อุษาสางแล้ว ดวงดอกแก้วพร่างพรูรับปรายฝนปราด มากับสายแสงอาทิตย์แรกแย้มยามเช้าตรู่ นกเขาขันคูอยู่ริมหน้าต่างกระท่อมไพร สาวนานอนนิ่ง เพียงลืมตาทอดใจรับรู้ถึงสัมผัสงามละมุน แห่งสายวสันตฤดู เดือนเสี้ยวดวงเศร้า ยังอ้อยสร้อย ลอยเด่นแขวนฟ้า กำลังจะร่ำลาหมองเมฆหม่น ที่ปรอยฝนบดบังมาทั้งคืน ชื่นลมฝนพัดพรายมาให้หนาวเนื้อ เจืออวลกลิ่นดวงดอกไม้ริมชายคา ทั้งการะเวก กรรณิการ์ จำปีสูงเสียดฟ้า ที่ต่างพากันผลิละออแย้มช่อให้ชม เชย ชิด.... สนิทในนวลชีวิตสาวนาบ้านป่าไพร ที่ดวงใจรักดิน ดิบเดิม เพื่อเติมต่อตามรอยเบื้องพระยุคลบาท แห่ง.... พระมิ่งขวัญแก้วโพธิฉัตร ดั่งนพรัตนมณีศรีชาติศรีแผ่นดิน นาม*ภูมิพล*ภูมินทร์ *ยอดมหากษัตราธิราช.. ธ ผู้เป็นดั่งปราชญ์นำทางไสวแด่ผองชนคนไทย ทั้งผืนพสุธา... ให้สาวนาได้ตระหนักถึงความงดงามยิ่งใหญ่ ในดวงใจ..ณ กลางใจ ยามรำลึกนึกเทิดศรัทธาไว้เหนือเกล้าเหนือกระท่อม ยามนี้... ทั่วทั้งบ้านเมืองราวกับมีแต่เรื่องร้อนรุม ประชาไทต่างพากันสุมขอนไฟให้ลามไล้ไหม้ไป ทั่วทั้งผืนหล้า หาได้ซึ้งค่าพระราชดำรัสไม่ ที่ทรงตรัสไว้ให้รู้รักษ์สามัคคี รู้สมานฉันท์ปันพลี ปันดี รู้สร้างชีวีให้สงบสมถะพอเพียง เลี่ยงการเป็นทาสวัตถุ รู้ใช้ชีวิตปุถุชน คนธรรมดาด้วยปัญญา รู้คุณค่าแห่งทรัพยากรธรรมชาติ รู้ฝากปากท้องไว้กับอาชีพเกษตรกรรม อันคือความอิ่มหนำสำราญทั่วถ้วนหน้า ใช่..บ้าหลงไปในโลกหลอนลวง บ่วงมนต์มารเงินตรา ที่หาไม่พอซื้อทันทุกสิ่งที่ใจปรารถนา ผลิตมากวาดก่อ ล่อให้เกิดกิเลสสิ้นทั้งโลกแสนโศกสะเทือน ทั้งยังก่อให้เกิด มลมวลสารพิษ ที่ทุกชีวิตต้องรับภาระ ผ่อนความตายวันละนิด ไร้สิทธิ์ร้องขอเมตตาต่อฟ้าดิน อันกระหน่ำซ้ำซัด ทั้งจากภัยพิบัติ ที่เป็นวงวัฏฏแห่งการทำลายหมายพิโรธสอนสั่ง ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว และ.. นี่คือสิ่งที่ดวงใจสาวนาไหวหวั่น สิ่งเดียวที่จะทำได้คือสร้างขวัญ ให้กับดวงชีวาชีวี ของตัวเอง บรรเลงไปตามเพรงพรหมชะตา ที่สาวนาผู้รักข้าวกล้าเรียวรวง รักปวงดวงดอกไม้ป่า รักไร่นา พืชผัก รักอาทิตย์แรกแย้มยามแต้มผืนนา ให้ข้าวระย้าอาบทาราวสีทองสุกปลั่ง รักสองฝั่งคลองลำประโดง รักเสียงปลาโผงฮุบเหยื่อ รักนอนดูฟ้าระเรื่อริมบึง รักฟังเสียงมวลหมู่ภู่ผึ้ง ดอมดมพรมจูบไล้ละออละอองเกสร ดวงดอกไม้แสนหวานยามแย้มเผยอกลีบ บางเบาเสลาสล้างรอ รักฟังเสียงพ้อจากเพลงใบข้าว กรีดกราวยามต้องลมหนาว ลมท้องช้างพัดพราย รักสายลมแสงแดด ท้องฟ้าคราม รักงามแห่งแม่ช่อดอกกระถินตำลึงริมรั้ว รักฟ้าสลัวยามเข้าไต้เข้าไฟ รักหว่านไถไม่แปรรอย รักวัวควายน้อยคู่กาย รักสายน้ำระริน รักดิน น้ำ ฟ้า ไฟ ลม ด้วยดวงใจที่ถูกหลอมเพาะบ่ม ให้หอมห่มด้วยความบริสุทธิ์ใสแห่งธรรมะ ธรรมชาติ อันคือ.. ความสงบสว่างสะอาดตราบชั่วนิจนิรันดร์........ ....................................................... ใจสาวนา..รออ้ายดั่งสายวสันต์..พร่างสู่ทุ่งขวัญแลทุ่งใจ... มองฟ้าครามยามอ้ายลามาหลายฝน ดอกน้ำตาหล่นปนดอกข้าวทั้งเช้าสาย ดอกคิดถึงคลึงคลอทุยยามขี่กาย ดอกพิสวาทวายตายทั้งเป็นมิเว้นวัน ลมฤดูพัดฤดีกี่ปีล่วง ทั้งบัวหลวงบัวผันสะพรั่งฝัน รอคนดีพายเรือน้อยกลางแสงจันทร์ เก็บเกี่ยวขวัญให้ไออุนละมุนละไม จะเดือนสามเดือนสี่ใครขี่ทุย ให้เฝ้าลุยท้องนาฟ้าสวยใส สู่กระท่อมทองกวาวมิหนาวใจ หอมข้าวใหม่นาน้อยหุงคอยรอ จะกี่แล้งกี่ร้อนหอมมิห่าง มิอ้างว้างสู้ความจนมิเคยท้อ แม้ความจนเต็มเกวียนก็เพียรพอ สองแรงรอรินหยาดเหงื่อเพื่อผืนดิน ดอกโสนบานไสวไม่สิ้นหวัง ข้าวเหลือซังรอหว่านใหม่ไม่รู้สิ้น ถึงรวดร้าวหนาวกระดูกปลูกไม่พอกิน จะไม่สิ้นคิดขายนาน้อยคอยดวงใจ ไร่สาวนาสาวไพรรับไถภักดิ์ จากน้ำรักน้ำเหงื่อหอมงามใส จากกลิ่นโคลนกลิ่นควายกลิ่นชายไพร รับหวามไหวให้ตกพรูสู่เนินทอง ใบกระถินผลัดใบรอผลิกอใหม่ ริ้วลมไพรไล้ตะแบกหวานบานทั่วหนอง ทั้งบัวตูมบัวบานรออ้ายเด็ดเคียงประคอง ทุ่งรวงทองรอทุยมาลุยนา ฝนหลงฤดูเพียงฤดีอ้ายอย่ากรายหลง ท้องนาคงแนวเหลืองสุกปลั่งพรั่งพรรษา ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในวิมานนา หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน ไกลแค่ฟ้าตามองไขว่ไปตามฝัน เมื่อสวรรค์เยือนหล้าแสนหอมหวาน ทุ่งรวงทองห้วยหนองคูนตระการ ดุเหว่าไพรร้องเศร้าหวานขานถวิลสิ้นสนธยา สาวบ้านนาถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว แม้นเหน็บหนาวเพียงใดหลังสู้ฟ้า หัวใจทองผ่องพิสุทธิ์พลีบูชา เทพีพสุธามิสิ้นรักภักดิ์เรียวรวง ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง ให้ลึกซึ้งจมแม่พระธรณีที่แหนหวง เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง เผื่อบวงสรวงแม่ขวัญข้าวคราวใครคืน กี่วสันต์รอมาฟ้าเปลี่ยนสี ชั่วชีวีมีชีวารักนาผืน เจ้านกไพรโผบินไปไม่กลับคืน สาวนายืนหยัดอยู่คู่นาใจ กี่สายฝนสายฝันสวรรค์ลอย สักกี่ร้อยตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว จิตสำนึกใครจะอยู่จะตายไป ใจสาวนาสาวไพรไม่ทิ้งกล้านาสุดท้าย!รออ้ายคืน! ........................ ข้าวรวงสุดท้ายเมื่อปลายหนาว (The Last Life of Season) ...ลำน้ำน่าน แด่ฤดูเก็บข้าวหลงฝัดข้าวลาน อุทิศแด่คุณยายชราแห่งบ้านดอนดอกพะยอม มองฟ้าครามยามบ่ายช่วงปลายฝน ช่อมะม่วงดอกหม่นหล่นเป็นสาย เหนือตำบลข้าวหลวงรวงพลิ้วพราย กระจัดกระจายห่มหล้าท้องนานั้น ลมฤดูบอกข่าวหนาวจะล่วง ดอกจานจวงบานสะพรั่งทั้งบัวผัน ตื่นมารับแสงสรรค์รังสิมันตุ์ เกี่ยวไออุ่นแห่งวันต่อฝันไป ต้นเดือนสามฟ้าครามไกลในลิบลิ่ว เมฆหม่นเอยจะปรอยปลิวสู่แห่งไหน สู่ปลายยุ้งทุ่งข้าวของสาวไพร ฝากทายทักข้าวใหม่ใครหุงคอย เดี๋ยวแล้งร้อนเดี๋ยวหนาวเคล้าดอกฝน แต่ความจนไม่เปลี่ยนเต็มเกวียนหงอย หากทุ่งฝันบิดเบือนและเลื่อยลอย อาทิตย์เอยอย่าเพิ่งคล้อยซบอกดิน ฝนสั่งฟ้าลาดินใครสิ้นหวัง เมื่อนกนาทิ้งรวงรังไปเสียสิ้น ไปรวดร้าวข่าวว่าไม่พอกิน ขายนาน้อยให้เหลือบริ้นถิ่นกรุงไกร ให้คนเมืองหว่านไถในไร่สาว ฝนเม็ดร้าวตกพรูสู่เนินไศล สิ้นฝนหมองผองคนจนจวนสิ้นใจ ปวดระบมตรมในไร่นาทาม ใบกระถินแห้งเหี่ยวร่วงเกรียวกราว ริ้วลมว่าวไล่ลอดยอดมะขาม เห็นเมฆลอยคล้อยเกลียวใจเปลี่ยวตาม คล้ายนิยามบ้านป่านาวิชน ฝนหลงฤดูลาสายปลายเดือนแล้ว ท้องนาแนวเหลืองสุกทุกแห่งหน ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในตำบล หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน ไกลแสนไกลลิบลิ่วทิวฟ้าสูง ลูกยางยูงปลิดลอยลู่สู่ห้วยหาน กระโดนทุ่งแต่งช่อจะรอบาน เมื่อนกเขากู่ขานสิ้นสนธยา หญิงชราถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว ริ้วลมหนาวครืนสุดท้ายพัดพรายผ้า ลึกในใจฝนหล่นคล้ายสายน้ำตา ตกต้องฟ้าต้องดินสิ้นแรงรวง ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง ให้ลึกซึ้งจมดินสิ้นแหนหวง เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง เผื่อบวงสรวงขวัญค่าพาใครคืน เมฆกระจายไม้ใบเริ่มไกวว่อน นกคืนคอนเถิดหนาอย่าทนฝืน สิ้นยุคทองชาวนาชะตาครืน จะหยิบยื่นภูมิปัญญาทายาทใด โอ้ฟ้าครามยามบ่ายปราดสายฝน ทุกตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว จิตสำนึกตายถมสังคมไทย หญิงชรากล้าสุดท้ายสิ้นใจแล้ว! ------------------------------------------ ฝนหลงฤดูหล่นมาปราดหนึ่ง ในยามที่ฟ้าปรวนแปร ประเดี่ยวก็หนาว ประเดี่ยวก็ร้อน ประเดี่ยวก็ฝน ไม่มีความแน่นอนทุกสิ่ง หลังฤดูเก็บเกี่ยวยามนี้ ทำให้นึกไปถึงการเก็บรวงข้าวหลง และฝัดข้าวลาน ของหญิงชราผู้แข็งแกร่งแห่งบ้านดอนดอกพะยอม ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงาม นาม *นกเขาไฟ* ของนักเขียนในดวงใจ ไพฑูรย์ ธัญญา หนึ่งในเรื่องสั้นชุด*ก่อกองทราย* บรรยายไว้ว่า *แดงดอกทองกวาวสาดบานไปทั้งทุ่ง ลมหนาวยังไม่ร้างลาจากหมู่บ้าน มะม่วงพุ่มหนาเริ่มแตกช่อดอกสีขาวหม่นขึ้นคลุมต้น ฟ้าต้นเดือนสามผ่องแผ้วเขยิบสูงเป็นสีคราม ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามและดูดีไปหมด* บทบรรยายบ่งให้เห็นถึงความงามแห่งธรรมชาติ ในยามลมหนาวจะผ่อนลาฟ้าธรรมชาติยังคงงาม และซื่อตรงเป็นวัฏจักรที่แน่นอน และหนึ่งในเรื่องสั้นชุด *ลูกพ่อคนหนึ่ง* วัฒน์ วรรลยางกูร บรรยายภาพเมื่อเริ่มเข้าสู่ คิมหันตฤดู กับการต่อสู่ของหญิงชราชาวนา ไว้อย่างน่าเศร้าและชวนหลั่งน้ำตาว่า *ดูราวโลกนี้มีแต่ยามแล้ง โล่งลิ่ว ไร้ร่มเงา ชายร่างผอมแกร่งโรยล้าจากภูเขาสู่พื้นราบ ร้อนอบผิวผ้าและร้อนลวกไหล่ขวาที่เสื้อเปื่อยขาด สองข้างทางเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยสีเทา และสีน้ำตาลซึ่งบัดนี้ดูคล้ายกับถ่านไฟในเตา กำลังส่งเปลวระยิบ เขาเอียงแก้มเช็ดเหงื่อ กับไหล่ซ้าย เงยมองฟ้า มีแต่แดดจ้าจนต้องหยีตา เขาพูดกับหญิงชราว่า *ร้อนนะแม่เฒ่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น* หญิงชรามองไปในแดดอันกราดเกรี้ยว รู้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสมัยนี้ ต่างก็ต้องเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน นางก็ได้แต่บ่นพึมพำว่า *เวรกรรม* ทั้งสองเรื่องชวนให้ข้าพเจ้าประหวัด ไปถึงชะตากรรมเกษตรกร และท้องไร่ท้องนาแห่งยุคนี้ ที่นับว่าหาทายาทมาสืบทอดยากขึ้นทุกที หนุ่มสาวทิ้งถิ่นไปทำงานในเมือง ขายที่ขายไร่นา หลายชีวิตไปตกระกำลำบาก หลายชีวิตต้องไปเป็นกุหลาบแดงในโถขาว ชะตากรรมของเขาเหล่านี้คงเป็นอุทาหรณ์ ได้ดีกระมังว่า คนสิ้นผืนแผ่นดินทำกินนั้น น่าเศร้าสักเพียงใด และคงยังไม่สาย ที่จะหันกลับมาอุ้มชูผืนนาสมบัติสุดท้าย ที่บรรพบุรุษให้ไว้เป็นที่ฝังร่าง ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป.. -------------------- รักร้าวหนาวลม (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง) เมฆลอยกระจายอยู่ในในฟ้าสูงแลลิบลิว ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจน้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคลอง ฝนลา ลาหนาวข้าวแตกรวงแต่รักลาทรวงสิ้นน้อง โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม เจ้าทิ้งให้พี่นอนหนาว หนาวจนใจเหน็บ เจ็บดั่งหนาวระกำ ตำทรวงให้ระบม เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารักพี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม ให้ชมแล้วน้องก็ชัง เมฆลอยกระจายดั่งเหมือนหัวใจลอยละลิ่ว ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง ...................................
ฝนพร่างสายลงมายามฟ้าหลัว ใจสาวนาหม่นมัวแสนว้าเหว่ ท้องทุ่งนาเนืองนองสุดคะเน โอ้ละเห่ฟ้ารินร่ำพร่ำฝากดิน ดอกโสนเหลืองพราวราวแสงสงฆ์ นั่นงามดงเลื้อยพรายเจ้ากระถิน ทั้งฟักแฟงแตงร้านรอฝนริน ทั่วทั้งถิ่นแดนนาพาเบิกบาน หากทว่าใจสาวนาเหมือนฟ้าร่ำ ทุกคืนค่ำรออ้ายคืนฝากคำหวาน เคยเคลียคลอขี่ทุยแต่ก่อนกาล วันชื่นผ่านคืนช้ำน้ำตาริน รอและรอกี่ฝนหนาวกี่เศร้าฝัน รอและรอรักนิรันดร์มิรู้สิ้น รอและรออ้ายคืนกลับรักผืนดิน มาทำกินมาเคียงกายหมายคู่กันนิรันดร......! ค่าเพียงดิน..! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song400.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html (ฝากดิน..กลิ่นโคลนสาบควาย) สาวนาตื่นมายามฟ้าสาง กับดาวพร่างดวงเต็มอ้อมฟ้า กับ.. เดือนดวงเหว่ว้า..ที่ยังแขวนสวย เรี่ยปลายไผ่..เหนือทิวไม้ ริมคอกควายของเจ้าสายน้ำ กับลาแล้งที่อีกไม่กี่วันจะตกลูกแล้ว สาวนาดีใจ.. ที่จะได้มี.. ลูกควายน้อยๆหน้าตาดำดำตาดวงใสใส มา.. ดำรงรอยไถให้ไม่แปรให้ยังมีวิถีไทยแท้ วิถีที่ไม่แปรไปตามระบบทุนนิยม ให้ยังมีกลิ่นโคลนตมปลักควาย ไว้ใช้งานไว้หว่านไถ..คู่ทุกข์คู่ยาก และ.. ฝากให้นวลใจสาวนาแสนปิติยินดี ที่ยังได้.. พลีธำรงวงศ์ตระกูลควายไว้ มิให้สิ้นหายไปกับกาลเวลา สาวนา.. จึงนอนยิ้มอิ่มบุญกับฟ้าสลัว ในม่านมัวของมวลหมอกเมฆ กับ อวลกลิ่นดวงดอกการะเวกรสสุคนธา ที่เลื้อยพันพาพร่างพ้อมาล้อถึงริมหน้าต่าง กลายเป็นม่านเขียวสล้างแถมให้หอมไกลหอมใจจรุง สาวนา...ตลบมุ้ง และกลับนอนลงไปใหม่ ขอขี้เกียจสักวันก่อนจะผันตัวเองไปทำหน้าที่ ที่มีภาระมากมาย ไหนจะดายหญ้า ไหนจะเก็บผักหาฟืน หากสาวนายังไม่อยากตื่น อยากนอนนิ่งๆ..ทิ้งใจว่างๆ ทอดตารับพร่างละมุนจากเถาตำลึงริมรั้ว และ.. นอนดูม่านฟ้ารำไรในแสงสลัว ที่เริ่มสาดส่องประกายทอง ผ่องตามอาทิตย์อุทัยแรกแย้ม ที่.. กำลังไหวพรายแสงแต้มนภา มาทายทัก อย่างเช่นทุกทิวาวัน ฟังเสียงดุเหว่านกเขาไพร ไก่ป่าไก่บ้านร้องขันเทือนไปทั้งท้องทุ่ง ให้.. คนมุ่งลงนาพาตัวไปทำหน้าที่ ตามวิถีทองวิถีไทยแต่โบราณ ได้หว่านข้าวให้ผลิรวงตระการ มาเลี้ยงท้องให้คนไทได้อิ่มหนำสำราญ ในผืนดินได้มีกินอุดม ไปตราบนานแสนนาน... สาวนาเพิ่งรับคนงานมาไว้สองคน ผัวเมีย.. ที่ไม่มีงานทำ มาปันแบ่งที่ริมนาให้ได้ปลูกกระท่อม ผักหญ้าพอเลี้ยงตัว และ.. บางครั้งครา สาวนาก็ยังพอออกปากฝากให้ช่วยดูแลนาได้บ้าง รวมทั้ง ปลาในหนองน้ำในคลองมิให้แห้ง.. ช่วยกันขุดลอกแบ่งหน้าที่กันทำ และ สาวนา..เพียรรินร่ำสอนด้วยการกระทำ.. ให้สองคนนั้น... ได้รู้จัก... การมีชีวิตเกษตรกรรมแบบพอเพียง แบบเพียงพอ แบบ..สมถะตามประสายาก แบบดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามแนว..*ทฤษฎีใหม่* วันก่อน สาวนาได้อ่านบทความในหนังสือเล่มหนึ่งที่พี่ทอง นำมาฝากจากในเมือง และ อ่านต่อให้สองคนผัวเมียฟัง ด้วยความที่สาวนาประเทืองประทับใจ เพื่อ.. จะเน้นย้ำ.. ให้ได้ตระหนักถึงความมีชีวีชีวิตแบบธรรมดา ทว่า.. แสนจะมีความสุขแบบเรียบง่าย บทความที่สาวนายังจำได้ ที่ท่านดร.สุเมธ ตันติเวชกุลบรรยายไว้ชื่อ ข้อคิดใช้ชีวิตแบบธรรมดา ตามธรรมชาติ* ที่ท่านได้กล่าวเล่าไว้ดังนี้.. **************** เศรษฐกิจพอเพียงความพอดี *ทฤษฎีใหม่*ที่ได้รับพระราชทาน.. เป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจแบบพอเพียงสำหรับเกษตรกร ที่สามารถอุ้มชูตัวเองให้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน โดยทำการเกษตรในพื้นที่ ซึ่งไม่ว่าพื้นที่นั้นจะมีกี่ไร่ แต่มีการแบ่งจัดสรร ให้.. ส่วนที่เป็นน้ำ30% เพื่อเก็บกักน้ำในฤดูฝน เพื่อใช้ในฤดูแล้ง รวมทั้ง... ใช้เลี้ยงปลาด้วย ดังนั้นตอนฝนทิ้งช่วง ก็ยังมีน้ำในพื้นที่ตัวเอง มีปลารับประทานได้ตลอดเวลา อีก30% ใช้ปลูกผัก พืชต่างๆ ที่เหลือ 10% ไว้สร้างบ้าน ทำถนน ดังนั้นเราจึงมีอาหาร ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปเกือบครึ่ง เหมือน*มีเซเว่นอีเลเว่น*ส่วนตัวอยู่หลังบ้าน ท่านยังกล่าวว่า... นักพัฒนาสมัยใหม่ต้องการสร้างรายได้ นักพัฒนาที่บรรลุธรรมจริงๆ จะไม่สนใจเรื่องสร้างรายได้.. แต่.. ใช้ชีวิตอย่างฉลาด ไม่กระหายเกินไปก็สามารถอยู่ได้ การทำเกษตรตามทฤษฎีใหม่ ถ้ายังเหลือกินเหลือใช้ก็นำไปขายได้ ท่านกล่าวว่า.... การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องยึดหลัก..สายกลาง..เป็นที่ตั้ง ต้องอยู่ด้วยความถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไม่ได้ให้คุณค่าทางวัตถุหรือเงินตราเป็นที่ตั้ง แต่ เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลส พระพุทธเจ้า.. ทรงเผยแพร่หลักธรรมมา2548ปีแล้ว...ยังสู้ไม่ไหว ดังนั้น เราต้องชนะกิเลสก่อน ต้องยอมรับว่า *ทุนนิยม..เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิเลส* พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงสอนให้จน รวยก็รวยไป แต่... พฤติกรรมในการดำรงชีวิต ต้องมีมาตรฐานเส้นระดับความพอดีของตนเอง สำหรับ เรื่องของการเป็นอยู่ท่านบอกว่า ลองสังเกต คนรวยต้องใช้ยากันทุกคน ไม่ว่า.. ยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพร เพราะ.. กินดีอยู่ดี แต่.. ของกินดีอร่อยๆเป็นพิษทั้งนั้น ไขมันมากเกินไป เดี๋ยวไขมันขึ้นเดี๋ยวเส้นเลือดอุดตัน *เรียกว่าเป็นโรคเศรษฐี* คนจนไม่มีใครเคยเป็น ชาวไร่ชาวสวนมีใครบ่นที่ไหนว่า ไขมันอุดตันเนื่องจากเขาออกแรงทั้งวัน ............ *อยู่อย่างธรรมดา..ดีที่สุด* ท่านเล่าว่า.. ท่านเคยบวชเป็นพระป่าเมื่ออายุ64ปี ไม่มีเงินในกระเป๋าสักบาท แต่.. กลับมีความสุขที่สุด..ท่านว่าอย่างนั้น ฉันอาหารปลอดสารพิษ ข้าวเหนียวแข็งๆกินผักตามรั้วบ้าน ที่.. ชาวบ้านนำมาใส่บาตร มีปลาปิ้ง อาหารไม่ต้องใช้น้ำมัน ระหว่างบวชจึงไม่ต้องกินยา ความดันโลหิตสูง ไม่มี ไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอลปกติ ร่างกายแข็งแรงน้ำหนักหายไป 8 ก.ก ท่านกล่าวว่า... ทำไมอยู่อย่างอดอยากแต่ร่างกายกลับแข็งแรงขึ้น ท่านมีบ้านอยู่ที่เพชรบุรี สร้างแบบไทยๆเย็นสบาย..ไม่เหมือนบ้านสมัยนี้ ลอกแบบฝรั่งมากเกินไป สถาปนิกคงจะมาจากต่างประเทศ ใช้หลักการที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน เช่น.. ถ้าไม่มีพลังงานก็ใช้อะไรไม่ได้ การออกแบบตึกสมัยใหม่.. น่าจะออกแบบให้ใช้ได้แบบยั่งยืน เช่น.. ใช้แสงธรรมชาติ ที่สะท้อนไปมาได้ มีการถ่ายเทอากาศ ใช้ธรรมชาติให้มากที่สุด ลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลรักษา การกำจัดน้ำเสียก็เช่นกัน แทนที่จะต้องเสียพลังงานไปสร้างโรงบำบัด ก็ใช้ธรรมชาติช่วยบำบัด ใช้พืช เช่นพุทธรักษาบำบัด และ.. ทำให้เกิดการตกตะกอน ตะกอนก็เป็นจุลินทรีย์เน่าสลายไปเป็นปุ๋ย เลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ดูดซึมซับโลหะหนัก ที่.. ถ่ายทอดออกมาเป็นคาร์บอนมอนออกไซด์ นี่คือขบวนการตามธรรมชาติ ท่านกล่าวว่า.. คนทำร้ายธรรมชาติมาก จนธรรมชาติเตือนเช่นเกิดวาตภัยเกิดอุทกภัย ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิต เรารังแกธรรมชาติมากเกินไป ความจริง.. ธรรมชาติเขาสร้างขึ้นมาให้อยู่กับมนุษย์อยู่แล้ว ให้.. อยู่อย่างราบรื่น อย่างยั่งยืน แต่เดี๋ยวนี้ คนดูต้นไม้เป็นซุง ดูเป็นเงิน ถ้าดูเป็นซุงก็ตัด ถ้าดูต้นไม้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมก็ไม่ตัด รักษาถนอมไว้ *ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ทำลายมนุษย์* บริโภคจนทรัพยากรธรรมชาติ ไม่สามารถจะสนองตอบได้ ตอนนี้.. ก็เริ่มทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกันแล้ว *สงครามน้ำมัน* อีกหน่อยก็ *สงครามแย่งน้ำ...เพราะไม่พอ ................... สูงสุดคืนสู่ธรรมชาติ ท่านกล่าวว่า.... มีการ์ตูนฝรั่งล้อว่า มีคนจนฝรั่งใส่หมวกฟางตกปลาอยู่ อีกช่องถัดไป.. มีรถคาดิแลคมาจอด เศรษฐีแต่งตัวโก้มานั่งข้างคนจน เศรษฐีถามว่า*เรียนหนังสือมาหรือเปล่า จนมากนักหรือ* เศรษฐีเองบอกว่าตนเรียนมาสูง มีอพาร์ตเมนท์หรูหราอยู่ ร่ำรวยแล้วจึงมานั่งตกปลากับยู คนจนบอก... ไม่เห็นต้องลำบากลำบนเลย ไม่ต้องร่ำรวยก็มานั่งตกปลาเหมือนกัน การ์ตูนให้แง่คิดบางอย่าง คนเราตะเกียกตะกาย.. ก็ต้องกลับไปอยู่จุดเดิม พวกเศรษฐีมีเงิน เสาร์อาทิตย์ก็ไปอยู่ชนบทมากมาย ถาม..ว่ามาทำไม ก็บอกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ คนเรา.. จะไปใฝ่หาอะไรที่มันสุดยอดทำไม ในเมื่อลำบากแทบตายกว่าจะได้มา สุดท้าย..*ก็กลับไปอยู่จุดเดิม* คนบางคนสวมใส่นาฬิกา เรือนละล้านเรือนละแสนก็หามาใส่ ใส่นาฬิกาแพงแล้วต้องมานั่งผ่อนแล้วผ่อนอีก พระเจ้าอยู่หัวทรงใส่นาฬิกาเมื่อปี2524 พระองค์ทรงรับสั่งว่าทรงใส่นาฬิกา ใส่แล้วโก้ ราคา 750 บาท พระองค์สูงสุดแล้วเราอยู่แค่นี้ ทำไม... ต้องโรแหลกตลอดเวลา โรแหลกกระเป๋าแหลก ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป ทางการองค์การสหประชาชาติพูดเรื่อง GNH (Gross Nationnal Happiness) จะไม่เอาตัวเงินมาวัดอีกแล้ว แต่จะวัดด้วย..*เครื่องชี้วัดความสุข* ประเทศแรก.. ที่กล้าประกาศวัดด้วย GNH คือประเทศภูฏาน มี.. ปัจจัย 4 มีอาหารการกิน คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ภูฏาน เขากำหนดคนเข้าประเทศของเขาดวย เพราะพื้นที่เขามีแค่นี้ ถ้าเศรษฐีจะมาเที่ยวต้องจ่ายเงินมาซื้ออากาศ เราไปต่างจังหวัดกันคือไปซื้ออากาศ *ข้อคิด ชีวิตแบบธรรมดา..ตามธรรมชาตินี้ ไม่ว่าท่าน ไปบรรยายที่ไหน ท่านจะตั้งไว้สิบเปอร์เซนต์สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ ร้อยคนมีสิบคนนำไปปฏิบัติ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว และ.. หากเป็นจริงที่ท่านอาจารย์คาดหวังไว้ เชื่อได้ว่า.. ประเทศไทยจะมีคนถึง 6ล้านคน.. ที่เปี่ยมด้วยประโยชน์สุข เช่นเดียวกับพลเมืองภูฏาน..* ............... และ ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่สาวนา ได้เพียรพยายามที่จะนำมาสอนจิตสอนใจ สอนผู้ชิดใกล้ในดวงใจเท่าที่จะทำได้ และ.. สาวนาตั้งใจไว้ว่า จะนำบทความนี้ ไปน้อมนมัสการถวาย..ให้หลวงพ่อที่วัดเทศน์ออกอากาศ ให้ญาติธรรม กัลยาณมิตรทางธรรม ได้รับทราบรับฟัง พร้อมบทกวีจากมิ่งมิตรคนดี ที่เกี่ยวกับ*สวรรค์สรรสร้างทางงาม* ให้สม.. กับที่เรายังมีลมหายใจในโลกหล้า ได้เพียรปรารถนา สร้างสมแต่กุศลจิตคิดทำแต่ในสิ่งดี ตราบยังมีลมหายใจ.. และ.. พร้อมพลีเพียร...รักษา ศีลทานภาวนา..อย่าให้ขาด ให้ดวงใจใสสว่างพิไลพิลาสแสนสะอาดบริสุทธิ์ กระจ่างดุจดั่งได้แผ้วถาง ทางแห่งธรรม .. ให้มานำทางใจ..ไปตามรอยพระบาทแห่ง สมเด็จพระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย แล... เมื่อยามใดดวงชีวี พลัน..ถึงกาลเวลาจำพราก จำต้อง.. ลาลับดับดวงไปดั่งเปลวเทียนระริบหรี่ไหวแล้ววูบวับ ก็ให้มีเพียงจิตจับ เดินไปตามรอยเบื้องพระบาทแห่งพระศาสดา ที่ทรงยุรยาตรไปก่อนหน้าแล้ว ให้จิตวิญญาณใสดั่งดวงแก้วนิรมิต ที่จักเปรียบประดุจ *ดั่งอัญมณี*..ที่จักสถิตไปตราบชั่วนิจนิรันดร........... ............. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song400.html ฝากดิน ดินเจ้าเอ๋ยข้าเคยอยู่ใกล้มาก่อน ดินอุ่นร้อนหรือเย็นก็เป็นเพื่อนฉัน ยามเมื่อเขาร้างไป ไกล ใจก็ยังนึกหวั่นหวั่น นี่อีกสักกี่วันถึงมา ดินอ้างว้างระทมขื่นขมตรมเศร้า ดินก็เหมือนเช่นเรารักเขาหนักหนา เขาเป็นเหมือนเจ้าดวงใจ ดินเรียกเขาคืนมา มา บอกเขาเถิดดินจ๋าข้าคอย อภัย เถิด ดิน ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่ ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม อภัย เถิด ดิน ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่ ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม... ............... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html กลิ่นโคลนสาบควาย อย่าดูหมิ่น ชาวนาเหมือนดั่งตาสี เอาผืนนาเป็นที่ พำนักพักพิงร่างกาย ชี วิตเอย ไม่เคยสบาย ฝ่าเปลวแดดแผดร้อนแทบตาย ไล่ควายไถนาป่าดอน เหงื่อรินหยด หลั่งลงรดแผ่นดินไทย จนผิวดำเกรียมไหม้ แดดเผามิได้อุธรณ์ เพิง พักกายมีควายเคียงนอน กลิ่นโคลนสาบ ควายเคล้าโชยอ่อน ยามนอน หลับแล้วใฝ่ฝัน กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว แห่งชาวบ้านนา ไม่ลอยเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์ หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน กลิ่น กระแจะจันทร์ หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย...
เดือนเสี้ยวลอยคว้างกลางฟ้า ลีลาวดีปลิดกลีบระรินร่ำ ดาวพรายดงกระถินร่ายรำ สาวนามองฟ้าฝันแล้วถอนใจ เพลงสงกรานต์ลอยลมมากับฟ้ากว้าง นาร้างรออ้ายอยู่หนไหน สัญญาจะซื้อทองมาคล้องใจ หลงสาวกรุงหรือไรจึงไม่มา หวังก่อเจดีย์ทรายหมายเคียงข้าง อย่าแรมร้างลาไกลให้ห่วงหา ดอกจานบานรอใจคนไกลตา สาวบ้านนายังรักยังภักดี จุดฟืนไล่ริ้นไรริมคอก กระซิบบอกเจ้าทุยเคยขี่ เพลงขลุ่ยลับลาหนาวราตรี จันทน์กะพ้อพลีกลิ่นเศร้ารานร้าวใจ จุดเทียนทองบนหิ้งพระอธิษฐาน ถวายบัวบานด้วยใจใส ตั้งสมาธิภาวนารักษาใจ รอฟ้าใหม่กราบแม่พ่อพร้อมขอพร ........................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5453.html เสียงไก่ขันก้อง พร้องเสียงนกการ้องกระจิ๊บๆรับอรุณรุ่ง สะเทือนทุ่ง สะเทือนนา ยามฟ้าเริ่มสลัวสลัวเลือนลาง กับ.. ฟ้าใกล้สว่างรำไรรำไร.. กลิ่นลั่นทมริมหมอน...หอมพร่าง มาอวลปลุกให้สาวนา..รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา... และ... กับดวงดาราราย.. สาวนา...ค่อยๆยิ้มพราย รับ.. สายแสงจันทราที่ยังค้างฟ้า ที่พร่างพาสายแสงแสนหวาน หว่านแสงสีเงินยวงระยับระยิบ มาโลมไล้ร่างให้พริบพราวสว่างนวลพอกัน ในท่ามวิมานฝัน วิมานนา กระท่อมไพร วันนี้ เป็นวันสุกดิบก่อนวันมหาสงกรานต์ วันแห่งประเพณีไทยโบราณ ที่แสนงามนัก หากทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่านไป ลูกหลานไทยกลับ ทำในสิ่งน่าเศร้าใจแทน ด้วยสนุกสนานสราญใจจนขาดสติ และ.. ทุกปี.... ก็จะเกิดการพรายพลัดพรากจากจบ เจ็บนับหลายร้อย ให้คนทั้งโลกหล้าต่างพากันตกตะลึง คิดไม่ถึงว่า...ด้วยเหตุใดเล่า เมืองแห่งความงามพราวไสวด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ และ.. เมืองแห่งพระพุทธศาสนาไท ที่เน้นย้ำสอนเรื่องจิตภายใน ให้ถึงพร้อม ด้วยศีล ทาน ภาวนา ว่า.. จักมีคนหนุ่มสาวมากหน้าพากัน หลงเมามาย จนไร้สติสตังค์ ให้แม่พ่อสิ้นหวัง ยังไม่ทันได้ฝากผีฝากไข้ ยังไม่ทันได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายเลย ก็.. มาลาเลยเลือนลับดับไปด้วยความประมาท ฝากไว้เพียงหยาดน้ำตา อย่างไม่สมค่าคน ที่แสนโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ยังไม่ได้เพียรภาวนา พาตนพ้นทุกข์ พบสุขว่างกระจ่างจิต ให้ลมหายใจแห่งชีวิตหนึ่งชาติสูญเปล่า.. จนช่างแสนน่าเศร้าใจ..สะเทือนใจ... ปีนี้ วันสงกรานต์เป็นวันอาทิตย์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า "ทุงษะเทวี" ทัดดอกทับทิม ประดับอาภรณ์ด้วยปัทมราช ภักษาหารผลมะเดื่อ(อุทุมพร) พระหัตถ์ขวาทรงจักรซ้ายทรงสังข์ และทรงครุฑเป็นพาหนะ ปีนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารในเรือกสวนไร่นา ไม่สู้งอกงามนัก สาวนา...จึงแสนห่วงใย กับคำพยากรณ์ที่ว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารในเรือกสวนไร่นา ไม่สู้งอกงามนัก เพราะหมายถึงภักษาหาร ที่จักหล่อเลี้ยงคนทั้งแผ่นดินให้อิ่มท้องนั้น จักราคาแพงเสมือนแกล้ง ให้คนจนยากยิ่งหนักเข้าไปอีก สำหรับ... ดวงใจสาวนานั่นไซร้.. ทุกเช้าค่ำ เพียรฟังคลื่นวิทยุธรรมทานสีขาว ที่.. เฝ้าเพียรสอนให้เรารู้ทันเท่า.. เฝ้าตามดูจิตเกิดดับณ..ภายใน ไม่ว่า... จะทุกผัสสะใดมากระทบ จักต้องรู้จบรู้วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น...ไม่ว่าสุขเศร้า ดีร้าย... คล้ายให้ผ่านๆไป ประดุจดั่งสายน้ำไหล ให้.. มีเพียงจิตดวงใส มีเพียงความเป็นกลาง จึงจะพบความว่างกระจ่างสว่างสะอาดสงบ พบเพียงใจดวงนิ่งนิ่ง ลำพังแสนงาม เช้านี้ ... สาวนาจึงตั้งใจไปวัด ไปน้อมนมัสการอัฐิหลวงพ่อ ไปก่อเก็บเกี่ยว..เพียงหอมบุญ..ให้หนุนนำจิตให้ไสว ไปถวายพวงมาลัยดวงดอกไม้ กราบกรานองค์พระประธานองค์โตในโบสถ์คร่ำ แล้ว.. น้อมนำจิตพลี..สวดมนต์ภาวนาสมาธิ ก่อน.... จะถึง..วันพรุ่งนี้...ที่สาวนาจักเดินทาง ไป*บ้านทะเล...* ไปดูดวงดอกไม้บานหวานเหว่ว้าริมทาง ที่.. คงพร่างพรายสีสันหลากหลาย ร่ายฟ้อนอ้อนสายลมร้อนแห่งคิมหันตฤดู ไป.. นอนเหนือเนินทรายดูเกรียวเมฆแสนหวาน ไปดูดวงดอกดกตระการปาริชาติสีแดง ไป.. แฝงตัวนั่งริมหาดทราย ดูคลื่นเคลียไคล้ไล้โลมโถมถาโอบกอดชายฝั่ง ไป.. ฟังเสียงสนครวญ ไปชมมวลหมู่นกนางนวลปีกขาว..แสนอิสราเสรี ที่พากันผกโผผินบินโฉบเหยื่อ เหนือฟองคลื่นพราว ระลอกพลิ้ว ที่ค่อยๆทอยทอดมารัดร้อยฝากรอยจูบผืนทราย ไปเดินดายเดียว ให้ริ้วสายลมพัดผมกระจาย..อย่างไร้สิ้นพันธนาใด ไป.. ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ในวาดวงทะเลแสนงาม ในท่ามโลกแล้งร้ายรายรอบเพียงนั้น..! ................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5453.html สงกรานต์บ้านนา ...สุขสันต์ วันสว่าง ประเพณีไทย เมื่อสมัย ครั้งเก่าก่อน เล่น แอบซ่อน รูปหลวง พวงมาลัย ตรุษ สงกรานต์ สนาน สนุกกัน พอใจ พี่ วิ่งไล่ น้องก็หลบ เมื่อ พบหน้า พี่ เข้ากอด น้องยังออด ทำ เอียงอาย คืน เดือนหงาย พอพี่จูบ น้อง ทุบพลาง นอน หนุนตัก สัญญารัก ข้าง กองฟาง จน แสงเดือนจาง พี่ไม่ยอมห่าง น้องไปไกล ลืม น้ำคำของพี่ เสียหมด พี่คงอด เที่ยววันสงกรานต์ เดือนอ้าย ย่างเข้าเดือนยี่ แล้ว น้องหนีพี่ไปไหน หรือเจ้า ไปมีแฟนใหม่ ลืมเราวิ่งไล่ ในวันสงกรานต์ รัก กัน มา แต่เมษา วันที่เก้า เศร้า ปีนี้เศร้า ขาดคู่เคล้า เศร้าซมซาน คืน วัน เพ็ญ แสงเดือนเด่น เป็นพยาน กลับเถิด นงคราญ มาเล่นสงกรานต์ ที่บ้าน นา เรา ลืม น้ำคำของพี่ เสียหมด พี่คงอด เที่ยววันสงกรานต์ เดือนอ้าย ย่างเข้าเดือนยี่ แล้ว น้องหนีพี่ไปไหน หรือเจ้า ไปมีแฟนใหม่ ลืมเราวิ่งไล่ ในวันสงกรานต์ รัก กัน มา แต่เมษา วันที่เก้า เศร้า ปีนี้เศร้า ขาดคู่เคล้า เศร้าซมซาน คืน วัน เพ็ญ แสงเดือนเด่น เป็นพยาน กลับเถิด นงคราญ มาเล่นสงกรานต์ ที่บ้าน นา เรา...
สาวนาตื่นขึ้นมาในยามอุษาสาง ดาวประจำเมืองยังคงค้างฟ้า ทั่งทั้งท้องนาได้ยินเพียงเสียงกบเขียดร้องระงม เพราะ.. ฝนหลงฤดูเพิ่งพร่างพรมลงมา หลังพรากลาไปจนดินแตกระแหงไปทั่ว.. สาวนาลงไปเด็ดตำลึงริมรั้ว แล้ว.. ค่อยๆกอบกองฟืนมาก่อกองไฟ ใต้ร่มไผ่ใบบังใกล้คอกควาย ตั้งใจจะให้ควันไล่เหลือบไรริ้นยุง มิให้ไปรบกวนเจ้าทุยเพื่อนยาก ที่ทนลำบากตรากตรำมาด้วยกัน เปรียบประดุจดั่งคู่ชีวี แม้นมิใช่คนก็ตามที.. สาวนา ค่อยๆเดินเลาะเลียบดงข้าว ที่กำลังแตกรวงระย้า และหยาดน้ำค้างที่คอยระเรียวหน้า ดั่งได้ดื่มด่ำโลมไล้ด้วยนวลน้ำทิพย์ ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เริ่มเรื่อรางรำไรราวขลิบทอง ด้วยสายแสงสุริยาเริ่มสาดส่องออกมาจากทิวเขา ดั่งรัศมีรุ้งพุ่งพรายฉายฉาน ให้ตระการรับหวานแรกแห่งอรุณรุ่งอุ่นไอ สาวนาเดินเก็บดวงดอกไม้ป่า ดวงดอกหญ้าหลากสีริมทาง ที่มาตรแม้นใครจะมองว่าช่างไร้ค่า หากทว่า.... สำหรับสาวนา สาวบ้านป่าบ้านไพร มันช่างงามล้นค่าล้นใจ ด้วยเป็นดวงดอกพะยอมให้หอมหวาน ที่แสนติดดิน แกมสอนสัจจธรรมให้ถวิลนึก รู้สึกถึงความล้ำลึกอันแฝงฝังด้วยความเรียบง่าย คล้ายความอ่อนน้อมถ่อมตนเสียนี่กระไร และ..นั่น.... แถวดงดวงดอกคูนเหลืองพราวราวสายฝนสีทอง ที่ผ่องพรายรับสายแสงตะวัน อันสร้างพลังฝันให้แสนพริ้งพราวบรรเจิดใจ ราว.. รอให้ทุกดวงชีวิตคิดเริ่มต้นรับวันใหม่ ด้วยใจดวงมีความหวังมิรู้สิ้น ให้รู้ถวิลเพียรสร้างความดีพลีแด่แผ่นดินแม่มาตุภูมิ.. เพื่อความภาคภูมิปิติเกษมใจ อย่างแสนงดงามยิ่งใหญ่ ในยามที่บ้านเมืองต้องการความเสียสละสมานฉันท์ ให้รู้ปันพลีรู้รักสามัคคี กันและกัน อย่างในยามนี้ที่ทุกคนควร หันหน้ามาปรองดองทั่งทั้งผองไทย...เลยทีเดียว.. และ.. โน่นแม่ดวงดอกไม้ไพร แม่ดวงดอกตะแบกม่วงพวงพร้อย อ้อยสร้อยอวดกลีบบางละมุน และ.. ถัดมาที่กำลังให้หอมกรุ่นไปทั่วทั้งท้องนา คือดวงดอกลีลาวดี ที่ณ วันนี้ได้ดิถีฤกษ์แปรชื่อใหม่ ทิ้งระทมทับไป... แบบไม่อยากให้ใครมาต้องอาลัยพะวง มัวหลงกลัวอยู่ในความตรอมตรม จนไม่กล้านำมาปลูกประดับ..เพื่อรับรสชื่นสุคนธา.. สาวนา เพียรพยายามนานมา ที่จะหาญกล้าลงทุนลงแรง เท่าที่ยังมีผืนแผ่นดินถิ่นพสุธาทอง อันเรืองรองอุดมเฝ้ารองรับ และ.. กับในวันนี้ ที่ด้านหนึ่งของที่ดินสาวนาประมาณ ยี่สิบไร่ สาวนากำลังเริ่มต้นแปลงทดลองปลูกสบู่ดำ ที่เป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่ง ที่พี่ทองมาแนะนำ ให้สาวนามีความรู้ว่า ในสภาวะที่ราคาน้ำมันดีเซลมีราคาสูงอย่างในปัจจุบัน น้ำมันที่ได้จากเมล็ดสบู่ดำ นั้น สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่เกษตรกรใช้อยู่ได้ โดยไม่ต้องใช้น้ำมันชนิดอื่นผสมอีก และ ทุกส่วนของต้นสบู่ดำนี้ก็ยังมีประโยชน์มากมาย ที่สาวนายินดีนัก ที่จักได้แนะนำพี่ๆน้องๆผองเพื่อนบ้านของสาวนา ให้ลองหันมาเริ่มต้นปลูกกัน เพื่อให้ทันการ รับกับกระแสโลก ที่กำลังอาจจะขาดแคลนทรัพยากร น้ำมัน อันไม่ช้านานนี้ และ.. ลดภาวะการขาดดุลย์มากมีมากมาย ที่เราต้องสั่งน้ำมันมาจากตลาดโลกเพื่อมาใช้งาน ให้เราต้องรานร้าวเศร้าใจ เพราะ.. เงินทองต้องรั่วไหล ทำให้เศรษฐกิจทั่วไทยกระทบไปทั้งระดับครอบครัวและประเทศ สาวนา จึ่งภูมิใจนักหนา ที่ได้สนองคุณ กตเวทิตาคุณ ต่อแผ่นดินแสนสงบร่มเย็นเป็นสุขนานมา ให้สมกับที่ได้เกิดมาใต้ฟ้าไท ในร่มรัตนตรัย ใต้ร่มฟ้าเศวตรฉัตร ดั่งรัตนมณีแห่งพระพ่อหลวงผู้ทรงทศพิธราชธรรม ที่ทุกคืนค่ำ... สาวนาจักสวดมนต์กราบกรานอธิษฐานจิต ให้เจ้าเหนือชีวิตและพระบรมมหาราชวงศ์ทุกพระองค์ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เพื่อเป็นดั่งแสงโชติช่วงนำทางใจ ให้.. ไทยทั้งผอง ได้รู้ปรองดอง สร้างคุณงามความดี พลีให้ทั้งโลกหล้านี้ มีเพียงความรักความเข้าใจอภัยเมตตา ปรารถนาให้เกิดความสงบสันติ ไปตราบกาล.. และ.. กับเช้านี้ในยามที่อรุณรุ่งเรื่อเรือง สาดแสงมลังเมลืองทั่วทิวทุ่งทิพย์ทองในครองฝัน สาวนา พลันคว้าเรือพาย พาร่างไร้ใจหนาว ไปสู่บึงบัวพราวเพื่ออาบน้ำชำระกาย แล้ว.. แปลงร่างเป็นดั่งปลาพร้อมว่ายแหวกในสายชล ชื่นชมสายน้ำที่ช่างให้ความสุขฉ่ำเสียไม่มี และ.... เพื่อมานอนเอนกายพลีรับพรายแสงแรก ให้แทรกความอวลอุ่น เพื่อให้ดวงใจละไมละมุน ได้หอมกรุ่น มีกำลังใจสู้โลกอีกครา และ.. ตราบจนกว่าลมหายใจจะสิ้นผืนดินจะกลบหน้า และมาตรแม้นว่า อ้ายคนดีจะพรากลาลับไปไม่หวนคืนก็ตามที.. สาวนา... ขอเพียงมีความสุขสมถะ รู้รักความพอเพียง พยายามหลีกเลี่ยงจากกิเลสอันคือสร้อยโซ่กรรม ที่มวลมนุษย์มากมี มิเพียรน้อมนำธรรม มานำทางจิต เพื่อให้ดวงชีวิตหลุดพ้นจากพันธนาเล่ห์ลวงบ่วงมายา เพื่อรอท่า.. ให้ได้พบความเกษมสุขนิรันดร์ ในวันหนึ่ง หากจิตเราถึงพร้อม.... ในวันนี้... จึ่งดูราวกับว่าสาวนา ได้ผ่านพบโศกได้เห็นโลกย์มาอย่างถ่องแท้ เห็นความอยากได้ใคร่มี เห็นทุกข์ทุกปุถุชนชีวี ราวเวียนว่ายติดในตมแห่งความระทมธรรมดาทุกข์สุข มิอาจหยุดไขว่คว้า และ.. คงตราบจนกว่าจะซาบซึ้งในรสพระธรรม ที่ดั่งคือ... สายธารอันแสนเย็นฉ่ำ ดับแล้งแห่งใจ ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์....! ................................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html มนต์รักลูกทุ่ง หอมเอยหอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง มองเห็นบัวสล้างลอยปริ่มริมบึง อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย ลองเอื้อมมือค่อยค่อย ก็เอื้อมไม่ถึง อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้าเจ้า บัวตูมบัวบาน หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน อวลระคนธ์หอมแก้มนงคราญ ขลุ่ยเป่าแผ่ว พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา หวานแว่วแผ่วดังกังวาน โอ้เจ้าช่อนกยูง แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ...
ณ กระท่อมไม้ซุงกลางทุ่งกว้าง ดงดอกหญ้ากระจ่างในเงาฝัน ดาวร้องเพลงหยอกล้อพ้องามจันทร์ คีตสวรรค์บรรเลงเพลงแห่งไพร ฟืนปะทุริมชานให้หวานวับ วะวูบรับพร่างโชนแสงไสว เสียงเก้งกวางบ่างชะนีมาแต่ไกล ไฟในใจก็โชติช่วงดั่งรวงดาว แล..ลอดทอดตาสู่ฟ้ากว้าง ทางช้างเผือกสว่างลืมเหน็บหนาว มณีรุ้งรุ่งทิพย์พรายพราว ดูราวสวรรค์ลอยเลื่อนสู่เรือนใจ ดาวแขวนย้อยห้อยดวงเรี่ยยอดไม้ ไผ่ซัดส่ายพร้องเสียงอยู่ไหวไหว มวลดอกไม้รายรอบเรือนผลิปลอบใจ ให้หลับไหลท่ามธรรมชาติฝันนิรันดร......! ........................................................ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song367.html เดือนเพ็ญ เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม นภาแจ่มนวลดูงาม เย็นชื่นหนอยามเมื่อลมพัดมา แสงจันทร์นวล ชวนใจข้า คิดถึงถิ่นที่จากมา คิดถึงท้องนา บ้านเรือนที่เคยเนาว์ กองไฟ สุมควายตามคอก คงยังไม่มอดดับดอก จันทร์เอยช่วยบอก ให้ลมช่วยเป่า สุมไฟให้แรงเข้า พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว ให้พี่น้องเรา นอนหลับอุ่นสบาย เรไร ร้องดังฟังว่า เสียงที่เจ้าพร่ำครวญหา ลมเอยช่วยพา กระซิบข้างกาย ข้ายังคอย อยู่ไม่หน่าย ไม่เลือนห่างจากเคลื่อนคลาย คิดถึงไม่วาย เมื่อเราจากกัน ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้ นำรักจากห้วงดวงใจ ของข้านี้ไป บอกเขานั้นหนา ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย เรไร ร้องดังฟังว่า เสียงที่เจ้าพร่ำครวญหา ลมเอยช่วยพา กระซิบข้างกาย ข้ายังคอย อยู่ไม่หน่าย ไม่เลือนห่างจากเคลื่อนคลาย คิดถึงไม่วาย เมื่อเราจากกัน ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้ นำรักจากห้วงดวงใจ ของข้านี้ไป บอกเขานั้นหนา ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย...