17 ตุลาคม 2548 14:25 น.
..สายลมทะเล..
ไม่น่าเชื่อว่าควายๆ อย่างผมจะเข้าโรงพยาบาลกับเขาเป็นเหมือนกัน เปล่า! คราวนี้ไม่ได้ไปไล่จีบหมอสาวๆ หรอกนะ ..ป่วยจริงๆ ครับ นอนดื้ออยู่บ้านหนึ่งวันหนึ่งคืน กินพาราไปสิบแปดเม็ด จนพี่ ทบ.ทนไม่ไหว ยื่นคำขาด..ถ้าไม่ไปเพราะไข้ เอ็งจะได้ไปเพราะไม้หน้าสามแน่..ก็เลยจำใจไปหาตาหมอหนวดเฟิ้มของกองพันปากีสถาน
วัดไข้ ตรวจชีพจรนิดหน่อย หมอก็บอกไข้ไม่สูงนะแต่ชีพจรเต้นไวไปนิดแอบไปกิ๊กกับเด็กๆ มาหรือเปล่า ..ผมก็..ปล๊าว..เสียงสูงขึ้นมาทีเดียว หมอก็เลยแอดมิทนอนโรงพยาบาลไป (ยี่สิบนี่ไม่ถือว่าเด็กใช่ม๊า)
เคยดูหนังสงครามบ้างไหมครับ..ไม่เคยเหรอ..หัดดูเสียบ้างนะ ไม่ใช่ดูแต่หนังรักโรแมนติกคิกกะปู้อย่างเดียวเลย
บรรยากาศของโรงพยาบาล แหมมันใช่เลย เสียก็แต่ไม่มีพยาบาลสาวแบบในหนัง In love and War ห้องน้ำเก่าๆ ที่จะเหยียบลงบนโถแต่ละครั้งต้องระวังแตก ตกลงไปอาจได้เป็นบิ๊กดีทูบีไปอีกคน
แก้ว ช้อน จานที่ใช้ต้องล้างเอง ไม่มีนะครับ น้ำยาล้างจาน สก็อตไบรท์ จานมันๆ เพราะอาหารปากีสถานก็น้ำเปล่านั่นแหล่ะล้าง อย่าว่าแต่ความมันเลย คราบน้ำแกงกะหรี่ยังเหลืองอ๋อยคาจาน ต้องเสียสละเสื้อที่ใส่เช็ดอีกรอบถึงพอทำใจเก็บไปกินต่อมื้อหน้า
เคยกินหรือเปล่าครับอาหารปากีสถาน..ไม่เคยเหรอ..หัดกินเสียบ้างนะ ไม่ใช่กินแต่ KFC แม็คโดนัล อาหารเหลือทิ้งของฝรั่งอย่างเดียวเลย
คนป่วยที่นี่น่ารักมาก จะคอยดูแลซึ่งกันและกัน ใครทำอะไรไม่ไหว ที่เหลือก็จะกุลีกุจอทำให้ เมื่อคืนผมอ่านหนังสือเพลิน สะลึมสะลือหลับคาหนังสือ เพื่อนปากีสถานที่อยู่อีกฝั่งเลยมากางมุ้งให้..กำลังฝันถึงน้องบัวชมพูฟอร์ดอยู่พอดี เลยหอมแก้มไปฟอดนึง ..รุ่งเช้าเห็นเพื่อนมันไม่สบตาสู้หน้า ..ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ปากีสถานนี่สมเป็นชาตินักรบครับ เสิร์ฟอาหารเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เป็นธรรมดาผมคงกินไม่ลง ดีว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองไทย เวลาที่เมืองไทยเร็วกว่าที่นี่ห้าชั่วโมง ร่างกายยังไม่ทันได้ปรับ เลยกินซะเกลี้ยง..แลบลิ้นเลียอีกต่างหาก เพื่อนเนปาลกับอินเดียทนไม่ไหว ยกขนมปังให้อีกสองแผ่น..เห็นเศษไข่ต้มเจ้าเนปาลกินไม่หมด เลยขอมันมาด้วย..อิ่มจัง
ตอนเช้าหมอมาตรวจ..ก็เลยขอหมอกลับบ้าน หมอถามจะกลับกี่ชั่วโมง ผมทำหน้างงๆ หมอเลยถึงบางอ้อ ..อ้อ! มันนึกว่ามันสบายดีจะกลับไปทำงานต่อได้..หมอเลยฟาดด้วยขวดน้ำเกลือผางนึง..นอนไปเลย ตื่นมาเดี๋ยวไป x-rays ติดเชื้อทางเดินหายใจไอแค่กๆ หายใจฟืดฟาดเลือดกำเดาแห้งกรังเต็มจมูกยังมีหน้ามาซ่า ..ผมเลยต้องเจี๋ยมเจี๊ยมยึดพื้นโชว์ไปสิบที..หมั่นไส้กันไปทั้งโรงพยาบาล
ตอนเที่ยงคนป่วยหกคนกับเจ้าหน้าที่พยาบาลอีกสามชีวิตอัดกันไปในรถพยาบาลสนามขนาดไมโครเพื่อไป x-rays ที่โรงพยาบาลของกองพันแอฟริกาใต้
คุณเคยดูหนังสงครามไหม..ไม่เคยเหรอ..เออถามไปแล้วนี่เนาะ..ก็หัดไปดูเสียบ้างนะ
โรงพยาบาลของกองพันปากีสถานนี่ ผมนึกถึงโรงพยาบาลสนามของสงครามในยุโรปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประยุกต์เอาตึกรามบ้านช่องในเส้นทางที่กองทัพผ่านมาใช้ ส่วนโรงพยาบาลของกองพันแอฟริกาใต้นี่คล้ายกับโรงพยาบาลสนามของอเมริกาในสงครามพายุทะเลทราย เพราะเป็นเต็นท์โดมลายพรางเคลื่อนที่ได้ ข้างในเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค แต่ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลไหน ก็ไม่น่าเข้าทั้งนั้นแหล่ะ ..ถ้าไม่มีพยาบาลสาวแบบในหนัง
เฮ้อ! คิดแล้วก็อยากออกไปทำงาน
เมื่อวานโทรไปบอกทีมว่าไม่สบายไปทำงานไม่ไหว ได้ยินเสียงเย้! สงสัยกำลังเชียร์บอลกันอยู่ ..ตอนเช้าพากันมาเยี่ยม ไม่รู้กระซิบอะไรกับหมอ เห็นยัดแบงค์ร้อยดอลล์ใส่มือไปหลายใบ ..หมอหันมายิ้ม อ่านปากมุบมิบได้ว่า..ให้อยู่ทั้งชาติก็ยังได้ ..
แหม่..เพื่อนมันรักจริง
10 ตุลาคม 2548 21:12 น.
..สายลมทะเล..
"หนา" ไม่ได้จัดว่าหน้าตาดีหรือน่ารักไปกว่าผู้หญิงทั่วไปที่ผมรู้จัก
ออกจะธรรมดาๆ เสียด้วยซ้ำ
...ยังจำได้ว่า เราเจอกันในเย็นวันที่ฝนตกหนัก
ผมกำลังขับรถกลับบ้านต่างจังหวัด
เห็นเธอเดินตากสายฝนที่ตกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ข้างหน้าไม่มีแม้ที่ให้หลบฝน กว่าจะถึงปั๊มถัดไปก็หลายกิโลอยู่
..ผมจอดรถเทียบข้างตัวเธอ ขึ้นรถซิครับ
โดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ เธอมุดเข้ามานั่ง
กระชับแขนสองข้างแล้วก็ซุกตัวของเธอเงียบๆ
จะไปไหนครับ เธอไม่ตอบ
..ร่างเธอสั่นน้อยๆ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่แค่เพียงสายฝนที่เปียกโชกตัวเธอ
..ไม่มากก็น้อย ก็คงมีน้ำตาผสมอยู่บ้าง ...ผมไม่ได้ถามเธออีก
พี่จะไปลพบุรี เราจะลงที่ไหนก็บอกนะ
เธอยังคงนิ่งเฉย ..ผมจึงปล่อยให้เธอคิดอะไรของเธอไปตามลำพัง
แม้อยากจะชวนคุยให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่เจ้านิสัยไม่ชอบถามกับอัธยาศัยชั้นเลวยังคงชนะและทำให้ผมนั่งบื้ออยู่ต่อไป
ไปอาบน้ำซ่ะ ผมโยนผ้าขนหนูและเสื้อผ้าเก่าๆ สมัยเรียนหนังสือที่เล็กจนผมใส่ไม่ได้แล้วให้เธอ เธอไม่ได้อิดออด ไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย
สักพักเธอก็กลับมา ..ผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
..เสื้อผ้าผมมันยังคงใหญ่รุ่มร่ามสำหรับเธอ แต่ดูไปดูมาก็น่ารักดี..
ผมไม่ใช่ผู้ชายใจดี และออกจะชาเย็นอยู่บ้าง
นอนข้างล่างแล้วกันนะเรา เอ้า นี่ที่นอน ปูเอาเองนะ มีอะไรก็ขึ้นไปเรียกแล้วกัน
ผมทิ้งเธอไว้ตามลำพังอีกครั้ง และขึ้นไปทำงานของผม
อาจเพราะขับรถท่ามกลางสายฝนมานาน
ความเพลียเลยทำให้ผมเผลอง่วงหลับคาโต๊ะหนังสือ
แต่ก็ไม่ทันได้หลับสนิท เสียงเคาะประตูก็ทำลายภวังค์ความเงียบขึ้นมา
...เธอไม่ได้สบตาผมเช่นเคย ผมพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงควรให้เธอเข้ามานอนด้วย
...เธออาจกลัวความมืด หรืออาจรู้สึกแปลกที่
หรืออาจเพราะ...อะไรอีกร้อยแปด หรือผมกลัวเธอจะคิดอะไรสั้นๆ
ผมตอบไม่ได้... แต่ผมก็ให้เธอเข้ามา
เธอขดตัวนอนข้างๆ เตียงผม... แล้วก็หลับไปในความเงียบ
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด เธอยังคงหลับอยู่
ขอบตาสองข้างยังมีคราบน้ำตาแห้งๆ ให้สังเกตเห็นได้
ผมลุกขึ้นจากเตียงเบาๆ อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
...ทิ้งเธอไว้กับอาหารจากในตู้เย็นเพียงลำพัง
สามคืนแล้วที่ฝนยังคงตกอยู่จนเกือบเช้า
และก็สามคืนแล้วเช่นกัน ที่เธอนอนร้องไห้เงียบๆ อยู่ในความมืด
...แต่คืนนี้ต่างไปจากทุกคืน ผมลุกจากเตียงทรุดตัวลงนอนข้างเธอ
และกอดเธอเบาๆ เธอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร...
ผมหลับไปทั้งกอดเธออย่างนั้น
เธอกินอยู่ง่ายๆ ไม่เคยเรียกร้องอะไร ผมกินอะไรเธอก็กินเหมือนๆ ผม
...นานๆ ครั้งผมก็พาเธอไปเดินหาซื้อของบ้าง
ถามว่าอยากได้อะไร เธอก็ดูจะไม่ต้องการไปเสียหมด
...แต่ในสิ่งที่ผมซื้อให้ ดูเธอจะดีใจ
และทะนุถนอมมันราวกับเธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีก
ถึงเธอจะอยู่กับผม แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกรักหรือผูกพันอะไรเป็นพิเศษ
ซึ่งเธอเองก็คงจะรู้ และดูเหมือนเธอจะเข้าใจและก็อยู่กับสถานะนั้นอย่างเงียบๆ ได้
...ผมไม่เคยพาเธอออกงานที่ไหน ไม่เคยแนะนำให้ใครรู้จัก
รวมถึงทุกครั้งที่ผมออกไปเที่ยวกับพี่ๆ น้องๆ ผมก็ทิ้งเธอไว้กับบ้านและอาหารในตู้เย็น
แต่...ไม่ว่าผมจะกลับมาดึกแค่ไหน เธอก็จะยังคงรออยู่
..ทุกครั้งเธอจะยิ้มและโผเข้ากอดผมอย่างมีความสุขโดยที่ผมรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้ฝืนทำ
...เธอไม่เคยตั้งคำถามกับผม เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยถามอะไรเธอ...
มีบ้างบางครั้ง ที่ผมพาเธอเดินเล่นตอนเย็นๆ ซึ่งก็ไม่ได้บ่อยอะไร
เพราะกว่าผมจะกลับจากที่ทำงานก็เย็นมากแล้ว
...มีสระน้ำเล็กๆ ไม่ไกลจากบ้านผมนัก
วันไหนที่พอมีเวลาผมก็พาเธอมาเล่นเรือใบลำจิ๋วริมสระน้ำ
เธอวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ทีราวกับเด็กๆ
...ดูเธอมีความสุข ผมได้แต่นั่งมองเธอเงียบๆ...
หนา เรียกหนาแล้วกัน นั่นเป็นชื่อที่เธอให้ผมเรียก ...
หนา เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่จะไปราชการต่างจังหวัดเดือนนึง
ช่วงพี่ไม่อยู่จะเอาอะไรไหม เธอสั่นหัวเป็นคำตอบ
จริงๆ ผมก็ไปราชการต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งก็ไปแค่สองสามวัน
แต่ครั้งนี้ไปนานถึงเดือนนึง ผมเองไม่ได้ห่วงอะไรเธอมากนัก
ออกจะตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอสาวๆ ต่างถิ่นเสียด้วยซ้ำ
...ก่อนเดินทาง ผมซื้อของใส่ตู้เย็นไว้จนเต็ม
และทิ้งเงินฝากไว้กับรุ่นน้องที่สนิทกันว่าให้แวะมาดูหน่อย
เผื่อขาดเหลืออะไรก็รบกวนช่วยซื้อให้ด้วย
เพราะผมรู้ดีว่าเธอไม่มีทางจะออกไปไหน
เธอกินเท่าที่มี...ไม่เคยให้ผมต้องลำบากเลยด้วยซ้ำ
...แต่ผมก็ไม่เคยนึกถึงเธอ
ไปราชการคราวนี้ ผิดไปจากทุกครั้ง...
เราต้องไปสนับสนุนหน่วยอื่นในพื้นที่ป่าภูเขา
ต้องนอนเต็นท์ และหุงหาอาหารกินกันแค่พออยู่ได้
จะอาบน้ำแต่ละครั้งต้องเดินไปสามสี่กิโล
เราจึงอาบกันแค่หลังเลิกงาน..วันละครั้ง
งานไม่ได้ก้าวหน้าอย่างที่คิด พายุและน้ำป่าทำให้เราทำงานกันอย่างยากเย็น
..เดือนนึงผ่านไปแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าเราจะได้กลับบ้าน
...ผมเลิกโกนหนวดหลังจากที่พยายามโกนอยู่ทุกๆ สามวัน
..ปล่อยให้มันขึ้นและดูรกตาไปตามธรรมชาติ และก็เลิกนับวันรอ..
ในใจเริ่มรู้สึกเป็นห่วงหนา ไม่รู้เธอจะเป็นไงบ้าง
แม้ว่าจะฝากข่าวไปทางวิทยุกับน้องที่สนิทกันแล้ว
...แต่ผมก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเธอบอกไม่ถูก
ลูกน้องแต่ละคนกระสับกระส่าย และเริ่มหงุดหงิด
แต่เราก็พยายามดูๆ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน...
ผมไม่มีเวลาจะห่วงตัวเองมากนัก ได้แต่พยายามทำให้งานลุล่วงไปโดยเร็วที่สุด
และพยายามแก้ปัญหาลูกน้องที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กๆ พูดจาไม่เข้าหูซึ่งชักเกิดขึ้นบ่อยทุกทีๆ
...หลายเรื่องที่รุมเร้าและอาจจะมีความเหงาปนอยู่บ้าง หนา คิดถึงเธอจัง
กลับไปคราวนี้ พี่จะดีกับเธอมากๆ ...แม้จะตอบไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่
แต่ตอนนี้พี่รู้ตัวว่า...ความรัก..มันได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
สัญญา...กลับไปคราวนี้ มื้อแรกที่เธอจะได้ทาน
จะไม่ใช่อาหารที่พี่ชอบกินเหมือนอย่างทุกวัน
แต่จะเป็นอาหารที่เธอควรจะได้กินมานานแล้ว...อัลโป้...อาหารสำหรับเธอ
10 ตุลาคม 2548 20:11 น.
..สายลมทะเล..
ไม่รู้ผมซื่อหรือผมโง่ ที่ยอมให้คนอื่นหลอกใช้อยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ถ้าให้ผมคิดเอง ผมว่าผมคงตกอยู่ในสปีชี่สัตว์กินหญ้าแสนดีนะครับ
วันนี้มีงานด่วนให้ไปสังเกตการณ์การจ่ายเงินให้กำลังติดอาวุธรับจ้างที่ทำงานให้รัฐบาลเมื่อตอนเลือกตั้งคราวก่อน ซึ่งก็กองกำลังกลุ่มนี้แหล่ะที่เป็นปัญหาก่อม็อบกันอยู่ในทุกพื้นที่ เรื่องการจ่ายค่าจ้างไม่เป็นธรรม โกงกันไปโกงกันมาทั้งสองฝ่าย แต่วันนี้จ่ายให้พวกที่สังกัดอยู่ในเมืองหลวง พองานเข้ามาปุ๊บ สมาชิกในทีมหายกันอย่างพร้อมเพรียง หันซ้ายแลขวา เหลือผมกับเจ้ายักษ์ตูนิเซียสองคน.. การปฏิบัติงานจึงโหวงเหวงจนน่าเศร้า แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น ระหว่างทางเจ้าตูนิเซียเกิดนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ไปเอาตั๋วเครื่องบินกลับบ้านที่สายการบิน เลยบอกให้ส่งมันไว้ที่บริษัท เสร็จแล้วมันจะตามไป ดูมันๆ
สองข้างทางกลุ่มคนวิ่งกันเต็มท้องถนน ด้วยความที่สมองผมเฉื่อยชาเป็นปกติ เลยไม่คิดอะไร พอเลี้ยวรถเข้าไปยังถนนหน้าตึกที่จ่ายเงิน โดนทหารกับตำรวจของรัฐบาลบล็อกไว้ ผมส่งภาษาอังกฤษบอกว่าผมรับผิดชอบภารกิจนี้ พวกนั้นตอบเป็นภาษาพื้นเมืองว่าเข้าไปมึงตายกูไม่รู้นะเว้ย ..พูดกันห้าหกนาที เข้าใจกันดีมาก แล้วผมก็ขับดุ่ยๆ มึนๆ เข้าไปหน้าตาเฉย
ธรณีสูบแทบไม่ทันพระแม่เจ้า ฝูงชนกลุ่มเบ้อเร้อเห้อพร้อมก้อนหินคนละก้อนวิ่งรี่เข้ามาหา ผมยกมือขึ้นห้าม แต่เจ้ากรรมนิ้วทั้งห้ากลับไม่สามัคคี ปล่อยให้นิ้วกลางที่เชื่อฟังอย่างเคร่งครัดดีดผึงขึ้นชี้เด่อยู่นิ้วเดียว ฝูงชนที่กำลังคลุ้มคลั่งเลยยิ่งเร่งฝีตีนขึ้นไปอีก งานนี้ชูมัคเกอร์ก็ชูมัคเกอร์อ่ะครับ เจอผู้กองซูเลี้ยวสกรูด้วยเบรกมือถอนเกียร์สามตบเกียร์หนึ่งบึ่งแซงหายไปในพริบตาแน่นอน
รอดมาได้อีกหน วีรกรรมครานี้ไม่มีเสียงปรบมือเช่นเคย.. ได้ยินเสียงงึมงัมเป็นแบ็คกราวน์ตอนโทรไปรายงานบอสว่า ..แม่ง! รอดอีกแล้วว่ะ..
ไม่รู้จะรักผมอะไรกันขนาดนั้น