25 กรกฎาคม 2555 13:22 น.
..สายลมทะเล..
ชึ่กชั่ก...ชึ่กชั่ก...เสียงรถไฟสายนครศรีฯ นราธิวาส วิ่งตัดมวลอากาศเย็นยามใกล้รุ่ง ลมเย็นผ่านหน้าต่างปะทะเข้ากับร่างของฉันที่ขดตัวอยู่ในเสื้อกันหนาวตัวโคร่ง ฉันหลับตาพริ้ม ซุกแอบสายลมเข้ากับซอกริมหน้าต่าง ที่นั่งตรงข้ามยังคงว่าง ทั้งขบวนมีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน
แม่บอกว่า คนเดินทางไปนราฯ น้อยลงตั้งแต่กลางปี 47 เหตุการณ์ความรุนแรงที่ต่อเนื่องทำให้ทุกคนกลัวและไม่อยากเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ที่สุดก็เหลือแค่คนที่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ยังคงเดินทางอยู่ ..แม่บีบมือฉันเบาๆ ตาแดงๆ เหมือนสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ฉันยิ้มให้แม่.. แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ..ในใจเพียงถามตัวเองว่า แล้วฉันล่ะ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีเหตุผลแห่งความจำเป็นเช่นพวกเขาหรือไม่
................................
ท้องฟ้านอกตัวรถยังคงมืด มีเพียงเงาของต้นไม้วูบผ่านช่องหน้าต่างพอเห็นได้เพียงรางๆ ..ฉันตกสู่ห้วงภวังค์ที่ลึกลงไปอีก
................................
พ่อลูบขนใต้แผงอกเจ้าโต้งอย่างแผ่วเบา เหมือนเกรงมันจะเจ็บแผลที่อยู่ใกล้ๆ โต้งเผยอตาข้างหนึ่งมองฉันที่นั่งอยู่ตรงข้าม และแม้ว่าขอบตาอีกข้างจะบวมเป่งและมีรอยแผลฉีกกว้าง
แต่นัยน์ตาข้างเดียวที่เหลือก็ยังฉายแววเด็ดเดี่ยวทรนง
................................
วันนี้พ่อได้รับเชิญจากสำนักงานประถมศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นผู้ร่วมอภิปรายในหัวข้อภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมพื้นบ้าน และเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน พ่อจึงพาฉันนั่งรถไฟไปนครฯ กับพ่อ
การอภิปรายบนเวทีไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของฉันได้มากนัก แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่แถวหน้า นั่นก็เพราะพ่อจะได้เห็นฉันอยู่ในสายตาโดยตลอด .. จนพ่อลงมาแล้ว เราถึงได้ไปเดินเล่นกันในงาน พ่อพาฉันไปดูส่วนนิทรรศการ พาฉันไปดูคุณยายสานตะกร้า ไปดูคุณป้าคุณน้าเขียนลายเครื่องถม พาฉันไปนั่งชิงช้าสวรรค์ เข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ฉันสนุกจนลืมเหนื่อย..จนกระทั่งมาหยุดที่ลานไก่ชน ซึ่งผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังเปรียบไก่กันอยู่
ขณะที่คนที่เหลือก็เฝ้ารอดู ..พ่อแตะบ่าฉันให้ไปต่อ แต่ฉันขอว่าฉันอยากดู ..พ่อสบตาฉันอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้าอนุญาต
ไอ้โต้งยืนนิ่งอยู่ขอบลาน ดวงตาทั้งคู่แม้จะเล็กแต่ก็เด็ดเดี่ยวดังคมพยัคฆ์ คู่ต่อสู้ใหญ่กว่ามันมาก แต่เจ้าของก็เข็นมันขึ้นสู้ พลางอวดอ้างสรรพคุณว่าสมัยหนุ่มๆ มันตีไก่ใหญ่ชนะมาทุกราย บรรดาไก่ตัวพอๆ กันก็ไม่มีใครกล้าเปรียบด้วยมาสองสามปีแล้ว ถ้าตีแพ้วันนี้จะเชือดแกง
กินกันในงาน..ชาวบ้านที่รอดูก็ร้องเฮ..ไอ้โต้งยังยืนนิ่ง สายตายังคงเด็ดเดี่ยวทรนง
กะลาเล็กๆ ที่ถูกผ่าครึ่งและเจาะรูถูกปล่อยลงขวดโหลใส่น้ำ บอกเวลาเริ่มอัน ไก่ทั้งสองกระโดดเข้าหากันกลางสังเวียน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แม้ไอ้โต้งจะเล็กกว่ามาก แต่มันดูไม่เกรงกลัวไก่อีกฝ่ายหนึ่งเลย ดูแล้วมันจะเก่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
กะลาบอกเวลาจมลงเป็นครั้งที่สาม เสียงเคาะเกราะซึ่งทำด้วยไม้ไผ่บอกหมดอัน ฉันหันไปมองหน้าพ่อ.. เห็นคิ้วพ่อขมวดเข้าหากัน เหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง มือน้ำ ของฝ่ายไอ้โต้งเอาผ้านุ่มชุบน้ำเย็นผสมสมุนไพร เช็ดหัว หน้าอก และแข้งขา เพื่อให้มันสดชื่น จากนั้นก็เอากระเบื้องที่อังไฟจนร้อนแตะไพลกับขมิ้นนวดกล้ามเนื้อประคบบาดแผล มือน้ำของอีกฝ่ายก็ทำคล้ายๆ กัน ผิดก็แต่บริเวณแข้งไก่ที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น มือน้ำอีกฝ่ายไม่ยอมเช็ดเลือดออก แต่ก็ไม่มีใครสนใจเป็นพิเศษ คงเพราะเห็นว่าเจ้าตัวสาละวนกับการเย็บบาดแผลรั้งหนังตาที่ปิดจากการถูกจิกและถูกแทงจากเดือยของไอ้โต้ง เพื่อให้ไก่ของตนมองเห็นในช่วงเวลาสามอันที่เหลือ ..ฉันได้ยินแต่พ่อพึมพำเบาๆ ว่า สงสัยจะเป็นยางมะละกอ
อันที่สี่เริ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์ของคนดู ไก่สองตัวยังคงตีกันอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าโต้งจะแผ่วลง มันถูกตีและแทงมากขึ้น เลือดไหลเป็นทางใต้ตาและสองข้างปาก ..ตลอดอันที่สี่และห้า เจ้าโต้งเหมือนจะเป็นฝ่ายโดนกระทำเสียส่วนมาก เลือดจากแผลที่ถูกเดือยคมของอีกฝ่ายตีวิ่งเข้าตาที่คมดังพยัคฆ์ มันเหมือนไก่ตาบอด แต่ก็ยังติดพันอีกฝ่ายไม่ยอมถอย ขณะที่เจ้าของมันก็ยังคงร้องตะโกน จิก ตี แทง ๆ .. จนฉันกลัวว่าการชนกันครั้งนี้จะจบลงด้วยการตายของไก่ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง ..แต่ทันใดนั้น พ่อก็เดินเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่าง
กับเจ้าของไก่ทั้งสองฝ่ายและกรรมการ ..ฉันรู้ว่าพ่อเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่มาช่วยงานที่นี่บ่อย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อไปกระซิบอะไรกับพวกเขา แต่พอหมดอันที่ห้า กรรมการก็ประกาศยุติการชนของเจ้าโต้ง และให้เสมอกันในฐานะที่ตัวเล็กกว่าและสู้ได้สูสี.. เสียงชาวบ้านบางคนบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากให้ตีกันต่อ แต่ฉันดีใจมากที่ยุติเสียได้.. และยิ่งประหลาดใจไปอีก เมื่อเห็นพ่ออุ้มเจ้าโต้งกลับมา ..พ่อยิ้มให้ฉัน ไปกันเถอะลูก เจ้าโต้งจะไปกับเราด้วย
หลังจากไอ้โต้งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว ฉันกับพ่อก็ไปหาซื้อไก่ตัวเมียมาอยู่เป็นเพื่อนมัน เราตั้งชื่อมันว่าดำ เพราะมันมีขนดำทั้งตัว
ไอ้โต้งอยู่กับดำได้ไม่นาน ดำก็มีลูกเจี๊ยบน่ารักๆ ให้พวกเราได้ชื่นใจถึงสี่ตัว ตกเย็นหลังเลิกเรียนฉันจึงรีบกลับบ้านเพื่อมาดูเจ้าลูกเจี๊ยบที่พยายามเลียนแบบเจ้าดำคุ้ยเขี่ยดินในเล้าหาอาหาร
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง
ขณะที่ฉันเดินกลับบ้านหลังจากเลิกเรียน ก่อนที่จะถึงบ้านประมาณเกือบสองร้อยเมตร เสียงหมาเห่าและเสียงไก่ร้องทำให้ฉันใจหายวูบ เพราะละแวกนี้มีเพียงบ้านฉันบ้านเดียว แม้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันหนีบกระเป๋านักเรียนและวิ่งไม่คิดชีวิตกลับบ้าน ในระยะสายตา ฉันเห็นหมาตัวหนึ่งในเล้าไก่กำลังฟัดกับอะไรบางสิ่งบางอย่าง ฉันได้แต่ภาวนาว่า..ไม่ใช่ไก่ของฉัน แต่ยิ่งใกล้เข้าไปเท่าไหร่ ภาพเจ้าโต้งที่ปีกข้างหนึ่งอยู่ในปากเจ้าหมาชั่วขณะที่จะงอยของมันก็จิกตีเข้าใส่หัวและนัยน์ตาหมาตัวนั้นก็เด่นชัดขึ้นทุกที น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม ฉันวิ่งตะโกนด้วยคำหยาบ
ไอ้หมาชั่ว ๆ ไปจนถึงบ้าน ดูเหมือนเจ้าหมาตัวนั้นจะได้ยินเสียงฉัน มันจึงปล่อยเจ้าโต้งและรีบมุดออกจากเล้าไก่หนีไป ฉันได้แต่ขว้างประเป๋านักเรียนตามไล่หลังมัน
ในเล้า เจ้าโต้งนอนเลือดอาบหายใจรวยริน มันเปิดเปลือกตาดูฉันเป็นครั้งคราวสลับกับสะดุ้งอึ๊กๆ เป็นช่วงๆ ข้างหลังมัน ดำกางปีกปกลูก ตามันสีแดงก่ำเป็นสีเลือด ปีกที่กางสั่นด้วยความกลัว..ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าโต้งก็กระตุกและตายในมือฉัน ฉันซบตัวร้องไห้ เลือดจากตัวเจ้าโต้งผสมกับน้ำตาฉันไหลนองเล้าไก่ ..ฉันนั่งร้องไห้อยู่จนกระทั่งพ่อกลับมาถึง
มันไปดีแล้วลูก ไม่เคยมีไก่ตัวไหนห้าวหาญเช่นไอ้โต้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่แค่มันบินขึ้นเกาะคอนข้างบน มันก็จะเอาตัวรอดได้ แต่มันก็ไม่ยอมทิ้งลูกทิ้งเมีย มันยอมสู้ ยอมแลกชีวิต เพื่อปกป้องลูกของมันที่ยังบินไม่ได้ ปกป้องเมียที่ไม่ยอมห่างจากลูก..มันตายสมชาติพันธุ์ไก่ชน..ลูกต้องภูมิใจในตัวมัน
สักวันหนึ่ง เมื่อลูกโตมีแรงกำลัง ลูกก็ต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องและปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า เข้าใจมั๊ยลูก
ฉันพยักหน้าตอบรับและโผเข้ากอดพ่อ
เอาล่ะ งั้นคนดีของพ่อก็ต้องเข้มแข็ง..หยุดร้องไห้ แล้วไปช่วยพ่อฝังเจ้าโต้งกัน
ฉันค่อยๆ ยกแขนขึ้นปาดน้ำตา เดินตามหลังพ่อที่อุ้มร่างเจ้าโต้งออกจากเล้าไก่
................................
ปู๊นนนนน ๆ เสียงหวูดรถไฟปลุกฉันขึ้นจากภวังค์ ฉันกระชับเสื้อไล่ความหนาวและรู้สึกอุ่นขึ้น สถานีนราธิวาสอีกไม่ไกลข้างหน้า ฉันยิ้มให้กับตัวเอง .. ผู้พิพากษาสาวคนนี้ .. แม้ไม่ใช่ชาติพันธุ์ไก่ชนเยี่ยงไอ้โต้ง แต่ก็เป็นคนเลี้ยงมันมา ..
ฉันจะทำหน้าที่ของฉันอย่างสุดความสามารถ..โดยไม่หวาดกลัวต่อความอยุติธรรมใดใด
................................
หมายเหตุ
อัน ในภาษาไก่ชน หมายถึง "ยก" โดยทั่วไป การชนไก่ของไทย มีตั้งแต่ 6-12 ยก ยกละประมาณ
15-20 นาที ไก่จะแพ้ชนะกัน ตรงที่ตัวใดตัวหนึ่งตาย วิ่งหนี ไม่ยอมตี หรือบาดเจ็บมากจนเจ้าของขอยอมแพ้เอง
มือน้ำ คือ คนที่ให้น้ำไก่ในเวลาชนกัน ต้องใช้ความชำนาญในการให้น้ำและเทคนิคต่างๆ มากมาย โดยทั่วไปถ้ามีการชนกันเมื่อไร และไม่มีการให้น้ำก่อนหรือหลังชน ส่วนมากจะตายทั้งสองฝ่าย
การใช้ยางมะละกอทาที่แข้งไก่ทุกวันก่อนชนประมาณ 15-20 วัน เป็นหนึ่งในกลโกงในการชนไก่ โดยช่วงเวลาที่ทานั้น เวลากราดน้ำไก่จะไม่เช็ดน้ำบริเวณแข้งไก่โดยเด็ดขาด เพื่อให้น้ำยาซึมเข้าไปตามร่องเกล็ดแข้งของขาไก่ เวลาที่เอาไก่ไปชนก็จะไม่เช็ดบริเวณแข้งไก่เหมือนกัน ก่อนชนจุ่มขาไก่ลงในน้ำเปล่า ตอนนี้ยางมะละกอจะเริ่มละลายออกมาจากแข้งของไก่ เมื่อไก่อีกฝ่ายบาดเจ็บเกิดแผลตรงบริเวณหน้าตาไก่ ยางมะละกอที่ติดกับแข้งไก่ก็จะไปทำให้แผลเกิดอาการแสบร้อนมากขึ้น ทำให้ไก่เจ็บปวดมากกว่าเดิม ถ้ายางมะละกอเข้มข้นมากก็อาจทำให้ไก่ตัวที่โดนถอดใจเพราะความเจ็บปวด
5 พฤษภาคม 2555 22:21 น.
..สายลมทะเล..
วันนี้เจอเสนาหอยในห้องน้ำพารากอน
ใช่ครับ ผมไปพารากอนมา .. หน้าตาอย่างผมก็เดินพารากอนได้เหมือนกัน (ผมถาม รปภ.แล้วว่าหน้าตาอย่างผมนี่เดินได้ไหม รปภ.ยืนยันว่าได้ “อย่างพี่นี่ อย่าว่าแต่พารากอน หมอชิตก็ไปเดินได้ครับ” ผมงงกับคำตอบเล็กน้อย แต่คาดว่าหมอชิตคงไฮโซมาก)
ตอนเจอหอย.. ตอนแรกก็อึกอักว่าจะทักดีไหม เพราะก็คนเคยเห็นหน้ากันอยู่ (หอยอาจจะไม่เคยเห็นหน้าผม แต่ผมนะเคยเห็นหน้าหอย) แต่ดูสีหน้าและอาการกระสับกระส่ายของหอยแล้ว ไม่ทักน่าจะดีกว่า .. เพราะหอยตอนนี้ มีอาการลุกลี้ลุกคนเหมือนคนติดยา ซึ่งหากไอ้สามคนในห้องส้วมไม่ยอมเปิดประตูในไม่กี่อึดใจนี้ ผมมั่นใจว่าหอยของผมจะมีมาตรการกดดันขั้นรุนแรง
...........................................
โถปัสสาวะว่างแล้ว ผมเดินแทรกตัวเข้าไปซบ
อืม การได้ปลดปล่อย มันรู้สึกดีอย่างนี้เอง
ผมเคลิ้มอย่างมีความสุข และก็เกือบลืมหอยไปแล้ว ถ้า..
“ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะประตูห้องส้วมปลุกผมจากภวังค์ ที่จริงเสียงมันไม่ได้ดังแบบนั้น เพราะมันเป็นประตูพลาสติก แต่ไม่รู้ทำไมสมองผมแปลความออกมาเป็นเสียง “ก๊อกๆๆ”
“อะ อื้อ” เสียงกระแอมในลำคอตอบมาจากข้างใน
ผมจึงถึงบางอ้อว่าผมสำคัญผิด ที่แท้หอยมารอใครที่อยู่ในส้วมนั่นเอง
ด้วยความอยากรู้ ว่าคนในส้วมใช่วิลลี่หรือไม่ เพราะวิลลี่ก็คนเคยเห็นหน้ากันอยู่ (วิลลี่อาจไม่เคยเห็นหน้าผม แต่ผมนะเคยเห็นหน้าวิลลี่) รวมกับเหตุผลที่ว่า กลิ่นจากสามห้องตอนนี้มันช่างบัดซบจริงๆ ผมก็เลยอยากรู้ว่า ไอ้ที่หน้าหล่อๆ นะ ..เข้าส้วมแล้วมันก็ผลิตออกมาเหม็นไม่ต่างจากเราใช่ไหม
ด้วยความอยากรู้ ผมจึงยืดเวลาปลดปล่อยออกไปให้นานขึ้น
“ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะครั้งที่สอง คราวนี้ผมแอบหันไปมอง
ปรากฏว่าหอยของผมเคาะห้องถัดไป.. อ้าว อย่างนี้ เปิ้ลก็มาด้วยนะซิ
ผมแอบหัวเสีย เพราะข้อสันนิษฐานของผมอาจทดสอบไม่ได้ เพราะเปิ้ลก็ไม่ได้หน้าตาดีไปกว่าผม และไอ้กลิ่นหมาตายนี้อาจจะเป็นของเปิ้ล..
ผมจึงตัดใจ ยิงช็อตสุดท้ายแล้วจัดเครื่องแต่งกาย เดินไปล้างไม้ล้างมือ ..ระหว่างนั้นเอง
“ก๊อกๆๆ”
หอยเคาะห้องที่สาม และผมเห็นหน้าตาของหอยแบบชัดๆ เต็มๆ
เมื่อตาสบตากันแล้ว ผมจึงส่งยิ้มให้ แต่หอยไม่ยิ้มด้วย
นอกจากจะไม่ยิ้ม หอยยังบูดบึ้ง ขนที่แขนตั้งสู้ เข่าสองข้างบีบชิด กางเกงยีนส์สั่นนิดๆ .. อาการอย่างนี้ ไม่ควรเสวนาด้วย ผมรู้
หอยขยับขาส่งสัญญาณสุดท้าย “ถ้าพวกมึงไม่เปิดออกมา กูพังประตูเข้าไปแน่”
แต่ก่อนที่การฆาตกรรมจะเกิดขึ้น
“แกร๊ก” ประตูห้องส้วมห้องแรกเปิด
หอยแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ไอ้คนที่เดินออกมาหันไปมองหน้า แต่หอยไม่สนใจผลักหลังเจ้าคนนั้นพ้นขอบประตูแล้วลงกลอนดังลมพัด
วินาทีจากนั้นจะให้ผมบรรยายไหม...
.......................................................
ผมเดินยิ้มคนเดียวออกจากห้องน้ำ
เสียงที่ได้ยินช่างไพเราะจับใจ
ก่อนออกจากห้าง ผมส่งยิ้มให้ รปภ. คนเดิม
นึกในใจ นอกจากหน้าตาของผมจะไฮโซแล้ว เสียงของผมก็ไฮโซไม่ต่างจากหอย
ท่อนฮุคของเรารุนแรงและดุดัน
แม้ผมจะไม่รู้ว่าของวิลลี่จะเป็นยังไง.. แต่ผมก็ไม่เสียใจ
เพราะอย่างน้อย..วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่า.. ผมกับพวกไฮโซ ที่แท้ก็ไม่ได้ต่างกันเลย
เราต่างก็มีวันที่ขี้แตก .. และยามที่มันแตก ให้กดชักโครกกลบเท่าไหร่ก็ไม่มิด
ผมผิวปากเดินขึ้นรถไฟฟ้า... มั่นใจว่าถึงสถานีปลายทางแล้ว หอยก็คงยังกบดานในห้องส้วมอีกสักพัก
รอให้กลิ่นหายและคนซา.. ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นผมก็ทำอย่างนั้น
...............................................................
ปล. เรื่องนี้เสนาหอยเป็นแค่แพะ เพราะผมออกจะใส่ไข่เยอะไปหน่อย
30 เมษายน 2555 12:28 น.
..สายลมทะเล..
“25” “เดือน 7 นี้ ก็จะ 25” ป้งถอนหายใจ
ผมได้แต่นั่งมองดูน้องอยู่ห่างๆ เวทนาในชีวิตหมาน้อย
แม้ว่าป้งจะเป็นหมาน้อยที่น่าเอ็นดู แต่กว่า 24 ปีที่ผ่านมา ไอ้ลูกหมาตัวนี้ ก็ไม่เคยถูกใครเก็บไปเลี้ยงเสียที ..ทุกครั้งที่ผมถาม ป้งก็จะบอกว่า “ผมเลือกครับพี่ .. และก็ยังไม่มีสาวๆ คนไหนผ่านมาตรฐานผม” แรกๆ ผมก็เชื่อ แต่พอเห็นอาการ “เฮ้อ” และกริยากระพริบตาถี่ๆ อันเป็นสัญญาณบอกว่าหัวใจป้งกำลังทำงานหนักบ่อยครั้งเข้า .. ผมก็สรุปได้ว่า ที่ป้งพูดมาดูท่าจะไม่จริง น้องมันคงมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เจอผู้หญิงหน้าตาดีเมื่อไหร่เป็นสมองตาย เหงื่อแตก ขาแข็ง และกล้ามเนื้อปากไม่ทำงาน ..สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหว คือเปลือกตา
ซึ่งอาการทั้งหมดนี้ บ้านผมเรียกว่า “โรคป๊อด”
โรคชนิดนี้ ถ้าสมองยังทำงานอยู่บ้าง ก็จะพอพูดได้ แต่คำพูดจะสับสนและวกวน
ครับ นั่นเป็นระยะเริ่มแรก
แต่หากถึงขั้นอึ้ง และมีอาการกระพริบตาถี่ๆ ร่วม .. นั่นเป็นระยะสุดท้าย
โรคป๊อดนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี มันจะพัฒนาไปเป็น “โรคโสดเรื้อรัง”
ไม่ตาย.. แต่ชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย
“25” “เดือน 7 นี้ ก็จะ 25” “เฮ้อ”
ป้งกระดกเรดปลอมลงคอดังอึ๊ก
วันนี้นิสิตจุฬาเขามาทำกิจกรรมที่โรงแรมที่เราพัก
ตอนกินข้าวเย็น หลายคนแอบส่งสายตาใส่ป้ง ..แต่ไม่รู้ทำไม ป้งเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว
เวลาป้งอาย ป้งกินข้าวทีละ 5 ชาม เอ้ย จาน .. จานครับจาน ผมดันไปนึกถึงชามข้าวหมา ..แปลกคน อายแล้วกินข้าว อย่างนี้เองที่เขาเรียกว่า “เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวสุก”
แต่ไม่เป็นไร น้องคนเดียว ผมเลี้ยงได้
“ผมสั่งข้าวอีกจานได้มั๊ยครับพี่” ป้งหมายถึงจานที่ 6
“พอดีกว่าป้ง พี่เริ่มอายโต๊ะอื่นแล้ว” ผมตอบและไม่กล้ามองสู้สายตาสาวโต๊ะข้างๆ
(ที่ทำตาโตเท่าไข่ห่านตั้งแต่เห็นป้งกินข้าวจานที่ 4 .. ถ้าป้งสั่งอีกจาน ผมเกรงว่าจะจินตนาการตาของพวกเธอไม่ออก)
“คิดเงินเลยแล้วกัน” ผมบอก
ป้งหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟ สาวๆ มองป้งเป็นตาเดียว .. ป้งจึงก้มหน้าหลบสายตาของพวกหล่อน
“คิดเงินด้วยครับ” ป้งพูดกับโต๊ะและจานข้าว ..ผมได้แต่ส่ายหน้า ระอาใน “โรคป๊อด” ของป้ง
“ลงไปว่ายน้ำกันมั๊ยพี่ ป่านนี้สาวๆ คงตรึม”
ผมเหลือบดูนาฬิกา “สี่ทุ่มสิบห้า .. สาวๆ คงตรึม” ผมพึมพำ
แม้จะไม่เห็นด้วยกับคำพูดป้งว่าจะมีสาวๆ ตรึมเวลานี้ แต่เพื่อเห็นแก่ “วาจาก้าวร้าวเหมือนเพลบอย” ผมก็ตัดสินใจหยิบกางเกงว่ายน้ำลงไปกับป้ง
น่าแปลกใจ.. คำพูดของป้งนับว่าไม่ผิด มีกลุ่มเด็กสาวหน้าตาน่ารักเล่นน้ำอยู่แล้วก่อนหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปลี่ยนชุดได้ป้งก็กระโดดลงน้ำ ..ฟรีสไตน์จ้วงน้ำ ฉับ ฉับ ฉับ เหมือนกลัวชาตินี้จะไม่ได้ว่ายน้ำอีก
พ่อเพลบอยของเรา ก้มหน้าก้มตาว่ายมันลูกเดียว แตะขอบสระด้านนึงก็ถีบตัวไปต่อ
เป็นอย่างนี้อยู่ครึ่งชั่วโมง แล้วเจ้าตัวก็คงนึกได้ว่ามันมากับพี่ จึงว่ายตรงมาทางผม
“ผมเหนื่อยแล้วพี่ เรากลับกันเถอะ” ผมค้อนป้งดังขวับ
ไม่ใช่เพราะป้งมันลืมผม แต่เพราะหมั่นไส้ในวาจาก้าวร้าว “ลงไปว่ายน้ำกันมั๊ยพี่ ป่านนี้สาวๆ คงตรึม”
ช่างเป็นมนุษย์ที่ไร้สุนทรีย์เอาจริงๆ
แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่งยิ้มให้สาวๆ และก็เดินตามป้งขึ้นจากน้ำ
เสียงตะโกนดังแว่วมาจากด้านหลัง “ว้า นึกว่าแมน”
แต่ป้งก็ทำหูทวนลม
ส่วนผมนั้นเฉยๆ เพราะคิดว่าสาวๆ คงไม่ได้หมายถึงผม .. เพราะผมแมน
หลังขึ้นห้องพักผมอาบน้ำอีกรอบ อาบน้ำเสร็จเดินออกมา เห็นป้งถอดเสื้อนอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ในซอกหลังระเบียงห้องพัก
ผมค่อนข้างประหลาดใจ เพราะไม่เคยเห็นป้งถอดเสื้อมาก่อน หากไม่นับตอนไปว่ายน้ำ
ไปเตะบอลด้วยกัน ป้งก็ไม่เคยยอมอยู่ข้างที่ถอดเสื้อ ..ถ้าใครบังคับ ป้งเป็นเดินออก และเลิกเล่น ..ป้งหวงของป้งมาก
คืนนี้ผมจึงสงสัย ทำไมป้งจึงถอด? แล้วก็พลันนึกถึงคำพูดที่สระน้ำ “ว้า นึกว่าแมน”
อ้อ ที่แท้ป้งก็อยากจะโชว์ 6 แพ็คให้เห็นกันชัดๆ .. “แมนครับ” ป้งคงอยากจะบอกอย่างนั้น
ก็ได้แต่ส่ายหัว .. เอ็งไม่ต้องบอกพี่หรอก โน่น ไปบอกพวกหล่อนโน่น
เปลี่ยนชุดเสร็จ ผมก็เปิดประตูระเบียงออกไปร่วมบรรยากาศ “เฮ้อ” กับป้ง
เสียงเพลงจากกลุ่มคนหนุ่มสาวจากระเบียงนั่งเล่นชั้นล่างที่อยู่ติดกันลอยมาเข้าหู
เสียงกีตาร์นั้น บ่งบอกถึงความสามารถระดับนักดนตรีมหา’ลัย เสียงร้องก็ไพเราะเหมือนนักร้องมืออาชีพ
ผมชะโงกหน้าไปดู
“อย่าพี่ เดี๋ยวเค้าเห็น”
ผมไม่สนใจ และชะโงกไปดู อืม..น่ารักอยู่หลายคน
“ชอบคนไหนล่ะป้ง” ผมถาม
“เปล่า ผมนั่งฟังเพลง เพลงเพราะดี” ป้งตอบแต่ไม่กล้าสู้หน้า ไพล่ไปจับแก้วเหล้า (เรดปลอม) กระดกอึ๊ก
“คนขาวซีด ผอมๆ ใช่มั๊ย” ผมถาม ด้วยเห็นว่าป้งมีอาการ “แข็งตาย” ทุกทีที่เห็นคนขาวๆ ผอมๆ
“พี่มั่วแล้ว” ป้งอึกๆ อักๆ คราวนี้กระดกรวดเดียวหมด
ผมดูท่าแล้ว ถ้ายังไล่ต่อ.. ป้งคงเล่นจนหมดขวดแน่ ก็เลยไม่ถามอะไรต่อ
นั่งฟังเพลงกันไปในความเงียบ
ดวงดาวกระพริบระยิบระยับ .. ตาของป้งก็กระพริบถี่
“25” “เดือน 7 นี้ ก็จะ 25” เสียงป้งพึมพำ
ผมใจหายวูบ เพราะรู้มาว่า
การพึมพำซ้ำๆ นั้น เป็นอาการเบื้องต้นของ “โรคโสดเรื้อรัง”
ไอ้ป้งเอ้ย.. เอ็งมันเสียชาติเกิดจริงๆ
30 มิถุนายน 2554 12:23 น.
..สายลมทะเล..
เค้ก..สาวน้อยร่างสูงโปร่งลูกสาวคนเดียวของผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เจ้าของผิวสีขาวหยวกและนัยน์ตาสีฟ้าที่ชวนให้หลงใหล หลายคนซุบซิบกันว่าด้วยปริญญาบัตรสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากเกษตรศาสตร์และภาษารัสเซียของเจ้าหล่อน ไม่น่าเพียงพอให้เธอแทรกตัวเข้ามาในกระทรวงบัวแก้วนี้ได้.. คงเป็นเส้นพ่อเธอนั่นแหล่ะ ป้งฟังแล้วก็ยิ้มๆ เพราะเท่าที่รู้มา เจ้าหน้าที่การทูตสี่อย่างพี่เค้ก คล่องแคล่ว ฉลาดและทำงานเก่ง ท่านทูต พี่ๆ และเพื่อนในกรมเดียวกันกับพี่เค้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวอย่างนั้น ต่อให้คุณพ่อเธอเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยความสามารถ เธอก็สามารถเดินเข้ามาที่นี่ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคุณหนูอย่างพี่เค้ก กลับไม่เคยทำตัวเป็นคุณหนูให้หลายๆ คนหมั่นไส้
ป้งแอบหลงรักพี่สาวคนนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เดินสวนกันหน้าลิฟท์ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้อายุมากไปกว่าป้งหรอก ด้วยความที่ป้งมัวเรียนสองปริญญาและไปหาประสบการณ์ทำงานต่างประเทศ เธอจึงเข้ามาทำงานที่นี่ก่อน อาวุโสโดยตำแหน่งจึงสูงกว่าเขาไปโดยปริยาย เมื่อเพื่อนๆ ที่เข้ามาพร้อมกันกับเขาเรียกเธอพี่เค้ก ป้งก็เรียกพี่เค้กตามเขาไปด้วย.. เรียกกันในวงสนทนานะครับ ไม่เคยได้เรียกพี่เขาจริงๆ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากรอยยิ้มเมื่อเดินสวนกัน ป้งก็ไม่เคยได้ทักทายพี่เขาเลย
“ชอบเค้าเหรอ” เพี๊ยชเพื่อนสาวถาม ขณะนั่งกินข้าวเที่ยงในร้านอาหารเล็กๆ ใกล้กระทรวง
“อะไร” ป้งคำราม เหมือนจะสื่อบอกว่าไม่จริง
“เฮ้ย สี่ปีที่เรียนด้วยกันมา ไส้พุงแกนะ ชั้นรู้หมดแล้ว” “ตาขยิบ สมองสับสน พูดจาไม่รู้เรื่อง การสื่อสารทางภาษาขัดข้องขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน ..เนี่ย อาการเดียวกันเป๊ะสมัยเจอชั้นวันแรก ..หกปีไม่มีเปลี่ยน” ป้งได้แต่นั่งหน้าแดงทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธดี แต่สายตาก็แอบชำเลืองดูสาวร่างสูงโปร่งเดินออกจากร้านไปกับชายหนุ่มหน้าตาดี ..พี่เอฟ นักบินการบินไทยที่หมั่นแวะมาหาพี่เค้กอยู่บ่อยๆ นั่นเอง
“แกก็อย่างเนี้ย ได้แต่แอบมอง” “ชอบบอกตัวเองให้เจียมตัว.. โถ แม่ดอกฟ้ากับปลาทู”
“อะไรของเอ็งเนี่ย ดอกฟ้ากับปลาทู”
“อ้าว ก็สาวสวย กับผู้ชายตลาดไง ..ชอบคิดไปเองคนเดียว ว่าผู้ชายอย่างแกนะเขาคงไม่สน เหมือนปลาทูในเข่งสองตัวสิบบาท พอสายหน่อยตลาดเริ่มวายก็ซื้อเข่งแถมเข่ง” “ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกคิดเสียที ไอ้ความคิดไม่สร้างสรรค์เนี่ย.. แกนะออกจะดี.. สเป็คชั้นเลยนะแก”
“อ้าว แล้วทำไม..” ไม่ทันพูดจบ เพื่อนสาวก็สอดขึ้นมาขัด “ก็แกมันดีเกิ้น ไม่ทำอะไรสักอย่าง.. สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว ได้แต่กระพริบตาใส่ ชั้นรำคาญ ขี้เกียจรอ ก็เลยเลือกพี่เสือดีกว่า ห้าวดี ..เอ็งมันตุ๊ดว่ะป้ง ใจเท่าลูกแมว”
คำพูดของเพื่อนสาวเสียดแทงใจเขาไม่น้อย แต่ก็นั่นแหล่ะ เขาก็แค่ลูกคนธรรมดา หน้าตาแม้ไม่ขี้ริ้วแต่ก็ไม่โดดเด่น ดูแล้วไม่ว่าด้านไหน เขาก็เป็นรองพี่เอฟทุกอย่าง ..แต่ถึงไม่มีพี่เอฟ เขาก็ยังสงสัยว่า อย่างเขาเนี่ย จะไปชอบคนอย่างพี่เค้กได้หรือ.. ก็เธอเป็นนางฟ้าจริงๆ ส่วนเขา..ปลาทู อืม ใช่ เขาก็แค่ปลาทู
ป้ง ก้มหน้ากินข้าวหมูแดงสั่งพิเศษคนเดียวเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าสั่งข้าวหน้าเป็ดและข้าวมันไก่มาอีกอย่างละหนึ่ง ..เวลาป้งใช้สมองและสับสน ป้งมักกินเยอะเสมอ
เพี๊ยชได้แต่ยิ้มและเวทนาเพื่อนรัก
.............................
วันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์.. ป้งมาทำงานสายกว่าปกติ รอจนมั่นใจว่าเกือบทุกคนในกรมมาทำงานกันแล้ว เขาจึงปรากฏตัว ..เปล่าหรอกป้งไม่ได้มีดอกไม้ติดมือมาด้วย.. และไม่ได้มีแผนอันยิ่งใหญ่อะไร ก็แค่วันนี้ป้งรวบรวมความกล้าไปเดินผ่านกรมพี่เค้กก็เท่านั้น ..อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าพี่เค้กสบายดีไหม.. เอ่อ มีดอกไม้ของใครไปวางบนโต๊ะพี่เขาบ้าง ป้งก็แค่อยากรู้
ที่ทำงานป้งอยู่ชั้นสี่ ที่ทำงานพี่เค้กอยู่ชั้นสอง.. แต่ป้งกลับขึ้น-ลงอยู่ในลิฟท์สามรอบระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นบนสุด เดี๋ยวคนเดินเข้าเดี๋ยวคนเดินออก แต่ขาป้งกลับไม่มีแรงจะก้าวออกจากลิฟท์.. กว่าจะผลักตัวเองออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมได้ เหงื่อก็พราวเต็มหน้า.. เอาว่ะ ลูกผู้ชาย มันต้องกล้าๆ หน่อยโว้ย ป้งตะโกนบอกตัวเองในใจ
แล้วป้งก็ไปเดินผ่านชั้นสอง ที่ทำงานของพี่เค้ก.. เดินอย่างมาดมั่น ไม่วอกแวก ไม่มีแม้ชำเลืองซ้ายชำเลืองขวา มองตรงไปข้างหน้า..นั่น ประตูทางออก คนที่ไม่รู้จักป้ง คงนึกว่าป้งเป็นนักเรียนนายร้อย.. เดินเป็นหุ่นยนต์ ไม่สนว่าโลกข้างๆ จะเป็นยังไง
ป้งหลุดพ้นประตูมาอย่างโล่งอก ถอนหายใจและยิ้มเริงร่าในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า.. ชิบ แล้วพี่เค้กล่ะว่ะ นั่งตรงไหน แล้วพี่แกมาทำงานหรือยัง แล้วแกได้ดอกไม้บ้างไหม แล้ว..แล้ว ..แล้วทำไมกูมันซื่อบื้ออย่างนี้
เลิกงาน ป้งเดินหน้าเศร้าไปที่รถ วันนี้เขามาสายกว่าทุกวันเลยต้องจอดรถแนวขนาน เขาสตาร์ทรถด้วยจิตใจหดหู่ ค่อยๆ ถอยรถห่างจากท้ายคันหน้าเพื่อจะเลี้ยวออก ทันใดนั้น พี่เค้กก็เดินผ่านลานจอดรถข้างหน้า.. ใจป้งเต้นแรง ตาป้งกระพริบถี่ มือไม้อ่อนปวกเปียก และก่อนที่ป้งจะทันได้คิดอะไรต่อ ตึง!
รถของเขาถอยไปชนรถคันข้างหลัง
“พี่ป้ง” เสียงสาวเจ้าของรถที่ประจวบเหมาะเดินมาพอดีเอ่ยอุทาน เมื่อเห็นป้งเดินออกมาจากที่นั่งคนขับ
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวผมเขียนใบเคลมประกันให้นะครับ รถคุณมีประกันใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักด้านหน้า มือเปะปะหาใบเคลมประกันขณะสายตาจับจ้องร่างสาวในฝันที่เดินตรงไปหารถ BMW สีดำ
“พี่ป้ง ใจลอยเหรอค่ะพี่”
“ฮ่ะ อะไรนะครับ.. อ๋อ อยู่นี่เอง” เจ้าตัวก้มลงเขียนข้อมูลตัวเองอย่างหวัดๆ เพื่อจะเฝ้าสังเกตพี่เค้กที่ยืนคุยกับหนุ่มเจ้าของรถอยู่ไกลๆ
“นี่ของแป้งค่ะพี่”
ชายหนุ่มรับมาถือไว้และส่งของตนให้เจ้าหล่อน
“พี่ป้งจะแวะไปอู่ด้วยกันเลยมั๊ยค่ะ แป้งรู้จักอู่ฝีมือดีอยู่ใกล้ๆ”
“ฮ่ะ อะไรนะครับ.. เอ่อ ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้เสียเวลา” “นี่เบอร์โทรศัพท์ผมครับ เผื่อมีปัญหาติดขัดอะไร ก็โทรมานะครับ” ชายหนุ่มยื่นนามบัตรให้หญิงสาว
เธอรับนามบัตรไปอย่างงงๆ
“เอ่อ แล้วไม่ทราบ ชื่ออะไรครับ” ปากถามเจ้าหล่อน แต่สายตากลับมองร่างพี่เค้กที่ก้าวขึ้นรถสีดำคันนั้น หัวใจของป้งเหมือนสลายไปกับสายลมเย็นที่พัดวูบเข้ามา
“แป้งค่ะ วิศรา อิสรภักดี” เธอชี้ไปยังใบเคลมประกันที่เธอเขียน “แล้วพี่ป้งจะไปไหนต่อหรือค่ะ” เธอถาม
“เดี๋ยวพี่ไปทำธุระต่อนะครับ” ป้งเปลี่ยนสรรพนามตัวเองตามเธอไปโดยไม่รู้ตัว
รถ BMW สีดำเคลื่อนออกจากลานจอด ป้งขอตัวจากสาวน้อย กระโดดขึ้นรถและค่อยๆ ขยับรถออกตามไป แล้วก็ชะงัก “เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวรู้จักชื่อเขาได้ยังไง เขายังไม่ได้แนะนำตัวเสียหน่อย” ป้งมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นสาวน้อยเจ้าของรถที่เขาชนยืนยิ้มหน้าบาน รอยยิ้มนั้นสดใสและเปล่งประกาย.. ไม่ทันได้คิดต่อ ครืดดด!
เสียงล้อรถของเขาครูดไปกับขอบทาง.. ในกระจกมองหลัง สาวน้อยเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นเสียงหัวเราะ
รถ BMW สีดำลับสายตาไปแล้ว.. ป้งยิ้มให้กับตัวเอง ตาของเขากระพริบถี่ หัวใจที่สลาย กลับมาเต้นตูมตามอีกครั้ง
--------------------------------
29 มิถุนายน 2554 20:04 น.
..สายลมทะเล..
“เบลอ.. เบลอ!”
ชายหนุ่มกระซิบอยู่ในลำคอพลางเอาปากกาตีเข้าที่หลังมือหญิงสาวที่นั่งหลับนกน้ำลายไหล
เบลอหญิงสาวเจ้าของชื่อลืมตาตื่น ขยับปากกาทำปากขมุบขมิบ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง โปรเฟสเซอร์ส่ายหัวอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ปรามด้วยสาตาดุๆ และหันไปเลคเชอร์ต่อ
“จะหลับอะไรกันนักกันหนา หึยายเบลอ พี่เห็นเราหลับได้หลับดีทุกวัน”
“เมื่อคืน อ่านหนังสือดึกไปหน่อยพี่เป๊ก.. ก็เตรียมมาเรียนนี่แหล่ะ”
“แล้วมันมีประโยชน์มั๊ยเนี่ย อ่านแล้วมานั่งหลับในห้อง.. เชื่อเธอเลย” “หลับก็ไม่ไว้หน้าสาวไทย.. น้ำลายยืดเป็นทาง” ชายหนุ่มบ่นกะปอดกะแปด
“ฮ่าๆ จริงใจค้าบจริงใจ” สาวน้อยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ชายหนุ่มได้แต่ระอา นี่หรืออดีตสาวอักษรจุฬาที่เขาว่าไฮโซ นักเรียนทุนและว่าที่อาจารย์สาวมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคอีสาน ..เฮ้อ คิดแล้วก็ปวดหัว
“เอ้า พี่เป๊ก มอคค่าของพี่” เบลอยื่นแก้วกาแฟร้อนพร้อมน้ำตาลซองส่งให้
“อ้าว ทำไมน้ำตาลซองเดียว”
“โหพี่ แมนมั่งเหอะ.. ผู้ชายที่ไหนเขากินกาแฟใส่น้ำตาลกัน เอามาให้ซองนึงก็บุญแล้ว”
“อ๊ะ ยายเบลอ แมนมันกินหวานไม่ได้หรือไงล่ะ” “ก็เพราะเรามันกินแต่กาแฟดำนี่แหล่ะ ผู้ชายมันถึงไม่มาจีบ กาแฟขม..ชีวิตมันก็ขมขื่นตามกันไปล่ะครับ”
“ไม่เป็นไร โสดซิดี ชอบ” สาวน้อยตอบแบบไม่ยี่หระกับคำสบประมาท เธอเป็นตัวของเธอเองอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในคำพูดที่ไม่สะทกสะท้านจะมีความนัยซ่อนอยู่หรือไม่ ยากเกินความเข้าใจของชายหนุ่ม.. แต่ความเป็นธรรมชาติของเธอ ชายหนุ่มแอบยอมรับว่า..มันมีเสน่ห์อย่างประหลาด
“เบลอ.. เบลอ!” หญิงสาวสูดน้ำลายกลับเข้าปาก ขยับปากกาและทำปากขมุบขมิบเหมือนครุ่นคิดถึงโจทย์ตรงหน้า
ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอา “พรุ่งนี้จะหลับในห้องสอบมั๊ยเนี่ย”
“หลับเหลิ๊บอะไร มั่วแล้วพี่เป๊ก ไม่ได้หลับสักหน่อย” สาวน้อยปฏิเสธหน้าใสซื่อพลางเอามือวางทับรอยน้ำลายบนสมุดโน้ต
“ไม่ได้มีอายเล้ย” ชายหนุ่มหยิบกระดาษทิสชู่ในกระเป๋าเป้ส่งให้
หญิงสาวหน้าแดง แต่ก็รับไปเช็ดแต่โดยดี ..นั่นเป็นครั้งแรก ที่ชายหนุ่มเห็นเธออายจนหน้าแดง ใบหน้าของเพื่อนสาวในวันนั้นยังประทับอยู่ในความทรงจำจนทุกวันนี้
ช่วงเวลาห้าเดือนผ่านไปเร็วเหมือนใบไม้ร่วง
หลังสอบปลายเทอม ชีวิตของคนสองคนก็เหมือนเดินกันอยู่คนละทาง เบลอลงทะเบียนเรียนเทอมสุดท้ายในสายบัญชี ส่วนชายหนุ่มลงเรียนในสายวิศวะ แม้สองคนจะสนิทกันค่อนข้างมาก แต่น่าแปลก..นอกจากนัดคุยเรื่องงานและเตรียมสอบแล้ว ต่างก็ไม่เคยโทรหาและนัดเจอกันเลย ..ชีวิตนักเรียนทุนสองคนในต่างแดนช่างพิลึกนัก เอ หรือเวลาห้าเดือน มันน้อยเกินกว่าจะสนิทสนมกัน.. ชายหนุ่มได้แต่คิดอยู่คนเดียวเงียบๆ
หกโมงยี่สิบนาที ท้องฟ้าแถบชานเมืองมืดสนิท แต่เจ้าของแก้วกาแฟที่เย็นชืดยังคงนั่งมองเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้วันเวลา ..อุณหภูมิ 17 องศาอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมกาแฟจึงเย็นชืด แต่ความจริงที่ซ่อนเร้น คือมันถูกชงวางไว้ตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว.. กาแฟที่ใส่น้ำตาลแค่ครึ่งช้อน ทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงหญิงสาว ..ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ มีเพื่อนกินกาแฟหรือเปล่า จะยังนั่งหลับน้ำลายไหลอยู่ไหม
ทุ่มสี่สิบ.. รสบัสจากชานเมืองจอด ณ สวนสาธารณะใจกลางไครเชิร์ท ชายหนุ่มค่อยๆ เดินใจสั่นลงจากรถ มือถือโทรศัพท์แน่น เบอร์โทรเบอร์หนึ่งยังคงค้างอยู่ในหน้าจอ
“ฮัลโหล พี่เป๊ก มีอะไรเหรอ” เสียงใสๆ ที่คุ้นเคยดังมาจากอีกปลายสาย
“อ๋อ เปล่า บังเอิญพี่มาทำธุระในเมือง เห็นร้านกาแฟเลยนึกถึง..” ชายหนุ่มหยุดหายใจชั่วครู่ “มากินด้วยกันมั๊ย” แม้จะพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่เจ้าของเสียงก็รู้ว่า น้ำเสียงที่เอ่ยชวนมันผิดไปจากที่เคยเป็นมา
“เบลอออกมากินอาหารเกาหลีกับพี่ๆ ที่หอนะพี่เป๊ก เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันเนาะ”
“โอเคคร้าบ ไม่มีปัญหา เอาไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกัน”
“บะบ๊ายค่ะ”
“บายครับ” ชายหนุ่มวางสายไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ยิ้มให้กับห้วงอากาศตรงหน้า..กาแฟพร่องน้ำตาล มันขมขื่นอย่างนี้เอง
สามทุ่มครึ่งชายหนุ่มลงจากรถประจำทางและเดินเข้าบ้านอย่างเงียบเหงา..
บ้านหลังกะทัดรัดปิดไฟเงียบ กักขังความเหงาไว้เป็นเพื่อน เจ้าของบ้านไปเล่นดนตรีต่างเมืองอีกหลายวันจึงจะกลับ ที่จริงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา บ้านหลังนี้เสมือนชายหนุ่มอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด อาชีพของเจ้าของบ้านทำให้เขามักไม่ได้อยู่ติดบ้านนัก.. บ้านหลังนี้ก็เลยเหมือนมีชายหนุ่มเป็นเจ้าของ
แก้วกาแฟยังวางอยู่ที่เดิม ด้วยความรีบร้อน มันจึงยังไม่ถูกเอาไปล้างเก็บตามวิสัยรักสะอาดและเจ้าระเบียบของชายหนุ่ม ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองและยกแก้วกาแฟที่เย็นชืดขึ้นดื่ม.. พรุ่งนี้ เขาจะเข้าเมืองไปกินกาแฟอีกครั้ง กาแฟร้อนๆ ไม่ใส่น้ำตาล ..กาแฟดำแบบแมนๆ
ดึกมากแล้ว ชายหนุ่มกระโดดขึ้นเตียงนอน เบอร์โทรศัพท์สายสุดท้ายยังถูกกดค้างอยู่หน้าจอ ..ชายหนุ่มให้สัญญากับความเงียบ “ไว้พรุ่งนี้..แล้วเดี๋ยวจะรีบโทรไปแต่เช้า” นอนนึกถึงประโยคที่จะพูดกับหญิงสาว “เบลอ..วันนี้ไม่ว่างไม่เป็นไรนะ ..แต่พี่จะโทรมาชวนเบลอทุกๆ วัน.. จนกว่าเบลอจะว่าง ไปกินกาแฟด้วยกันนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้กับความหวานที่ไม่ต้องพึ่งน้ำตาลและหลับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
4 กันยายน 53, ตีสี่สามสิบห้า เช้ามืดบนแผ่นดินใกล้ขั้วโลกใต้ ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ความแรงระดับ 7.1 ริคเตอร์ทำลายอาคารบ้านเรือนของไครเชิร์ทเสียหายเป็นบริเวณกว้าง หลายๆ ครอบครัวหลับไปในคืนนั้นโดยไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีก และหนึ่งในนั้น ได้รวมเอาชายหนุ่มในบ้านหลังกะทัดรัดชานเมืองที่มักปิดไฟเงียบและกักขังความเหงาไว้เป็นเพื่อนหลังนั้น..
ไม่มีกาแฟร้อนของพรุ่งนี้.. มีเพียงกาแฟแก้วสุดท้ายที่เย็นชืด ..และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง