30 พฤษภาคม 2554 22:31 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมไม่อยากฟังช่องนี้เลย ช่องหอยสี ในนามของสื่อมวลชนผมว่าผิดหลักการสื่อสารมวลชนนะ
ด๊อกเตอร์มองลอดแว่นมาทางผม ทำไมคุณเชียร์ตำรวจหรือ
ผมรีบมองไปที่กล้องและตีหน้าไม่ให้โกรธ เปล่า พร้อมยักไหล่ ผมว่ามันไม่ใช่รายการทีวี มันเหมือนกับสป๊อตโฆษณาสินค้าที่ไม่มี อย.เสียมากกว่าแต่เส้นดีจึงได้ออก
ด๊อกเตอร์มองที่ผม คุณสะพั่ง คุณไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของผม
อ้อ ผมมองหน้าจอกล้องทีวี และพยายามบิดเบี้ยวองคายพบนใบหน้าของผมให้ออกมาแบบสงสัยแนวทึ่งๆ
ด๊อกเตอร์ยิ้ม ที่ผมทำไปหากไม่คิดก็เหมือนกับการโชว์โง่ โชว์แบบไม่ใช่นักกีฬา แต่ถ้าหากคิดออก ก็จะรู้ว่าผมเป็นแนวร่วม คุณสะพั่งเข้าใจไหม พรรค แนวร่วม กองกำลัง นะเข้าใจไหม
ผมมองไปที่ตากลมๆของเขา แล้วคิดในใจ อ้อมีมากนะที่พวกที่มีคำว่าด๊อกเตอร์เนี่ยทำอะไรที่โง่ๆออกมาเยอะ เช่นยอมเป็นเมียน้อยชาวบ้าน เป็นต้น
อ้าวงั้นที่พี่ด๊อกทำมาเนี่ยเป็นการกระทำที่หวังดีทั้งนั้นเลยซินะพี่ด๊อก
พี่ด๊อกหัวเราะเคี๊ยกๆ แหมพี่พั่งเนี่ยฉลาดจัง
ในตอนนั้นหลังจากเลือกตั้งเมื่อ 3 กคแล้วมีคนที่หวังร้ายก่อนหน้ามาหวังดีตอนหลังกันเยอะแยะมาก
อ้อ ผมเข้าใจพี่ด๊อก
ผมก็นึกขำๆในใจมีเยอะมากที่ต้องกลับลำกลืนน้ำลายออกทีวี คือใครจะไปคิดว่าแม้สหบาทาอย่างร่วมด้วยช่วยกันแล้วจะรอดมาได้
นอกจากนี้ยังเห็นการเซ็นเซอร์บนทีวีที่ต้องยกนิ้วให้เลยว่า คิดได้ไง
พี่ด๊อกเห็นผมจะพาออกนอกเรื่องจึงถามกลับมาที่ผมว่าแล้วพี่พั่งละทำตัวยังไงกับเรื่องนี้
ผมตีหน้าไร้เดียงสาที่สุด บีบน้ำตาเหมือนผู้ว่าคนหนึ่งทำให้เห็นตอนก่อนจะได้เป็นผู้ว่า เพราะผมเป็นกลไกของรัฐอีกกลไกหนึ่งนะครับ เขาสั่งมาจึงต้องทำ ไม่ได้มีเจตนาใดๆ สาบาน ทำตามเขาสั่งมาอีกที
ถึงตอนนี้ประดาผู้ชมทีวีช่องหอยสีต่างพากันเบือนหน้าหารีโมททีวีเป็นทิวแถวแล้วกล่าวคำอวยพรให้แก่ผู้ดำเนินรายการและแขกรับเชิญอย่างพร้อมเพรียง
ตรงนี้เซ็นเซ่อร์ครับ 18+ ทั้งน้านเลย
24 พฤษภาคม 2554 19:18 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
กาแฟหน้าโรงแรมแก้วละหกสิบ ดูดปรี๊ดๆๆ สี่ปรี๊ดก็ส่งเสียงแหบๆแล้ว ควันบุหรี่ตัวที่สามลอยโขมงโฉงเฉงยิ่งกว่าโรงงานน้ำตาลแถวท่ามะกา จ.กาญจนบุรีในตอนหีบอ้อยเสียอีก ผมดื่มน้ำเย็นที่แถมให้มาอย่างกลัวจะหก หากไม่แพงแล้วคงไม่เห็นคุณค่า
นึกย้อนกลับเข้าไปในผนังตึกของโรงแรมที่มี ออน ในวันนี้เดินผ่าน ด๊อกเตอร์ที่เคยนวดตอนที่จะเดินออกมาทานกาแฟ นัยน์ตาสบกัน แต่ไม่มีการทัก สะพั่ง ย่อมทราบดีว่า มันต้องไม่มีการทัก
นึกไปอีกตอนที่นอนในอ่างใบเล็กและมองดูผิวเนียนส่วนสัดกลมกลึง ใบหน้า ผม มันช่วยไม่ได้ผมคิด มันเป็นเรื่องของสุขภาพ ของผู้ชาย ที่ต้องรักษาสุขภาพเหมือนกัน เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
นึกภาพถึงตอนนั้น
อีกไม่นานก็คงลืมไปเพราะไม่ได้มีคลิปลับเก็บไว้
แต่ดันนึกถึงคลิปแถวกรุงเทพอีกสามตอน
มันเป็นเพียงรอยยิ้มลับๆที่มุมปาก
รสชาติความแตกต่าง ฤาอาจจะเป็นที่โหยหาแต่ทว่าไม่กล้ากระทำ
เพราะคำว่ารักและรับผิดชอบ
แต่ทว่าเมื่อทำนบแตกทลาย
ขาดความยับยั้งชั่ววูบนิดหนึ่ง
กะว่าไม่แล้ว
แต่พอเห็นที่พิดโลก
นิดหนึ่งนะ
15 พฤษภาคม 2554 09:28 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมออกเดินทางไป จังหวัดพิษณุโลก ในตอนเช้า ปรากฏว่ารถวิ่งเพียงห้าชั่วโมงก็มาถึง มน.
มน.นั้นผมเรียกว่า มหาวิทยาลัยนเรศวร แต่พวกคอลเซ็นเตอร์ของแท๊กซี่พิษณุโลก กระแดะเรียกว่า มอนอก ผมยืนยันว่า ม.นเรศวร แต่เจ้าหล่อนก็พยายามจะให้ผมเรียกว่า ม.นอก แต่ผมยืนยันว่าผมไม่รู้จัก ม.นอก รู้จักแต่ ม.นเรศวร เพียงเท่านี้ เวลาเรียกรถแท็กซี่ที่ พิษณุโลก ท่านก็จะได้รอแบบไร้ความหวังเพียงเพราะว่าคอลเซ็นเตอร์แท็กซี่โกรธที่คุณไม่ยอมเรียกตามมัน
เรื่องนี้ช่วยไม่ได้ ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ ยักไหล่
ในมุมระดับครึ่งชั้น อ่างน้ำแคบๆ น้ำอุ่นๆ และการสระผมและขัดตัวอย่างเกลี้ยงเกลาดำเนินไปในรอบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ร้านข้าวต้มริมน้ำน่านเมื่อผมสั่ง ปลาสองสีทอดน้ำปลา ยำปลาหมึก และยำสามกรอบ และข้าวสวยหนึ่งหม้อ เด็กสาวเชียร์เบียร์จะให้ผมดื่มเบียร์ แต่ทว่ามื๊อนั้นผมกลับปฏิเสธ หลังจากที่กินเสร็จ มีคนแก่เดินมาขายกล้วยหอม ผมปฏิเสธด้วยความโกรธ อันเนื่องมาจากอาหารไม่อร่อย เมื่อเช็คตังส์เสร็จ ผมก็เห็นว่าแม่ค้าเขายิ้มแย้มดี จึงบอกว่ารู้สึกว่าอาหารจะจืดชืดไปหน่อย เมื่อแม่ค้ากลับมาทอนตัง ยิ้มแบบเจ้าของร้านค้า ยังไม่ถึงเวลาขาย เอาไว้มาใหม่ ถ้าไม่ดีจริงไม่อยู่ถึงห้าสิบปี พูดในขณะยิ้มเสียด้วย
เมื่อเดินกลับมาลูกชายขอให้เลิกสูบบุหรี่ ก็ทำให้ผมโกรธเหมือนกัน
แต่ทว่าเมื่อผ่านไปสักนิด เมื่อคิดได้ว่ามันเป็นความหวังดี มันก็ไม่สมควรต้องใช้ความโกรธ ผมก็บอกกับลูกชายว่า ตกลง การขอได้รับตามนั้น และก็คิดไปถึงเรื่องที่ผ่านมาในเรื่องของความหวังดี
นี่ถ้าหากเราสามารถรู้ได้ว่าใครหวังดีกับเราบ้างแล้วละก็ก็คงจะต้องไม่มีความโกรธเกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล
สุดท้ายขากลับ เมื่อคนพากันเฮโลกลับกรุงเทพในวันหยุดยาว แน่นอนรถเมล์เต็ม รถตู้พยายามถูกเสนอเข้ามารับคนโดยสารจากความเขี้ยวที่พยายามยัดคนเข้าไปจนแน่นแบบทุเรศมากกว่า หากปลากระป๋องแน่นแบบเนี้ยะจะชอบมากเลย
ผมลองไปขึ้นรถไฟ ทีแรกรถเร็วขึ้นฟรี ตีตั๋วเสร็จไปนั่งคิด บนชานชลาสองเพื่อกลับกรุงเทพ คิดไปคิดมามองดูคนรอ เยอะและผมไม่อยากแย่งชิงที่นั่ง และหากมีคนแก่ หญิงท้อง เด็ก มาจะไม่ลุกให้นั่งก็จะถูกประนาม และถึงกรุงเทพเกือบสามทุ่ม เจ็ดชั่วโมง ไม่นับหากมีการช้าของรถไฟตามปกติ
ผมบอกกับคนขายตั๋วรถไฟว่าเปลี่ยน ขอเป็นปิ๊นเต้อแทน สองที่โดนไป แปดแปดสี่บาท และกลับมาสามโมง ช้าอีกสีสิบนาที และถึงตรงเวลาทุ่มครึ่ง บวกเกินอีกสี่สิบนาทีของแถม และในระหว่างทางมันเหมือนกับรถที่มีคอนเสริทแรฟดังสนั่นตลอดทางสนุกดี
เมื่อรถมาถึงดอนเมือง
ความรู้สึกของเราก็คือ คิดถึงบ้าน
เมื่อก่อนคิดจะพเนจร จากการเดินไปคราวนี้ก็พอไปได้ในแบบประหยัดๆ
แต่ตอนนี้คิดถึงบ้านมากกว่า
ว่าแล้ว
สะพั่ง สะท้านไมภพ ก็นั่งแท๊กซี่กลับบ้านด้วยความสุข