30 สิงหาคม 2551 08:45 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
สะพั่ง สะท้านไมภพ จับตาดูนางแบบคนหนึ่งที่โรงแรมแฮมิลตัน เธอมีนัยน์ตากลม และเนื่องจากเธอเป็นนางแบบเธอจึงทำให้คนมองไม่ว่าจะเป็นไทยหรือเกาหลี ล้วนแล้วแต่มองเธอจนลืมกริยา สะพั่ง หยิบมาโบโรไลด์ ขึ้นมา กระแทกซอง จนกระทั่งบุหรี่ตัวหนึ่งโผล่ออกมา เขาควักมันขึ้นมาใส่ปากและกดไฟแช๊คเกาหลี ราคาสี่สิบบาท จุดบุหรี่ พ่นควันออกมาแม้จะมีอากัปกริยาอย่างอื่นแต่สายตาก็ไม่วายจะจ้องมองทุกมุมมอง
ขณะนี้กล้องจิ๋วได้อยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว สะพั่งหันมุมกล้องไปทางเธอแบบที่ได้ถูกฝึกมา ในใจก็บอกให้ถ่ายๆภาพของเธอเก็บไว้ แต่เนื่องจากต้องรอถ่ายผู้ที่พบปะเธอจึงจะถ่าย เพื่อกันมิให้แบตเตอรี่หมดก่อนยามสมควร
สักพัก ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาและนั่งลงตรงโซฟาของโรงแรมและทั้งสองก็พูดกันสักพักก็พากันชวนกันเดินไปขึ้นลิฟท์
ผมวิ่งไปขอเข้าลิฟท์ด้วย ทั้งสองมองหน้าผม แต่ผมพูดเป็นภาษาเกาหลี และการปลอมแปลงผมทรงเกาหลีรวมทั้งองคายพบนใบหน้านิดหน่อยและของใช้เครื่องแต่งกายแบบเกาหลีแค่นี้ก็เหมือนเปี๊ยบเลย
ผมมองดูที่ปุ่มกดชั้น เมื่อทั้งสองกดชั้นห้า ผมก็ไม่กด และก็ยืนดูอยู่ สักพักเมื่อถึงชั้นห้าผมก็แกล้งเดินออกไปก่อน และเดินไล่หาห้อง จนกระทั่งสุดแล้วก็เดินย้อนกลับมา
วันนี้สามารถทราบหมายเลขห้องของเธอแล้ว ในการปฏิบัติการของสายลับนั้นวันละนิดหน่อยก็พอแล้ว ในวันพรุ่งนี้จะต้องสะกดรอยหากเธอต้องออกไปข้างนอก
ผมขอย้ายห้องมาอยู่ชั้นห้าเพื่อความสะดวกในการสืบ
ประมาณเวลา สามทุ่ม มีเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง ผมก็ไปมองทางรูประตู ก็เห็นเธอนั่นเอง ยืนที่หน้าประตู ผมชั่งใจนิดหน่อยแล้วก็เลยเปิดประตู
เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษ
ผมก็ตอบเธอเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อเธอเข้ามาในห้องเธอได้สำรวจห้องของผมไปรอบๆแล้วนั่งลงบนเตียง
ผมมองดูเธอ ดูการแต่งกายด้วยเสื้อคลุมชุดนอนที่เพียงแค่ปกคลุมเรือนร่างของเธอแต่ไม่อาจปิดบังทรวดทรงอันโค้งเว้าได้
เธอมองที่ตาของผมเหมือนกับจะทะลุทะลวงเข้าไปภายใน
สักพักเธอก็อ้าขาออก แต่ทันใดนั้นเองเธอก็ล้วงมือเข้าไปชักปืนกระบอกเล็กออกมาแล้วยิ้มเยาะ
บอกมา เธอพูดเป็นภาษาไทย
ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ ตกใจ มองหน้าเธอ แล้วกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อเห็นผมไม่พูดภาษาไทยเธอก็เลยพูดเป็นอังกฤษ
เธอเอาปืนจ่อผมแล้วให้ผมหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา
เมื่อเธอเปิดดูเธอก็พบว่า ในกระเป๋าตังค์ของผมล้วนแล้วแต่เป็นของเม็ดอินเกาหลีทั้งสิ้น แม้แต่บัตรประจำตัวเกาหลี
เธอมองมาที่ผมแล้วพูดเป็นภาษาไทยว่า หน้าตาคล้ายๆคนไทย แต่กลับไม่ใช่ ดีหละ ว่าแล้วเธอก็ใช้ภาษาใบ้ เป็นทำนองให้ผมนอนลงที่เตียง เสร็จแล้วเธอก็จับมัดมือมัดเท้า
ผมนั่งทบทวนความผิดพลาดที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
สักพัก เธอกลับแก้ผ้าผมจนล่อนจ้อน ผมก็มองหน้าเธอแต่ยังเดาใจไม่ถูก
สักพัก พอเธอถอดเสื้อคลุมและชุดนอนเธอออก และเริ่มปฏิบัติการอันสุนทรีย์กับผม
ผมแทบจะไม่เชื่อสายตา
ตอนนี้ผมไม่คิดถึงเรื่องงานติดตามเครือข่ายยาเสพติดอีกแล้ว
บางครั้งแม้ความตายรออยู่ข้างหน้า แต่สิ่งที่ได้รับก่อนตายหากคุ้มแล้วก็ไม่เสียดาย เพราะบางครั้งการตายบางครั้งยังไร้ค่าไร้สาระกว่าที่เป็นอยู่นี้มากนัก
เมื่อเธอสำเร็จกิจเธอก็จากไปโดยแก้มัดปล่อยให้ผมนอนหมดแรงบนเตียง
เช้าขึ้นมา ผมก็แต่งตัวไปทานข้าว
เจอเธอเดินลงมาพอดี เธอกลับเดินเข้ามาหาผมและถามผมว่า โกรธไหมเป็นภาษาอังกฤษ ผมยิ้มให้แล้วตอบเธอไปว่านอกจากจะไม่โกรธแล้วยังชอบแบบนี้อีกด้วย
เราทั้งสองคุยกัน
ผมก็เลยเกาะติดเธอแจทั้งวันไปไหนไปด้วย
สายลับก็อย่างนี้แหละครับ เมื่อสามารถเกาะติดเป้าหมายได้อย่างใกล้ชิดแล้วภารกิจต่อไปก็ไม่ยาก
เมื่อเธอต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผมก็ไปส่งเธอและโบกมือให้เธอ
แต่ทว่าเมื่อส่งเธอเสร็จ ผมก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ แปลงโฉมองคายพบนใบ้หน้านิดหน่อย แล้วเอากระเป๋าใบใหม่ จากห้องฝากของที่สนามบินมาแล้วเข้าไปนั่งรอก่อนขึ้นเครื่อง
แล้วผมก็นั่งข้างๆเธอ ๆหันมามองผมบ่อยๆ
แต่ผมก็ทำทีเป็นไม่สนใจ
ภารกิจของผมมันต้องตามเธอไปเรื่อยๆครับ
จนกว่าจะสามารถสืบหาเครือข่ายการติดต่อสื่อสารของขบวนการนี้ได้ และในไทยก็จะมีผู้ช่วยผมอีกหลายคนจึงไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่
และแล้วเธอก็ชวนผมคุยเป็นภาษาไทย
25 สิงหาคม 2551 17:39 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
...พบหญิงสาวคนหนึ่ง เราช่วยเธอ แต่แล้วเราเองต้องพลอยเจ็บไปด้วย แต่ทว่าบนท้องฟ้าย่อมต้องมีทั้งดาวและเดือน...
มันเป็นกลอนภาษาจีนที่เขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว และมันเคยแปะเอาไว้บนฝาผนังในบ้านที่ใกลโพ้น
ผมนั่งมองออกไปยังแม่น้ำโขง มองตรงไปยังฝั่งของประเทศลาว ท้องฟ้ายามเย็นได้เห็นเมฆลอยตัวมาอย่างมืดครึ้ม แต่แสงของอาทิตย์อัสดงยังคงสาดส่องสะท้อนแสงแดงส้มกระทบกับระลอกพื้นน้ำ และสิ่งต่างๆ สะท้อนแสงออกมาอย่างวิจิตร
ณ เจดีย์หนึ่ง ชื่อเจดีย์เป็นชื่อที่บ่งบอกว่าสองเรารักกัน แม้จะรักแต่ก็มีรักที่รักมากกว่า จึงต้องแพ้ไป ความเจ็บปวดของผมเองไม่อาจแม้แต่จะบอกกับใครได้ อย่างดีก็ได้แต่พร่ำเพ้อคร่ำครวญยามที่อยู่ในมุมมืดที่ใดๆสักแห่ง
ณ อ่างเก็บน้ำที่ลานตาสะพรั่งไปด้วยดอกบัวที่ชูดอกออกขาวชมพูม่วงอยู่เต็มอ่างเก็บน้ำ รอยยิ้มแววตาแห่งความสุขฉาบฉายบนใบหน้า อยากจะมีวันนี้ทุกวัน แต่ทว่านับแต่วันนั้นก็ไม่เคยมี
ณ แก่งน้ำ ไหลเย็น เรานั่งคุยทานเหล้าท้องถิ่น และว่ายน้ำเล่นจนเย็นใจ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับยอดเขาทางทิศตะวันตก นั่นแหละเราถึงกลับรวงรัง
ณ ที่แห่งหนึ่งในผับ เราทั้งสองโยกส่ายกันอย่างสนุกสนานก็นั่นแหละอยากจะมีอย่างนี้ทุกวัน
ได้แต่แต่งกลอนกาพย์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ก็หวังว่าการตักบาตรทำบุญร่วมขันจะได้ผลบ้างอย่างน้อยในชาติภพหน้า
ความรักของผมอย่างน้อยได้เคยถูกย่ำยีด้วยฝ่าเท้าของสตรีที่น่ารักมาแล้วอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหกครั้ง
และครั้งที่เจ็ดผมได้เฝ้าคร่ำครวญอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดให้เจอเนื้อคู่ และตั้งแต่ครั้งที่เจ็ดนั่นเอง ก็มีเนื้อคู่หลายๆคนที่ได้เวียนและโคจรมาปะกัน ความรู้สึกแบบเรื่องแต่ปางก่อน ความรู้สึกว่าเราเคยครองคู่กันมาก่อน และมีแต่สิ่งที่ดีๆให้แก่กัน มาดันปรากฏ
แต่หัวใจที่ตายด้านกับความรักอีกรักหนึ่งนั้น มันไม่สามารถที่จะตอบสนองความรักให้กับคนอื่นได้อีกแล้ว มีแต่ให้ได้เฉพาะกับความหฤหรรษ์ตอบสนองให้แก่ร่างกายของกันและกันได้เท่านั้น
ไม่มีเธอสักคนจะรู้เลยว่าในร่างกายของผมนั้นมันทรมานสิ้นดี มีปัญหาร้อยแปดพันประการ ไส้ก็เน่า
แม้ในชาตินี้จะคงผิดพลาดไป
แต่ก็มั่นใจว่าชาติหน้าก็คงต้องผิดพลาดเหมือนเดิม
ผมรู้สึกได้ถึงความรักของหญิงที่เขารักผมมากที่สุด
ที่เขาชนะคนอื่นก็ตรงที่เขารักผมมากที่สุดนี่แหละ
ที่ผ่านมาผมมองข้ามความรักของเขาไปอย่างไร้ค่า
มาวันนี้ ผมรู้ซึ้ง ซาบซึ้ง ตะลึงพรึงเพริด เมื่อรู้ว่าผมได้ปล่อยปละละเลยความรักอันมีค่าของหญิงคนนี้มานานมากแล้ว
แต่สววรรค์มีตา ยังทัน ยังมีเวลาทันที่จะตอบแทนความรักของเธอคนนี้ได้อย่างสาสมกับความดีทั้งกายและใจที่เธอมีให้
รักเธอคนนี้มากที่สุดเลย
ก่อนที่จะรักมาอย่างนี้ เหตุการณ์ทั้งหลายที่หลายๆคนทนไม่ได้ต้องเลิกร้างหย่าร้างกันไปก็ได้ผ่านมากับผมและเธอคนนี้มาครบแล้วและเป็นทุกอย่างที่ทุกๆคนเคยเจอ
ผมพิสูจน์มาเป็นระยะเวลานานทีเดียว ทั้งไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ความสบายใจ ทุกอย่างๆ ผมแน่ใจว่า ใช่เลยทีเดียวกับหญิงคนนี้
ณ วันนี้ ผมได้กระทำทุกอย่างเพื่อเธอคนนี้ที่ผมรักมากที่สุด
ได้กอดเธอทุกคืน หยอกล้อต่อกระซิก ยังคงเหมือนตอนนั้นตอนหนุ่มๆและสาวๆ
ผมรับรู้ได้ว่าเธอสำลักความสุขที่ผมได้กระทำให้มีความสุข
ก็หวังว่าจะมีเวลานานๆหลังจากที่ค้นพบ ให้ได้กุ๊งกิ๊งกันต่อไปเรื่อยๆ
รักเธอคนนี้มากที่สุด...
22 สิงหาคม 2551 17:37 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมได้รับโทรศัพท์จากผู้ซื้อคนหนึ่งให้ออกเอาพระไปให้ดู ผมก็จัดเตรียมพระที่จะไปให้เขาเช่าเรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็ออกเดินทางไปทันที แต่ก่อนออกวันนี้ ผมได้พระมาหนึ่งองค์องค์ใหม่ ท่านมีชื่อเรียกขานว่า เหรียญหนุมานแผลงฤทธิ์ เนื้อเงิน รุ่นบูรณะหลักเมืองปี ๔๗ และคำว่าพระของผมเนี่ยหมายถึงพระโพธิสัตว์นะครับ ตกลงผมใส่สร้อยสองเส้นและพระสององค์ อีกองค์เป็นของวัดพุทไธสวรรค์ ผมก็ออกจากบ้านเดินไปขึ้นรถเมล์สองแถว
ในขณะที่รอรถอยู่ที่ศาลาที่พักผู้โดยสารฝนได้ตกลงมา พอดีกับรถเมล์สองแถวมาพอดีจึงขึ้นทันพร้อมกับฝนที่เทลำมาอย่างหนัก รถเมล์สองแถวคันนั้นก็ไม่มีพลาสติกคลุมข้างก็เลยทำให้คนนั่งสองข้างต้องมายืนรวมกันตรงกลาง
สักพักฝนก็หยุดตก ผมคิดในใจ เอ นี่ถ้าจะฤกษ์ดีเสียแล้วละกระมัง คงจะปล่อยพระได้แน่ พอมาถึงป้ายที่สพานใหม่ ผมก็เดินไปที่ห้างบิ๊กซีทันทีแต่ก็ค่อยๆเดินเนื่องจากว่ามีเวลาอีกมาก
เมื่อเดินสำรวจไปหลายรอบแล้วก็เมื่อยจึงซื้อน้ำดื่มคอยเวลา สายตาก็สอดส่ายสายตามองดูคนรอบๆข้าง ปกติตอนเย็นผมจะไม่ค่อยได้ออกมามากนัก เนื่องจากมีภาระต้องจัดหากับข้าวไว้รอเมียกับลูกที่กลับจากที่ทำงานและที่โรงเรียนมา
วันนี้ออกมาได้ก็แจ้งให้ภรรยาทราบแล้วว่าออกมาเพื่อมาหากิน
สักพัก ผมก็หยิบมือถือออกมา ชั่งใจนิดหนึ่งว่าจะโทรดีหรือไม่โทรดี ไปแจ้งคนที่จะมาเช่าพระว่าผมได้มาถึงแล้ว
คนที่เช่าพระของผมรับสาย และบอกว่าเขายังอยู่ที่ทำงาน และกว่าจะมาถึงก็ตกราวๆสองทุ่มกว่าๆ และย้อมถามผมว่าจะรอได้ไหม ผมความจริงก็ใจร้อนแต่เรื่องนี้ผมก็คิดมาแล้วก่อนจะมาว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เป็นไรถือว่าเป็นประสบการณ์ในการปล่อยพระอีกเหตุการณ์หนึ่ง และได้พูดไปในโทรศัพท์ว่า หากน้องมาแล้วเห็นพระไม่ซื้อพี่ก็ไม่ว่า แต่น้องนัดคนอื่นเขามาแล้วน้องดันไม่มาอ้างติดงาน อย่างนี้พี่โกรธ พอน้องคนนั้นได้ยินก็กล่าวคำขอโทษ
ผมก็ไม่อยากโกรธตอบก็ยอมรับแล้วปิดโทรศัพท์ เดินออกจากห้าง
แน่นอนแล้วครับว่าวันนี้ขายไม่ออกเลย ผมก็ตั้งใจแล้วว่าต่อไปจะไม่ออกมาอีกหากเป็นกรณีแบบนี้
ในระหว่างการเดินกลับ ท้องฟ้าเริ่มมีเมฆฝน เมื่อถึงท่ารถเมล์สองแถว อากาศเริ่มมีลมรุนแรงขึ้น เมฆดำปิ๊ดปี๋ รถเมล์เข้าวัดเกาะคันหนึ่งวิ่งรี่เข้ามาที่ท่ารถ ผมยืนมองเห็นคนกลุ่มใหญ่แย่งกันขึ้นรถเมล์ ผมก็ดูจนกระทั่งคนกลุ่มนั้นขึ้นรถเมล์จนล้นออกมา ผมยังขึ้นไม่ได้
ผมไม่รีบ ผมให้คนที่รีบไปก่อน ผมจะรออีกคันหนึ่ง อากาศตอนนี้เริ่มเลวร้ายหนัก บนท้องฟ้ามีเครื่องบินเล็กลำหนึ่งบินไปทางดอนเมืองนัยว่าคงจะรีบลงเพราะท้องฟ้าด้านหลังทำท่าทางจะมีพายุ มืดก็มืด คนขับแกคงจะขับบินเล่นไถลเถลือกออกไกลไปหน่อย
รถเมล์อีกคันมาพอดี มาพร้อมกับฝนที่เทแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมขึ้นได้ไปยืนอยู่เกือบอยู่หน้าสุด
สักพักผู้หญิงคนที่นั่งคนแรก และทุกคนที่นั่งก็พร้อมใจกันเอื้อมมือมาเอากันสาดพลาสติกลง แต่ผู้หญิงคนแรก ไม่สามารถจะปิดผ้าทางด้านคนขับได้ ทำให้ฝนได้สาดเข้ามา
ผมยืนมองดู แล้วคิดว่า ด้วยความแย่งกัน รีบร้อนอยากสบายกัน แย่งที่นั่งกัน แล้วอย่างนี้ผมจะช่วยดีไหม ผมก็เห็นความพยายามของแกแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ แล้วผมควรจะสมน้ำหน้าไหม
....
รถมาถึงหมู่บ้าน ฝนยังตกเป็นเทน้ำเทท่า ฟ้าก็ผ่า ผมได้ปิดมือถือก่อนที่จะขึ้นรถเมล์แล้ว เตรียมตังไว้เจ็ดบาทแล้ว เมื่อวิ่งฝ่าฝนจ่ายตังค์เสร็จ ก็วิ่งเข้าไปหลบที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้าน
สักพักก็ตัดสินใจ พระดีไม่ต้องกลัว ผมก็วิ่งกลับบ้านในยามค่ำคืน
14 สิงหาคม 2551 07:58 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมมองเห็นสุนัขตัวผู้ตัวหนึ่ง พันธ์ไทยสีดำ แกคาบกระดูกไว้ที่ปากท่อนหนึ่ง วิ่งเลิ่กลั่ก มองซ้ายมองขวา หาที่ลงแทะ สักพักแกก็ตัดสินใจวิ่งเข้าไปในซอยสักสิบเมตรได้ แล้วก็นอนแทะ แกเอาปากแกขบตรงหัวข้อกระดูก สักครั้งสองครั้ง แล้วแกก็ทิ้งแล้ววิ่งหางกระดิกเข้าไปในซอยนั้นอีก
ผมยืนมองดูมันแล้วก็ขำ ไอ้หมาหวงกระดูก อุตส่าห์แย่งมาได้ แต่อาจจะแย่งมาผิด ไปเจอกระดูก กระดู๊ก กระดูกจริงๆเข้า
ผมควักบุหรี่มาดูด แต่ในขณะที่กำลังสืดควันเข้าปอดอยู่นั้น จมูกและร่างกายก็สัมผัสได้กับความสดชื่นของอากาศตอนเช้า ผมนึกขันตนเอง ชอบอากาศที่บริสุทธิ์ปลอดโปร่งแต่ดันมายืนดูดบุหรี่
ผมนั่งมองดูผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในตอนเช้าวันนี้ รถเมล์เล็กสองแถวในซอยบ้านผมบรรจุคนเต็มเหยียดตูดห้อยหน้าแหงน แล่นออกรับผู้โดยสารจากซอยออกไปที่ตลาดสพานใหม่
วันนี้ผมจะทำอะไรกินดี เดี๋ยวแวะซื้อฟักและซี่โครงไก่มาต้มดีกว่า อร่อยดี
เงินในธนาคารวันนี้ลดลงใกล้ๆจะมีปัญหา ผมคิดว่าจะเริ่มทำแบบมีปัญหาก่อนจะดีกว่าดีกว่าที่จะมีปัญหาจริง
กลับมาบ้านผมก็ลงโพสของขายบนเว็บไซด์ ก็หวังว่าวันนี้จะมีรายได้เข้าบ้านอย่างน้อยก็สามร้อยห้าสิบบาท
ค่าของทองคำรูปพรรณก็ตกลงแล้ว นี่เอจะซื้อทองเก็งกำไรสักบาทสองบาทดีหรือไม่ เก็งไปเก็งมาไม่มีตังค์ก็ต้องเอาทองไปขาย ก็จะขาดทุนอีก
รัสเซียก็ทำสงคราม
เห็นเขมรแล้วก็นึกถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย ทหารไทยมัวแต่ยิ้มให้กับมันมากเกินไปมันจึงซ่าได้แบบนี้
ในที่สุด วันนี้ ก็ไม่รู้จะทำอะไรดีอีกเช่นเคย
แต่อย่างไรก็ตาม ผมสะพั่งสะท้านไมภพ ก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าในปีนี้จะทำในสิ่งที่ไร้สาระแต่เพียงอย่างเดียว แต่เชื่อไหมครับว่า ก็ต้องคิดเหมือนกันก่อนทำนะครับว่า สิ่งที่จะทำแต่ละอย่างนั้นไร้สาระหรือเปล่า ยากเหมือนกันเนอะ
13 สิงหาคม 2551 20:56 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมชอบเปิดเว็บของพันทิพ เว็บของประชาไท เว็บบอร์ดต่างๆ รวมทั้งเรื่องราวลึกลับต่างๆ ในยุคของข้อมูลข่าวสาร ยุคที่ทุกคนเข้าใจว่าตนเองฉลาดหมดทุกคน และหากประสบพบกับความไม่เป็นธรรมต่างๆก็จะยิ่งมองโลกนี้ด้วยความฉงนฉงายและตีความออกไปต่างๆนา โดยเฉพาะพวกที่ทำงานแล้วไม่ก้าวหน้าก็ยิ่งหน้าดำคร่ำเครียดกันใหญ่ และยิ่งมีปัญหาต้องตกงานด้วยแล้วก็ยิ่งถึงขึ้นบ้าครั่ง
หัวใจของผมมันเจ็บปวดรวดร้าวที่โดนเขารุมกระทำด้วยความโหดร้ายและเขี้ยว ด้วยสาเหตุของความชั่วร้ายในทางส่วนตัว ที่บดบังสติปัญญาสามัญสำนึกให้เห็นเรื่องส่วนตัวมาก่อนเรื่องอื่นใด
เมื่อใครก็ตามเห็นเรื่องส่วนตัวมาก่อน เรื่องส่วนรวมก็ยากยิ่งที่จะคิดออกได้
ในบรรดาพวกมีหน้าตาใสๆซื่อๆตาบ้องแบ๊ว แต่งตัวเรียบเนียนดูสูงส่งสง่า มีบริวารแวดล้อมก้อร่อก้อติก ลีลาเหมือนลูกผู้ดีมีตระกูล ลีลาท่าทางการพูดเหมือนตระกูลอภิมหาโคตรเศรษฐี ของใช้ทุกอย่างแบรนด์เนม
ผมเห็นแล้วก็อดคิดจะลอกเลียนแบบไปใช้บ้าง แต่ถ้าคนอื่นหละ เขาอาจจะเข้าใจว่า ที่ว่าดีๆนะต้องแบบนี้เท่านั้น
แต่ทว่าใครจะเห็นบ้างว่าต่อหน้าอย่างนั้นแล้วลับหลังจะอย่างใด
หลายๆคน ได้ต่อสู้จากเจ้าของกิจการจนต้องมากลายเป็นหมออาบอบนวด และต้องสู้ต่อไปจนกระทั่งพบความสำเร็จ
ผมเองแต่ก่อนก็นั่งคิดเป็นปี กว่าจะคิดออกมาได้ว่าทำดีก็ต้องได้ความดี
ไม่ใช่จะได้ตำแหน่ง
เมื่อก่อนผมมองอะไรก็อ้างว่าประชาชนลำบาก อะไรที่ทำให้ประชาชนลำบากแล้วจะออกความเห็นทันทีว่า ไม่ถูก
มาวันหนึ่ง ผมได้ยินหัวหน้าคนหนึ่งได้กล่าวว่า... พึงเอาชนะความชั่วร้ายทั้งปวง ด้วยการปฏิตามพระราชดำรัสของในหลวง...หลวงพ่อคูณท่านได้กล่าวไว้ว่า ...ชาตินี้หากได้ทำอะไรให้กับในหลวงแล้วละก็...ก็ถือว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิด...หากเรารักในหลวง เราก็ต้องรักภรรยาท่าน ลูกท่าน หลานท่าน สะใภ้ท่านด้วย...
มันเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ได้ราดลดบนกระบาลของผม ผมขนลุกทั้งตัว น้ำตาแห่งความปลื้มปิติหลั่งออกมาจากสองตาของผม แต่หัวใจของผมกลับอบอุ่นอย่างประหลาด
นานมากแล้วซินะที่ผมหลงวนเวียนไปเวียนมาในความคิดของตนเป็นใหญ่
ณ วันนั้น และที่นั้นเอง ผมได้พบกับ พระบรมรูปของรัชกาลที่ ๕ และผมได้กราบขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระองค์ท่าน และข้าพระพุทธเจ้าจะขอจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ณ วันนี้ ผมไม่ได้มีตำแหน่งใดๆที่ต้องแสร้งทำจงรักภักดี หัวใจของผมจึงปลอดโปร่ง ที่จะต่อสู้กับความชั่วความเลวร้ายบัดซบต่างๆให้หมดสิ้นไป ด้วยการศึกษาเข้าใจและเข้าถึงพระราชดำรัสของพระองค์ ก่อนที่จะนำไปพัฒนาหรือกำจัดความชั่วร้ายเลวทรามให้หมดไปจากแผ่นดินไทยต่อไป
ผมไปเอากระบี่ของผมที่เมื่อก่อนวางไว้ใต้บันได ยกออกมาขัดถูแล้วเก็บมันไว้ในที่สูงอีกวาระหนึ่ง
แม้จะมีหนี้สินล้นพ้นตัว แม้จะต้องตราตรำรำบาก แม้จะเหน็ดเหนื่อยลำบากยากกายเพียงใด ผมก็จะสู้ ต่อไป...
ด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่ง...ดังนี้แหละครับ ...อาจจะดูว่าไร้สาระ แต่บางครั้งการไร้สาระอาจมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนคิดกระทำจะคาดคิดได้จริงๆ ...ลองดูกันครับ
...ขอขอบคุณที่ติดตามผลงานของกระผมครับ...