11 เมษายน 2549 12:32 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5453.html
เสียงไก่ขันก้อง
พร้องเสียงนกการ้องกระจิ๊บๆรับอรุณรุ่ง
สะเทือนทุ่ง สะเทือนนา
ยามฟ้าเริ่มสลัวสลัวเลือนลาง
กับ..
ฟ้าใกล้สว่างรำไรรำไร..
กลิ่นลั่นทมริมหมอน...หอมพร่าง
มาอวลปลุกให้สาวนา..รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา...
และ...
กับดวงดาราราย..
สาวนา...ค่อยๆยิ้มพราย
รับ..
สายแสงจันทราที่ยังค้างฟ้า
ที่พร่างพาสายแสงแสนหวาน
หว่านแสงสีเงินยวงระยับระยิบ
มาโลมไล้ร่างให้พริบพราวสว่างนวลพอกัน
ในท่ามวิมานฝัน วิมานนา กระท่อมไพร
วันนี้ เป็นวันสุกดิบก่อนวันมหาสงกรานต์
วันแห่งประเพณีไทยโบราณ ที่แสนงามนัก
หากทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่านไป
ลูกหลานไทยกลับ ทำในสิ่งน่าเศร้าใจแทน
ด้วยสนุกสนานสราญใจจนขาดสติ
และ..
ทุกปี....
ก็จะเกิดการพรายพลัดพรากจากจบ เจ็บนับหลายร้อย
ให้คนทั้งโลกหล้าต่างพากันตกตะลึง
คิดไม่ถึงว่า...ด้วยเหตุใดเล่า
เมืองแห่งความงามพราวไสวด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ
และ..
เมืองแห่งพระพุทธศาสนาไท
ที่เน้นย้ำสอนเรื่องจิตภายใน ให้ถึงพร้อม
ด้วยศีล ทาน ภาวนา
ว่า..
จักมีคนหนุ่มสาวมากหน้าพากัน
หลงเมามาย จนไร้สติสตังค์ ให้แม่พ่อสิ้นหวัง
ยังไม่ทันได้ฝากผีฝากไข้
ยังไม่ทันได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายเลย
ก็..
มาลาเลยเลือนลับดับไปด้วยความประมาท
ฝากไว้เพียงหยาดน้ำตา
อย่างไม่สมค่าคน
ที่แสนโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
ยังไม่ได้เพียรภาวนา
พาตนพ้นทุกข์ พบสุขว่างกระจ่างจิต
ให้ลมหายใจแห่งชีวิตหนึ่งชาติสูญเปล่า..
จนช่างแสนน่าเศร้าใจ..สะเทือนใจ...
ปีนี้
นางสงกรานต์มีนามว่า "กิทิมาเทวี"
ทรงทัดดอกจงกลนี
ประดับอาภรณ์ด้วยแก้วมรกต
ภักษาหารกล้วยน้ำว้า
พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์
ซ้ายทรงพิณ ทรงกระบือเป็นพาหนะ
ปีนี้พืชพรรณธัญญาหารอุดม
ฝนหนัก พายุร้าย จะเจ็บตายกันมาก
สาวนา...จึงแสนห่วงใย
กับคำพยากรณ์ที่ว่า
จักมีพายุร้าย จะเจ็บตายกันมาก
ฝากไว้เพียงน้ำตาระทม
หากเรา..
ยังมัวเฝ้าหลงประมาท มิระวังระไว..
สำหรับ...
ดวงใจสาวนานั่นไซร้..
ทุกเช้าค่ำ
เพียรฟังคลื่นวิทยุธรรมทานสีขาว
ที่..
เฝ้าเพียรสอนให้เรารู้ทันเท่า..
เฝ้าตามดูจิตเกิดดับณ..ภายใน
ไม่ว่า...
จะทุกผัสสะใดมากระทบ
จักต้องรู้จบรู้วาง
ไม่ยึดมั่นถือมั่น...ไม่ว่าสุขเศร้า ดีร้าย... คล้ายให้ผ่านๆไป
ประดุจดั่งสายน้ำไหล
ให้..
มีเพียงจิตดวงใส มีเพียงความเป็นกลาง
จึงจะพบความว่างกระจ่างสว่างสะอาดสงบ
พบเพียงใจดวงนิ่งนิ่ง ลำพังแสนงาม
เช้านี้ ...
สาวนาจึงตั้งใจไปวัด
ไปน้อมนมัสการอัฐิหลวงพ่อ
ไปก่อเก็บเกี่ยว..เพียงหอมบุญ..ให้หนุนนำจิตให้ไสว
ไปถวายพวงมาลัยดวงดอกไม้
กราบกรานองค์พระประธานองค์โตในโบสถ์คร่ำ
แล้ว..
น้อมนำจิตพลี..สวดมนต์ภาวนาสมาธิ
ก่อน....
จะถึง..วันพรุ่งนี้...ที่สาวนาจักเดินทาง
ไป*บ้านทะเล...*
ไปดูดวงดอกไม้บานหวานเหว่ว้าริมทาง
ที่..
คงพร่างพรายสีสันหลากหลาย
ร่ายฟ้อนอ้อนสายลมร้อนแห่งคิมหันตฤดู
ไป..
นอนเหนือเนินทรายดูเกรียวเมฆแสนหวาน
ไปดูดวงดอกดกตระการปาริชาติสีแดง
ไป..
แฝงตัวนั่งริมหาดทราย
ดูคลื่นเคลียไคล้ไล้โลมโถมถาโอบกอดชายฝั่ง
ไป..
ฟังเสียงสนครวญ
ไปชมมวลหมู่นกนางนวลปีกขาว..แสนอิสราเสรี
ที่พากันผกโผผินบินโฉบเหยื่อ
เหนือฟองคลื่นพราว ระลอกพลิ้ว
ที่ค่อยๆทอยทอดมารัดร้อยฝากรอยจูบผืนทราย
ไปเดินดายเดียว
ให้ริ้วสายลมพัดผมกระจาย..อย่างไร้สิ้นพันธนาใด
ไป..
ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ในวาดวงทะเลแสนงาม ในท่ามโลกแล้งร้ายรายรอบเพียงนั้น..!
...................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5453.html
สงกรานต์บ้านนา ...สุขสันต์ วันสว่าง
ประเพณีไทย
เมื่อสมัย ครั้งเก่าก่อน
เล่น แอบซ่อน
รูปหลวง พวงมาลัย
ตรุษ สงกรานต์
สนาน สนุกกัน พอใจ
พี่ วิ่งไล่
น้องก็หลบ เมื่อ พบหน้า
พี่ เข้ากอด
น้องยังออด ทำ เอียงอาย
คืน เดือนหงาย
พอพี่จูบ น้อง ทุบพลาง
นอน หนุนตัก
สัญญารัก ข้าง กองฟาง
จน แสงเดือนจาง
พี่ไม่ยอมห่าง น้องไปไกล
ลืม น้ำคำของพี่ เสียหมด
พี่คงอด เที่ยววันสงกรานต์
เดือนอ้าย
ย่างเข้าเดือนยี่
แล้ว น้องหนีพี่ไปไหน
หรือเจ้า ไปมีแฟนใหม่
ลืมเราวิ่งไล่ ในวันสงกรานต์
รัก กัน มา
แต่เมษา วันที่เก้า
เศร้า ปีนี้เศร้า
ขาดคู่เคล้า เศร้าซมซาน
คืน วัน เพ็ญ
แสงเดือนเด่น เป็นพยาน
กลับเถิด นงคราญ
มาเล่นสงกรานต์
ที่บ้าน นา เรา
ลืม น้ำคำของพี่ เสียหมด
พี่คงอด เที่ยววันสงกรานต์
เดือนอ้าย
ย่างเข้าเดือนยี่
แล้ว น้องหนีพี่ไปไหน
หรือเจ้า ไปมีแฟนใหม่
ลืมเราวิ่งไล่ ในวันสงกรานต์
รัก กัน มา
แต่เมษา วันที่เก้า
เศร้า ปีนี้เศร้า
ขาดคู่เคล้า เศร้าซมซาน
คืน วัน เพ็ญ
แสงเดือนเด่น เป็นพยาน
กลับเถิด นงคราญ
มาเล่นสงกรานต์
ที่บ้าน นา เรา...
6 มีนาคม 2549 09:27 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song200.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html
(ในฝัน..เดือนต่ำดาวตก))
.............
สาวนา...ตื่นมาด้วยความเศร้าใจ...ในเช้าวันนี้
เพราะ..
เมื่อคืนสาวนานอนฟังวิทยุ
ถึงสถานการณ์บ้านมืองแล้ว...แสนห่วงใยอย่างที่สุด..
และ..
สาวนาต้องทำใจเป็นกลาง
เพราะ..
เป็นเรื่องอ่อนไหว..
ทั้ง..เรื่องศาสนาและการเมือง
ไม่ควร..
ที่เราจะไปนำมาถกเถียงกันไปมา
หาก
เพราะเป็นเรื่องต่างคนต่างทัศนต่างความเชื่อ
หาก
ไปพูดกับคนใจร้อนขาดเหตุผล
ไม่ยอมรับความแตกต่าง
ก็..ย่อมสร้างความไม่สบายใจกันทั้งสองฝ่าย
สาวนา...จึงทำได้..เพียงทำใจสงบ
และ ..
สวดมนต์ภาวนา
ให้...ฟ้าดินอินทร์พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์
และ...พระสยามเทวาธิราช
รวมทั้ง..
ปวงบรรพชนแห่งแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของเรานั้น
ได้ปกป้อง..
ให้นักการเมืองและคนไทย
ได้รู้รักสามัคคี
รู้สมานฉันท์กัน
เพื่อ..
เห็นแก่บ้านเมือง
พยายามหันหน้ามาเจรจากัน
และ..
หาวิถีทางที่จะยุติปัญหาที่กำลังพาบ้านเมืองวายวุ่น
จนเศรษฐกิจกำลังจะพัง..
นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้าเข้ามา
เพราะ...
มองเห็นข่าวเห็นภาพ
ราวบ้านเมืองเรากำลังจะจลาจลกัน..ก็ไม่ปาน
และ...
ที่สำคัญ
ไหน...จะปัญหาสารพันในบ้านเมือง
ทั้งความไม่สงบภาคใต้
ทั้ง..
น้ำท่วมที่เพิ่งผ่านไปและไหนจะสารพัดโรคภัยตามมา
หลังจากน้ำลด
และ
ไม่ทันไรภัยแล้งในหน้าร้อนนี้
ก็กำลังจะมาเยือน
รวม53จังหวัด...กระจายไปหลายอำเภอทุกภาค
ที่
รัฐต้องเตรียมแก้ปัญหา
หากทว่ามัวแต่รบรากันเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง
สาวนา ...อยากหลั่งน้ำตา
กับทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
และ...
บางเรื่องราว
แม้นไม่ได้มากระทบกับวิถีชีวิตสาวนาโดยตรง
หาก..
ตราบใดที่เรายังเป็นคนไทย
ต้องดำรงร่างใจในแผ่นดินไทยนี้
เรา..
ก็ย่อมหนีไม่พ้นความรักชาติบ้านเมือง..
สาวนา..เริ่มไม่สบายใจ
จึงหาทางคิดทำใจให้ธรรมะมาช่วยรักษา
และ
เตรียม..
หาทางช่วยชาติอย่างฉลาดทางอ้อม
อย่างไม่ยอมแพ้..!
สาวนา..
จึงกำลังจะพลิกฟื้นผืนดิน ที่ว่างเปล่าอยู่ราวสิบไร่
ที่..
สาวนาเคยให้สองสามีภรรยาชาวไร่
มาช่วยปลูกพืชผักไว้กินไว้แจก
หากทว่า...ในวันนี้
สาวนาพร้อมที่จะเตรียมปลูกพืชชนิดใหม่
ที่ชื่อ
*สบู่ดำ*
เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ไม้ยางพารา
เช่นเดียวกับสบู่แดง ปัตตาเวีย
พืชชนิดนี้..
คือความหวังก่อนที่จะไม่มีน้ำมันให้ใช้
จึงมีการนำพืชที่สามารถใช้ทดแทนน้ำมันได้
มาสกัดใช้งาน
เมื่อ...วันหนึ่งน้ำมันจะหมดโลก
และ...
สาวนา อยากเป็นเกษตรกรตัวอย่าง
ที่..
จักไม่ยอมแพ้ ไม่ทิ้งถิ่น
เพียงถวิลรักท้องไร่ท้องนา
และ
รู้ทำกิน...
เพื่อ..
เป็นพลเมืองดี...
ที่ยอมพลีหยาดเหงื่อระริน
เพื่อ..
สนองพระเมตตามหากรุณาธิคุณของในหลวง
ที่มีแด่ปวงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ดำเนินตามรอยพระราชดำริ
ที่เพียรสอน
ให้รู้รักค่าความสมถะพอดีพอเพียง
รู้เลี่ยงกิเลสที่อยากได้วัตถุ จนไม่รู้หยุดรู้พอ
นานมาแล้ว...
ที่สาวนาเคยอ่านพบในหนังสือ
ถึง..
ผู้หญิงบางคนที่มีรองเท้า หลายร้อยคู่
ต้องใส่เสื้อมียี่ห้อหรูดูดีตลอด
แถมต้องพอกตัวพอกหน้า
ฉาบสีด้วยเครื่องสำอาง..อาภรณ์ภัณท์แพงๆ
ใช้...ชีวิตเพียงในแสงสีศิวิไลซ์
เท้าราวลอยไปไม่เคยติดดินถวิลไพร..
สาวนา..ก็งง งง
เพราะ..
วิถีชีวิตสาวนามีความสุขงามง่ายใกล้ตัว
ที่..
ไม่ต้องใช้เงินมากมาย...ก็..แสนสุขสงบได้
ได้นอนนิ่งนิ่ง ใต้ตาลหวาน
เคียงตระการด้วยดวงดอกตะแบก
ได้แหวกกอหญ้าพาเรือพาย
เก็บบัวมาน้อมนำถวายพระในยามค่ำ
ได้ฟังเสียงธรรมชาติดนตรี กบเขียดจิ้งหรีดเรไรร้องร่ำ
ได้นอนฟังเสียงเพรียกจากสายลม
ได้ดอมดมดวงดอกไม้ไทย
ได้ยินเสียงไหวหวานแว่วจากดุเหว่าไพรในยามอุษาฟ้าสาง
ยามฟ้าพร่างด้วยหยาดน้ำค้างพรม ..
ได้ยินเสียงไก่ขันปลุกให้ลุกตื่นมากับหอมๆลั่นทม
ดูดาวประกายพฤกษ์แสนสุกใส
ได้ก่อกองไฟให้ลูกควายสายน้ำ
ได้จูบหนอกกอดหอมดอมกลิ่นโคลนสาบควาย
ได้หุงข้าวใหม่
ทำอาหารสดสดรสดี..รอจัดสำรับใส่บาตร
พร้อม..
ค่อยๆพับกลีบบัว
ด้วยใจดวงนวลละมุนสะอาด
รอ..
น้อมพลีถวายพระสงฆ์ด้วยศรัทธาปสาทะ
แค่นี้ ดวงชีวาสาวนาก็แสนอิ่มเอมใจแล้ว
และ...ไหน
สาวนาก็ยังได้มีเวลา
เดินไปนั่งสมาธิในโบสถ์คร่ำ
อย่างดายเดียวลำพัง
ได้เพียรอบร่ำภาวนาจิต
ณ..เบื้องหน้าพระพุทธรูปสีทองสุกปลั่งองค์โต
ให้ใจ...แสนสวยใสแสนสว่างกระจ่างแจ่ม
เพิ่มแรงใจ
ให้เพียรมิท้อ
ที่จะต่อยอดบุญเสบียงบุญ น้อมหนุนจิต
ที่แสนภาคภูมิปิตินัก
ที่ได้เกิดมาใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตรเพชรอันแสนเรืองรอง
คอย
เป็น*ดั่งแสงเทียนส่องนำทางใจ*
ให้ไสวไม่มีวันมืดบอด...
ไหน..ในยามค่ำ
สาวนายังได้อยู่กับความเงียบเรียบง่าย
ใต้ชายคากระท่อม
ที่แสนหอมๆดวงดอกไม้...แสนสงบสุข
ได้จุดแสงเทียนอ่านหนังสือธรรมะ
ได้..
ฟังเพลงลูกทุ่งอันแสนอมตะคำ
รับ..
หยาดรินร่ำจนให้หลับฝันดี
เพื่อให้
มีชีวี ตื่นมาสู้โลก ในยามเช้า
เฝ้ารับ..
พลังสดชื่นด้วยอวลอากาศแสนบริสุทธิ์สดใส
กับ...ฟ้าที่แสนแจ่มกระจ่าง
กับ..ใจดวงที่ว่างเย็น ไร้รีบร้อนรุกเร้า
และ....
นี่คือชีวีสาวบ้านนา สาวบ้านป่าบ้านไพร
กับ..โลกไร้ศิวิไลซ์...ที่เลือกแล้ว...
...........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song200.html
ในฝัน ทูล ทองใจ
หากฝันว่าฉันและเธอ
ละเมอความรักร่วมกัน ทุกๆ วันแสน สุขฤทัย
หากความรักนั้นหนักเหลือ
แนบเนื้อเชื้อ รักดังไฟ ฉันขอตายบน ตักนาง
หากเราได้รักร่วมกัน
ผูกพันกระสันแน่นเหนียว
ขอรักเดียวไม่ จืดและจาง
หากเป็นดั่งเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่ขอห่าง
ขอรักนางเนื้อนวลแน่นอน
มอบ ใจ และกาย ทุกสิ่งมั่นหมาย
ถึงตัวตายไม่คลายรักก่อน
สู้ ทน อ้อนวอน ยอมฝันแม้ยามหลับนอน
ทนกอดหมอน นานมา
หากฝันฉันไม่หลอกหลอน
ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจปรารถนา
หากเป็นดังเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน
หากฝันฉันไม่หลอกหลอน
ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจ ปรารถนา
หากเป็นดังเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4913.html
ทาแป้งรอ
หรีดหริ่งเรไร
กล่อมพฤกษ์ไพรกล่อมใจชาวทุ่ง
เสียงกริ่งกริ๋งกรุ๋ง ที่คอควาย
บอกความหมายบ้านนา
กลิ่นแก้มชาวไพร
ไม่หอมไกล อย่างสาวเมืองฟ้า
การพูดการจา ก็ข้าแก
เพราะธาตุแท้ของเรา
ใครจะมาเป็นแฟน
ต้องให้เห็น
เกี่ยวข้าวเป็น หรือเปล่า
ใครจะมาเป็นแฟนชาวบ้านนา
เกลียดปลาร้า หรือเปล่า
น้องเกลียดคนเมา กับเจ้าชู้
เกลียดผู้ชาย หลายใจ
ถ้าอยากดูตัว
เปิดหลังครัว เข้าจอง กันได้
พร้อมจะเปิดใจ ให้เข้ามา
น้องจะทา แป้งรอ
หรีดหริ่งเรไร
กล่อมพฤกษ์ไพรกล่อมใจชาวทุ่ง
เสียงกริ่งกริ๋งกรุ๋ง ที่คอควาย
บอกความหมายบ้านนา
กลิ่นแก้มชาวไพร
ไม่หอมไกล อย่างสาวเมืองฟ้า
การพูดการจา ก็ข้าแก
เพราะธาตุแท้ของเรา
ใครจะมาเป็นแฟน
ต้องให้เห็น
เกี่ยวข้าวเป็น หรือเปล่า
ใครจะมาเป็นแฟนชาวบ้านนา
เกลียดปลาร้า หรือเปล่า
น้องเกลียดคนเมา กับเจ้าชู้
เกลียดผู้ชาย หลายใจ
ถ้าอยากดูตัว
เปิดหลังครัว เข้าจอง กันได้
พร้อมจะเปิดใจ ให้เข้ามา
น้องจะทา แป้งรอ...
8 กุมภาพันธ์ 2549 20:10 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ
................
แผลเก่าฤาแผลใหม่ในใจขวัญ
คือแปรผันดั่งรอยไถไร้ชีพชื่น
ทุกคืนวันแว่วเสียงขลุ่ยมิย้อนคืน
เฝ้าสะอื้นรอรักเก่าเรา..ที่เดิม...
วันแห่งรักแล้วไยเล่าเฝ้ากำสรวล
ใจนวลนวลเหมือนเปลี่ยวร้างกับเศร้าเพิ่ม
รอนกน้อยคล้อยหลงรังเคยต่อเติม
เหมือนทุกข์เพิ่มเหมือนไร้หวังสิ้นพลังรัก
เคลียหมอนนิ่มริมแก้มฟังแสนแสบ
อกก็แปลบใจก็ปลาบสิ้นไร้ภักดิ์
หัวใจเอยไยชาเฉยไม่อยากรัก
ใช่อกหักเพียงมันว่างณ..กลางใจ
ไม่มีใครไม่มีรักไม่มีรอ
ไม่วอนขอไม่อ้อนใครไม่หวามไหว
ไม่มีแล้วไม่มีแก้วเสน่หาณ..กลางใจ
ไม่มีใครในเส้นทางอ้างว้างลา
เส้นแห่งชีวีขนานใช่แอบชิด
คนละทิศคนละทางแสนเหว่ว้า
คืนของอ้ายรอสว่างพร่างพรายกับกาลเวลา
คืนของสาวนารอท่า..ฟ้ามืดมิด
จูบลั่นทมห่มผ้านอนนิทราฝัน
ไม่เอื้อมจันทร์ไม่คว้าดาวหนาวชีวิต
มีเพียงเงามายาคว้าลมลวงบ่วงลิขิต
มีเพียงสิทธิ์นับวันลา...อย่าได้พบ...
จบด้วยลืม...ลืม และลืม...ละคอนลม..
............................
ดูหนัง..*แผลเก่า*
ฟังแสนแสบ บรรเลง
ด้วยดวงใจว่างเปล่า ในคืนเหงางามเงียบงัน
ราตรียังคงหมุนมา
ทิวายังคงหมุนไป
ใครใครมีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มเติมมากับกาลเวลา
กับการรอท่า ความสนุกเร้าใจในชีวิต
ทิ้งทอด
ให้คนชิดใกล้ หนาวเหน็บดวงใจดายเดียว...
ในวันแห่งความรัก...
ละคอนลมลวง..
ควงพลิ้วระบัด*เช่นกังหัน*
ที่พัดผ่านคืนวัน
แล้ว
รอยรักรอยคำมั่นสัญญาใจ..
ก็...
แปรไป ก็แปรใจ *ดั่งรอยไถแปร..*เช่นเฉกกัน..
คนดี..
รอยแผลเก่า..
รอยแผลใหม่...
และ..
รอยแผลใจสุดท้าย
คงฝังฝากไว้ในกายสาวนา
ไว้..
กับผืนหล้า..นาเดิมนาดิน
กับถิ่น...กลิ่นโคลนสาบควาย
กับ
ร่างไร้ สิ้นแล้ว...หวานใด..หวานใจ..
...................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ
อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ
เจ็บจำดังหนามยอกแปลบ แปลบ
แสบแสนจะทน
โอ้ว่ากังหัน ทุกวันมันพัดสะบัดวน
อยากจะรู้จิตคน จะหมุนกี่หนต่อวัน
ย่างเดือนสิบสอง ฟากคลองเจิ่งนองน้ำหลั่ง
อยู่ไกลกันคนละฝั่ง ฝั่ง ยังร้องสั่งกัน
สิ้นเดือนสิบสอง น้ำนองแห้งคลองขอดพลัน
สิ้นความรักจากกัน
เหมือนกังหันเปลี่ยนทางลม
แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง
นี่คือโลงทองของเรียม ขวัญ เขาฝากชีพจม
แต่คลองยังช้ำ เหลือไว้แต่น้ำขุ่นตม
พี่จึงช้ำจึงช้ำขื่นขม ขม ตรมเสียกว่าคลอง
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน...
5 กุมภาพันธ์ 2549 10:32 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html
(ขวัญเรียม)
สาวนาไม่สบายมาหลายวันแล้ว
ได้แต่นอนซุกตัวในกระท่อมไพรกว้าง
อย่างดายเดียว
ยามราตรี..แหวกม่านมุ้ง
มองออกไปหาดาวประจำเมืองประจำใจ
แต่ทำไมแสงเรืองๆจึงดูริบหรี่ๆเสียเหลือเกิน
สาวนา..
ได้กลิ่นไม้ผลิใหม่ในราวป่าหอมอวลมา
กับสายลมอ่อนๆที่พัดพลิ้ว
พาให้หัวใจสาวนาลิ่วลอยราวกับได้ยินเสียงสายฝนชัดช่า
ที่สาวนาหลงรอท่า ที่พรากลาไปนานวัน
ให้หวนกลับมาชะล้างหลังคากระท่อม
และรอยหมองในดวงใจสาวนา
เสียงกระรอก
วิ่งไล่กันบนกิ่งไผ่ไหวเอนลู่ริมหนองน้ำบึงบัว
กลิ่นกองไฟคงใกล้มอดมัวดับ
มีเพียงควันคุกรุ่นลอยคว้างเป็นวงหายลับ
ไปกับท้องฟ้ายามสลัวมืดค่ำ
เจ้าสายน้ำและลาแล้ง
คงเบิ่งตารอท่าสาวนา
ไย..ไม่มาจูบโหนกหนอกบอกรักเหมือนเช่นเคย
เป็นค่ำคืนที่มืดมิดและแสนเย็นเยียบในดวงใจ
แสนแปลกใจที่สาวนาได้ยินเสียงนกฮูกร้องครางครวญ
ราวร่วมรับรู้อาการไข้ไม่สบายของสาวนา
สาวนาหลับๆตื่นๆในท่ามเตียงนอนนวลนุ่ม
หอมหอมผ้าห่มอ่อนอุ่นที่คลี่คลุมราวกับได้กลิ่นดวงดอกแดด
ในนิทรา..
สาวนาผวาละเมอ..
ฝันเห็น*ข้าวโพด*แตกยอดอวบอิ่ม*
ด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา
และ..
ไม่นานช้า ฝักข้าวโพดหวานก็ผลิละออไปทุกต้นสูงใหญ่
สาวนาดีใจ
ที่จะได้มีข้าวโพดฝักใหญ่ทำขนมหรือไม่ก็ต้มสุกแล้ว
นำไปถวายหลวงพ่อที่วัด
กับได้แจกไปตามบ้านเพื่อนญาติมิตรสนิทกัน
ให้ได้ทดลองชิมพันธุ์ใหม่
ที่แสนหวานมันส์อร่อยเป็นที่สุด.
หัวใจดวงซื่อใสหยุดละเมอเพ้อไข้
ด้วยรอยยิ้มหยาดน้ำตา
เมื่อ
ในท่ามนิทราฝันนั้น
พลันเห็นอ้ายพายพาเรือแจวไปตามบึงบัว
ในท่ามม่านฟ้าสลัวงามราวเรียวรุ้ง
พุ่งไปตามบึงพราวที่มีบัวดอกแดงนับพันพร่าง
ที่มี
สาวนานั่งราวแม่ย่านางกลางลำเรือ
ยิ้มแย้มยิ้ม ตาสบตาอิ่มเอม ไร้คำพูดใด
หากทำไมสายน้ำตา
สาวนาจึงไม่หยุดไหล
ราวปิติใจจนถึงยามตื่นอย่างชื่นฉ่ำทรวงเป็นที่สุด
ราวกับ
*เป็นความจริงเสียยิ่งกว่าจริง*
ทั้งๆที่..
เมื่อลืมตาตื่นมา..
ฝันนั้น..
ก็สลายลา..ลางเลือนไป..ราวกับม่านหมอกในยามเช้า..
ให้แสนเหน็บหนาวใจ...
เมื่อ..
ควานคว้าข้างกาย..ฤาจะมีร่างอ้ายเคียง ก็หาไม่...!
แล้ว..
ราตรีกับอาการไข้ร้อนๆหนาวๆ..ก็จางคลาย.
สาวนาตื่นมากับกลิ่นโคลนสาบควายระรวยริน
กับไออุ่นกลิ่นดินหอมละมุนรับอรุณใหม่อีกครา
กับ..
อวลอากาศแสนสดชื่นแจ่มใส
กับใจดวงที่ยังต้องดำเนินต่อไปตามวิถีไพรวิถีนา..
กับฟ้าดิน
ที่ยังคงมีพระเมตตา
ให้สาวนาได้ดำรงร่างเพียงเพื่อ.
ทำหน้าที่ต่อไปให้อย่างดีที่สุด
ก่อน..
ที่จะซุกซบจบชีพพลี..ลงบนพื้นหล้าใต้ฟ้ากว้างนี้
อย่าง..
แสนเหว่ว้าอ้างว้าง อย่างดายเดียว.ไร้ทุกข์ทนอีกต่อไป..
......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song223.html
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ ของเรียม
หวนคิดผิดแล้วขมขื่น ฝืน ใจเจียม
เคยโลมเรียม เลียบฝั่ง มาแต่หลัง ยังจำ
คำ ที่ขวัญเคยพรอดเคยพร่ำ
ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่
แว่ว แว่ว แจ้ว หู ว่าขวัญชู้ เจ้ายังคอย
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม.
เขียวเขาเขียวข้าวเขียวผัก
คืออาณัติธรรมอันยิ่งใหญ่
คำจุนหมุนโลกเอื้อวัย
สัจจะสอนใจพึ่งพา
เขียวทุ่งปรุงทิพย์รอยไถ
เหงื่อไคลสาบควายกลายกล้า
กลิ่นโคลน คน หลอมปนพสุธา
แปรมาเป็นรวงระย้าสีทอง
เคลียตาเคลียใจพุ่มกระถิน
มิมีวันสิ้นมนต์ลอยล่อง
หอมเกินใดบริสุทธิ์ใสตามครรลอง
นาทองนาไทยใจไม่จน
บัวบานตระการเหนือหนอง
รับสายทองสอนธรรมทุกหน
ขมิ้นข่าตะไคร้เคียงกระท่อมทุกตำบล
คู่คนคู่ครัวเคียงนา
หอมข้าวใหม่รับอรุณแรก
มะลิอวลแทรกกลิ่นน้ำค้างกลางพรรษา
สู่อุโบสถถือศีลสมาธิภาวนา
หิ้วตะกร้าลายงามดอกพิกุล
น้ำพริกมะเขือแฟงแตงร้าน
ทอดย่านโอบยอดทุกทิวาหมุน
ทุกข์ทนจนยากฝากอิ่มอุ่น
กี่รุ่นกี่กาลผ่านมา
เตาถ่านปะทุหม้อดินน้ำข้าว
ไผ่หลาวเป่าไฟในอุษา
ข้าวหอมเดือดแดงสร้างไทมา
คือปุจฉาดิบเดิมสัจจธรรม
เขียวข้าวกลายสีเป็นเลือด
หวังมิเหือดแห้งวิถีรินร่ำ
เกษตรทฤษฎีใหม่น้อมนำ
ไทยทำไทรักผืนดิน
ยอดสะเดาขมนักใช่ผักหวาน
บุราณนำมาสอนใจมิรู้สิ้น
ยามรักน้ำต้มผักหวานฉ่ำพร่ำระริน
แค่ลมลิ้นลมลวงบ่วงทุกข์พันธนา
ไร้เขียวไร้ข้าวรับทุกข์
น้ำตาลสุกไหม้ลามเหว่ว้า
ผืนดินแตกระแหงกัปป์กาลเวลา
ปรารถนาใดเล่าเท่าอิ่มท้อง
มิสายไปหากมิใจดวงพิสุทธิ์
อย่ารู้หยุดสืบตำนานไททั้งผอง
ข้าวในนาปลาในน้ำตามครรลอง
ทรัพย์เนืองนองยังรอท่าอย่าล้าใจ
กราบบูชาดินน้ำฟ้าแม่พระโพสพ
รู้สยบกินกามเกียรติสร้างจิตใส
รู้พอดีพอเพียงสมถะใจ
คือยิ่งใหญ่เกินค่าทุนนิยมระทมทุกข์
หวังแผ่นดินสิ้นทุกข์วิปโยค
รังสรรค์โลกวิถีงามสงบสุข
หันกลับมองธรรมชาติสอนธรรมมวลมนุษย์
คือ*วิมุตติมาลี*รอคลี่บานประดับใจ..
(ทุกดวงใจไทยสุวรรณภูมิพุทธิ์)
23 มกราคม 2549 10:03 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4682.html
(เทพธิดาผ้าซิ่น)
สาวนา...
ตื่นมารับอรุณอุ่นอวลหมอก
ที่กำลังหยอกพรายนาแล้ง..
ราวกับ..จะมาแกล้งปลุกให้ตื่น
ให้ฟื้นมารับชื่นรับฉ่ำ
รับละอองพรมพรำ
จาก..
หยาดละออละอองน้ำค้างในยามเช้า
ดุเหว่ายังร้องหวานแว่ว..
แผ่วมากับ...เสียงเพรียกแห่งสายลม
กับ..
กลิ่นอันแสนน่าภิรมย์..ดมดอม
แสนหวานหอมจากพวงพะยอมป่าพะยอมไพร
สาวนา..
คิดถึงยามวสันต์มา..
พาให้ไปเก็บเห็ด
และ..
พบเมล็ดพืชพรรณสมุนไพรนานา
ที่..
ผลิละออรอท่ารับหยาดฝนจากฟ้า
ในยามสายวสันต์พลันพา..มาปันโปรย
ที่ณ..วันนี้ต่างมีค่ามหาศาล
ทำเงินงามให้แก่ผู้รู้ค่า
ได้นำมารักษาเยียวยาสารพัดโรคแบบธรรมชาติ
อย่าง..
ชาญฉลาดด้วยภูมิปัญญาไทย
ไม่ให้หายเปล่าดายไร้ค่าอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็น...
กระแจะ..(..ที่มีชื่ออื่น ขะแจะ ตุมตัง พญายา )
ใช้..
แก้อาการโรคผิวหนังมีผื่นคัน
เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด คันมาก
มักมีไข้ร่วมด้วย
แก้ปวดตามข้อ ปวดเมื่อย เส้นตึง แก้ร้อนใน
เปลือกต้น-แก้ไข้ บำรุงจิตใจให้ชุ่มชื่นแจ่มใส
ชองระอา...
(ชื่ออื่น เสลดพังพอน เสลดพังพอนตัวผู้)
ใบ-ใช้ตำละเอียดผสมเหล้า พอกหรือทา
ถอนพิษอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อยและเริม
ราก-ใช้ฝนกับเหล้าทาถอนพิษตะขาบ
นมสวรรค์
(ชื่ออื่น ฉัตรฟ้า สาวสวรรค์ พวงพีเหลือง หังลิง พนมสวรรค์ )
สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
ดอก-แก้พิษสัตว์กัดต่อย
และพิษที่เกิดจากการติดเชื้อ แก้ตกเลือด
ราก-ขับลม แก้วัณโรค แก้ไข้มาลาเรีย
แก้อาการไข้ที่ถ่ายเหลว อาเจียนเป็นเลือด
และมีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง
ต้น-แก้อักเสบเนื่องจากตะขาบ
และ..
แมลงป่องต่อย แก้พิษฝีผักบัว..
ประยงค์...
(ชื่ออื่น ขะยง ขะยม พะยงค์ ยม หอมไกล )
สรรพคุณ..
และ..
ส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
รากใช้กินถอนพิษเบื่อเมา เป็นยาทำให้อาเจียน
พญาปล้องทอง....
(อีกชื่อ..คือผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด พญาปล้องคำ
พญาปล้องดำ พญายอ เสลดพังพอน เสลดพังพอนตัวเมีย )
สรรพคุณ..
และ..
ส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
ใบสด-ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
แมลงกัดต่อย ผื่นคัน
โดย..
นำใบสด 5-10 ใบ ตำหรือขยี้ทา
ใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก
โดยใช้ใบสด 1 กก. ปั่นละเอียด
เติมแอลกอฮอล์ 70% 1 ลิตร หมัก 7 วัน
แล้ว..
กรอง ระเหยบนเครื่องอังไอน้ำ
ให้ปริมาตรลดลงครึ่งหนึ่ง เติมกลีเซอรินเท่าตัว
ลิ้นมังกร....
สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
ใบ-ใช้ตำหรือขยี้ทาหรือพอก แก้พิษร้อนอักเสบ
ว่านมหากาฬ
(ชื่ออื่น ดาวเรือง )
สรรพคุณ...และส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
รากและใบสดใช้ตำ
พอกแก้ปวดบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ถอนพิษปวดแสบ ปวดร้อน
ใช้ใบสดทดลอง
กับ..
ผู้ป่วยโรคเริมและงูสวัด
สรุปว่า สารสกัดจากใบ
ทำให้อัตราการกลับมาเป็นใหญ่ของโรคลดลง...
.......................
และ...
ยังมีอีกมากมายนัก..สารพัดสารพันชนิด
..............
สาวนาลงไปในกระท่อมครัวริมบึงบัว
ท่ามกลางม่านหมอกสลัว
เดือนยังค้างฟ้า..
ในท่ามแสงดาวสุกใส
ในม่านนภา...
เริ่มรำไรรำไรระเรี่อด้วยสายแสงแห่งทิวาวัน
ที่..
กำลังผันจร มาเหนือทิวไผ่ริมชายนา
ยิน..เสียงเจ้าลาแล้งสายน้ำร้องคราง
ราวหนาวฤามีริ้นไรลอบกัด
จึง..
รีบไปสุมไฟริมคอก
ที่มอดดับให้คุพร่างขึ้นในท่ามเงาแสงดาวเดือน
ให้ดับ..หนาวคลาย..
ในกายใจสาวนาไปด้วยกัน
จุดตะเกียงดวงน้อย
ห้อยไว้โคนเสา..แล้วซาวข้าว
เสียงฟืนในเตาแตกปะทุ
ให้..
ข้าวใหม่มะลิเดือดพล่าน
ส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่ว
แล้ว..
สาวนาก็เดินไปริมรั้วรึมบึง
ไปเด็ดผักบุ้งนามากำใหญ่
เพราะเมื่อวานลุงใหญ่ให้ปลาตะเพียนมา
สาวนาตั้งใจว่า..
จะทำแกงส้มให้เปรี้ยวจิ๊ดจ๊าด
ด้วยการบีบมะนาวชายสวนผสม
แบบแกงเหลืองปักต์ใต้
ที่ใช้ขมิ้นในเครื่องแกง
จนน้ำเป็นสีเหลืองดูแรงร้อนน่าซดเสียไม่มี..
ไหน..
สาวนายังมีไข่ไก่เหลืองนวลจาก
แม่ไก่อ้วนอุ้ยอ้ายไร้อรชร
ชื่อ...ลำยองลำใยไก่ไทยสองตัว
ที่..
สาวนาเลี้ยงไว้มิหมายฆ่า
หากแค่จะเลี้ยงไว้กินไข่
และ..
ในวันนี้สาวนา
จะทอดไข่เจียวฟูนุ่ม
แกล้มแกงส้มให้ได้อุดมวิตามิน
กินตามประสายาก
หากแสนอร่อยปากอย่างที่สุดแล้ว
นอนนั้นเหนือจากนั้น...
สาวนา...
ยังมีสวนหลังบ้าน..เคียงเล้าไก่
ตาม*ทฤษกีใหม่*ที่ราวมีเซเว่นอีเลฟเว่น
ให้เดินไปเลือกหยิบมาแบบว่า..จะกินอะไรดี
เพราะมี..
ทั้งบึงปลา
ทั้งข้าวในนากล้าไกล...ท้าตะวัน...
ไปจนสุดขอบทิวเขาด้านตะวันออก
ที่กำลัง..
ถูกสายหมอกโลมไล้หมายปลุกฟื้นให้คืนรับพลัง
จาก..
สายแสงทิวาวันอันอ่อนอุ่นหมุนมารอเวลา
หว่านไถอีกสักครั้งครา
เพื่อ..*ปลูกข้าวไร่หอมๆ*ไว้กินเอง
ที่..
ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมาก
หากแม้นจะเป็นเดือนในฤดูร้อนก็ตามที
ดีกว่าทิ้งนาร้าง ว่างโล่งแลเศร้าเสียเปล่าดาย
และ..
ปีนี้สาวนาโชคดี
ที่ได้รับ*มงคลขวัญข้าว*
มาจาก*พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ*
เพื่อ..
ใช้เป็นปฐมฤกษ์ในการทำนาปลูกข้าว
ที่สาวนาสู้เก็บรักษาไว้ราวชีวิต
ให้ได้หว่านทิพย์เกสรจากรวงเรียวเพื่อเป็นสิริมงคล
และ..
ปีนี้สาวนาได้ผลผลิตมากหลาย
ราว..*แม่พระโพสพให้พร...*
สาวนานวดข้าว..แล้ว..ตากข้าวในลาน
ก่อนที่..
จะเอาไปเก็บไว้ในยุ้ง ฉาง
เพื่อให้ได้เมล็ดข้าวเปลือกที่แห้ง
เพื่อ..
รักษาคุณภาพเมล็ดข้าว
ให้ได้มาตรฐานอยู่ เป็นเวลานานๆ
และ..
เก็บรักษาข้าว ไว้ในยุ้งฉาง
เพื่อไว้กินและแบ่งขายเมื่อข้าวมีราคาสูง
และ..
อีกส่วนหนึ่งสาวนาจะแบ่งไว้ทำพันธุ์
ฉะนั้น..
จึงต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี
โดยรักษาให้ข้าวนั้น
มีคุณภาพได้มาตรฐานอยู่ตลอดเวลา
และ..
สาวนาตั้งใจว่า
ส่วนหนึ่งด้วยจิตกุศลซึ้งศรัทธา
สาวนาจะนำไปถวายหลวงพ่อสักกระสอบใหญ่
ให้วัดมีกินไปตลอดปี
หลังจากที่..
สาวนาโชคดี..
ได้มีผู้ช่วยเมียผัว..มาช่วยกันหว่านดำไถจน
ได้ผลิตผลที่กินเท่าไรก็ไม่หมด
นี่คือ..
*ทรัพย์ในดิน*ถิ่นทองแห่งผืนดินเกิดของสาวนา
และ..
ในยามนี้สาวนาได้ยินมาว่าตอนนี้..
รัฐบาลกำลังมีนโยบาย
ผลักดันให้ *มีการปลูกฝังรากแก้วกลับสู่มาตุภมิ*
คือ..การคืนคนหนุ่มสาว...ให้ได้กลับคืนบ้านคืนหลัง
คืนรวงรัง..แห่งรัก
กลับไปทำการเกษตรกรรม...
ฤาไปทำอาชีพตามวิถีแม่พ่อ
ในผืนดินถิ่นเกิด..
ที่เคยก่อเกื้อให้เลือดเนื้อชีวิตมาเป็นคน
ดีกว่าหลงวนเหมือนปลาผิดน้ำ..
อยู่ในท่ามวังกิเลส
ที่..
ได้รับค่าแรงขั้นต่ำเพียงนิดน้อย
กลับต้องมา..ห้อยโหน..เสียค่ารถ...
หมดไปกับค่ากิน..
แถมยังมีหนี้สินค่าอำนวยความสะดวกสบาย
จน..
บางทีคล้ายชีวิตต้องติดลบมากขึ้น
จน..
เริ่มรู้สึกว่าคิดถึงบ้าน
และ..
คิดผิดที่หลงมาใช้ชีวิตในกรุงกรง
หลงแสงสีมายาและในท้ายสุด
ก็ต้องเสียน้ำตากับวันเวลา
ที่เปล่าเปลืองเหนื่อยยาก
และ..
ช่างแสนลำบากกายใจ..
ไหน..จะทิ้ง
แม่พ่อผู้ชราที่ห่างไกลให้โหยหาห่วงใย ไม่รู้สิ้นสุดเลย
สาวนา...
ทำกับข้าวเสร็จแล้ว
จึงจัดสำรับ..
พร้อม..
ตั้งใจจะไปเด็ดบัวในบึง
มาน้อมพลีถวายพระพุทธทำวัตรเช้า
พร้อมกับ..
จะนำสำรับกับข้าวในปิ่นโตไปมอบให้ผัวเมีย
ริมกระท่อมชายนา..
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำกินเองอีก
ผืนฟ้า...เริ่มกระจ่าง..
ตามดวงตะวันแสนงามสล้างอ่อนอุ่น
ที่..
เริ่มหมุนละมุนมากระทบผืนน้ำให้แสนงามล้ำ
ราวมีทิวากรซ่อนดำอีกดวงในรวงน้ำเรียวนา
กับ..
ฟ้าสว่างไสว...
จนสีน้ำเขียวใสราวมรกตเนื้อดี..น้ำงามวะวาววับ
ช่างให้งามจับใจสาวนาสียจริงๆ
สาวนาเอนกายลงช้าช้าชั่วนาที
ใต้ตาลใบบังร่มดี..
ที่แสนหวานแจ่มริมชายนา
หลัง..
เอื้อมมือคว้า..*บัวสายบัวสวย*มาได้ราวกำมือ
ฟังเสียงปลาผุดว่าย
เสียงควายร้องในคอกอยู่ไกลๆ
หากมิหลอกตัวเองแล้วไซร้
ในนิทราฝัน..
สาวนาและอ้ายนั้นพลันพากันวิ่งเริงร่า
ในท้องนาท้องทุ่ง
ที่รวงเรียวกำลังเครียวพันพร่าง
ราวสายทองระย้าย้อยห้อยเคลียดิน
ฟัง..
เสียงลมหอมในถวิลเพรียกหาพัดอวล
และ
ราวกับว่ายามเหนื่อยล้า
เมื่อสาวนาพาร่างมานอน
รึมบึงจะหันเห็นอ้ายคนดียิ้มร่า
มานอนเคียงใกล้..
พลางชี้ชวนให้สาวนาดูฟ้างามจรัส
พร้อม..
ทัดหูให้สาวนา..
*ด้วยดอกบัวแดง*..แฝงรอยจูบละมุน
ให้..
กรุ่นกลิ่นหอมลอยล่องมาถึงห้องหัวใจสาวนา
อันแสนใสซื่อถื่อมั่นในรักภักดี
ราว..
รวงรอผลิ..รับคมเคียว
จะมา..เกี่ยวเก็บสักกี่ปีกี่ชาติ..
ก็ยังพิสวาทมิคลาดคลาย..
ยินดีพลีพร้อม
รับหยาดฝนพรำ
มาให้นานวลได้ชุ่มฉ่ำ
ระร่ำริน..ไปตราบชั่วกาลนานเนา..เป็นนิรันดร์...!
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4682.html
เทพธิดาผ้าซิ่น..
ว่างจากงาน หว่านไถ
จะร้อยมาลัย ใบข้าว
ห้อยคอสาว จำ ปา
เจ้าเป็นเทพ-ธิดา ของบ้านนา บ้านทุ่ง
นุ่งผ้าถุง ไทย เดิม
หน้า สวย ด้วยแดด แรง
แก้ม แดง ไม่แต่งเติม
เจ้าไม่เคย เห่อเหิม เติมต่อ ดินสอพอง
ช่างขยันการเรือน มิแชเชือนหน้าที่
สิ่งที่ดี ที่ควร
เฝ้าถนอมออมอวล หอมหวลอวลลมทุ่ง
หนุ่มก็มุ่ง หมาย ปอง
ค่ำ ลง ก็เข้าเรือน
ฟังแม่เตือน ให้ไตร่ตรอง
หากมีชายหมายปอง ระวังเจอของ เหลือเดน
แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ
จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณร
ถ้าบาน คอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอน เพล
คอยได้ไหมคนดี
พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน
เชื่อโบราณ ดี แล
หากเลือกวัว ดูหาง แม้นเลือกนางดูแม่
นั่นแหละแน่ เข้า ที
บ้าน เรือน สะอาดตา
พูด จา เสนาะดี
ตำน้ำพริกทุกที เสียงตำถี่ จนทุ่งสะเทือน
แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ
จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณร
ถ้าบาน คอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอน เพล
คอยได้ไหมคนดี
พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน
เชื่อโบราณ ดี แล
หากเลือกวัว ดูหาง แม้นเลือกนางดูแม่
นั่นแหละแน่ เข้า ที
บ้าน เรือน สะอาดตา
พูด จา เสนาะดี
ตำน้ำพริกทุกที เสียงตำถี่ จนทุ่งสะเทือน...