30 มิถุนายน 2554 12:23 น.
..สายลมทะเล..
เค้ก..สาวน้อยร่างสูงโปร่งลูกสาวคนเดียวของผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เจ้าของผิวสีขาวหยวกและนัยน์ตาสีฟ้าที่ชวนให้หลงใหล หลายคนซุบซิบกันว่าด้วยปริญญาบัตรสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากเกษตรศาสตร์และภาษารัสเซียของเจ้าหล่อน ไม่น่าเพียงพอให้เธอแทรกตัวเข้ามาในกระทรวงบัวแก้วนี้ได้.. คงเป็นเส้นพ่อเธอนั่นแหล่ะ ป้งฟังแล้วก็ยิ้มๆ เพราะเท่าที่รู้มา เจ้าหน้าที่การทูตสี่อย่างพี่เค้ก คล่องแคล่ว ฉลาดและทำงานเก่ง ท่านทูต พี่ๆ และเพื่อนในกรมเดียวกันกับพี่เค้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวอย่างนั้น ต่อให้คุณพ่อเธอเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยความสามารถ เธอก็สามารถเดินเข้ามาที่นี่ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคุณหนูอย่างพี่เค้ก กลับไม่เคยทำตัวเป็นคุณหนูให้หลายๆ คนหมั่นไส้
ป้งแอบหลงรักพี่สาวคนนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เดินสวนกันหน้าลิฟท์ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้อายุมากไปกว่าป้งหรอก ด้วยความที่ป้งมัวเรียนสองปริญญาและไปหาประสบการณ์ทำงานต่างประเทศ เธอจึงเข้ามาทำงานที่นี่ก่อน อาวุโสโดยตำแหน่งจึงสูงกว่าเขาไปโดยปริยาย เมื่อเพื่อนๆ ที่เข้ามาพร้อมกันกับเขาเรียกเธอพี่เค้ก ป้งก็เรียกพี่เค้กตามเขาไปด้วย.. เรียกกันในวงสนทนานะครับ ไม่เคยได้เรียกพี่เขาจริงๆ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากรอยยิ้มเมื่อเดินสวนกัน ป้งก็ไม่เคยได้ทักทายพี่เขาเลย
“ชอบเค้าเหรอ” เพี๊ยชเพื่อนสาวถาม ขณะนั่งกินข้าวเที่ยงในร้านอาหารเล็กๆ ใกล้กระทรวง
“อะไร” ป้งคำราม เหมือนจะสื่อบอกว่าไม่จริง
“เฮ้ย สี่ปีที่เรียนด้วยกันมา ไส้พุงแกนะ ชั้นรู้หมดแล้ว” “ตาขยิบ สมองสับสน พูดจาไม่รู้เรื่อง การสื่อสารทางภาษาขัดข้องขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน ..เนี่ย อาการเดียวกันเป๊ะสมัยเจอชั้นวันแรก ..หกปีไม่มีเปลี่ยน” ป้งได้แต่นั่งหน้าแดงทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธดี แต่สายตาก็แอบชำเลืองดูสาวร่างสูงโปร่งเดินออกจากร้านไปกับชายหนุ่มหน้าตาดี ..พี่เอฟ นักบินการบินไทยที่หมั่นแวะมาหาพี่เค้กอยู่บ่อยๆ นั่นเอง
“แกก็อย่างเนี้ย ได้แต่แอบมอง” “ชอบบอกตัวเองให้เจียมตัว.. โถ แม่ดอกฟ้ากับปลาทู”
“อะไรของเอ็งเนี่ย ดอกฟ้ากับปลาทู”
“อ้าว ก็สาวสวย กับผู้ชายตลาดไง ..ชอบคิดไปเองคนเดียว ว่าผู้ชายอย่างแกนะเขาคงไม่สน เหมือนปลาทูในเข่งสองตัวสิบบาท พอสายหน่อยตลาดเริ่มวายก็ซื้อเข่งแถมเข่ง” “ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกคิดเสียที ไอ้ความคิดไม่สร้างสรรค์เนี่ย.. แกนะออกจะดี.. สเป็คชั้นเลยนะแก”
“อ้าว แล้วทำไม..” ไม่ทันพูดจบ เพื่อนสาวก็สอดขึ้นมาขัด “ก็แกมันดีเกิ้น ไม่ทำอะไรสักอย่าง.. สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว ได้แต่กระพริบตาใส่ ชั้นรำคาญ ขี้เกียจรอ ก็เลยเลือกพี่เสือดีกว่า ห้าวดี ..เอ็งมันตุ๊ดว่ะป้ง ใจเท่าลูกแมว”
คำพูดของเพื่อนสาวเสียดแทงใจเขาไม่น้อย แต่ก็นั่นแหล่ะ เขาก็แค่ลูกคนธรรมดา หน้าตาแม้ไม่ขี้ริ้วแต่ก็ไม่โดดเด่น ดูแล้วไม่ว่าด้านไหน เขาก็เป็นรองพี่เอฟทุกอย่าง ..แต่ถึงไม่มีพี่เอฟ เขาก็ยังสงสัยว่า อย่างเขาเนี่ย จะไปชอบคนอย่างพี่เค้กได้หรือ.. ก็เธอเป็นนางฟ้าจริงๆ ส่วนเขา..ปลาทู อืม ใช่ เขาก็แค่ปลาทู
ป้ง ก้มหน้ากินข้าวหมูแดงสั่งพิเศษคนเดียวเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าสั่งข้าวหน้าเป็ดและข้าวมันไก่มาอีกอย่างละหนึ่ง ..เวลาป้งใช้สมองและสับสน ป้งมักกินเยอะเสมอ
เพี๊ยชได้แต่ยิ้มและเวทนาเพื่อนรัก
.............................
วันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์.. ป้งมาทำงานสายกว่าปกติ รอจนมั่นใจว่าเกือบทุกคนในกรมมาทำงานกันแล้ว เขาจึงปรากฏตัว ..เปล่าหรอกป้งไม่ได้มีดอกไม้ติดมือมาด้วย.. และไม่ได้มีแผนอันยิ่งใหญ่อะไร ก็แค่วันนี้ป้งรวบรวมความกล้าไปเดินผ่านกรมพี่เค้กก็เท่านั้น ..อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าพี่เค้กสบายดีไหม.. เอ่อ มีดอกไม้ของใครไปวางบนโต๊ะพี่เขาบ้าง ป้งก็แค่อยากรู้
ที่ทำงานป้งอยู่ชั้นสี่ ที่ทำงานพี่เค้กอยู่ชั้นสอง.. แต่ป้งกลับขึ้น-ลงอยู่ในลิฟท์สามรอบระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นบนสุด เดี๋ยวคนเดินเข้าเดี๋ยวคนเดินออก แต่ขาป้งกลับไม่มีแรงจะก้าวออกจากลิฟท์.. กว่าจะผลักตัวเองออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมได้ เหงื่อก็พราวเต็มหน้า.. เอาว่ะ ลูกผู้ชาย มันต้องกล้าๆ หน่อยโว้ย ป้งตะโกนบอกตัวเองในใจ
แล้วป้งก็ไปเดินผ่านชั้นสอง ที่ทำงานของพี่เค้ก.. เดินอย่างมาดมั่น ไม่วอกแวก ไม่มีแม้ชำเลืองซ้ายชำเลืองขวา มองตรงไปข้างหน้า..นั่น ประตูทางออก คนที่ไม่รู้จักป้ง คงนึกว่าป้งเป็นนักเรียนนายร้อย.. เดินเป็นหุ่นยนต์ ไม่สนว่าโลกข้างๆ จะเป็นยังไง
ป้งหลุดพ้นประตูมาอย่างโล่งอก ถอนหายใจและยิ้มเริงร่าในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า.. ชิบ แล้วพี่เค้กล่ะว่ะ นั่งตรงไหน แล้วพี่แกมาทำงานหรือยัง แล้วแกได้ดอกไม้บ้างไหม แล้ว..แล้ว ..แล้วทำไมกูมันซื่อบื้ออย่างนี้
เลิกงาน ป้งเดินหน้าเศร้าไปที่รถ วันนี้เขามาสายกว่าทุกวันเลยต้องจอดรถแนวขนาน เขาสตาร์ทรถด้วยจิตใจหดหู่ ค่อยๆ ถอยรถห่างจากท้ายคันหน้าเพื่อจะเลี้ยวออก ทันใดนั้น พี่เค้กก็เดินผ่านลานจอดรถข้างหน้า.. ใจป้งเต้นแรง ตาป้งกระพริบถี่ มือไม้อ่อนปวกเปียก และก่อนที่ป้งจะทันได้คิดอะไรต่อ ตึง!
รถของเขาถอยไปชนรถคันข้างหลัง
“พี่ป้ง” เสียงสาวเจ้าของรถที่ประจวบเหมาะเดินมาพอดีเอ่ยอุทาน เมื่อเห็นป้งเดินออกมาจากที่นั่งคนขับ
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวผมเขียนใบเคลมประกันให้นะครับ รถคุณมีประกันใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักด้านหน้า มือเปะปะหาใบเคลมประกันขณะสายตาจับจ้องร่างสาวในฝันที่เดินตรงไปหารถ BMW สีดำ
“พี่ป้ง ใจลอยเหรอค่ะพี่”
“ฮ่ะ อะไรนะครับ.. อ๋อ อยู่นี่เอง” เจ้าตัวก้มลงเขียนข้อมูลตัวเองอย่างหวัดๆ เพื่อจะเฝ้าสังเกตพี่เค้กที่ยืนคุยกับหนุ่มเจ้าของรถอยู่ไกลๆ
“นี่ของแป้งค่ะพี่”
ชายหนุ่มรับมาถือไว้และส่งของตนให้เจ้าหล่อน
“พี่ป้งจะแวะไปอู่ด้วยกันเลยมั๊ยค่ะ แป้งรู้จักอู่ฝีมือดีอยู่ใกล้ๆ”
“ฮ่ะ อะไรนะครับ.. เอ่อ ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้เสียเวลา” “นี่เบอร์โทรศัพท์ผมครับ เผื่อมีปัญหาติดขัดอะไร ก็โทรมานะครับ” ชายหนุ่มยื่นนามบัตรให้หญิงสาว
เธอรับนามบัตรไปอย่างงงๆ
“เอ่อ แล้วไม่ทราบ ชื่ออะไรครับ” ปากถามเจ้าหล่อน แต่สายตากลับมองร่างพี่เค้กที่ก้าวขึ้นรถสีดำคันนั้น หัวใจของป้งเหมือนสลายไปกับสายลมเย็นที่พัดวูบเข้ามา
“แป้งค่ะ วิศรา อิสรภักดี” เธอชี้ไปยังใบเคลมประกันที่เธอเขียน “แล้วพี่ป้งจะไปไหนต่อหรือค่ะ” เธอถาม
“เดี๋ยวพี่ไปทำธุระต่อนะครับ” ป้งเปลี่ยนสรรพนามตัวเองตามเธอไปโดยไม่รู้ตัว
รถ BMW สีดำเคลื่อนออกจากลานจอด ป้งขอตัวจากสาวน้อย กระโดดขึ้นรถและค่อยๆ ขยับรถออกตามไป แล้วก็ชะงัก “เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวรู้จักชื่อเขาได้ยังไง เขายังไม่ได้แนะนำตัวเสียหน่อย” ป้งมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นสาวน้อยเจ้าของรถที่เขาชนยืนยิ้มหน้าบาน รอยยิ้มนั้นสดใสและเปล่งประกาย.. ไม่ทันได้คิดต่อ ครืดดด!
เสียงล้อรถของเขาครูดไปกับขอบทาง.. ในกระจกมองหลัง สาวน้อยเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นเสียงหัวเราะ
รถ BMW สีดำลับสายตาไปแล้ว.. ป้งยิ้มให้กับตัวเอง ตาของเขากระพริบถี่ หัวใจที่สลาย กลับมาเต้นตูมตามอีกครั้ง
--------------------------------
29 มิถุนายน 2554 20:04 น.
..สายลมทะเล..
“เบลอ.. เบลอ!”
ชายหนุ่มกระซิบอยู่ในลำคอพลางเอาปากกาตีเข้าที่หลังมือหญิงสาวที่นั่งหลับนกน้ำลายไหล
เบลอหญิงสาวเจ้าของชื่อลืมตาตื่น ขยับปากกาทำปากขมุบขมิบ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง โปรเฟสเซอร์ส่ายหัวอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ปรามด้วยสาตาดุๆ และหันไปเลคเชอร์ต่อ
“จะหลับอะไรกันนักกันหนา หึยายเบลอ พี่เห็นเราหลับได้หลับดีทุกวัน”
“เมื่อคืน อ่านหนังสือดึกไปหน่อยพี่เป๊ก.. ก็เตรียมมาเรียนนี่แหล่ะ”
“แล้วมันมีประโยชน์มั๊ยเนี่ย อ่านแล้วมานั่งหลับในห้อง.. เชื่อเธอเลย” “หลับก็ไม่ไว้หน้าสาวไทย.. น้ำลายยืดเป็นทาง” ชายหนุ่มบ่นกะปอดกะแปด
“ฮ่าๆ จริงใจค้าบจริงใจ” สาวน้อยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ชายหนุ่มได้แต่ระอา นี่หรืออดีตสาวอักษรจุฬาที่เขาว่าไฮโซ นักเรียนทุนและว่าที่อาจารย์สาวมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคอีสาน ..เฮ้อ คิดแล้วก็ปวดหัว
“เอ้า พี่เป๊ก มอคค่าของพี่” เบลอยื่นแก้วกาแฟร้อนพร้อมน้ำตาลซองส่งให้
“อ้าว ทำไมน้ำตาลซองเดียว”
“โหพี่ แมนมั่งเหอะ.. ผู้ชายที่ไหนเขากินกาแฟใส่น้ำตาลกัน เอามาให้ซองนึงก็บุญแล้ว”
“อ๊ะ ยายเบลอ แมนมันกินหวานไม่ได้หรือไงล่ะ” “ก็เพราะเรามันกินแต่กาแฟดำนี่แหล่ะ ผู้ชายมันถึงไม่มาจีบ กาแฟขม..ชีวิตมันก็ขมขื่นตามกันไปล่ะครับ”
“ไม่เป็นไร โสดซิดี ชอบ” สาวน้อยตอบแบบไม่ยี่หระกับคำสบประมาท เธอเป็นตัวของเธอเองอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในคำพูดที่ไม่สะทกสะท้านจะมีความนัยซ่อนอยู่หรือไม่ ยากเกินความเข้าใจของชายหนุ่ม.. แต่ความเป็นธรรมชาติของเธอ ชายหนุ่มแอบยอมรับว่า..มันมีเสน่ห์อย่างประหลาด
“เบลอ.. เบลอ!” หญิงสาวสูดน้ำลายกลับเข้าปาก ขยับปากกาและทำปากขมุบขมิบเหมือนครุ่นคิดถึงโจทย์ตรงหน้า
ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอา “พรุ่งนี้จะหลับในห้องสอบมั๊ยเนี่ย”
“หลับเหลิ๊บอะไร มั่วแล้วพี่เป๊ก ไม่ได้หลับสักหน่อย” สาวน้อยปฏิเสธหน้าใสซื่อพลางเอามือวางทับรอยน้ำลายบนสมุดโน้ต
“ไม่ได้มีอายเล้ย” ชายหนุ่มหยิบกระดาษทิสชู่ในกระเป๋าเป้ส่งให้
หญิงสาวหน้าแดง แต่ก็รับไปเช็ดแต่โดยดี ..นั่นเป็นครั้งแรก ที่ชายหนุ่มเห็นเธออายจนหน้าแดง ใบหน้าของเพื่อนสาวในวันนั้นยังประทับอยู่ในความทรงจำจนทุกวันนี้
ช่วงเวลาห้าเดือนผ่านไปเร็วเหมือนใบไม้ร่วง
หลังสอบปลายเทอม ชีวิตของคนสองคนก็เหมือนเดินกันอยู่คนละทาง เบลอลงทะเบียนเรียนเทอมสุดท้ายในสายบัญชี ส่วนชายหนุ่มลงเรียนในสายวิศวะ แม้สองคนจะสนิทกันค่อนข้างมาก แต่น่าแปลก..นอกจากนัดคุยเรื่องงานและเตรียมสอบแล้ว ต่างก็ไม่เคยโทรหาและนัดเจอกันเลย ..ชีวิตนักเรียนทุนสองคนในต่างแดนช่างพิลึกนัก เอ หรือเวลาห้าเดือน มันน้อยเกินกว่าจะสนิทสนมกัน.. ชายหนุ่มได้แต่คิดอยู่คนเดียวเงียบๆ
หกโมงยี่สิบนาที ท้องฟ้าแถบชานเมืองมืดสนิท แต่เจ้าของแก้วกาแฟที่เย็นชืดยังคงนั่งมองเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้วันเวลา ..อุณหภูมิ 17 องศาอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมกาแฟจึงเย็นชืด แต่ความจริงที่ซ่อนเร้น คือมันถูกชงวางไว้ตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว.. กาแฟที่ใส่น้ำตาลแค่ครึ่งช้อน ทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงหญิงสาว ..ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ มีเพื่อนกินกาแฟหรือเปล่า จะยังนั่งหลับน้ำลายไหลอยู่ไหม
ทุ่มสี่สิบ.. รสบัสจากชานเมืองจอด ณ สวนสาธารณะใจกลางไครเชิร์ท ชายหนุ่มค่อยๆ เดินใจสั่นลงจากรถ มือถือโทรศัพท์แน่น เบอร์โทรเบอร์หนึ่งยังคงค้างอยู่ในหน้าจอ
“ฮัลโหล พี่เป๊ก มีอะไรเหรอ” เสียงใสๆ ที่คุ้นเคยดังมาจากอีกปลายสาย
“อ๋อ เปล่า บังเอิญพี่มาทำธุระในเมือง เห็นร้านกาแฟเลยนึกถึง..” ชายหนุ่มหยุดหายใจชั่วครู่ “มากินด้วยกันมั๊ย” แม้จะพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่เจ้าของเสียงก็รู้ว่า น้ำเสียงที่เอ่ยชวนมันผิดไปจากที่เคยเป็นมา
“เบลอออกมากินอาหารเกาหลีกับพี่ๆ ที่หอนะพี่เป๊ก เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันเนาะ”
“โอเคคร้าบ ไม่มีปัญหา เอาไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกัน”
“บะบ๊ายค่ะ”
“บายครับ” ชายหนุ่มวางสายไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ยิ้มให้กับห้วงอากาศตรงหน้า..กาแฟพร่องน้ำตาล มันขมขื่นอย่างนี้เอง
สามทุ่มครึ่งชายหนุ่มลงจากรถประจำทางและเดินเข้าบ้านอย่างเงียบเหงา..
บ้านหลังกะทัดรัดปิดไฟเงียบ กักขังความเหงาไว้เป็นเพื่อน เจ้าของบ้านไปเล่นดนตรีต่างเมืองอีกหลายวันจึงจะกลับ ที่จริงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา บ้านหลังนี้เสมือนชายหนุ่มอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด อาชีพของเจ้าของบ้านทำให้เขามักไม่ได้อยู่ติดบ้านนัก.. บ้านหลังนี้ก็เลยเหมือนมีชายหนุ่มเป็นเจ้าของ
แก้วกาแฟยังวางอยู่ที่เดิม ด้วยความรีบร้อน มันจึงยังไม่ถูกเอาไปล้างเก็บตามวิสัยรักสะอาดและเจ้าระเบียบของชายหนุ่ม ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองและยกแก้วกาแฟที่เย็นชืดขึ้นดื่ม.. พรุ่งนี้ เขาจะเข้าเมืองไปกินกาแฟอีกครั้ง กาแฟร้อนๆ ไม่ใส่น้ำตาล ..กาแฟดำแบบแมนๆ
ดึกมากแล้ว ชายหนุ่มกระโดดขึ้นเตียงนอน เบอร์โทรศัพท์สายสุดท้ายยังถูกกดค้างอยู่หน้าจอ ..ชายหนุ่มให้สัญญากับความเงียบ “ไว้พรุ่งนี้..แล้วเดี๋ยวจะรีบโทรไปแต่เช้า” นอนนึกถึงประโยคที่จะพูดกับหญิงสาว “เบลอ..วันนี้ไม่ว่างไม่เป็นไรนะ ..แต่พี่จะโทรมาชวนเบลอทุกๆ วัน.. จนกว่าเบลอจะว่าง ไปกินกาแฟด้วยกันนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้กับความหวานที่ไม่ต้องพึ่งน้ำตาลและหลับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
4 กันยายน 53, ตีสี่สามสิบห้า เช้ามืดบนแผ่นดินใกล้ขั้วโลกใต้ ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ความแรงระดับ 7.1 ริคเตอร์ทำลายอาคารบ้านเรือนของไครเชิร์ทเสียหายเป็นบริเวณกว้าง หลายๆ ครอบครัวหลับไปในคืนนั้นโดยไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีก และหนึ่งในนั้น ได้รวมเอาชายหนุ่มในบ้านหลังกะทัดรัดชานเมืองที่มักปิดไฟเงียบและกักขังความเหงาไว้เป็นเพื่อนหลังนั้น..
ไม่มีกาแฟร้อนของพรุ่งนี้.. มีเพียงกาแฟแก้วสุดท้ายที่เย็นชืด ..และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง