17 เมษายน 2553 20:02 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
คอกวัว - อาร์ซีเอ
ควันธูปลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากธูปที่ปักไว้ในแก้ว นัยว่าเป็นการคารวะแก่วิญญานของผู้กล้าที่วายชนม์ และยังอีกมากที่เป็นผู้กล้า(ชายและหญิง) ที่บาดเจ็บและไม่บาดเจ็บบนถนนสายการต่อสู้ ผมนั่งดูทีวีแล้วก็เกิดเคลิบเคลิ้มไปบ้างเป็นบางเวลา ในเวลานี้ผมไม่อยากจะทำอะไรอื่นอีกได้ลงคอ เพราะรู้สึกเศร้าสลดใจในเรื่องราวปัจจุบัน เพียงแค่อำนาจ เพียงแค่ยศ ตำแหน่ง เพียงแค่เงิน ตั้งแต่ 2516 มาแล้วที่ผมเห็นแบบนี้ไม่คิดว่า 2553 จะต้องมาเห็นอีก หรือมันเป็นเพียงวาระกรรมแห่งการพลิกผันกลับไปกลับมา
ทรราชย์
ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับผู้นำใหม่ แล้วต่อไปก็เกิดทรราชย์ยังงี้ไปไม่มีวันจบสิ้นหรือจนกว่าน้ำจะท่วม
ปฏิวัติย่อมเกิดขึ้นได้เสมอๆและก็รัฐบาลที่ได้จากปฏิวัติ หรืออื่นๆที่ได้มาจากปฏิวัติ การต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับปืนเปล่า บนคอกวัว ยิงกันหูดับตับไหม้ ม้วยมรณ์ทั้งสองข้าง ด้วยการทำหน้าที่ของตนเอง และต่อมาภายหลังภายใต้ความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท ยังไม่จบ บทเรียนเกิดขึ้นอีกบทหนึ่งแล้ว ควันธูปยังคอยลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปอย่างไม่รีบร้อน ผมสะพั่ง นังระลึกวาดภาพอนาคต คงต้องตายกันอีกเยอะ ผู้ที่ตั้งใจไว้ดีแม้ตายไปก็คงพบกับสุคติ แต่ผู้ที่คิดไม่ดีตายไปก็คงต้องชดใช้กรรมในนรก สงสารคนที่ต้องทนแดดร้อนนอนกินถ่ายตามสะดวก กับข่าวสารด้านเดียวคนมากมายก็คล้อยตาม มันไม่สามารถชี้ชัดได้เหรอหรือว่าผิดหรือถูก ผมสะพั่ง หัวเราะให้กับตนเอง มุมมองมากไปนี่เอง และสื่อมากเกินไปนี่เอง ต้องตายกันอีกมากมายจริงๆ
ที่อาร์ซีเอ
ผมสะพั่ง เกิดมาในชีวิตไม่เคยไป วันสงกรานต์ผมใส่เสื้อลายดอกสีชมพู กุงเกงอิตาเลี่ยน ด้วยวัยของผมเมื่อยืนอยู่ด้านหน้าอาร์ซีเอ ก็มีคนแหกปากร้องขายปืนฉีดน้ำ ผมคิดว่า ทำไมต้องใช้ด้วย เมื่อซื้อบัตรสามร้อยได้น้ำมะนาวมาสองขวด เสียบกระเป๋ากุงเกงขวดนึง อีกขวดนึงตบตูด แรงกระแทกทำให้มีฟองฟ็อดดันฝาเกลียวและก็บิดออกเบาแรง เมื่อเดินเข้าไป แม่เจ้าโว้ย โดนที่หัวกระบาลก่อนเลย น้ำเย็นไหลวาบลงคอเสื้อ ไหลวาบลงก้น เย็นวาบทั้งตัว น้องๆบางคนก็คิดถึงญาติผู้ใหญ่เห็นผมมาก็พากันสรงน้ำผมอย่างสนุกสนาน ผมก็สะบัดน้ำให้ศีลให้พรกันอย่างแย้มยิ้ม ทุกคนโยก ทุกคนยกน้ำ ฉีดน้ำ สาดน้ำ และไม่มีที่จะให้ไปต้องต่อสู้กับปืนยาว ปืนสั้น นานาชนิดเสียงงี้หูแทบแตกจากเพลงที่มันแต่ร้องไม่ได้ แต่เพื่อไม่ให้น้องๆลูกๆ หลานๆ เกร็ง ผมสะพั่ง จึงต้องส่ายสะโพกไปด้วย และยกไหล่ตามจังหวะการจราจล สายน้ำเย็นไหลผ่านเสื้อผ้าลงไปตามผิวกายวาบๆเป็นระยะ ส่วนการ์ดผู้ชุมนุมยังคงใส่เสื้อดำเข้มยืนทำหน้าที่ไม่ท้อถอย ทุกทิศทางมีแต่รอยยิ้ม
ผมสะพั่ง ได้แต่หวังว่า ในอนาคตการชุมนุมทางการเมืองของเราคงจะได้เป็นอย่างนี้ต่อไป ให้มีแต่สายน้ำที่ไหลเย็นไหลผ่านกาย ขออย่าให้มีสายน้ำอุ่นหลั่งไหล มีแต่รอยแย้มยิ้มรื่นเริงบันเทิงใจ ไม่มีรอยเครียดขึ้งโกรธแค้นกัดฟันขมวดคิ้วและต้องฆ่า และที่นี่ไม่มีทรราชย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน มันเป็นความฝันกลุ่มก๊วนที่มากมายยืนล้อมถังน้ำและโต๊ะวางปืน ระดมยิงใส่กลุ่มก๊วนอื่นอย่างเมามันและสนุกสนาน รวมถึงสหประชาชาติก็มาร่วมใช้ปืนอย่างสนุกสนาน
เอไม่รู้ว่าพวกนักอะไรสักอย่างหนึ่ง จะออกมาต่อต้านไหมว่าการใช้ปืนฉีดน้ำเนี่ยจะเป็นการสร้างนิสัยให้คนชอบยิงกันเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงเข่นฆ่ากันเอง บ้างหรือเปล่า
ทำไมจึงมีสองมาตรฐานอย่างนี้เล่า
ชีวิตก็แบบนี้ ตอนเกิดมาสามารถเลือกมิได้ แต่เกิดมาแล้วก็เลือกเป็นบ้าง เลือกไม่เป็นบ้าง ดวงดีบ้าง ดวงไม่ดีบ้าง
ผมสะพั่ง กลับมาในอีกวัน วันที่รอคอยและจินตนาการล่วงหน้า หนาวเหน็บ ค่อยๆคิด ค่อยๆทำกันไปนะครับ ก่อนจะทำอะไรควรโทรศัพท์คุยกันก่อนก็ได้ นัดแนะกันให้ดี ต่างคนก็ต่างบท อย่าจริงจังในชีวิตมากนัก อย่าลองว่าทำแล้วจะต้องรอด เพราะจริงๆแล้วทรราชย์ล้วนไม่เคยรอด ขอเน้นย้ำว่า ทุกผู้คนต่างมีปืน
10 เมษายน 2553 08:06 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
เมื่อชนะแล้วก็ยังเมตตาปราณีต่อฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่ว่าจะแพ้แต่ไม่อยากทำ และก็ไม่ได้มองว่าเป็นศัตรู และก็ไม่ได้หลับหูหลับตาทำแบบเมื่อก่อน พวกตอกลิ่มยังคงทำหน้าที่ตอกลิ่มเหมือนเดิม แต่บางคนก้มหน้าทำให้เห็นภาพความเป็นมิตร ความเป็นคนไทยที่ทำตามหน้าที่ของบุคคล อย่างมีสติปัญญา ภาพหนึ่งภาพก็น่าสนใจแล้ว แต่ภาพหลายภาพพร้อมคำบรรยายทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งกินใจมาก อย่างนี้แล้วทหารหรือตำรวจที่ออกปราบจะไม่ให้ใจได้อย่างไร อันนี้คือทางออกของการแก้ปัญหา ไม่มีทางที่จะแก้อะไรได้หากหัวใจยังคงคิดทำร้าย สิ่งที่พูดออกมาย่อมแสดงให้เห็นถึงสติปัญญา และความดีชั่ว สาธุ พระเจ้าท่านเมตตา ให้สิ่งที่ดีๆบังเกิดได้จากการเริ่มต้นของจิตใจแห่งความดี ความรักกันแบบนี้ที่สามารถทำให้ประเทศชาติคงอยู่รอดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้และจะอยู่รอดตลอดไป
หนทางแห่งความต้องการยังต้องไปอีกไกล แม้ว่าแนวทางจะไม่แน่ชัด เมฆหมอกคลุมเครือ ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศก็ไม่สบาย การทดสอบของสวรรค์ยังคงมีต่อบุคคลเรื่อยๆไป ผู้ที่ผ่านการทดสอบว่าดีจริงดีแท้เท่านั้นจะเรียกว่า กาเผือก หรือ กาขาว
อันกาดำน้ำก็ยังคงเป็นกาดำวันยังค่ำ แต่ทว่ากาขาวหมายความ ถึง คนที่เก่งคนที่ดีบังเกิดขึ้นในแผ่นดินมากมายต่างหากและจะส่งผลต่ออนาคตต่อไป สงครามการต่อสู้ด้วยจิตใจ ผู้ใดจิตใจต่ำย่อมพ่ายแพ้แน่นอน ผู้มีจิตใจสูงจะชนะ ผมเฝ้ามองดูรูปที่ลาดหลุมแก้วแล้วปลื้มใจที่การทำงานของแต่ละฝ่ายก็จริงจังจริงใจต่อกัน การทำงานแม้ว่าไม่อาจบรรลุเป้าแต่หากว่าทำงานไปแล้วมีความสุขมันน่าจะเป็นการงานที่สุดยอดมากที่สุดแล้ว แต่ทว่าการทำอะไรเพียงเพื่อหวัง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ฤาจะทำให้เกิดความสุขได้อย่างแท้จริง หัวใจที่ลาดหลุมแก้วเมื่อ 9 เม.ย.2553 กระผมขอปรบมือให้กับทั้งสองฝ่ายที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า จริงๆแล้วพวกเราล้วนชนะ ชนะที่เห็นใจกันในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ในท่ามกลางที่ดูเหมือนจะเลวร้ายแต่ก็เกิดกระแสความตื้นตันใจอย่างหักโหม เพียงแต่ว่าผู้ที่มีสติปัญญาน้อยก็จะเข้าใจได้ยากได้นานหน่อย แต่ทว่าอย่างไรก็ตามก็จะเข้าใจได้อย่างกว้างขวางต่อไป เหตุการณ์แบบนี้ต่อไปอาจกลายเป็นเตาหล่อหลอมที่อัศจรรย์รวมความคิดเห็นและกลั่นกรองด้วยเหตุผลให้ออกมาเป็นแนวความคิดที่คิดดีๆก็ได้ต่อไป กรรมเวรยังคงมีจริงต่อไป ซึ่งหลายๆคนได้เห็นชัดๆกับตาและสามารถระลึกอย่างแจ่มชัด
6 เมษายน 2553 21:21 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
การโคจรของคนสามคนมาพบกันในพื้นที่ภาคใต้ก็มีวาระอีกครั้งหนึ่ง หนึ่งว่ากันว่าเป็นถึงทหารที่โบกจามจุรีบนหลังช้าง อีกหนึ่งว่ากันว่าเป็นจตุรงคบาทในยามสงครามและเป็นมหาดเล็กคนสนิทในวัง และอีกหนึ่งว่ากันว่าเป็นนายกองทะลวงฟัน
เราสามคนนั่งหัวเราะกันในยามพลบค่ำ และพูดคุยกันอย่างสนิทสนมคุ้นเคย เมื่ออดีตเราสามคนคงจะได้เคยลงมาร่วมรบในพื้นที่นี้ พื้นที่นี้มันเป็นพื้นที่ที่แปลก ผู้ที่ลงมาล้วนแล้วแต่มีจิตใจที่เปลี่ยนไป ถ้าหากว่าไม่ตั้งใจลงมาตั้งใจสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแล้วไซร้ก็คงจะมีความคิดกลับกลายคล้ายถูกเป่ามนต์สะกด
ต้องเหนื่อยอีกแล้วนะชาตินี้ จานทูนหัวเรือใหญ่กล่าวขึ้นมา พอพวกมันโกงกันทีไรและเกิดปัญหากับประเทศพวกเราต้องมาเกิดอีกมาช่วยแก้ปัญหา ทุกชาติไป ผม กับ น้องสลาม พยักเพยิด ฟังปรมาจารย์บนหลังช้างท่านว่าอย่างหูดับตับไหม้ พวกเราฟังก็ดูดบุหรี่จานทูนก็ยังไม่หยุดว่าของแกไปเรื่อย
สักพักจานทูนบอกว่า พวกคนอื่นๆคงจะมองว่าพวกเราบ้านะ ผมแค่หัวเราะ น้องสลามก็หัวเราะชอบอกชอบใจ แต่เนื่องจากว่า บางครั้งเมื่อคนอื่นเห็นว่าเราบ้าไปแล้ว เราก็ต้องขี่สถานการณ์ให้สมคล้อยไปกับเรื่องนั้น
คือบางครั้งสิ่งที่รู้มันก็รู้ดีอยู่แต่พิจารณาแล้วว่ามันยังไม่สมควรที่จะเปิดเผยออกไป เพราะหากเปิดเผยไปก่อนเวลาแล้วน่าจะทำให้อะไรอะไรลำบากอีกเยอะ
แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงเวลาต้องประดาบเลือดเดือดแล้วก็ต้องออกแรงอีก จานทูนบอกว่าผมเนี่ยเมื่อถึงเวลาต้องสละชีพเพื่อชาติได้แน่ ผมหัวเราะ เพราะผมไม่ต้องการอะไรอีกจึงได้แต่หัวเราะ แต่ก็ถามตัวเองและตอบแก่ตัวเองในใจในเรื่องนี้
ช่างเป็นโชคดีอะไรของแผ่นดินอย่างนี้หนอ ประดาหมู่โจรร้ายเฝ้ารองบหนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านหักค่าเบี้ยเลี้ยงของทหารออกไปแล้วเหลือแต่งบของพลเรือน แต่ทว่าเหมือนนรกชังและสวรรค์แกล้ง งบประมาณที่พวกโจรร้ายรอ ดีดขิมรอ ไขว่ห้างกระดิกเท้ารอ กลับหายอย่างไร้ร่องรอย
ผม จานทูน และสลามล้วนแล้วแต่โล่งอก
หากงานนี้ไม่มีสามัคคีกินโกงอย่างขนานใหญ่แล้ว พวกโจรก็คงจะได้อะไรอะไรขึ้นมาอีกเยอะ และน่าจะเสียไวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามน้ำคงท่วมภาคใต้ก่อนที่โจรร้ายจะคิดอะไรสำเร็จ
ในการส่งเสบียงอาหารมาช่วยกองทัพทำการรบ แต่ทว่าการส่งก็ส่งมาเพียงร้อยละห้าสิบ แถมขณะที่กำลังลำเลียงเสบียงอาหารมาระหว่างทาง พวกแนวหน้าก็ดันแต่งกองโจรมาปล้นเสบียงของตนเองอีก
คือบางทีคงจะลืมไปว่า สิ่งที่เอาไปนั่นคือภาษีของคนทุกคนในประเทศรวมทั้งภาษีของเราเองด้วย หากยังปล่อยให้โจรชั่วปล้นเสบียงอาหารกองทัพที่ไปรบกับข้าศึก กองทัพที่ไปรบก็จะพ่ายแพ้
6 เมษายน 2553 20:56 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ก่อนเดินทางไปทำงานที่ภาคใต้ ผมหวังหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง เช่น ยศฐาบันดาศักด์เงินทองสิทธิต่างๆ แต่ทว่าเมื่อภรรยาผมได้ทักขึ้นมาว่า ไม่อยากให้ไปเพราะเป็นห่วง จึงต้องทำให้ผมคิด
ก่อนหน้าจะลงไปอยู่ยาวๆ ผมได้เจอกับพี่ทูน หรือ จานทูน อายุแก่กว่าผมราวห้าปี แกชอบตัดผมสกรีนเฮด ใส่แว่นสายตา และแข็งแรง ก็ยังไม่ได้คุยเท่าไหร่ในตอนก่อนลง แต่เมื่อลงไปได้นั่งรถไฟชั้นหนึ่งในห้องเดียวกัน และได้พูดคุยกันตลอดทาง เริ่มทำให้ผมรู้สึกว่าแกมีความรู้สูงส่ง
เมื่อได้ลงไปทำงานได้ไปเห็นผู้หมวดนายสิบทำงานและทานข้าว และนอนค้างในฐานของผู้หมวด ความรู้สึกแบบเดิมๆสมัยผู้บังคับหมวด ยามค่ำคืนที่เหล่าทหารเพลียจากการตรากตรำทำงานหนักหนักและหนัก และหัวหน้าที่ลงไปก็ไม่ได้มีสาระความรู้ที่จะพอให้ความนับถือได้ แต่กลับสำแดงสิ่งที่ไม่สมควรหลายๆอย่างให้ประจักษ์
เมื่อจบภารกิจสั้นๆอันแรกก็เดินทางกลับมา ก็ไม่รู้ว่าการเดินทางไปแบบนี้จะได้อะไรแค่ไหนแต่เมื่อกลับมาแล้วก็มีความรู้สึกว่าภูมิใจที่ได้ไปช่วยนิดหนึ่งอย่างน้อยก็ให้กำลังใจ
ก่อนลงผมตัดสินใจแล้วว่าพอจึงเขียนใบขอจบภารกิจแต่ต้องลงไปอีกราวสองถึงสามเดือน
ไม่กี่สัปดาห์เราต้องลงอีกคราวนี้ต้องลงไปอยู่นานหลายเดือน ทีแรกผมกะว่าจะเป็นบัดดี้กับ จานทูน และคุยเรื่องราวต่างๆ แต่ทว่าเขากลับแยกห้อง แต่อย่างไรก็ตามส่วนมากของเวลาที่ไปอยู่ ผมกับจานทูนมักจะพูดคุยกันเป็นส่วนมาก ไม่ขึ้น ฮ เข้าประชุม คุยกับเพื่อน ผลิตเอกสารรายงานส่ง ซักผ้า กินข้าว สัมมนาก็แค่นี้
มันสบายมากเลย มีวันหนึ่งผมขึ้น ฮ ไปรดน้ำศพนายสิบและพลทหารที่เสียชีวิต ต่อมาทุกๆครั้งที่ได้รับเอสเอ็มเอสสถานการณ์ใต้ ระเบิด ลอบยิง ตาย เจ็บ
ผมนึกดีใจที่ผมขอกลับก่อนที่จะมา ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ทว่าไม่อยากเอาเปรียบน้องๆที่อยู่ในพื้นที่เครียดเหนื่อยและตายจริง
ผมอยากได้อะไรผมถามตนเองในพื้นที่
สงสัยผมจะบ้าไปแล้ว หลงไปแล้ว ผมนึกขึ้นมาได้แล้วก็สมเพชในความคิดของตนเองที่หวังสิ่งต่างๆที่จะมีมากกว่าเดิม เมื่อจานทูนเข้ามาเสริมในเรื่องแนวความคิดของแกที่ไม่ได้สนใจเรื่องต่างๆให้มากกว่าสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วย ก็ทำให้ผมระลึกได้ตลอดเวลาที่เผลอไผลคิดวาดฝัน
เมื่อเดินทางกลับ ผมมีความสุขมากที่สุด เพราะว่าสามเดือนที่ผ่านมาได้รับความรู้จากจานทูน ได้เข้าใจตนเองและเห็นความจริงของคำพูดของภรรยา และความไม่ต้องการอะไรที่เกินไป
ปัจจุบัน ผมเฝ้ามองสิ่งต่างๆที่เข้ามา มันไม่ต้องการแล้วมันก็ไม่เครียด รู้สึกว่าไม่มีอะไรเครียด
เมื่อไม่ต้องการมันดีอย่างนี้นี่เอง