายจากแม่, 
รักสาวไกลบ้าน, ไอ้หนุ่มตังเก,
 นํ้าตาหล่นที่โคราช, ทหารอากาศขาดรัก,
 วันนี้สวยกว่าเมื่อวาน, ไอ้หนุ่มทุ่งกระโจมทอง, 
พาร์ทเนอร์เบอร์ 5, คืนนี้พี่ติดเวร, 
หนาวลมห่มรัก, แหม่มปลาร้า,
 หนาวใจชายแดน, พอหรือยัง, 
นักเพลงคนจน, สำรวยลืมคำ, คำสั่งเตรียมพร้อม ฯลฯ 



สนใจขับร้องเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เล็ก เคยเป็นนักร้อง
เพลงเชียร์รำวง ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากครูสำเนียง
ม่วงทองหัวหน้าวงดนตรีรวมดาวกระจายให้เป็นนักร้อง
นำวงดนตรีลุกทุ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักจึง
นำประสบการณ์ความรู้ความสามารถในการเขียนโคลง 
ฉันท์ กาพย์ กลอน มาใช้ในการแต่งเพลง บทเพลงของ
ชลธี ธารทองมีจุดเด่นในการเลือกสรรถ้อยคำในลักษณะ
ของกวีนิพนธ์มาใช้ในการแต่งเพลง เนื้อหามีสาระ
ส่งเสริมคุณค่าวิถีชีวิตไทย 


ท่วงทำนองเพลงมีความ
ไพเราะตรึงใจผู้ฟัง บทเพลงมีความดีเด่นในศิลปะการ
ประพันธ์ที่ใช้ฉันทลักษณ์หลายรูปแบบ เป็นนักแต่งเพลง
ที่แต่งทั้งคำร้องและทำนองเพลงเอง ผลงานเพลงล้วนแต่
มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักฟังเพลง สร้างนักร้องลูกทุ่ง
ให้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากอาทิ 



สายัณห์ สัญญา, ยอดรัก สลักใจ, เสกสรรค์ ภู่กันทอง, 
วิลัย พนม,สดใส รุ่งโพธิ์ทอง, เสรีย์ รุ่งสว่าง, เอกพจน์ 
วงศ์นาค, บุษบา อธิษฐาน, สุนารี ราชสีมา 



เกียรติคุณที่ได้รับ

1. ได้รับพระราชทานแผ่นเสียงทองคำ 1 รางวัล 
2. รางวัลเสาอากาศทองคำ 3 รางวัล 
3. รางวัลงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยภาค 1-2 จำนวน 7 รางวัล 
4. รางวัลชนะเลิศเพลงประเพณีสงกรานต์ของสำนักงานคณะ
กรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 1 รางวัล 
5. รางวัลลูกทุ่งดีเด่นส่งเสริมวัฒนธรรมไทย 3 รางวัล 
6. โล่เกียรติคุณงานมหกรรมเพลงอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย
จากเพลง"อีสาวทรานซิสเตอร์" และได้รับเกียรติให้นำผลงาน
เพลง "ล้นเกล้าเผ่าไทย" แสดงในงาน 60 ปี เล่าขานตำนาน
ลูกทุ่งไทย 
ชลธี ธารทองมีผลงานการประพันธ์เพลงมากกว่า 2,000 เพลง

นายสมนึก ทองมา (ชลธี ธารทอง) จึงได้รับการยกย่องเชิด
ชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง 
(นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) ประจำปีพุทธศักราช 2542
..............
				
24 พฤษภาคม 2548 11:41 น.

เปลวเทียนปลายทาง!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html
(อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์*แสงเทียน*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1753.html
(ลูกทุ่งเสี่ยงเทียน)

....................


วิสาขะคืนเพ็ญนภาพร่าง

ยามตะวันโพล้เพล้

สาวนาเตรียมพับกลีบบัวละมุนพร่าง 
แสนหอมหวานด้วยเกสรระริน..ระริน

ทีละกลีบละกลีบ อย่างไม่รีบร้อน 

ด้วยดวงใจ...อันแสนอ่อนหวานอ่อนโยน
ละเมียดละมุน หอมกรุ่นหอมธรรม พอกัน


และ
แปลกดี..

ที่ใจดวงแก้วดวงใสแวววะวับดวงนี้ของสาวนา 
เพียรจัดดอกไม้ที่จะพลีเป็นพุทธบูชา..สองชุด

แทนอ้าย..ด้วย...ด้วยดวงใจหวังวาด

ว่าอ้ายอาจจะโผล่มาทัน วันแห่ง*รักนิรันดร์ของสองเรา*



ที่อ้ายเคยกระซิบบอกสาวนาไว้ว่า 
ทุกวันเพ็ญวิสาขะ
อยากมาเดินเวียนเทียนกับสาวนารายรอบโบสถ์คร่ำ

ที่เราสองนั้น
เห็นถึงสัจจะธรรมอันคืองามล้ำที่แสนยิ่งใหญ่

*ณ..ที่วัด ของเรา *

ที่แม้นจะแสนไกลปีนเที่ยง 

หากงามมลังเมลืองด้วยแสงเทียนทอในโบสถ์คร่ำ
ที่สท้อนผนังพร่าง...กระจ่าง.จับจีวรสงฆ์

จนอร่ามเรืองรองสุกปลั่ง
ด้วยพลังพุทธสีทอง*ดั่งแสงสงฆ์*

ที่ราวมาส่องนำทางสอนใจ ด้วยแสงเทียนไสวแสนสุขสงบงาม
 


มิต้องแย่งกันชุลมุน...ไร้ระเบียบ..

แค่มาเวียนผ่านๆไปให้ครบสามรอบแบบบางวัด
ที่คนไทยเราแสนสับสน  

ไม่มี..แม้นความนิ่งนึก
รู้สึกควรเงียบงาม เ พื่อ..เคารพสถานที่

ให้ชีวีพบความดำดื่มปลื้มปิติในรสพระธรรม อย่างล้ำลึก...แม้น สักวัน

ในยามย่างเยื้องร่างเข้ามา
กราบกรานบูชาพระประธานในโบสถ์

สถานที่อันแสนศักดิ์สิทธิ์..เขตธรณีสงฆ์



รู้สงบปากสงบคำ สงบกิริยา..
เพื่อน้อมนำชีวิตจิตวิญาณภายใน
ให้ซึ้งค่า จริงๆ... 
มิใช่แค่วิ่งทำตามประเพณี..แค่ให้ผ่านๆไป..กระไรเลยละหนอ



คนเอ๋ยคนไทยคนดี มิ่งมิตรน้องพี่
คนที่รักอิสระเสรี รักวัฒนธรรม ประเพณี 
ที่คงอยากสืบทอดความงามละมุน

หากไม่เคยพัฒนา ความคิด ให้รักความหอมกรุ่น
ความ ขลัง พลังแห่งความลึกซึ้ง ความดื่มด่ำ
ด้วยกาย วาจาใจ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน อย่างสมถะสงบงาม


ยังคงลืมตัว มีเพียงความไร้ระเบียบทุกถิ่นที่
แย่งกันพลีทำบุญ แบบชุลมุนวุ่นวาย ไม่ว่างเว้นแม้ในวัด

ราวไปสรวลเสเฮฮา 
ไม่มีคิวไม่มีแถว ..
ไม่มีแวว..แห่งความเงียบเสียงสงบงาม



และ..
ตามต่อจุดไฟให้*พลังธรรมแห่งชีวิตภายใน*

ได้ค้นพบแสงแห่งสวยใสสะอาดสว่างพร่างเย็นมิรู้สิ้นรู้จบ
น้อมมโนเคารพนบนอบกราบกราน

ตามด้วยดวงจิตรำลึกรู้....
*ว่าทุกสรรพสิ่งแสนสุขได้*
 ต้องค้นพบหาความสงบเย็นในตัวเรา..เพียงเท่านั้นเพียงเท่านี้


เรารักษ์ประเพณี หากไม่เคยคิด
ที่จะพลีจิตคิดน้อมนำมาฝึกร่ำพร่ำบ่ม
ให้รู้ซึ้ง..ค่าสัจจะจริงสัจจะใจ

เพียงสิ่งใดก่อนอื่น 

แค่รักษา กาย วาจาใจ 
ให้รู้รักความนิ่งเงียบงาม แม้นยามอยู่ภายในวัด 
แม้นสักขณะ..ไม่นานนาทีก็ยังดี


เพราะที่นี่มิใช่ศูนย์การค้า
ที่จะมาพากันเดินพล่านอลหม่านอลวน

ที่นี่คง....*ไม่ต้องการความวุ่นวายหนอ ความขัดข้องหนอ*

นอกจากอยากก่อกมลทุกดวงใจพุทธศาสนิกชน
ให้ชื่นฉ่ำพบ ความละเมียดละมุน
ที่แสนงามล้ำค่า 



ที่นับวันจะหายากในมวลมนุษยโลก
ผู้ที่แสนฉลาดคิดค้น
และเชื่อว่า เราคือผู้ประเสริฐยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด

ไม่..!แม้จะยอมฟังยอมแพ้ธรรม ธรรมชาติ 

ที่ฝากบทเรียนพิโรธ...ให้ไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า

ว่า..*พวกเจ้าจะพาโลกไปพบความเจริญฤาหายนะเร็วเข้า..

*ได้จงโปรดไตร่ตรอง*


ธรรม ธรรมชาติ..ที่หวังเพียง
*สอนคนค้นคน*

ผู้คิดประดิษฐ์วัตถุมากมายมากมี...จนจะล้นโลก..

ทุกสรรพสิ่ง

หวังเป็นพลังยั่วยุให้มนุษย์ไร้สติได้วิ่งตาม เติมสุข 
มัวเมาเขลาหลงพะวงหาแค่ความสนุกสนานเริงร่า

แต่ทว่า ในทางจิตวิญญาณ 
เรายังมิเพียรพัฒนา
ให้เข้าถึงแม้คำว่า..*สมถะธรรม *ที่ควรรู้คำพอดีพอเพียง
............




สาวนา..ดีใจ..ที่ไม่ต้องเลี่ยง
ไปพบภาพแบบนั้นอีก

 แบบในครั้งหนึ่งนานมาที่สาวนา
ไปธุระในเมืองบางกอกแล้วเลยเคยไปเวียนเทียนกับเพื่อน..

สาวนาจดจำได้แม่นยำถึง
คืนนั้นที่มิใช่คืนวันนี้
ที่สาวนาเวียนเทียนด้วยความเวียนใจเวียนศีรษะเสียมากว่า



สาวนา..งง..มากที่รับทราบว่า
ผู้คนมาเวียนเทียนกันตั้งแต่วัน ...

ทั้งๆพระจันทร์...ยังมิทัน**โผล่เพ็ญผ่องส่องรัศมีทรงกลดเต็มดวง**

ประตูโบสถ์ยังไม่เปิดด้วยซ้ำ




ไม่ฟังพระเทศน์ให้ศีลให้พร 
ด้วยแสงแดดแผดร้อนพาให้รีบเดิน

ไม่ได้ค่อยๆเดินตามๆกันไปแบบจงกรม
และตั้งจิตตรงจิตมั่นอธิษฐานตั้งสัจจะภาวนา
คิดดีพูดดีทำดี
และ
สรรสร้างชีวีให้งามกระจ่างใสไร้พายุกิเลสใดมาแผ้วพาน



ในท่ามมนตรามหาศาสนพิธี...
จากเสียงสวดให้พรของพระสงฆ์ที่ลงโบสถ์

เพื่อน้อมสัตยาฐิษฐาน
พลีดวงจิตวิญญาณน้อมคารวะแสดงมุทิตาจิต

รำลึกนึกถึงรู้ถึง
*พระมหากรุณาธิคุณบุญบารมีขององค์พระสยมภู*
ที่เพียรค้นพบ..*อริยสัจจ์สี่..*คู่โลก..

มานับเกินสองหันห้าร้อยกว่าปีแล้ว...อย่างก้องกระหึ่ม

ก่อนที่จะพากันเดินเข้าแถวช้าช้า พาชีวีให้นิ่งงามเงียบสงบ..
..........




แต่ณ..ที่นี่ บ้านนอกคอกนา
ที่ที่สาวนากับผู้คนไร้การศึกษายังมีอาชีพทำไร่ทำนา

กลับดูทุกคนต่างเงียบสงบงาม

ค่อยๆเดินตามกันไป..

ในมือมีโคมเทียนไสว
มีดอกไม้รายรอบบ้าน..ที่งามง่ายหากสวยสมถะ
เพราะ..
มาอยู่ในมือคนผู้รู้ค่างามสงบสมถะพอเพียง



และ
ในเบื้องใต้ราวฟ้า...
ในท่าม...คืนเพ็ญ เด่นดวง

ที่...
ราวโสมสรวงส่องผ่องผุดพราว
ล้อมด้วยดวงดาวดาราราย..ดาระดาด
ฉาดฉายแสงพร่างกระจ่างพรายรัศมี..


ในท่ามแสงจันทร์ทรงกลดสดสีรัศมีนวลเย็น..งามตา

จันทร์วิสาขะ..ปุรณมี ลอยเด่นดวง..เหนือยอดโพธิ์พุทธพิสุทธิ์ใส
ฉาบใบอาบทาบทาราวทองคำสุกปลั่ง...

กำลังพลิกพลิ้วเปล่งแสงระยิบระยับ
ยามกระทบกับแสงจันทรา
และ
ดวงดารารัศมีที่พร้อมพลีกระพริบสะพรั่งพราว

อันคือ..*งามให้พลังแด่มวลมนุษยโลก*ให้รู้หยุดโศก สุข วางว่าง
ส่องกระจ่าง หยาดสายแสงแสนหวานที่สุดแล้ว



ในราตรีแห่งมนตรา
ที่ราวกลับมาส่องหล้าสยบสุขทุกข์ที่บุกโหมให้หลงลืมตัวมัวเมา

นี้ที่นับวันก็ราวกันกับ...*แสงเทียนในมือ*
ที่ริบหรี่ไหว มิรู้ทันเท่าเข้าใจโลกแลชีวิต
มิอาจจักสถิตทอดนาน

มิรู้ว่าวันใดที่มิอาจทานพายุกล้าพญามัจจุราชมารอรับ
 พลันแสงแห่งชีวีจะมอดล้าลาดับหามีจีรังไม่



หากเพียงยังคงโชคดีมีแสงพร่างไสวสักชั่วขณะ 

ยามที่แสงชีวิตแสงทียนยังโชติช่วงจำรัสชัชวาลย์
ให้พลังไฟจากพายุฝันพลันโหม..

มานำทางกระจ่างจิตมาสอนชีวาชีวิต

*ให้รู้อยู่อย่างมีมรณาณุสติ..มิประมาท*

มิขาดความเพียร
ที่จะคิดดี พูดดีทำดี ทำสิ่งที่ชอบสร้างสรร 



ก่อนวันแห่งความจีรังฝังร่างในผืนพสุธา
ที่จักมาถึงไม่นานช้าทุกถ้วนทั่วตัวคน มิเว้นวาย
ให้ ต้องพบความตายเป็นที่สุดรอบทุกคนไป

ก็จงใช้ไฟฝันนั้น
ให้พลันเกิดก่อต่อประโยชน์ต่อผองชนจนเต็มความสามารถ..
...............




สาวนา..จึง
แค่คิดคิดไปหวังใจปรารถนา ..
ว่ากระทรวงวัฒนธรรม 
จะหันมาเพียรฟื้นฟูอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี 


และ..
ในขณะเดียว
ก็ควรที่จะมีมาตรการควบคู่....รู้สอนงามใจ..ให้คนไทยงามพร้อม

สอนความรู้เคารพสถานที่ 
รู้ที่จะพัฒนาจิตคนควบคู่กันไปด้วย



เพราะมาตรแม้นเรายังคงรักษาสถานที่เอาไว้ได้ 
หากสิ่งสำคัญมิใช่งามเพียงถาวรวัตถุ

*อัญมณีจิตของมนุษย์พุทธศาสนิกชนคนไทยทุกดวงใจ*
ต่างหากที่พึงควรตระหนักให้มากกว่า 

ให้พึงรู้ค่าคำว่า..*เคารพสถานที่*
รู้ดีชั่ว รู้กาละเทศะ

รู้วางตัวให้สงบงามละมุนละเมียด
เพื่อสืบทอดความอ่อนโยนอ่อนหวานแบบกุลสตรีไทยบุรุษไทย
 


ที่ใครๆและผู้คนทั่วโลกทุกมุมโลกเคยยกย่องชื่นชมว่า
ไทยเราในสุวรรรภูมิ
*คือดินแดนแห่งรอยยิ้มอันตรึงตรา
น่าหลงใหลเสน่หาในคำว่ามิ่งมิตรไมตรี*



ที่..
ยังมีดวงดอกไม้ศรีแห่งชาติ...
*กุลสตรีไทยแสนงาม.*รู้รักนวลสงวนตัว

รู้รักษาสืบทอดขนบธรรมเนียมแสนดี..จารีตประเพณี

ที่ก่อเกิดมาจากภูมิปัญญาบริสุทธิ์
จากวิถีชนแห่งชนพื้นบ้าน
อย่างชาวไพร..ชาวบ้าน..ชาวนา
ที่ใช้ชีวิตแสนเรียบง่ายธรรมดาๆ



หากไยถึงสามารถสร้างงานงามประเทืองจิต
ราวนิรมิตจากใจทิพย์สรวงมาพึงดล

ดั่งหยาดละอองน้ำฝนน้ำค้างพร่างพรม
มาประดับโลกหล้าใต้ฟ้าแสนงาม

ให้ยังมีหอมหวานราวยามอรุณรุ่ง 
ลบเร่าร้อนวายวุ่น ในโลกศิวิไลซ์ ให้หมุนช้าลงๆ..




และ..
ยังมีความละเมียดละไมประณีตรัดร้อยสอดสร้อยถักสาน
ผ่านงานงามศิลป...ไทย  ทั้งสิ้นทั้งปวง

มาเรียงร้อยดั่งสร้อยเพชรแห่งผืนหล้า
มาเรียงรายฝากสอนใจคนไทยว่า


เรามีบุญนักที่ยังได้หยัดยืนในผืนแผ่นดินอันแสนอุดมยิ่งนี้
คือ แผ่นดินไทยแผ่นดินทองแผ่นดินธรรมนั่นเอง

และ
ยังได้มีชีวีพลีสร้างสรรสานฝันรจนาฝันให้เป็นจริง
ทำสิ่งแสนดีแสนงามมากมาย ฝากไว้ให้ลูกหลานสืบทอด



 เพราะมิฉะนั้น
ฝันแสนดี จะมลายหายไปกับชีวีชีวิตคนเมือง
ที่รีบเร่ง..ร้อนรุกบุก..โหมทำลาย...ไปเสียทั้งสิ้นทั้งหมด

ไม่งดเว้นแม้นความละเมียดในวัด
ให้กลายเป็นวิถีตัวใครตัวมัน 
พากันเร่งเวลา พากันขาดความประณีตในทุกสิ่ง
.........


สำหรับ
สาวนา..เกิดมาที่นี่  กับใจดวงดีกับวิถีชนบท 
กับกระท่อมไพรกระท่อมใบไม้ที่แสนงามง่าย

หากสาวนาก็แสนรู้สึกดี แสนจะมีความภาคภูมิใจ
รักรู้งามง่าย
ใช้ชีวีอย่างมีความพอเพียง พอดีพอใจ..เลยแสนสุขในเสียไม่มี
และ
รำลึกรู้คุณค่าสิ่งรายล้อมหอมชีวีเหล่านี้
ที่ใครจะมาแลกด้วยเงินตรา 
พาสาวนาไปเป็นสาวเมืองเรืองรุ่ง...สาวนาคงไม่มุ่งหวังแปรใจ


ขอเพียงดวงจิตไสวของสาวนา..

ยังคงได้ใช้ชีวาได้หอม..กลิ่นวัวควาย ในนา...
ได้กลิ่นข้าวใหม่  ที่ค่อยค่อยไหวเรียวรวงระย้าย้อย
ค่อยๆห้อยเคลียดิน...
รอรับหยาดละออละอองน้ำค้าง ทุกอุษาวดี
ได้เดินอ้างว้างด้วยใจดวงดีดวงสมถะ
พาร่างไปสัมผัสพวงพะยอมดวงดอกไม้ป่า 



ได้นอนทอดตา
เหนือลานหญ้าลานหินดูท้องฟ้างามกระจ่างใส
ฟังเสียงดุเหว่าไพรเรไรร้อง
กบเขียดในขนำนาพากันประลองเสียงเถียงกันระงม


 ฟังเสียงสรรพสัตว์
ที่ร้องกรรโชก...ลอยลมมาในยามค่ำ..อย่างไม่พรั่นใจ
เพราะคือมิ่งมิตรน้อยใหญ่...ที่เคียงคู่ใจสาวนามาชั่วชีวี
ให้ราตรีราวมีเพื่อนไพร ไม่ดายเดียว..เลย

ไหนจะได้ลุยโคลนเลนไถนาได้ กอดวัวควาย มิเหว่ว้า
ได้ไปเก็บเห็ด..หาผักหญ้า..มาแค่ดำรงชีพชอบ



ได้ประกอบชีวีหว่านไถ 
ผลิดข้าวรวงไสวให้ชาวไทยชาวเมืองได้อิ่มท้อง
ได้เอาข้องไปจับปลา ยามฝนมาและขังนาเจิ่งนองไปทั่ว



ให้ดวงใจพิสุทธิ์ใสหวานได้เดินไปวัด...
ท่ามรอยทางแหวกพงหญ้าฝ่ากอข้าวในนา
พานพาให้เรียวแก้มแตะแต้มด้วยพรายหวานของดอกข้าว
ให้ดอกหญ้าเจ้าชู้ติดผ้าถุง
ได้แหงนเงยหน้าบอบบางละมุนดูเรียวรุ้งแสนงามยามฟ้าหลังฝน



ดูหยาดน้ำค้างกลางใบบัวราวเกร็ดเพชรวะวับวาว
ยามสาวนาพายเรือไปเก็บบัวบุษย์พิสุทธิ์งาม

มาพับกลีบกราบกรานพลีถวายเป็นพุทธบูชาในวันพระ
ให้จิตใสได้น้อมนำฟังธรรมอันคืองามจิตดื่มด่ำ

ที่จักพร่างริน
เข้าไปถึงจิตภายให้ใสเย็นฉ่ำให้สว่างกระจ่างสงบงาม
ในทุกยามแห่งชีวิตนี้ที่แสนสั้นนัก
........




และ..แล้วคืนนี้
สาวนาก็..มาเวียนเทียนรอบโบสถ์คร่ำ ..ลำพัง...
ไร้ร่างอ้ายคนดีมาเคียงข้าง..มาบนบานตั้งสัจจะจิตอธิษฐานใจ


มีเพียงโคมทียนแก้วไสว..พร่างสว่าง
ส่องฉายฉาบอาบไล้ใบหน้าสาวนาให้งามละออสุกปลั่งดั่งทองทา




และ
กับหอมพิกุล...ที่ดวงดอกหยักพร้อย สอดสร้อยสลักเสลาแสนวิจิตร
ราวสายสร้อยเพชรที่สาวนาเคยเรียงร้อยในยามเยาว์วัย...

ลั่นทม... ที่ไร้ใบมีเพียงกิ่งก้านกับหวานดอก
พร้อมเกสรดอกบัวพร่าง
และ..
ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ใบดก ให้ฝูงนกกามาพึ่งพิง


ที่..ณ นาทีนี้
จันทร์นวลดวงทองผ่องเพ็ญ
กำลังพร่างแสงสล้าง
ทอแสงไสว..รำไร..รำไร..เหนือยอด

ทั้งเสียงสงฆ์เสียงธรรมและแสงเทียน..
กำลังพร่างเคล้ากันมานำทางใจ..ให้กับสาวนา..และทุกอุบาสกอุบาสิกา



ที่เดินกำลังเดินช้าช้า 
ด้วยความศรัทธาปสาทะอย่างแรงกล้าอย่างเงียบงาม
ยิ่งพาให้จิตสวยใสสงบสะอาดสว่างพราวพอกัน

ให้สาวนาได้ใช้พลังแห่งความนิ่ง
ตั้งพลังจิตอธิษฐานและสัจจะ




ให้ชีวีอ้ายแลสาวนา...
ได้เพียรพาพบมงคลธรรม
*อันคือพลังปิติเกษมตราบจนวันตาย*

ให้ได้ใช้ชีวีที่เหลืออยู่ ดั่งธุลีหล้าน้อยนิด 
คิดดี คิดชอบ ประกอบบุญกุศล
ในร่มฉัตรไตรรงค์ 
ในร่มพระรัตนตรัย
ในร่มฟ้าไทยพุทธภูมินี้



ให้เราทั้งสองชีวี
และทุกคนดีคนไทย
ทุกดวงใจทุกมิ่งมิตรที่เราแสนรัก
จัก ได้พบทางสู่พระนิพพาน 

ผ่านเพียรด้วยการรู้ให้ทาน รักษา ศีล  ภาวนา พามีสมาธิ ปัญญา 
พาพบพระธรรมอันแสนล้ำค่าที่พระพุทธองค์
ฝากไว้..ให้ดั่งอยากให้เราเป็นดั่งเช่นบัวพ้นน้ำ



*ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ
ความสุขชนิดนี้ สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง

ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่น แสวงหาความสุขจากที่อื่น
เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อล่อให้ตัวเองวิ่งตาม
แต่ก็ตาม ไม่เคยทัน...*



*........
ดูกรภิกษุทั้งหลาย! 
บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว..
ขอเตือนเะอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อม และสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด..*




และ
สุดแล้วแต่ดวงจิตใสดวงใจใครจะไขว่คว้า
ก่อนที่จะฝากชีวาไว้กับผืนดิน
ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง
ทั้งความดีเลว..อย่างสมค่าคำว่าเกิดมามิเสียชาติเกิด*

**********************




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html
แสงเทียน เพลงพระราชนิพนธ์ 


จุดเทียนบวงสรวง ปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้า ถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอ ล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้น ทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้ว ตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดา ข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน

เปรียบเทียนสิ้นแสง ยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉา เหมือนเงาไร้ดวงเทียน
จุดเทียนถวาย หมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียน แสงเทียนทานลมพัดโบย
โรครุมเร่าร้อน แรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิด เกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่
เคยทำบุญทำคุณ ปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน
แสงเทียนบูชาดับลับไป... 
 




ลูกทุ่งเสี่ยงเทียน 
ชินกร ไกรลาส 
ลูกจุดเทียนอธิษฐาน
บนบาน ทวยเทพ-ไท
วอนคุณพระรัตนตรัย
ฟังคำ พร่ำไข ขาน
เทียนเล่มนี้ คือ ชีวิต
แม้นโชคโสภิต
โปรดช่วงชัชวาลย์
แม้ลูกโชคร้าย เพียงวายปราณ
พระพายจงปฏิหารย์
ดับเทียนลูกนั้นทันใด
พรหมบันดาลสวรรค์ลิขิต ในอตีต
แห่งชีวิตลูกนี้
มีแต่ตรมขื่นขมทวี นานปี
ไม่มีแจ่มใส
ลูกผิดหวัง ลูกพลั้งพลาด
หมายใดมุ่งมาด กลับพลาด ไป
น้ำตาหยาดย้อย แต่น้อยจนใหญ่
มิมีผู้ใด เยื่อใยเวทนาการ
กลิ่นธูปควันเทียนที่ในกระถาง
บัวน้อยที่วางหน้าพระประธาน
ลูกสังเวยบวงสรวงอธิษฐาน
น้ำเสียงบนบานไปสู่พระพรหม
พระสร้างลูกไว้ ในโลกกว้าง
พบความอับปาง แทบสิ้น ลม
เมื่อไรจักพ้น ทาง ระทม
พระหัตถ์แห่งพรหม
โอบอุ้มลูกที
เทียนเสี่ยงทายประกายวับแวม
ไม่แอร่ม แจ่มหวนโหย
ลมสงัดไม่มีพัดโชย โบยต้อง
ให้หมอง ศรี
กรรมแต่หลัง ยังไม่ลับ
แสงเทียนไม่ดับ แต่ริบ หรี่
แสงเทียนอยู่ยั้ง หวัง ยังมี
ขอรอโชคดี สักวันคงมา... 

.............
 
 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสาวบ้านนา