26 กรกฎาคม 2551 05:24 น.

เจ็บปวดรวดร้าวกับรัก

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมไม่ทราบว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมรับสายโทรศัพท์ของผม ทำไมน้องชายของเธอจึงบอกให้ผมอย่าโทรมาอีก เพียงแค่ผมแกล้งเอาจดหมายที่เขียนถึงคนอื่นใส่เข้าไปในซองจดหมายถึงเธอ ...ก็แค่นั้นเอง...
   เวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง.....คำตอบอยู่ในใจ....สะพั่ง สะท้านไมภพ...หัวเราะเคี๊ยกๆๆๆๆ แล้วก็ชื่นชมตัวเองว่าบ้าคิดได้ยังไงอย่างนี้
   ในท่ามกลางเสียงเพลงลูกกรุงย้อนไปในอดีต สะพั่ง นั่งฟังเพลงแล้วนึกถึงวันหนึ่งที่สะพั่งอกหัก
   วงชาตรี ได้ร้องเพลงฮิตมาท่อนหนึ่งว่า....อกหักดีกว่ารักไม่เป็น.....บ๊ะ นราธิป..สุดยอด 
   ที่ประตูน้ำ....ร้านบอนนี่เอ็มคาเฟ.....ผมสะพั่ง พร้อมสหายปีศาจสุราอีกสามท่าน.....พกเหล้าแม่โขงแบนเหน็บหลังเข้าไปสองแบน...จ่ายตังค์คนละห้าสิบ...สั่งแม่โขงในนั้นหนึ่งแบน จำไม่ได้แล้วว่าเข้าไปกินเหล้าและทำอะไรอีก 
   ที่ไลน์ไล้คาเฟ.......อินทรา.......ในคาเฟนั้นได้เจอสาวๆมากมายและจีบจีบ....ก็เป็นไปตามเพลง.....
   และที่ไนท์คลับ .....เพื่อนมันบอกจะพามาเที่ยว....ปรากฏว่ามันมานั่งกินเหล้าที่หน้าไนท์คลับไม่ใช่ในไนท์คลับ........
   ผมเมาผมก็เดินเซไปเซมาเข้าไปตามที่ต่างๆ
   บ้างก็อยู่ในอ้อมกอด
   บ้างก็ติดตามดูความพิสดารของชีวิตตนเองว่าจะได้สักกี่น้ำ
   บ้างก็เจอกับความหลอกลวง
   บ้างก็เจอแต่ไร้ซึ่งความจริงใจ
   สะพั่ง สะท้านไมภพ พริ้มตาหลับลงแล้วปล่อยความคิด
   ....ถ้าเป็นเขา ผมก็คงต้องทำอย่างนั้น....
   สะพั่ง สะท้านไมภพ จีบคนหนึ่งเพื่อจีบอีกคนหนึ่ง
    หลอกลวงหญิงสาวโดยใช้หมอดูบังหน้า
   ล้วงและควักพาตท์เนอร์อย่างบ้าตัญหา
   โดนนักร้องหิ้วไปโดยเสน่หา
   โดนเด็กเสริฟหิ้วไปเพราะรักในความบ้า
   โดนแม่หม้ายบอกรัก
   สะพั่ง บางอย่างก็ไม่อยากจะคิดได้ขึ้นมาอีก
   เรื่องราวของความสดชื่นหอมหวานของความรัก ได้ผ่านไปแล้ว
   ในตอนหลังๆของทุกเรื่องราวทำไมจึงแปลกแยกแตกต่าง 
   บ้างก็ดี บ้างก็ไม่ดี
   จากเสียงหวานๆ ค๊ะ ขา กลายมาเป็นเสียงแหบ ทุ้ม และเกรี้ยวกราด
   สะพั่งนั่งคิดเตลิดไปเรื่อยๆว่า มันจริงๆแล้วเป็นอย่างนี้แล้วทำไม
   ธรรมชาติ
   มีสักกี่คนที่จะต้านทานพลังอำนาจของธรรมชาติได้
   มีแต่เพียงพวกอวดอ้างต่อหน้าสาธารณชนว่าตนเองประเสริฐพวกเดียวแหละที่ทำลงคอไปได้
   แต่ผมสะพั่ง สะท้านไมภพไม่ใช่
   ผมจำความอบอุ่นของความรักในอดีตได้
   เพราะมันอบอุ่นในหัวใจจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้
   แม้ว่าจะเลิกร้างห่างไกลหรือตายจาก
  สะพั่ง สะท้านไมภพ จะไม่มีวันลืมสิ่งดีดีที่เข้ามาในชีวิต แต่ทว่ามันกลับจดจำได้ยากยิ่ง
ส่วนสิ่งไม่ดีนั้น แม้จะพยายามลืม แต่ก็ลืมไม่ลง
.................................................................................				
20 กรกฎาคม 2551 05:59 น.

พั่งซังก๊ก

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมืองของประเทศเป็นอย่างมาก นี่มันไม่ได้คิดกันเพื่อให้บ้านเมืองเจริญขึ้นกันเลย เอาแต่ตั้งข้อหา และแก้ข้อกล่าวหาไปวันๆ ผมสะพั่งสะท้านไมภพได้เดินทางไปโคราช ไปกราบหลวงพ่อเกจิใหญ่แห่งอิสาน และท่านได้เป่าหัวและเขกหัวให้หลายโป๊ก ในท่ามกลางการเดินทางไปอีสานครั้งนี้เอง ผมเห็นความยากลำบากของคนที่ทำงานด้วยความตั้งใจจริง
   แม้ความซาบซึ้งตรึงใจในการอุทิศตนจะมีรู้สึกได้จนแทบจะควบคุมไม่อยู่ แต่พอนึกถึงการหลอกลวงเข้า ไอ้ที่จะซาบซึ้งนั้นก็พลันมอดมลายไป โดนหลอก สะพั่งสะบัดหัว ไม่ให้ตนอินไปกับการหลอกลวงหลอกใช้
   สะพั่งสะท้านไมภพ ตั้งใจว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ เดิมพรรคเดิม มักใช้อิทธิพลของนักการเมือง มาข่มขู่ข้าราชการประจำ ให้ทำการปรับย้ายเด็กของตนเป็นอธิบดี เป็นตำแหน่งใหญ่ๆต่าง นี่มันถ้าจะบ้าไปหมดแล้วหรือไง โดยเฉพาะไอ้คนที่มันห่วงตำแหน่งหรือไปเฝ้าของอนง้อขอเขามาไอ้นี่ก็บ้าหนักไปใหญ่ เมื่อบ้าเจอบ้ามันก็ไปกันได้อย่างสะดวกโยธิน
   สะพั่งนั่งคิดบนม้าหินในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเขามองแล้วคิดไปว่า น่าจะให้ไอ้พวกที่เป็นนักการเมืองแล้วประเทศไม่เจริญเนี่ยเลิกเป็นนักการเมืองอย่างเด็ดขาดเสียที เอาคนใหม่ๆมาเป็นบ้าง หากไม่ได้เรื่องอีกก็หาคนใหม่มาเป็นบ้าง อย่างนี้จึงยังจะพอเจอคนดีๆได้บ้าง 
   ปัญหาคือ คนดีหน้าตาเป็นอย่างไร
   สะพั่งก็ได้มองตนเองในกระจกแล้วก็ส่ายหน้า ยืนยันได้ว่า ผมไม่ใช่คนดี แต่อาจจะเป็นตัวดี ในหลายๆเรื่องที่ชั่วๆ ได้อย่างแน่นอน
   สะพั่งอดขำไม่ได้ ในกระจก ดูหน้าตาท่าทางก็ฉลาดดี แต่การประพฤติ ยังคงให้ นศ.ขย่ม อยู่เลย ยังคงเสพยาเสพติด ยังคงขับรถฝ่าไฟเหลือง ยังคงไปใช้บริการกับหญิงขายค้าบริการอยู่เลย ยังคงอยากจะได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ให้มากขึ้นกว่าเดิม ยังคงตีหน้าท่าทางว่าจงรักมากมายเกินอยู่เลย ยังคงรูดบัตรเครดิตแบบไม่ยั้งคิดบ่อยๆ ยังคงเบียดบังเบี้ยเลี้ยงพลทหารเอามาให้เมียน้อย เอามาล่อเด็ก เอามาใช้อีลุ่ยฉุยแฉกอยู่เลย ยังคงให้ตำแหน่งแก่พวกที่เสนอหน้าหรือใกล้ชิด หรือคนที่ให้ได้ทุกอย่างแก่ตนเองได้อยู่เลย ส่วนคนที่ทำงานตั้งใจทำงานก็แค่ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ไม่มีวันที่จะได้เป็นลูกน้อง โครงการที่มีก็เอาแค่ถ่ายรูปพิธีเปิดปิด ส่วนเรื่องราวเนื้อหาจะเป็นอย่างใดช่างหัวมัน บางครั้งก็เหิมเกริมขนาดหนักจนคิดว่าตนเป็นสิ่งที่สูงส่ง
   สะพั่ง หยิบโอเลี้ยงแก้วใหญ่ขึ้นมาดูดวาบแล้ววาบเล่า หยิบบุหรี่ชนิดที่ถูกที่สุดที่จะไม่น่าเกียจหากคนระดับเขาจะสูบขึ้นมาสูบ ไหงคิดไปคิดมาจะเริ่มไปในทางที่ชอบที่ชั่วแล้วหวา
   สะพั่งหัวเราะ นึกไปถึงความบ้า หากจิตวิญญานของคนมุ่งแต่เสพสุข เสพเมถุน ก็ไม่มีใดที่จะทำไม่ได้ นานมาแล้วมั้งที่พวกเราใฝ่ฝันความเป็นอิสระจนกระทั่งเอาโคตรแลเง่าแลกมา แต่ทว่าไอ้พวกที่ชอบตีฝีปากอวดฉลาดก็มาครอบครองอำนาจไว้ใส่ร้ายป้ายสีจนกระทั่งหลายๆคนต้องเบือนหน้าหนี
   สะพั่งได้อ่านพงศาวดารจีนมาหลายสิบเรื่องแล้ว และมั่นใจว่าเป็นยุคเสื่อม เหตุที่เกิดยุคเสื่อมมิใช่เนื่องมาจากการโคจรของดวงดาว แต่มันเกิดจากผู้นำ ความเหิมเกริมของผู้นำ ที่ไม่ได้คิดถึงความยากลำบากในการตั้งชาติ และความหลงของผู้นำ ที่ทำให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆผิดพลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อจนวิบัติ
   สะพั่ง อยากจะไปสมัครเป็นผู้แทนนัก แต่แล้วก็ต้องคิดถึงลูกปืนที่จะต้องไปตุงอยู่ในหัวหรือในตัวเป็นกิโลกรัม ผู้แทนที่ดีคนรักมักจะอยู่ไม่ได้นาน แต่ผู้แทนที่เบื้องหลังชั่วร้ายมักได้รับการเลือก
   สะพั่งคิดถึงได้ตอนนี้ โอเลี้ยงก็หมดพอดี มองซ้ายมองขวาเห็นป้ายห้ามสูบบุหรี่ในสวนสาธารณะแล้วเสียววาบยิ่งกว่าจะเสียกรุงครั้งที่สาม อนาคตของพั่งซังก๊ก จึงต้องจอด เนื่องจากไม่รู้มีใครแจ้งตำรวจ สะพั่งจึงต้องแจวก่อน
    โครงการตั้งพรรคการเมืองของพั่งซังก๊กก็จบแค่นี้ สักวันเมื่อวาบขึ้นมาอีก ผมก็คงคิดได้ขึ้นมาอีกแล้วก็เป็นยังงี้อีก
    คงได้ทำแน่ๆ ชาติหน้า				
17 กรกฎาคม 2551 16:33 น.

น้องเซเว่นส์

สะพั่งสะท้านไมภพ

ที่พันธ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ร้านจตุคามพุทไธสวรรค์ สะพั่งสะท้านไมภพ ได้เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยียนในฐานะลูกค้าเก่า ที่ร้านนี้มีน้องหัวเหม่งคนหนึ่ง และน้องสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่สะพั่งสะท้านภพ ก็ตั้งใจไปแวะเวียนเยี่ยมชม เพื่อที่จะหาจตุคามรามเทพรุ่นไหว้ครู ๔๘ เนื้อเงินเพื่อนำมาห้อยคอเป็นศิริมงคลยิ่งแก่ตน
    พี่เหม่งแนะนำ ว่ารุ่นดังกล่าวยังไม่มี แต่เอารุ่นนี้ก่อนไหม รุ่นเศรษฐีเงิน หกพันบาทเอง สะพั่งได้ยินแล้วก็ต้องคิด แต่ทว่าเหมือนจะมีอะไรดลใจ ว่าน่าจะได้ของที่ดีกว่านี้ สะพั่งคิด บางครั้งของดีที่จะได้ก็ต้องมีความตั้งใจดีจริงๆถึงจะได้มา สะพั่งจึงภาคเสธ 
   พี่เหม่งจึงคว้าตำรามาเปิด ตำรานั้นคือตำราจตุคามรามเทพวัดพุทไธสวรรค์ แล้วพี่เหม่งก็เปิดไปหน้าเหรียญรูปไข่ทองคำ พี่เหม่งแกก็ชี้ว่าองค์นี้ตอนนี้เหลือแค่สามแสนกว่าๆ ลงมาเงินหน้ากากทองคำแท้ องค์นี้ก็สามหมื่นห้า สร้างแค่แปดสีบเจ็ดองค์ และลงมาบรรทัดล่างเป็นเหรียญรูปไข่เงินสร้างหกสิบหกเหรียญ ไม่ได้บอกราคาไว้
   ผมสะพั่งสะท้านไมภพ เฝ้าดูความสวยงามจากภาพและก็อยากจะได้แต่ทว่าจำนวนเงินมันสูงมากทีเดียว
   ขากลับแม้พี่เหม่งจะขยั้นคะยอให้เอาเศรษฐีเงินติดไม้ติดมือไปก่อนแต่ทว่าผมต้องขอปฏิเสธเนื่องจากว่าใจคอคิดแต่เหรียญเงินหน้ากากทองคำแท้เท่านั้น
   ในเว็บจตุคามแห่งหนึ่ง มีน้องคนหนึ่งที่ผมเคยเช่าจตุคามแกเป็นประจำ แกได้ลงรุ่นไหว้ครูปี๔๘ พอดีและหน้ากากทองคำแท้ด้วย คุณคิดว่าถ้าคุณเป็นผมจะทำอย่างไร 
   น้องคนนี้เขาปล่อยจตุคามแต่ละองค์ บางองค์ก็เป็นทองคำซะส่วนมาก หรือไม่ก็ในระดับไฮเอน ยิ่งฟังเสียงพูดทางโทรศัพท์แล้วยิ่งรู้ว่าหนุ่มๆเลย
   เมื่อมันทนไม่ไหวก็โทรไปทันที
   ผมสะพั่งสะท้านไมภพ และ เซเว่นส์ ได้นัดเจอที่ร้านแมค แถวๆเซียร์รังสิต เมื่อน้องเขามาถึง ผมนับเงินแบ็งพันให้แกไปปึกหนึ่ง และผมก็ใส่พระกับสร้อยที่เตรียมไป 
   น้องเซเวนแกนำจตุคามทองคำมาให้ผมชมสามสี่เหรียญ รวมทั้งที่แกใส่อีกสองเหรียญ ผมมองหน้าน้องเขา นัยน์ตาแป๋วกลม ริมฝีปากบาง และลีลาการพูดที่นิ่มนวล มีราศี ก็ทำให้คุ้นเคยได้มากขึ้น และสิ่งที่ผมอดยิงคำถามออกไปไม่ได้ก็คือ ประสบการณ์
   น้องเซเวนส์บอกว่าเวลาที่อยากได้องค์พ่อองค์ไหนไว้บูชาน้องเขาก็จะอธิษฐานขอองค์พ่อมาบูชา แล้วในไม่ช้าก็จะได้
   เมื่อผมเห็นว่าจะมืดแล้วผมก็เป็นห่วงน้องเขาว่าพกทองคำมาเยอะเกิน ก็แยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่า 
   ขณะนั้นเองฟ้าฝนฟ้าผ่าลมพายุได้กระหน่ำอย่างบ้าครั่ง ผมออกมายืนดูความบ้าครั่งของดินฟ้านอกร้านแม๊ค ผมมองเห็นหลังคาแผงลอยปลิวไปปลิวมาตามแรงลม ฟ้าผ่าครืนครั่นอย่างจะระเบิดห้าง พอเบาลงหน่อย ผมเหลือบดูนาฬิกาจะทุ่มอยู่แล้ว ผมหยิบมือถือมาปิด และคิดในใจว่าแม้จะมีพระดีอย่างไรก็ตามแต่ก็อย่าได้ประมาท พอเห็นได้จังหวะน่าจะเบาสุด ผมก็ผ่าสายฝนตรงไปยังป้ายรถเมล์ทันที
   เปรี้ยง ๆ แปรบๆ 
   สะพั่งสะท้านไมภพ นั่งบนรถแอร์สายห้าศูนย์สามกลับตลาดสพานใหม่ น้ำท่วมเจิ่งนอง รถเมล์แต่ละคันไม่รู้ว่าสภาพเป็นอย่างไร มองเห็นกันไหม หรือวัดดวงขับกัน ในความรู้สึกของผมกับได้ในสิ่งที่สมใจ ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมได้ของที่ผมรักก็หวังว่าจะไม่เกิดความอยากได้ในสิ่งอื่นต่อไป
   ก่อนหน้าห้อยองค์นี้ ผมได้ห้อยเหรียญเงินเหนือดวงวัดพุทไธสวรรค์
   ก่อนหน้าเหรียญเงินเหนือดวงวัดพุทไธสวรรค์ ผมอยากได้เหรียญมหาปราบเงินวัดพุทไธสวรรค์
   ฯลฯ				
14 กรกฎาคม 2551 17:19 น.

เอาแล้วไง

สะพั่งสะท้านไมภพ

สะพั่งสะท้านไมภพ นั่งฟังไอ้น้องปอน พูดอธิบายหูผึ่งตาแป๋ว สะพั่งมองที่ชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบเจ็ดปี ตากลม หล่อเหลาเอาการ จะบ้าเหรอพั่งมิใช่เกฮ่า สะพั่งสะบัดหัวกับความคิดบ้าๆบอๆแวบๆหนึ่ง เขากำลังสนอกสนใจฟังเรื่องราวที่พิสดารของอดีตภิกษุหนุ่มที่ต้องออกจากการเป็นพระแต่ก็ยังไม่ได้เปรียญสาม แต่พอเขาตอบคำถามเสร็จไอ้หนุ่มนั้นต้องย้อนกลับมาที่การโฆษณาสินค้า ที่ทานไปแล้วดูเหมือนจะบำรุงสุขภาพ จนสะพั่งรำคาญ แต่เอาละไอ้ความอยากรู้เนี่ยก็เลยทำให้ต้องถามซักไซร้ไล่เลียงกันหน่อย 
    ถามหน่อยครับน้องพอรู้ไหมว่า อย่างผมเนี่ยจะได้ญานชั้นใด
    เอาแล้วไง เห็นไหมสะพั่งคิด หลวมตัวจนได้ การที่ออกปากถามแม้ปากแข็งว่าจะไม่เชื่อ แต่ทว่าเมื่อออกปากมาแล้วก็ต้องรู้ตนเองว่าตนเองกำลังจะเริ่มเชื่อซะแล้ว เพราะผู้ไม่มีวันเชื่อชาตินี้จะไม่มีวันถามเป็นอันขาด สะพั่งกลับมาสู่คำถามที่ยิงออกไป
   ไอ้น้องเขาหลับตานิดหนึ่งแล้วตอบออกมาว่า แค่ขณิกะครับ 
    สะพั่งแทบจะบ้าตาย แค่ขณิกะเองหรือ ในใจก็มั่นใจว่าไม่ใช่มั้ง เพราะอ่านตำรามาหลายๆแล้วก็ไม่น่าจะใช่ แต่เอาละวะตอนนี้บางอย่างทำให้เริ่มเชื่อได้
    เอ แล้วเราจะทำอย่างไรให้รู้ว่าพระองค์นี้จริงหรือปลอม
    ก็ต้องฝึกสมาธิให้จิตมีพลังครับ แล้วจะรับรู้ได้ด้วยใจว่าของจริงหรือของปลอม
    ฟังไปฟังมาก็ถามถึงขั้นตอนการนั่ง แต่อย่างว่าละครับ ไอ้น้องปอนแกก็ไปของแกตามทางของแก แต่ผมซึ่งได้เคยอ่านตำรามามากหลายเล่มแล้วไม่สงสัยเพราะว่าเท่าที่เจอไม่ค่อยมีใครเหมือนกัน
   สะพั่งคิด สะพั่งก็รับฟังเห็นน้องเขาตอบจนเหนื่อยคอแห้ง ก็จำเป็นต้องเอาใจหน่อย 
   สุดท้ายผมก็ไปส่งเขากลับบ้านด้วยความขอบคุณที่เขากรุณาให้ความรู้แก่ผม แต่ทว่าการจะเชื่ออะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องเชื่อหมดทุกๆเรื่องถึงจะยอมปลงใจเชื่อกันได้ หากยังมีจุดหนึ่งจุดใดที่ผมสงสัยแล้วละก็ จะให้เชื่อหมดใจละไม่มีวัน
    ผมนึกถึงไอ้พวกไฮปาร์คกลางกรุง มันก็ว่าของมันไปเรื่อยๆ จริงมั่ง โม้มั่งตามแต่ว่าคนไหนจะขัดประโยชน์มัน เขาก็จะว่าเป็นดอกๆไป เวลามีอย่างงี้มาทีก็มีรัฐบาลใหม่มาที ไอ้พวกที่ไฮปาร์คเนี่ยแหละก็จะกลับมาเป็นรัฐบาล แล้วมันก็วนเวียนไปเวียนมาอย่างนี้
    สักครู่นายโทรมา เอ้าตรวจสอบหน่อยเห็นว่ามีการเคลื่อนย้ายกำลัง รถถังที่ทางเหนือ
    ผมสะพั่งก็ต้องรีบเช็คทันที ผมรักทุกฝ่ายครับ
    แต่ผมกลับคิดว่าหากทหารอยู่เฉยๆก็คงจะดีที่สุด ปล่อยให้แต่ละพวกกัดกันจนหมดแรงก่อนและเอาไม่อยู่เดี๋ยวเขาก็มาเชิญไปปกครองเองแหละ
    เห็นมะครับ เอาแล้วไง				
6 กรกฎาคม 2551 08:13 น.

อย่าทุบโต๊ะครับ

สะพั่งสะท้านไมภพ

ในห้องประชุมแห่งหนึ่งของมหานครใหญ่แต่เสื่อมโทรมทางด้านจิตใจสนองกับความต้องการได้อย่างสอดคล้องกับทุกชนชั้นได้อย่างน่าศึกษา อีกทั้งการปกครองของรัฐที่มีความแตกแยกแปลกไม่สามารถที่จะยึดเป็นรูปแบบที่คลาสสิคได้เลย คลับคล้ายกับว่าเป็นหลักยกเว้นในวิชาภาษาอังกฤษ ที่ โซลเดอร์ ให้อ่านเป็น โซลเย่อร์ อะไรยังงั้น นี่ถ้าหากนักเรียนที่ขี้เกียจเรียนหนังสือรู้ว่าจริงๆแล้วบ้านเมืองก็มีข้อยกเว้นมากมายจนมิอาจจะใช้ความเข้าใจให้มากกว่าความจำได้แล้วละก็ พวกนักเรียนเหล่านั้นคงจะเลิกเรียนตั้งแต่เจอไอ้ข้อยกเว้นอย่างว่าตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
   ในขั้นตอนการเลือกประธาน ในที่ประชุมเห็นยศฐาบันดาศักดิ์ของผม แล้วทุกคนต่างก็จะเทคะแนนให้ มากกว่า คนที่ไม่มียศฐาบันดาศักดิ์ ผมหัวเราะในใจ เคี๊ยกๆๆ ข้อดีของคนที่มียศก็คือ ทำให้เขารู้ว่ามีประสบการณ์ในการทำงานมามากแค่ไหน แต่ทว่า สะพั่งคิด บางท่านมียศก็จริงแต่ก็อาจหามีปัญญาไม่ ดีแต่ทำงานให้นายรู้สึกพอใจไปวันๆโดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องหรือผิดศีลธรรมแต่อย่างใด 
   ทุกคนมีความพยายามจะให้ผมเป็นประธานเสียให้ได้ ผมสะพั่งก็คิดไปอีกว่า เออ นี่แหละ คนภายนอกเขายังให้เกียรติแต่ไอ้พวกเดียวกันเนี่ยมันมีแต่ลบหลู่เกียรติพวกเดียวกันเอง ดีแต่ตีหน้าผู้ดี ทำตัวสูงศักดิ์ อวดร่ำรวย และแสดงความใกล้ชิดต่อเจ้านาย ชีวิตจริงๆก็เพียงแค่หามาให้นายได้ ก็เท่านั้น 
   ผมยกมือและมองหน้าทุกคนว่า หากจะให้ผมเป็นประธาน แล้วก็ควรจะทราบไว้ก่อนว่า ผมจะบริหารอย่างนี้กล่าวคือ หนึ่งจะไม่สั่งการ สองจะไม่ใช้แบบเดิมๆในการบริหาร เช่น บันทึการประชุมอาจไม่ต้องมีแต่อาจสรุปสั้นๆว่าที่ประชุมให้ใครทำอะไรเสร็จเมื่อไหร่งบกี่ล้านก็เท่านั้น
   สมาชิกคนหนึ่งยกมือ อยากขอทราบประวัติการของผม สะพั่งสะท้านไมภพ ผมยิ้มให้ครับแล้วชี้แจงว่า ข้อหนึ่ง เรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ผมไม่อยากเป็นประธาน และข้อสอง หากยังไม่ชัดเจนก็ให้กลับไปดูข้อหนึ่งใหม่
   การชี้แจงแบบนี้ดันเกิดไปตรงกับนิสัยของคนไทยพอดีคือ ใจถึงแบบโง่ๆ พวกเขาจึงได้มีฉันทานุมัติให้กระผม สะพั่ง สะท้านไมภพ เป็นประธานคณะกรรมาธิการหนึ่งทันที
   สะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆๆ ผมนึกแล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่เอาละเมื่อพวกคุณประสงค์ให้ผมเป็นประธานแล้วผมก็จะแสดงวิธีการบริหารงานของผม ซึ่งมีรูปแบบโดยเฉพาะให้พวกคุณได้เห็นซึ่งผมคิดว่ามันคลาสสิคพอที่จะทำให้งานของคณะกรรมาธิการออกมาตรงใจประชาชน 
   สะพั่งจึงเริ่มชี้แจง ตำแหน่งใครอยากจะเป็นอะไรก็ใส่ชื่อเข้าไป แต่สำหรับหน้าที่ความรับผิดชอบจะได้ว่ากันในวันหลัง ประธานจะไม่สั่ง แต่ประธานจะทำหน้าที่ประธานสรุปความเห็นของสมาชิกแม้จะเป็นพวก มวยวน ก็จะขมวดให้สั้นๆเข้าใจและดูดี 
    และการประชุมแต่ละครั้งก็ไม่ควรใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมง หากเกินกว่านี้ก็แสดงถึงสติปัญญาของประธานได้เหมือนกัน
    แต่โดยที่ผมพยายามสรุปรวบรัดเช่นนี้ รองประธานคนหนึ่งได้ยกมือ ภายหลังที่ผมได้เข้ามาทำงานได้สักสามเดือน ท่านบอกว่า ผมมีเรื่องติเตียนประธานนิดหนึ่งครับ นั่นก็คือ ประธานอย่าทุบโต๊ะ
   มันเหมือนกับฟ้าผ่าในยามแดดเปรี้ยง ผมสะท้านไมภพ ก็นึกย้อนไปในการประชุมต่างๆ อันที่จริง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมพยายามส่งเสริมความคิดริเริ่มของกรรมการแต่ละคนให้เขา ให้กำลังใจ และพยายามช่วยเหลือกรรมการในการเสนอของบประมาณ สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับมอบหน้าที่ ได้รับอำนาจในวงเงินแต่ละงานแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องความเสียสละของเขา ทักษะของเขา ว่าจะมีผลงานออกมาอย่างไร ผมสะพั่งไม่ได้แคร์ว่าจะล้มเหลว แต่ทว่าหากเพียงครั้งแรกไม่เข้าท่าซะแล้วครั้งต่อไปก็อย่าหวังเท่านั้น นี่คือวิธีของผม วิธีให้โอกาส 
    ในการทำงานของคนๆหนึ่งหากทุ่มเทให้กับงานมากเต็มที่และมีผลงานออกมาดียอมรับก็ต้องเกิดความมานะถือดีถือตนขึ้นมา อันนี้ผมเข้าใจดี เมื่อเขาต่อว่าผมว่าทุบโต๊ะ ผมก็ยอมรับ ว่าทุบโต๊ะ แล้วก็ว่าเรื่องต่อไป แต่ผมเองก็ต้องระวังตัวแล้ว แม้ว่าดูเหมือนจะทุบโต๊ะแต่ทว่า ปัจจัยเรื่องเวลา มันสำคัญ ที่จะต้องไม่ชักช้าในเรื่องที่ไม่ควรชักช้า แต่ทว่าในห้วงที่ผ่านมาสามเดือน ผมได้ส่งเสริมให้มีการทำโครงการต่างๆออกไปแล้วซึ่งเร็วๆนี้จะสำเร็จผลออกมาเรื่อยๆ
   สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆๆ ต่อไปผมจะไม่ทุบโต๊ะแล้ว แต่ผมคิดในใจว่าหลังจากผลงานชุดแรกออกมาแล้ว ในหกเดือนต่อไปก่อนหมดวาระคณะกรรมการทุกคนจะต้องรักษาสถานภาพเอาไว้ให้ประชาชนยกย่องสรรเสริญไว้ให้ได้ และจะหยุดโครงการใหม่ๆไว้ก่อนสำหรับคณะกรรมาธิการชุดใหม่ 
    ผมพยายามเข้าไปให้ข้อแนะนำกรรมาธิการแต่ละท่านที่มีความรับผิดชอบในการทำงาน พยายามขายความคิดในเรื่องการทำงานแบบมีขั้นตอนและมีการตกลงใจเพิ่มเติมในขั้นก่อนการเริ่มต้นขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะทำให้ไม่มีผลกระทบในเรื่องงบประมาณหรือความเห็น 
   ผมสะพั่งสะท้านไมภพ มีความสุข แต่ไม่ใช่จากการเป็นประธาน แต่มีความสุขที่ได้แสดงตัวอย่างให้คนอื่นได้เห็นวิธีการบริหารงานแบบใหม่ของผมให้ประจักษ์ไว้ 
    ตามรอยเท้าทางเดินของผมที่ย่ำมาผมก็มีการศึกษารูปแบบต่างๆจนออกมาเป็นแบบของผมเอง และผมได้ชี้แจงแนะนำบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ รวมถึงได้รับความรู้จากความเก๋าของรุ่นพี่ซึ่งผมคิดว่ามีส่วนสำคัญ เรียกกันว่ามีการต่อยอดด้วย ก็ทำให้รู้ได้ว่าปัญหาของการบริหารในปัจจุบัน มันเป็นเรื่องของแนวคิดที่พยายามจะไม่เข้าใจว่า การให้คนที่ตั้งอกตั้งใจในการทำงานขึ้นมาเป็นใหญ่นั้นมันมีคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมมากทีเดียว 
   ผมสะพั่งสะท้านไมภพ ผลงานของผมมีทุกปีและเป็นผลงานที่ภาคภูมิใจทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คร้านที่เอื้อนเอ่ยออกมา
    ผมไม่สามารถจะต่อต้านวิทยาการที่พวกเรียนระดับด๊อกเตอร์ได้นำมาให้ใช้ได้ เนื่องจากมันมีมากเกินไป มีมากจนกระทั่งศึกษาให้ครบก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ผมอาจจะโง่ก็เป็นได้ สะพั่งคิด แต่สะพั่งยักไหล่ 
    แม้ผมจะไม่เคยทุบโต๊ะ แต่ความหมายที่ว่า ไม่ให้ผมทุบโต๊ะ ยังคงคิดไม่ออกใตอนนั้น
    ดังนั้นผมจึงตอบรองประธานไปว่า ครับ ผมยอมรับว่าทุบโต๊ะ
    แม้ว่าจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าทุบโต๊ะหรือเปล่า แต่ทว่าเห็นแก่คนทำงานอย่างตั้งใจ เราก็ละตัวตนซะยอมเขาหน่อยเพื่อความก้าวหน้าของงานและลดปัญหาความขัดแย้งได้อย่างนิ่มนวล
    คำเตือนของเขาเปรียบเหมือนดังกระจกที่ส่องให้เราเห็นตามความเป็นจริง ไม่หล่อก็ฉายออกมาว่าไม่หล่อ ไม่ใช่กระจกในร้านตัดผมที่คนตัดมองอย่างไรก็เห็นว่าตนเองหล่อตนเองสวยงามเลิศเลอ
    ในเบื้องหลังของทุกคนสะพั่งยิ้มๆ มีเรื่องน่าอายหลายๆเรื่องที่ไม่สามารถกล่าวให้คนรู้ได้ว่า เรารู้ เราดู เราเห็น เราทำ 
    แต่ทว่าในการทำงานชิ้นหนึ่ง คาแรกเตอริสติก ของเราก็ควรจะเป็นไปในแนวทางที่ทำงานเป็นประการสำคัญ มิฉะนั้นแล้วจะไปทำให้เกิดอาการพังทะลายของความเชื่อมั่นรุกรามยิ่งกว่าเริม เมื่อมีคนเห็นเข้าแล้วบอกต่อ
    หนึ่งปีผ่านไป แม้ว่าความยั่วยวนในชื่อเสียงเกียรติยศเกียรติศักดิ์จะหอมหวลยวนใจแค่ไหน สะพั่งก็ขอกลับมาเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเดิม
    สะพั่งหัวเราะให้กับมุมมองต่างๆของนักต่างๆ 
    เพียงเพื่อประโยชน์ตัวแค่นี้เหรอ ก็ทำทุกอย่างได้แม้จะขายชาติ
    ทำไมศาสนาพุทธถึงสาบสูญในอินเดีย
    ทำไมธรรมมะเช่น ศีลห้า จึงหาได้ยากเสียเหลือเกิน
    ทำไมพวกแบบป้ายว่าเป็นชนฝ่ายธรรมะหรือสูงส่ง แต่การกระทำกลับเลวเหลวไหลยิ่งกว่าพวกที่โดนป้ายสีว่าเป็นพวกอธรรม
    หรือเพียงแค่ผลประโยชน์และอำนาจ ใครที่ต่อสู้ช่วงชิงมาได้ย่อมถือว่าเป็นฝ่ายถูก
    สะพั่ง หัวเราะให้แก่ตนเองอีกครั้ง เคี๊ยกๆๆ
    สะพั่งตอบกลับรองประธานคนนั้นไปว่า ขอบคุณครับ ต่อไปผมจะไม่ทุบโต๊ะอีก				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ