25 พฤศจิกายน 2548 18:17 น.
..สายลมทะเล..
แป๊ะเป็นนายสิบแผนที่ที่จับผลัดจับผลูสอบมาทำงานกับสหประชาชาติ ด้วยความที่เป็นมือใหม่ไม่ประสาโลก ก็เลยหาที่ซุกหัวนอนไม่ได้ ต้องมาออดอ้อนขอเช่าบ้านอยู่กับผม..ผมเจอใครผมก็บอกอย่างนี้ แป๊ะเจอใครแป๊ะก็บอกอย่างผม..ผู้กองแกเป็นผู้สังเกตการณ์ทางทหารอยู่ในเมืองหลวงตัวคนเดียว เห็นแล้วอดสงสารแกไม่ได้ เลยรับมาอยู่เสียด้วยกัน ..ก็ไม่รู้ใครพูดจริงกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ เราก็ดูแลกันและกันเป็นอย่างดี
แป๊ะนิสัยดีเกือบทุกอย่าง เสียแต่ขี้กังวล ยอมคนมากไป ช่างโลเล ไม่เคยตัดสินใจได้เอง ฉลาดแบบเซ่อๆ กรนดังกว่าโรงสี และช่างซักช่างถามยิ่งกว่าเด็กสามขวบ เรื่องขี้กังวลคิดมากโลเลไม่เด็ดเดี่ยวนั้น ผมอบรมและสอนแป๊ะทุกคืน เรื่องฉลาดในเรื่องโง่ๆ เซ่อในเรื่องควรรู้ และซื่อในเรื่องน่าเตะนี่ ผมพยายามให้อภัยและหยวนๆ มาตลอด..เข้าใจว่า เรื่องแบบนี้ไม่อาจพัฒนาได้ในช่วงข้ามคืน
แต่สำหรับแป๊ะ..ดูท่าข้ามชาติก็คงพัฒนาไปไม่ไหว
เรื่องเดียวที่ผมยังคงอึดอัดอยู่ในใจก็คือ แป๊ะชอบเล่นไฟขณะขับรถตอนกลางคืน แป๊ะมักจะกระพริบไฟสูงบ่อยมาก เรียกว่าทุกๆ สิบเมตรก็ว่าได้ ผมทักทุกครั้งเวลานั่งไปด้วย แป๊ะก็มักอ้างว่ามองไม่เห็น
ก็ผู้กองดูซิคนดำเดินบนถนนเหมือนว่าเป็นทางเท้า มืดก็มืด ดำก็ดำ ใครจะไปมองเห็นล่ะครับผู้กอง
ก็ขับช้าๆ ซิแป๊ะ
แล้วแป๊ะก็ลดความเร็วลง แต่ไม่วายเล่นไฟเหมือนเดิม
อ้าวยังมองไม่เห็นอีกเหรอ ผมถาม
เปล่าหรอกครับผู้กอง ผมไม่มั่นใจนะ แล้วแป๊ะก็ขับแบบสบายใจแป๊ะต่อไป
ผมรำคาญกับการกระพริบไฟแบบแมวหยอกแมงสาบของแป๊ะเต็มทน เลยบอกให้เปิดไฟสูงขับไปเลย แป๊ะก็ปฏิเสธว่าไม่ได้หรอกผู้กอง ขับไฟสูงผมก็ไม่เห็นผิวถนนใกล้ๆ นะซิ ขับสูงๆ ต่ำๆ แบบนี้นี่แหล่ะปลอดภัยดี.. มิวายที่ผมจะชักเหตุผลร้อยแปดมากรอกหู แป๊ะก็ยืนยันว่า..นี่นะดีสุดๆ แล้ว
ก็ในเมื่อแป๊ะมั่นใจขนาดนั้น..ผมเลยขี้เกียจสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ จึงนั่งหน้าเป็นแมวเบ่งขี้ไปจนถึงบ้าน
วันนี้กลับมาถึง จู่ๆ แป๊ะก็ถามขึ้นมาว่า
Have a long live. แปลว่าอะไรครับผู้กอง ผมขับรถไปส่งเพื่อน ตอนจอดรถส่งมันที่หน้าบ้าน มีรถอีกคันจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝรั่งยูเอ็นนั่งอยู่ข้างใน ทางค่อนข้างมืดถนนก็แคบ ผมเลยกระพริบไฟตรวจสอบสภาพผิวทางไปสิบกว่าครั้ง พอจะออกรถ มันก็ขับรถมาเทียบ พอดีผมเปิดกระจก ได้ยินมันตะโกนว่า Have a long live ผม Thank you มันไปทีนึง นึกอยู่ในใจ เออแฮะ อยู่มาตั้งนาน เพิ่งเจอฝรั่งอัธยาศัยไมตรีดี จู่ๆ ก็ทักทาย..สงสัยจะรู้ว่าเราเป็นคนไทย
ผมนั่งฟังแป๊ะยิ้มๆ
แล้วแป๊ะคิดถึงอะไรล่ะ
ผมก็นึกนึง Long live the King นะครับ ขอจงทรงพระเจริญอะไรทำนองนั้น
ผมส่ายหน้าด้วยความเวทนา
แป๊ะเอ้ย ไอ้ที่แป๊ะแท้งคิ่วแล้วนั่งยิ้มแก้มปริมาตลอดทางนะ แปลเป็นไทยได้ว่า
ขับรถกวนตีนแบบนี้..ให้อายุยืนนะมึง
อ้าว! ผมทำอะไรผิด อย่างนี้มันเว่อร์ไปหรือเปล่า
มันไม่เว่อร์หรอก เพราะถ้าเป็นพี่
พี่จะตะโกนว่า Have a short day เถอะมึง แล้วก็ยิงสวนเข้าแสกหน้าด้วยลูกซองแฝด
ฮ่ะๆ ผู้กองพูดเล่นใช่มั๊ย
เออ พูดเล่น แต่ Have a long live นะของจริง คราวหน้าก็จำไว้ล่ะ
ครับผู้กอง แป๊ะพยักหน้ารับ คราวหน้าผมจะไม่ขอบคุณมันอีก
ผมมองหน้าเซ่อๆ ของแป๊ะแล้วก็เวทนา.. มันเข้าใจอะไรของมันเนี่ย
แล้วผมก็เล่าเรื่องเจอคนทิ้งเปลือกถั่วระหว่างติดไฟแดงให้แป๊ะฟัง
วันนั้นผมขับรถไปธุระที่สะพานใหม่กับนักบินรุ่นพี่ ระหว่างรอไฟแดงหน้าประตูกองทัพ รถผมจอดเยื้องมาข้างหลังของรถอีกคัน ทั้งคันมีคนนั่งอยู่ห้าคนปอกถั่วต้มกินกันจุ๊บจั๊บ ผมเห็นก็เฉยๆ มาไม่เฉยก็ตอนพวกนั้นเปิดกระจกทิ้งเปลือกถั่วบนถนนไปสองกำนั่นแหล่ะ
ผมบีบแตรปิ๊น เหมือนเตือนว่าไม่ควรทำนะ นอกจากมันจะหันมามองหน้า มันยังทิ้งถุงใส่ถั่วเย้ยลงมาอีก เรื่องแบบนี้ยอมกันได้ที่ไหน ผมบีบแตรไปอีกสองที นึกว่ามันจะกลัว ที่ไหนได้ นอกจากมันไม่กลัวผมแล้ว มันยังเอาถังขยะในรถเทลงกลางถนนและยักคิ้วใส่เสียอีก รุ่นพี่ที่นั่งในรถอยู่กับผม เอื้อมมือมาแตะขา(พอเสียวๆ) อย่าเลยซู พอเถอะ เผื่อมันมีปืน
กลัวอะไรพี่ เรามีตีน..มันชักปืน เราก็วิ่งซิครับ ผมโมโหจนหน้ามืดอยากลุกเอาหนังสือไปทุบหัวมันคนละที
ผมหยุดเล่าแล้วหันมาถามแป๊ะ เป็นแป๊ะจะทำไง
ผมว่าเดี๋ยวคนกวาดขยะก็มาครับ.. ไม่น่าเสี่ยงหรอกครับผู้กอง
ผมยิ้ม ถูกของแป๊ะ พี่ก็นึกขึ้นมาได้เหมือนกันเลยเงียบไว้ รอจนไฟเขียว ก็รีบขับแซงไปปาดหน้า พอจังหวะได้ ก็เอาขยะในรถทิ้งไปกำนึง กำเดียวจริงๆ นะ
..รู้จักตะปูเรือใบไหม นั่นละ กำเดียวเท่านั้น รถเจ้าตัวดีเอียงเซเข้าเลนซ้าย ตัดหน้ารถเมล์ที่หักหลบไปชนป้อมยามท่าดินแดง ก็เหตุการณ์เมื่อปีก่อนที่รถติดระเนระนาดไปสามชั่วโมง ข้าราชการ ทอ.เซ็นชื่อใต้เส้นแดงไปสามพันกว่าคนนั่นไง..จำได้ไหม
นั่นละ ฝีมือพี่
ก็บอกแล้ว ทิ้งขยะให้เป็นที่..
Have a long day เถอะเรา
11 พฤศจิกายน 2548 14:39 น.
..สายลมทะเล..
เวรยามเป็นของคู่กันของทหารชนิดที่แยกก่อนกินไม่ได้เหมือนปาท่องโก๋และข้าวต้มมัด ความหมายในปทานุกรมจะว่าอย่างไรนั้นผมไม่ทราบ แต่พวกเราคนเข้าเวรยามแยกมันง่ายๆ อย่างนี้
เวรก็คือหน้าที่รับผิดชอบอะไรก็ตาม ที่มีช่วงเวลาเข้ามาจำกัดให้เราดูแลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ขณะที่ยามมีความหมายที่เพิ่มเติมเข้ามาว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่ต้องแต่งกายชุดฝึกและมีอาวุธประจำกายเพื่อคุ้มครองดูแลรักษาสิ่งนั้น ซึ่งไอ้สิ่งนั้นที่ว่าก็มักจะหมายถึงสถานที่สำคัญๆ เช่น ห้องส้วม มุมบันได ซอกตึก และหลังต้นไม้
เราจึงมักพบยามในเวลาวิกาลยืนน้ำลายยืดเฝ้าอาคารพร้อมปืนเล็กยาวคู่ใจ ในขณะที่ตอนกลางวัน จะเห็นแต่เวรนั่งโต๊ะนั่งน้ำลายไหลคอยรับโทรศัพท์ และก็ยังมีเวรอีกชนิดที่นักเรียนนายเรืออากาศผู้ไร้ญาติขาดมิตรเกลียดมากที่สุด
มันคือเวรสโมสร
เวรสโมสรเป็นเวรนั่งเฝ้าห้องเยี่ยมญาติที่มีไว้รับรองบรรดาแฟนนักเรียนนายเรืออากาศ หน้าที่หลักคือคอยโทรศัพท์ตามตัวสุภาพบุรุษที่สาวๆ ต้องการมาพบหน้าหล่อน (น้ำเสียงอาจสะบัดนิดๆ ด้วยฤทธิ์ของความอิจฉา อันนี้อย่าว่าผม..มันเป็นธรรมดาของคนที่เก็บกดและขุ่นเคืองในความหลัง)
แล้วแฟนพี่แฟนน้องแต่ละคนนะใช่ย่อยซะที่ไหน หน้าตาอย่างกะแคทลียา แมคมานามา น่ารักอย่างกะวิโนน่า สกายวอคเกอร์ มิหนำซ้ำแต่งตัวประมาณบริทนี่ ฮูเปียร์ หุ่นแต่ละนางก็ชวนให้หัวใจตกไปถึงตาปลาหัวแม่ตีน ยิ้มทีเรานี่น้ำลายไหลเปียกถึงกางเกง
กางเกงที่ว่า..หมายถึงตัวนอกครับไม่ใช่ตัวใน
ขนกันมาขนมนมเนย ป้อนข้าวคำน้ำคำ ก้อร้อก้อติกระริกระรี้ พูดคำหยิกที หยอกล้อต่อกระซิกจับมือถือแขน โซฟาก็กว้างพอช้างนอน ยังเบียดกันเหมือนขึ้นรถเมล์หน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวเย็นวันเสาร์ เราก็ได้แต่นั่งเป็นพระประธานปางห้ามญาติ ส่วนบางคนอาจขอเป็นพระสังกัจจายนั่นก็สุดแท้แต่ ตาหนึ่งอ่านหนังสือ อีกตาคอยเหล่ด้วยความหมั่นไส้ มิวายผึ่งสองหูฟัง อย่าว่าแต่เสียงกระซิบเลย เสียงหัวใจมดเต้นยังได้ยิน... อยากมีแฟนใจจะขาด อยากมีคนขนขนมนมเนยมานั่งกินด้วยกันบ้าง ไม่ต้องพิซซ่า แม็คโดนัล เคเอฟซีหรอก ลูกชิ้นปิ้งขนมครกก็พอใจแล้ว
เพราะฉะนั้น อย่าได้หยาบคายมาจ้างชายโสดผู้เย่อหยิ่งเข้าเวรสโมสรเด็ด ไม่งั้นพ่อเตะตายชักเอาทีเดียว
.............................................
จิ๊บเป็นหนุ่มทรงกระบอกจากนครปฐม พูดจาเสียงดังฟังชัดทะมัดทะแมงสมเป็นชายชาติทหาร ได้รับการยอมรับให้เป็นหัวหน้ากองพันเวรยามประจำรุ่น มีหน้าที่รับผิดชอบการเข้าเวรเข้ายามทั่วอาณาเขตโรงเรียนในราคามิตรภาพ เพื่อนๆ ต่างหลั่งไหลจากทั่วทุกโรงนอนมาขอใช้บริการของจิ๊บ และแน่นอนจิ๊บเป็นเจ้าของสถิติที่ค้างคาวยังอาย ทั้งวันทั้งคืนสำหรับเสาร์อาทิตย์ และโพล้เพล้จนรุ่งสางสำหรับวันธรรมดา
งานอดิเรกของจิ๊บเลยกลายเป็นเรียนหนังสือไปโดยปริยาย แต่จิ๊บก็เป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย ไม่ว่าอาจารย์จะสอนไปถามไปกี่ครั้ง จิ๊บก็พยักหน้าเข้าใจตลอด.. ซึ่งบางทีจิ๊บก็เผลอตัว อาจารย์ยังไม่ถามจิ๊บก็พยักหน้าเข้าใจอะไรของจิ๊บคนเดียวอยู่บ่อยๆ
จิ๊บถือเป็นมืออาชีพในการเข้ายาม อึดเป็นแรด ยืนยามติดต่อกันได้แปดชั่วโมงอย่างเข้มแข็ง ไม่เคยเลยสักครั้งที่จิ๊บจะปฏิเสธการจ้างยามของเพื่อนๆ ให้เสียเครดิต หากผลัดเข้ายามไม่ตรงกันแล้ว...จิ๊บเป็นเหมาทั้งคืนไม่มีพัก เพราะฉะนั้นเมื่อตารางเข้ายามประจำสัปดาห์ออก บรรดาเพื่อนผู้รักสบายและมีอันจะกิน จะรีบมาติดต่อและยัดเยียดเงินสดใส่มือจิ๊บเพื่อการันตีธุรกิจกันก่อนล่วงหน้าหลายๆ วัน
เพราะยามบางจุดบางพื้นที่ การหาคนเข้าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะยามอาคารเรียนสามที่ถูกโดดเดี่ยวจากอาคารอื่นๆ ยามค่ำคืนดึกดื่นบรรยากาศวังเวงเหมือนป่าช้า แม้แต่หมาก็ไม่กล้าไปเดินผ่าน ...ลือกันว่า อาคารนี้มีผี...ผีขี้เล่นเสียด้วย
เสียดายที่ผีขี้เล่นตัวนี้ไม่น่ารักเหมือนนางเอกโปเยโปโลเย..ก็ถ้าผีสวยขนาดนั้น จะมาเล่นด้วยทั้งคืน พวกเราก็เห็นจะแย่งเข้ายามกันทั้งโรงเรียน
เพราะฉะนั้นยามอาคารนอนสามเป็นยามที่ไม่มีใครอยากเข้า โดยเฉพาะผลัดหลังเที่ยงคืน ราคาการจ้างยามจึงแพงไปกว่ายามอาคารอื่น...แม้ว่าจะยังไม่มีใครเคยเจอมากับตัว แต่สิ่งที่เล่าต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่นก็ทำเอาทุกคนเสียวสันหลังทุกครั้งเมื่อต้องเฉียดเข้าไปในยามวิกาล
ข้างแรมคืนหนึ่งในฤดูหนาว แสงดาวริบหรี่ดั่งหิ่งห้อย ลมหนาวแทรกตัวผ่านชุดฝึกเข้ากรีดผิวเนื้อจนสะท้าน จิ๊บหลบตัวเองจากหน้าโถงอาคารเข้าไปยืนกอดปืนหน้าบันไดบนตึก...แน่นอนตึกอาคารเรียนสาม เสียงลมที่หวีดหวิวทำให้บรรยากาศไม่เงียบวังเวงอย่างเคย
จิ๊บเหลือบดูนาฬิกา เหลืออีกสี่สิบนาทีก็จะหมดผลัด และต้องวิ่งไปเปลี่ยนยามเพื่อนที่อีกอาคารนอน คืนนี้เขาเข้ายามทั้งคืนเช่นเคย...จิ๊บยิ้มน้อยๆ นึกถึงเม็ดเงินที่หาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
ถึงจะซุกตัวอยู่บนอาคารแต่ความเย็นของอากาศก็ทำให้จิ๊บกระสับกระส่ายอยากปลดทุกข์ขึ้นมาทุกที แม้จะปวดมาตั้งแต่ก่อนค่ำ แต่มันยังไม่อัดอั้นมากพอจะปล่อย จิ๊บจึงเพิกเฉยจนเวลาล่วงผ่านมาถึงตอนนี้
ความอัดอั้นทวีขึ้นๆ เหงื่อเม็ดเป้งผุดพราวขึ้นเต็มหน้า ขนแขนทั้งสองข้างลุกชูชัน ทั้งอากาศที่หนาวอย่างยิ่ง
ไม่ไหวแล้ว... จิ๊บกระโจนพรวดขึ้นบันไดตึก ตรงเข้าห้องน้ำข้างโถงตึกชั้นสอง ทันทีที่วางปืนพิงกำแพง สลัดเสื้อชุดฝึกหลุดพ้นกางเกงได้ รถด่วนขบวนด่วนพิเศษก็ทะยานพรวดผ่านอุโมงค์หวุดหวิดจะแหกโค้งก่อวินาศกรรมเรี่ยราดให้ชวนอุจาด
อา! ช่างมีความสุขจริงหนอ ใครกันที่นิยามคำว่า ปลดทุกข์ มันช่างเป็นความจริงโดยแท้ จิ๊บเคลิบเคลิ้ม
ขณะอยู่ในห้วงภวังค์บนวิมาน ไฟทั้งอาคารก็ดับวูบ ..รถด่วนขบวนสำคัญเบรคกึกเหมือนชนฝูงควาย จิ๊บยังไม่ขยับ..ไม่ใช่สงบสยบความเคลื่อนไหว ..แต่เพราะตะคริวกิน
เสียงกุกกักๆ จากระเบียงหลังห้อง ดังสลับกับเงาเคลื่อนไหวที่สลัวผ่านช่องแสง .. หมาที่ไม่รู้จักกาลเทศะหอนโหยหวนมาจากอาคารนอนไกลๆ ฟังเหมือนเสียงสวดเรียกวิญญาณนางนาก ทั้งหมดนั้นทำลายความกล้าหาญทั้งมวลของจิ๊บจนฉี่ราด ดีว่าจิ๊บนั่งอยู่บนโถ มันจึงไหลไปกองกับโบกี้รถด่วนขบวนก่อนหน้า เหงื่อจิ๊บแตกเม็ดจนสะท้าน มือสองข้างสั่นจนไร้แรงคว้ากางเกงขึ้นใส่ ..จิ๊บนั่งนิ่งเป็นหมาตาย หัวสมองไม่ทำงาน นโมสามจบก็ไม่ได้ท่อง พ่อแก้วแม่แก้วก็ไม่ได้นึกถึง..กลายเป็นคนไร้ศาสนาและลูกทรพีสมบูรณ์แบบ
เพล้ง! เศษกระจกช่องแสงร่วงกราวลงเต็มหลัง สิ่งมีชีวิตสีดำร้องแม้วว! หล่นตามมาขี่คอ
กระพริบตาอีกครั้งจิ๊บก็มายืนกุมพกกางเกงบนถนนหน้าตึกเรียบร้อยแล้ว..
เอ็มสิบหกทั้งกระบอกยังพิงกำแพงอยู่ในห้องน้ำ...
กริ๊งกรุ๋งๆ จักรยานของสายตรวจรุ่นพี่ลั่นกระดิ่งมาจากหัวโค้ง จิ๊บจัดกางเกงเข้าที่ยืนตามระเบียบพักพร้อมรายงานเหตุการณ์
จักรยานหยุดลงตรงหน้า จิ๊บตบเท้าวันทยาหัตน์รายงานเสียงดัง
กระผม นักเรียนนายเรืออากาศ ทักษิณ ชินบัญชร เป็นยามประจำอาคารเรียนสามผลัดที่สาม ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เหตุการณ์น่ากลัวครับ
เฮ้ย! ปืนหายไปไหน รุ่นพี่สายตรวจถามหน้าตาตื่น
ผี ผีๆๆ เอาไปครับ จิ๊บละล่ำละลักตอบด้วยเสียงสั่นหน้าซีด
ผี รุ่นพี่พูดพลางหันไปดูข้างหลัง ขยับจักรยานเข้ามาชิดตัวจิ๊บ ยื่นมือมาจับไหล่พูดเสียงกระซิบ
จริงเหรอว่ะน้อง
จริงครับพี่..ผีมันน่ากลัวมาก ขว้างแมวทะลุกระจกห้องน้ำ กระจกแตกกระจายเลือดสาด เสียงร้องโหยหวนไปถึงฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต น่ากลัวจริงๆ ครับพี่ จิ๊บใส่ไข่ไปอีกสิบฟอง
และก่อนที่จิ๊บจะผิดศีลข้อสี่มากไปกว่านี้ ไฟก็ติดสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง..
แมวดำเดินคาบจิ้งจกเดินผ่านหน้าสองพี่น้องยามและสายตรวจ บนหัวแมวยังมีเศษกระจกเล็กๆ ต้องประกายวิบวับกับแสงไฟ ..
ไข่สิบฟองที่ใส่ดูท่าจะมากไปหน่อย..จิ๊บอ้อมแอ้ม
ตำนานผีจิ้งจกและผีแมวดำจึงเล่าขานกันมานับแต่นั้น ..
น่ากลัวครับน่ากลัว..จิ๊บยืนยัน
4 พฤศจิกายน 2548 13:29 น.
..สายลมทะเล..
ไม่ได้หายไปไหนมาครับ แค่ไปเตรียมตัวสู้ศึกวันแดงเดือดนิดหน่อย
อ้าว! คุณไม่รู้เหรอว่าที่นี่เขามีเลือกตั้งกัน..เชยจริงๆ เลยคุณ
เอาเหอะ ผมบอกได้แค่ว่า..มันส์
ยิงกันกระหน่ำ ขวัญกระจาย ..ควายยังเผ่น มารู้ตัวอีกทีก็หอบแฮ่กๆ อยู่ข้างคันนา พักพอหายเหนื่อย ปัดฝุ่นบนเสื้อเกราะ ขยับหมวกเหล็กแล้วเดินเล็มหญ้าต่อ
อีกสามวันย้ายทีมเปลี่ยนงานแล้ว..รักษาชีวิตหน่อยโว้ย..ควายน้อยตะโกนบอกตัวเอง
กลางดึก..สะดุ้งตื่นจากฝันดี(ฝันเด่นนอนอีกห้อง) รู้สึกตะหงิดๆ ที่หลังอาน นอนเกาแกร่กๆ อยู่สามนาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ซู..พรุ่งนี้เช้าไปเจอกันที่กองบัญชาการกองกำลัง Chief of Operation ต้องการคุยด้วย
สงสัยเรื่องหลานสาวท่าน..ผมคิด
อืม ผมจะบอกท่านยังไงดีนะ..
สมศรี ผมจะยืนยันอย่างนั้น
ลูกสาวผมต้องชื่อสมศรี..สมศรีเพราะกว่า คินาม่าคาเซ็งเก้ เป็นไหนๆ ถ้าท่านยังอยากให้หลานท่านชื่อเป็นแอฟริกัน ก็ขอให้รอปีหน้า ผมจะทำสุดฝีมือ คราวนี้จะเป็นแฝดชายหญิง ลูกหญิงให้ชื่อตามใจท่าน ส่วนลูกชายผมจะให้ชื่อสมหมาย
เห็นไหม..ชื่อลูกผมน่ารักน่าชังและสมเหตุสมผลอย่าบอกใคร
สมศรี...สมศักดิ์ศรีทหารไทย รุกถึงไหน ยึดถึงท้ายครัว
แถมยังมีความหมายโดยนัย..สมสี.. ผสมระหว่างสีขาวกับสีดำ ..อย่าถามเชียวนะฝ่ายไหนขาวฝ่ายไหนดำ..ถ้าบอกว่าแยกไม่ออก..ผมชกคุณแน่
สมหมาย...สมดังใจหมาย อยากได้หลานชื่อลาวๆ ก็ปั้นให้ (อ่ะ! โทษครับ ผมขอถอนคำว่าลาวๆ ..แม้ไม่มีเจตนาดูหมิ่น แต่ก็ไม่เป็นการสมควร..ผมถอด เอ้ย! ผมถอนครับผมถอน)
ในที่ประชุม หลังฟังสรุปสถานการณ์จาก Chief of Operation ทุกคนนั่งหน้าดำคร่ำเครียด (ส่วนผมนั่งหน้าขาว) เลือกตั้งครั้งนี้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นมากมาย และมีแปดเหตุการณ์ที่คุกคามต่อกำลังของยูเอ็น ..เพราะฉะนั้นลูกรัก ..พ่อไว้ใจเอ็ง จงเข้าพื้นที่ไปหาความจริงมา..ไม่ต้องห่วงลูกเมีย เดี๋ยวพ่อดูแลให้..
ผมหันไปส่งยิ้มให้หัวหน้าทีม...โชคดีเจ้านาย อีกสองวันข้อยก็ย้ายไปอยู่ทีมใหม่แล้ว เย้!
ใครมีปัญหาอะไรไหม
มีครับ หัวหน้าทีมผมตอบโดยไม่คิด
กัปตันซูกำลังจะย้ายหนีพวกเราไปทำงานการเมืองในอีกสองวันข้างหน้า ถ้าขาดกัปตันซูไป ทีมเราลำบากแน่.. ท่านก็รู้กัปตันซูสำคัญขนาดไหน (ขับรถ แจกลูกอม สอนคอมพ์ เล่านิทาน)
เอาล่ะ ไม่ต้องพูดต่อแล้ว ท่านโบกมือ
แค่บแท่นซู...ทำงานนี้เป็นชิ้นสุดท้าย แล้วค่อยย้าย...มีปัญหาไหม แค่บแท่นซู
คุณว่าผมจะตอบว่าไง
..........................................................
The youngest ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..เราเป็นเพื่อนกัน คำพูดของผู้พันฮิปโปของกองกำลังป้องกันประเทศดังขึ้นมาในหู ทีมเราสนิทกับผู้พันมาก พูดได้ว่าผู้พันเป็นชาวบุรุนเดียนคนเดียวที่เรารู้สึกว่าน่าคบ ..แต่คำพูดในวันเลือกตั้งประโยคนั้น ก็ทำเอาผมขนลุก..
..ทหารอย่างเรา..ไม่ได้มีทางให้เลือกมากนักหรอก..
ยูเอ็นส่งผู้สังเกตการณ์ทางทหาร 29 ทีมเข้าวางกำลังครอบคลุม 124 คอมมูนทั่วบุรุนดี ทีมผมรับผิดชอบพื้นที่ 3 คอมมูน.. ฟังดูเหมือนน้อย แต่ถ้าผมบอกต่อว่า วันเลือกตั้งที่ผ่านมา มีเพียง 5 คอมมูนที่มีปัญหา และ 5 คอมมูนที่ว่า 3 คอมมูนคือพื้นที่เรา ...ยิงกันกระจาย ยิ่งกว่านัดชิงแชมเปี้ยนลีคลิเวอร์พูล-เอซีมิลาน ...ระเบิดดังเป็นพลุแตกยิ่งกว่าข้าวตอกงานวัด (นี่ผมเดาเอา เพราะชีวิตจริง ผมเคยกินแต่ป๊อบคอร์นในโรงภาพยนตร์เมเจอร์หรืออีจีวี..ไม่เคยสัมผัสข้าวโพดคั่วหน้าจอหนังกลางแปลงเหมือนเด็กบ้านนอกอย่างดุ่ยเพื่อนผม) .....จริงๆ นะ..
จับยามสามตานั่งทางในดูแล้ว..มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าหลายเหตุการณ์เป็นฝีมือของกองกำลังป้องกันประเทศจัดฉากขึ้น ...เอ๊ะ! ผมพูดได้ไหมเนี่ย ...ไม่ได้เหรอ... อืม ใช่ๆ มันเป็นความลับของทางราชการ..ผมก็ลืมไป...แกร่กๆ ..ขี้เรื้อนขึ้นปาก คันจริงๆ
ทีมของพี่ทหารเรือถูกเรียกตัวด่วนจากต่างจังหวัดให้มาทำหน้าที่ปกติแทนทีมผม ส่วนทีมของพี่ทหารบกได้รับคำสั่งให้สนับสนุนตามร้องขอให้กับชุดปฏิบัติการกิจเฉพาะพิเศษของเรา ..แต่เดชะบุญพี่ทหารบกทำบุญมาเยอะ คำสั่งย้ายไปเป็น Deputy Regional Commander ทางใต้สุดของบุรุนดีออกมาเสียก่อน..เลยจำเป็นต้องไปอยู่บ้านนอก ไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกัน
ผมหยิบพระไพรีพินาศมาพลิกซ้ายพลิกขวา..คิดถึงสาวคนให้
อะไรๆ ก็ดีหมด เสียก็แต่ไม่น่าเลี่ยมกรอบเลย..บังเลขสองตัวท้ายหมด ...แล้วงวดนี้จะซื้ออะไรล่ะเนี่ย
4 พฤศจิกายน 2548 13:25 น.
..สายลมทะเล..
สามอาทิตย์ก่อนหลังกลับมาจากไปทำงานหลังเขาได้สองวัน ผมก็ประสบอุบัติเหตุอกหัก เอ๊ย! ไหปลาร้าหัก(ก็ยังดีที่ไหปลาร้าหัก ถ้าไหปลาร้าแตกนี่ ม้งเพื่อนผมต้องลำบากว่ายน้ำข้ามโขงไปหากินฝั่งโน้นอีก) และก็เดชะบุญที่แถวนั้นมีบุรุษพยาบาลเดินเตร็ดเตร่อยู่กับเขาด้วย เขาก็เลยลงความเห็นเสียงดังอย่างน่าเชื่อถือว่า อ้อ! ไหล่หลุด แบบนี้ผมเห็นเป็นประจำ ให้ผมใส่ให้ไหม แต่เจ็บหน่อยนะ ทนไหวไหม ...แน่ะ มีแดกดันเราแบบกันท่า กลัวเราสำออย ...แต่ผมก็สำออยจริงๆ นะแหล่ะ เลยไม่มีการทำอะไร ผมนอนอยู่ท่าไหนก็หามขึ้นรถกระบะไปส่งโรงพยาบาลกันท่านั้น
ถึงโรงพยาบาล หมอซึ่งก็รู้จักกันอยู่ อ้อ! ไม่เป็นไรมากครับ เดี๋ยวผมให้รถฉุกเฉินไปส่งโรงพยาบาลในเมืองแล้วกันครับ
เออนะ ไม่เป็นไรมาก แล้วจะส่งผมไปทำไมเนี่ย ก็คิดในใจนะครับ ตอนนั้นพูดไม่ออก เจ็บที่หัวใจแปล็บๆ เอ๊ย! ไหปล้าราครับไหปลาร้า
ที่โรงพยาบาลใหญ่ เวลานั้นก็ค่ำแล้ว หมอเวรก็มีแต่เด็กๆ ...เห็นหมอเดินไปเดินมาอยู่สองรอบ ดูแผ่น X-Rays ที่มีอยู่สองแผ่นพลิกไปพลิกมาอยู่สิบเที่ยว แล้วก็เอาชุดรัดบล็อกไหล่สองข้างมาใส่ให้ ปล้ำกันสามคนกับพยาบาล ไอ้เราจะกรี๊ด ก็ดันเป็นผู้ชาย ครั้นจะว้าย ก็ไม่ใช่ผู้หญิง ที่สำคัญในห้องไอซียูเต็มไปด้วยชาวบ้านร้านตลาดซึ่งต่างก็พากันจับจ้องดูเราซึ่งอยู่ตรงกลางห้องกันเขม็ง...ร้องก็อายซิครับ ลูกผู้ชายเรื่องแบบนี้ยอมกันได้ที่ไหน...ก็เลยกัดฟันไว้ ไม่ยอมให้เสียงร้องหลุดออกมาสักแอะ...ฟังเหมือนจะดูดีนะครับ ถ้าไม่บังเอิญว่าผมฉี่ราดออกมาเสียก่อน ฮ่า
แต่พระเจ้าก็เข้าข้างผม เมื่อหมอกระดูกมือหนึ่งบังเอิญออกเวรเดินผ่านมา ท่านก็ดูฟิล์มสองแผ่นนั้น แล้วก็ลงความเห็นว่าอย่างนี้ควรผ่าตัดเอาเหล็กดามไว้ ซึ่งผมก็โอเคพร้อม ...พรุ่งนี้เช้าเจอกัน
แล้วผมก็หลวมตัวโดนหมอวางยา เสียอะไรไปบ้างหรือเปล่าตอนไม่ได้สตินี่ผมก็ไม่แน่ใจ ตื่นขึ้นมารู้สึกแต่ว่า เคว้งและเบลอ ได้ยินเจ้าวิสามัญวิสัญญี(ก็คนที่วางยาผมนั่นแหล่ะ)ถามว่า มองเห็นมั๊ย ผมก็ตอบว่าเห็น แล้วเจ้านั่นก็ชูนิ้วให้ผม ไอ้นิ้วไหนนี่ผมก็แยกไม่ออก ได้ยินแต่เสียงแผ่วๆ ว่ากี่นิ้ว... ผมรำคาญมันเหลือเกินก็เลยย้อนไปว่า ..ก็นับเอาซิ...ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันคงเป็นเกย์ เพราะมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บอกว่าแบบนี้ยังไม่ตาย...ผมเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขยับตัวได้เมื่อไหร่ ผมจะรีบเข้าห้องน้ำเช็คความบริสุทธิ์ของผมทันที
บุรุษพยาบาลเข็นผมมาส่งในห้องพิเศษ สักพักพี่ๆ น้องๆ ก็โผล่หัวกันเข้ามา อ้อ! ตัวก็เข้ามาด้วย สักเกือบยี่สิบคนเห็นจะได้ ซักถามอะไรผมเยอะไปหมด ไอ้ผมก็เบลอ พยายามรวบรวมสมาธิตอบอย่างเต็มความสามารถ ที่จำได้แม่นก็ตอนที่ผู้ฝูงบอกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องงานนะ พักให้เต็มที่ ไว้หายแล้วค่อยไปรายงานตัว ซึ่งผมตอบท่านไปว่ากุญแจรถอยู่ใต้รองเท้าแตะ ช่วยเก็บให้ด้วย...ท่านดูงงๆ ส่วนคนอื่นถึงกับขำกิ๊ก ผมเองเพิ่งเข้าใจว่าฤทธิ์ยาทำให้เราพูดในสิ่งที่เรากังวลออกไปอย่างใสซื่อ และคิดต่อไปว่าแต่งงานไปแล้วต้องระวังให้ดี ถ้าโดนยาสลบอีกเมื่อไหร่ ต้องกันภรรยาไว้ห่างๆ เดี๋ยวรู้หมดว่าเรามีกิ๊กไว้กี่คน ฮ่า นึกขึ้นมาแล้วก็ปวดไหปลาร้า
เย็นวันศุกร์ หนึ่งอาทิตย์หลังการผ่าตัด ความซ่าของคนไม่เจียมตัวก็บังเกิด ฟุตบอลระหว่างพี่ๆ น้องๆ นักเรียนนายเรืออากาศ ซึ่งผมพลาดไม่ได้ลงเตะมาแล้วสองแมทซ์ มันเรียกร้องยั่วยวนจนทนไม่ไหว ใครจะว่าอะไรก็ไม่ฟัง ดื้อหัวชนฝาว่างั้นเถอะ...ก็เลยลงไปเตะกับเขาด้วย ก็คนมันไม่เคยกระดูกหักนี่ ไม่รู้ว่าแค่ไหนที่เรียกว่าเจ็บ...และปกติคำนี้ ก็ไม่คุ้นเคยกับปากผมเสียด้วยซิ
ไปไม่รอดครับ เล่นไปได้พักนึงก็รู้สึกถึงความผิดปกติ แสร้งทำเป็นหมดแรง ขอเปลี่ยนตัวออก...ก็ออกไปยืนเชียร์อยู่ข้างสนามนั่นล่ะ ทั้งที่หน้าซีดอยากเป็นลมใจจะขาด แต่ถ้ากลับก่อนก็จะเป็นพิรุธ เลยกัดฟันอดทนอีกแล้วครับท่าน อา แต่คราวนี้ฉี่ไม่ราดครับ
กลับถึงบ้านรีบอาบน้ำอย่างเร็ว อัพยาแก้ปวดไปสองเม็ด แล้วก็นอนนิ่ง สลับกับการอัพยาไปตลอดทุกสี่ชั่วโมง สรุปว่าสองวันเสาร์อาทิตย์ นอนพะงาบๆ กินยาสลับกับไส้กรอกเซเว่นอีเลฟเว่นข้างตึกอย่างน่าเวทนา จะโทรหายาหยีก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งขอเลิกเมื่ออาทิตย์ก่อน ก็เลยนอนกอดหมอนข้างร้องไห้ ฮึกๆ อยู่คนเดียว...น่าเวทนาครับ น่าเวทนา
เช้าวันจันทร์ ความเท่ซึ่งกินไม่ได้ก็มาอีกแล้วครับ ไปทำงานตามปกติ ...ถึงเย็นวันอังคาร วันนี้มีเตะบอลนัดสุดท้ายถ้าชนะเข้ารอบ ถ้าแพ้ก็กลับบ้านไป แต่เจียมตัวครับวันนี้เจียมตัว...ขอเป็นกองเชียร์สงบเสงี่ยมอยู่ให้กำลังใจแค่ขอบเส้น
แต่ลิงอย่างไรก็ต้องเป็นลิงวันยังค่ำล่ะครับ บอลเตะไปสองครึ่งจนจะจบเกมเหลือสิบนาทีอยู่แล้ว สถานการณ์ของทีมเราย่ำแย่มาก ใครจะไปทนไหว... อัศวิน(ยาฆ่าหญ้า)ทนไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวลงไปเตะจนได้
ลงไปไม่ทันถึงนาทีเขาก็ยิงอีกลูกเป็นสองศูนย์...แป่ว พี่ๆ สามสี่คนหันมามองหน้าแล้วก็เดินออก คงคิดในในไอ้ตัวซวยลงมาทำไมว่ะ อย่างไรก็ตามตัวสำรองที่ลงมาแทนก็เตะผิดเตะถูก จนลูกเข้าไปตุงตาข่ายเป็นสองเท่าจนได้..ดีใจได้ไม่นาน เขาก็ยิงประตูที่สามได้ในนาทีสุดท้าย ทีมเราก็เลยคอตกขึ้นรถตู้กลับหลังเขาไป
ทุกคนจากไปหมดแล้ว ผมรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดง่ายๆ ออกไปซื้อยาแก้ปวดอย่างแรง...ความเจ็บทวีขึ้นเรื่อยๆ คืนนั้นเริ่มรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรผิดปกติ...ฝั่งซ้ายของคอ ไหล่ แขน และปลายนิ้วปวดชาๆ ตลอดเวลา
รุ่งเช้าเข้าที่ทำงาน ขออนุญาตนายเสร็จก็ออกมาโรงพยาบาล รอคิวยาวเหยียดถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะได้ตรวจได้ X-Rays คราวนี้ X-Rays ถึง 5 ตำแหน่ง ละเอียดมาก ...ถึงได้พบว่า ใต้กระดูกไหปลาร้าที่หักเป็นสามท่อนนั้น มีอีกหนึ่งชิ้นแตกและปักลงไปข้างใต้ กดทับกล้ามเนื้อและเส้นต่างๆ ...ต้องตัดแขนทิ้ง หมอบอก ...ผมค้อนหมอดังขวับ หมอก็เลยเปลี่ยนใจให้ยามากินแทน
เอาเป็นว่ากินยาไปก่อน ถ้ากล้ามเนื้อหายบวม ไม่อักเสบแล้วเส้นประสาทอาจไม่ถูกกดทับ ซึ่งก็เป็นอันจบ แต่ถ้าทุกอย่างกลับเป็นปกติ แล้วยังมีอาการปวด อาการชา ค่อยกลับมาตัดทิ้ง เอ๊ย! กลับมาผ่าตัดจัดเรียงกระดูกใหม่ ผมเลยยิ้มได้...อย่างน้อยถึงใครจะแช่งชักหักกระดูกผมไว้จนไหปลาร้าผมหัก..มันก็ยังซ่อมได้ และผมก็เชื่อว่า อกที่มีคนเขาหักเอาไว้เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนก็คงหายได้ในไม่ช้า...ว่าแล้วผมก็ยิ้มหยาดเยิ้มให้คุณหมอไปหนึ่งที
4 พฤศจิกายน 2548 13:21 น.
..สายลมทะเล..
ในบรรดาเพื่อนรักเพื่อนซี้ของผมแล้ว ดุ่ยเป็นผู้ชายแถวหน้าที่ยืนบังเพื่อนคนอื่นในตำแหน่งคนสนิทมาอย่างเหนียวแน่น เรียกว่าคนไหนพยายามเบียดขึ้นมา เป็นโดนดุ่ยใช้วิชาซูโม่ผลักตกเจ้าพระยาไปทุกราย ผมกับดุ่ยจึงสนิทกันมาอย่างยาวนาน
สมัยเรียนหนังสือ ดุ่ยเป็นตัวตั้งตัวตีก่อกบฏ กวีทหาร ชักชวนผมซึ่งหน่อมแน้มเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวใต้ดิน แอบเขียนบทกวีการเมือง ชื่มชมธรรมชาติ แต่หลอกด่าผู้บังคับบัญชาไปแอบแปะไว้ตามบอร์ดห้องสมุด และประตูโรงเลี้ยง ทำอยู่ประมาณสองเดือน ..สนุกแบบเสียวๆ พอหายคัน ผู้พันชักเหม็นหน้าก็เลยเลิกรากันไป
สมัยเรียน ผมขึ้นไปนั่งเล่นนอนเล่นห้องดุ่ยแทบทุกวัน เปิดอ่านไดอารี่ชีวิตรักรันทดทุกเล่มและจำได้แทบทุกฉากสำคัญ ฉากเด็ดๆ ผมยังแอบก็อปปี้มาใช้อยู่บ่อยๆ .. ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
นิยายรักของดุ่ยไม่มีตัวอิจฉา และไม่มีฉากเลิฟซีน นั่งอ่านนอนอ่านไปครึ่งเรื่องพระเอกก็ยังไม่โผล่ เพิ่งมารู้ทีหลังตอนอ่านจบ..
มันเป็นเรื่องของนางเอกและหมาน้อย
ช่างเป็นเรื่องที่เศร้าจริงๆ
เอเป็นสาวธรรมศาสตร์น่ารักน่าเอ็นดู สวยหวานและมีลักยิ้ม เป็นผู้หญิงที่บังเอิญเคราะห์ร้ายเดินหลงมาเหยียบหางดุ่ยตอนเกิดสุริยคราสในวันราหูอมจันทร์..นับจากวันนั้น เอก็ไม่เคยได้รู้จักกับความสุขอีกเลย ส่วนดุ่ยเพื่อนผมหลังคราสหลุดก็ไม่เป็นอันกินอันนอน ผ่ายผอมไปหลายกิโล
ความรักนะความรัก.. ชะงัดยิ่งกว่าชาใบระมิงค์
วันเวลาผ่านไปเหมือนใบไม้ร่วง ขณะที่ผมเปลี่ยนแฟนไปปีละคน ดุ่ยก็ยังเหนียวแน่นเดินคาบกระดูกต้อยๆ ตามเอไม่ยอมห่าง
พรหมลิขิตเล่นตลกกับดุ่ยอย่างไม่น่าให้อภัย
เกือบสิบปีที่เราเทียวไล้เทียวขื่อฉุดกระชากลากถูเอไปกินข้าวดูหนัง ไปกันสามคนบ้างสี่คนบ้างแล้วแต่สถานะของผม สี่คนในยามที่ผมมีแฟน และสามคนในยามรอคอยคนใหม่..คาสโนว่าก็อย่างนี้ล่ะครับ ถ้าไม่ทิ้งเขาก็ถูกเขาทิ้ง มันเป็นสัจธรรม แต่อย่าถามว่าด้านไหนมากกว่า อาจถึงกับต้องฆ่ากันตาย
ขอเสียของผมคือเอาแต่ใจตัวเองเวลาดูหนัง เรื่องอื่นผมยอมได้หมด แต่ถึงเวลาดูหนัง ต้องตามใจผม..ไม่งั้นผมจะลงไปนอนชักดิ้น แม้ผมจะรู้ว่าดุ่ยมันไม่อายแต่เอนะไม่แน่ ทั้งสองคนเลยยอมผมมาตลอด บ่อยครั้งผมจึงพาสองคนไปหลับข้างในอยู่บ่อยๆ หนังจบก็ปลุกพาไปส่งบ้าน
ฉะนั้นคนที่เห็นเอกระเซอะกระเซิงเดินออกมาจากโรงหนังนะ ไม่ใช่เพราะผมกับดุ่ยทำมิดีมิร้ายอะไรหรอกครับ
เอแค่ฝันร้ายน้ำลายไหลตามปกติของเธอ
ตอนพี่เขยจีบพี่สาวผม พี่สาวลากผมไปด้วย ผมก็ลากดุ่ยกับเอไปอีกที ตอนพ่อแม่ผมขึ้นมากรุงเทพไปเที่ยวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ดุ่ยกับเอก็เหมือนคนในครอบครัวที่ขาดไม่ได้ทุกครั้ง
เวลาสองคนอยากไปเที่ยวไหน ผมจึงมักเป็นผู้ติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ..ดุ่ยว่าเที่ยวสามคนสนุกดี..แต่เอบอกว่าเที่ยวสามคนมันประหยัด ผมไม่รู้จะเชื่อใคร ก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ไม่ว่าไปเที่ยวครั้งไหนๆ ด้วยความรู้ค่าเงิน เราจึงเปิดห้องพักห้องเดียวเสมอ เอไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยเพราะรู้ว่าดุ่ยเป็นสุภาพบุรษ (แต่ลึกๆ อาจคิดว่าไม่มีน้ำยา) ส่วนสำหรับผม เอไม่คิดมากเพราะรู้มาว่าผมเป็นเกย์
รู้จริงเสียด้วย
ด้วยนโยบายประหยัด การเสริมเตียงจึงไม่มี ปัญหาจึงเกิดว่าจะนอนกันยังไง
ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ดุ่ยก็เสนอทางเลือก..ให้เอนอนพื้น ผมกับดุ่ยนอนเตียง จะได้ไม่มีปัญหาดุ่ยละเมอถีบเอตกเตียง เอทำหน้างงๆ เหมือนไม่เห็นด้วย แล้วเสนอทางเลือกที่สอง..ให้ดุ่ยนอนพื้น เอกับผมนอนเตียง โดยให้เหตุผลว่าไม่วางใจกลัวผมจะทำอะไรดุ่ย เถียงกันไปเถียงกันมา ตกลงกันไม่ได้ ผมเลยอนุมัติให้นอนกับผมด้วยกันทั้งคู่
สามคนเลยนอนบนเตียง..มองไกลๆ จะเห็นเหมือนหมีสามตัวนอนเรียงกัน
หมีควาย หมีแพนด้า และหมีพู
ผ่านมาถึงวันนี้ผมถึงสงสัย..แล้วทำไมผมไม่ลงไปนอนพื้นข้างล่างเสียเองหว่า
เสียงเอแว่วมาแต่ไกล ไม่มีคำว่าสุภาพบุรุษในพจนานุกรมของเกย์หรอกจ๊ะน้าซู
อ้อ ผมเพิ่งเข้าใจ
รู้จริงเสียด้วย
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ยังไงสองคนนี้ก็ต้องแต่งงานกัน ผมคงฉุดรั้งไว้ไม่ได้อีก ก็เลยอยากบอกเอไว้เสียหน่อย แต่งงานกันไปแล้วชีวิตมันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ความดีที่ดุ่ยทุ่มเทมาแต่ครั้งหลังอาจพลิกผันไปตามวันเวลาและตีนกาที่มากขึ้น
เพราะฉะนั้น มันมีเคล็ด
โบราณว่ากันว่าในบ้านอย่าให้ชายเป็นใหญ่ การถือเคล็ดงานวิวาร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ..ทุกพิธีกรรมในงานแต่ง ต้องถือเคล็ดช้างเท้าหน้า..เวลาจับทัพพีตักบาตรฤกษ์เช้า ให้อยู่ข้างบน..จุดเทียนชัยฤกษ์ค่ำในงานเลี้ยง ต้องอยู่ข้างบน.. ทุกขั้นตอน จนกระทั่งเปิดประตูเข้าหอ ก็ต้องจับอยู่ด้านบน
เอ่อ แต่หลังจากนั้น..เพื่อภาพพจน์ที่ดี
แนะนำว่า..
เอจ๋า ไม่ควรถือเคล็ดจ๊ะ