13 กุมภาพันธ์ 2551 17:32 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ในตำบลหนึ่งในแดนตงง้วน สมัยราชวงศ์หงวน ใกล้ๆจะกลายเป็นราชวงศ์เหม็ง เขาเป็นความหวังของหมู่บ้านใบไม้เขียว หน้าตาหล่อเหลาประกายตาแจ่มใส มันชมชอบใส่เสื้อยาวสีเขียวซึ่งซีดออกเหลืองๆ แต่ในความซีดเซียวของเครื่องแต่งกายของมัน ย่อมสะอาดอย่างยิ่ง มีดรุณีหลายหลายเมื่อได้เข้าไกล้จะรู้ว่ามันเรียบกลีบเป็นสันโง้ง และมีกลิ่นหอมสะอาด ทุกคนในหมู่บ้านใบไม้เขียวต่างกล่าวขวัญถึง ในความเก่งด้านหมากล้อม มันได้ปล้ำกับทุกคนในหมู่บ้านแล้วก็ยังไม่มีใครจะงัดมันให้ล้มคว่ำได้ แต่มิเพียงมันเคยรังแกหรือทำร้ายผู้อื่นแต่มันยังสร้างสรรค์ช่วยเหลือคนและแก่ความสุขส่วนรวม และมีบางคนเคยไปถามมันเรื่องอนาคตของมัน มันตอบว่ามันจะรับราชการ
มันคิด หากจะรับราชการ ขอเพียงคิดกระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนผู้ยากได้ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามากได้ ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบแล้ว เท่านี้ ก็พอใจมันแล้ว
มันตั้งใจแล้วว่าในแผ่นดินหงวนนี้ ไม่ใช่พวกฮั่น เอาแต่ปกครองโกงกินกดขี่ข่มเหงประชาชนให้ยากไร้ วางท่าทีประหนึ่งเป็นเทพยดาหยามเหยียดต่อประชาชนชาวอั่นที่มีจำนวนมากกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตามมันจะต้องแทรกเข้าไปอย่างน้อยก็เป็นข้าหลวงที่มีอำนาจให้ได้เพื่อการปฏิวัติอย่างนุ่มนวลอันจะทำให้ประชาชนกินดีอยุ่ดีมีความสุขสงบปลอดภัย
ณ พระที่นั่ง ข้าราชการวงศ์หงวน แต่งกายประดับด้วยเสื้อมังกรห้าเล็บแสดงถึงศึกดิ์ฐานะว่าเป็นชนชั้นเสนาบดี บนลำคอของมันประดับไว้ด้วยสายประคำทอง มองดูคร่าวๆก็ตกประมาณหนึ่งร้อยแปดลูก มันมองมาที่ เด็กหนุ่มแล้วเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำถามว่า ขอให้ยกบทกวีของซูตงขึ้นมาบทหนึ่ง
ชายหนุ่มพอได้ยินคำถามปุ๊บก็เอื้อนเอ่ยบทกวีซูตงออกไปว่า
คนมีทุกข์สุขอยู่ร่วมจำพราก
จันทร์มีมืดสว่างกลมแหว่งเว้า
เรื่องราวนี้ยากสมบูรณ์พร้อม
อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดทำให้ผู้คนฟอนเฟะ
เมื่อว่าจบ เสนาบดีคนที่ถามมองหน้า สายตาได้บ่งบอกถึงความสะใจ และเขาได้กล่าวว่า เสนอได้ดี แล้วเขาก็ตะโกนออกมาว่า ผ่าน
หลายวันต่อมา ในชุดเครื่องแบบสีเขียว ชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านใบไม้เขียวได้ก้าวออกมาจากวังหลังจากการแต่งตั้ง
ในวันนั้นแม้จะได้รับเลือกไปแล้ว แต่ก็ต้องมีการสอบตัดสินชิงตำแหน่ง และชายหนุ่มได้ใช้คำคมบทเด็ดออกสู้ความว่า
มีผู้เปรื่องปราดต้องมีเจ้าชีวิตสุงส่ง
เหนือเรื่องราวบุคคลยังมีวิถีแห่งฟ้า
ราคาเทียมฟ้าต่อรองต่ำติดดิน
เพียงสามบาทก็สามารถฝ่าเหล่าบัณฑิตมาอยู่ในระดับแถวหน้าได้
ในหมู่บ้านใบไม้เขียวชาวบ้านต่างก็จัดงานเลี้ยงไอ้หนุ่มที่ไปสร้างชื่อเสียงให้ ทุกคนต่างก็มาอวยพรและยื่นสุราคำนับ ชายหนุ่มก็ยกสุราจอกแล้วจอกเล่า พร้อมกันนั้น ผู้ใหญ่บ้าน ถัง ได้ชูมือขึ้นให้ทุกคนเงียบ แล้วแกก็กล่าวว่า
เล่าฮู ขอให้ กงจื๊อได้แสดงบทกลอนให้พวกเราได้ฟังกันสักหน่อย
กงจื๊อหนุ่มได้ยิน ก็หัวเราะและก็เริ่มเอื้อนเอ่ย
วิหกร้องกลางแมกไม้
ค่างกู่ร้องกลางไพรี
ทั้งกระเทือนเนตรพันลี้
พรากขวัญวิญญานเตลิดหนี
ไม่หวั่นวิตกอันตราย
สำนึกบุญคุณมาตุภูมิ
ลูกผู้ชายไม่กล่าวพล่อยปาก
ชาติชาตรีถือสัจจะวาจา
คนคำนึงถึงหน้าตาท่วงท่า
ไยถกถึงลาภยศสักการะ
(กลอนของงุยเต็ง)
ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็แซร่ซร้องสรรเสริญความมีสติปัญญาของชายหนุ่ม
ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา
ชาวบ้านต่างก็พากันปลีกตัวไปพักผ่อนในกระท่อมสวรรค์ของตน
ชายหนุ่มแม้จะกังเปยไปมากแต่ทว่า เพียงสุราไม่กี่ถังนี้มิอาจทำให้เมามายได้
เพียงแต่ในค่ำคืนนี้
เหมยฟ้าที่เขาคิดถึงป่านฉะนี้เธอจะรอเขาอยู่หรืออย่างไร
เขามองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าแล้วก็ถอนหายใจ
แม้จะมีปัญญามาก
แต่ยังไม่รู้เลยว่าสวรรค์จะให้เป็นไปแบบใด
มีต่อ
12 กุมภาพันธ์ 2551 07:17 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
มีปัญญาก็ไม่แน่นักว่าจะรอด
นี่คือลิขิตแห่งฟ้า ไม่ใช่ว่าทรนงว่ามีปัญญา แล้วเอาตัวไม่รอด คงไม่ใช่ แต่ทว่าฟ้าย่อมกำหนดบทบาทที่เหมาะสมให้ มีแต่ผู้รู้เจตจำนงค์ของฟ้าอย่างลางเลือนเท่านั้น จึงจะพอคาดเดาได้ต่อไป
สะพั่ง นอนก่ายหน้าผาก กระดิกขาอยู่ข้างโซฟาตัวละหมื่นห้าที่บ้าน วิธีการใช้โซฟาของสะพั่งค่อนข้างจะผิด โดยปกติเขาใช้นั่ง แต่นี่ใช้พิงคือนั่งบนพื้นบ้านและพิงโซฟาแทน เป็นการใช้โซฟาอีกมุมมองหนึ่งของมนุษย์โลก
เขาหัวเราะให้กับตัวเอง คนเรามัวแต่มองดูความบ้างี่เง่าของคนอื่นแต่ทว่าเคยคิดบ้างไหมว่าเขาจะมองว่าตัวเราเองก็บ้างี่เง่ากว่า
คุณค่าของที่เรามี บ่อยๆที่เขาเปลือยกายที่หน้ากระจก ดูทรงผมที่ไม่เคยมีความพอใจกับช่างตัดผมผู้หญิงที่มักจะตัดแล้วทำให้มีผมมาปรกผิดทิศทาง หน้าผากที่มีรอยย่นปรากฏที่เกิดจากความเครียดในเรื่องต่างๆ จอนที่จะกันอย่างไรก็ไม่เคยถูกใจ หน้าตาที่ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงจะต้องหันมามองจนคอเอียง พุงที่ป่องออกและแขม่วไว้อย่างสุดใจขาดดิ้น ไอ้น้องที่หงอยเหงาอันหนึ่ง และหัวเข่าขวาที่เริ่มดังกรุบๆ
สะพั่งนึกถึงผู้หญิงหลากหลายที่เคยแก้ผ้าต่อหน้า และนึกถึงแสงไฟ ความมืดเครื่องสำอางค์ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เธอได้ใช้หนุน ดัน ยก เมื่อแก้ผ้าแล้วเปิดไฟดูชัดๆ ก็แจ้ง
เขาหัวเราะกับการกระทำของนักการเมือง คล้ายๆกับดาราในจอแก้ว หรือจอใหญ่จอเงิน หากเราทำอย่างนี้ได้บ้างป่านฉะนี้คงจะได้เป็นดาราประกอบที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีไปแล้ว
การกำหนดวิถีทางของตน ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์ที่เป็นความลับของตน และทำไปเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนให้ได้ สะพั่งมักจะย้อนคิดเข้าไปในจิตใจของคนที่เขาเจอการกระทำแปลกๆว่าเขาต้องการอะไร
สะพั่งสะบัดหัวกลับมาสู่ความจริงตรงหน้า แม่ค้าขายหวยบนดิน นอนแก้ผ้าอยู่บนเตียง แม้จะหลับหรือแกล้งหลับเธอกำลังคิดอะไร
ทหารหญิงในอ้อมอกจะคิดอย่างไรในตอนนี้ ที่มือข้างหนึ่งได้เค้นที่อกของเธอแล้ว ซึ่งก็อยากรู้นานแล้วว่าของจริงหรือของปลอม
บางทีสะพั่งคิด ผมแค่เพียงอยากรู้เท่านั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
การที่ได้มองอะไรให้เห็นถึงล่อนจ้อนทะลุปลุโปร่งก็เป็นเรื่องยาก
จิตใจของคนยากแท้หยั่งถึง
การพูดออกมาของคน หน้าตา ดวงตา ยากเข้าใจ
หากยังมองไม่ออกถึงความดีที่เร้นลับให้เห็น หรือความชั่วในจิตใจ แล้วอาจไม่รอดโดนเขาย่ำยี
เสียงเตือนจากสาวแก้ผ้าบนเตียงเตือนแล้ว
สะพั่งสะบัดหัวจากความมึนเมา กระโดดใส่ด้วยความบ้าบอคอแตก
ตื่นเช้ามา สะพั่งสะกิด
เธอบอกว่า สามแล้วยังไม่พออีกเหรอ
สะพั่งงุนงง นี่เธอฝันไปหรือเปล่า
พั่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย
10 กุมภาพันธ์ 2551 07:39 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
มันเป็นเช้าที่สดใสทีเดียวเชียว ผมได้แต่งชุดหล่อเรียบกรีบโง้ว ผมหวีเรียบแปล้ขึ้นรถเมล์ ผมไปนั่งข้างหน้าใกล้ๆคนขับทางด้านข้าง สายตาของผมก็มองดูวิวข้างทางที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างจากเหตุรถวิ่งเร็วทำให้เย็นใจดี และเหมาะสมกับใจวัยรุ่นอย่างผม
สักพัก กระเป๋ารถเมล์หญิง ก็เข้ามานั่งทางด้านหน้าของผม และหันไปใส่กับกระเป๋าพลขับ ทั้งสองคนเถียงกันเหมือนผัวเมียทะเลาะกัน ฝ่ายคนเก็บตั๋วก็เลือดขึ้นหน้าใส่ฉอดๆเป็นฟืนเป็นไฟ ส่วนคนขับรถเมล์ก็เลือดขึ้นหน้าขับรถแบบยั๊วะสุดขีด ผมมองหน้าผู้โดยสารทางด้านหลัง ก็มองตากันแป๋วทุกคนเลย บางคนเมื่อรถเมล์จอดป้ายก็รีบลง ไอ้พวกขึ้นก็แทบเท้าอีกข้างยังไม่พ้นพื้นรถเมล์ก็พาไปแล้วจากป้าย ผมนั่งฟังแล้วเห็นหุ่นของกระเป๋ารถเมล์ค่อนข้างจะได้สัดส่วน อกโต ท่าทางเซ็กซี่ไม่เบา คงจะมีไอ้พวกชอบตีท้ายครัวย่องเข้ามาแทะโลม หรือไม่ก็พวกแมวขโมยปลาย่าง หรือไม่ก็ไอ้ความหึงของผัว หรือไม่ก็กระเป๋ารถเมียแกล้งให้ปั่นป่วนเล่น ตอนแรกๆก็มันดี แต่พอหลังๆ ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันด้วยการใช้อารมณ์อย่างเต็มที่ จนกระทั่งฟันบนและฟันล่างของผมเริ่มกระทบกันเบาๆ ก็เป็นอันว่ารอบแรกปลอดภัย
ขากลับบ้านผมก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตอนขึ้นไปก็มองเห็นพลขับไม่ใช่คนเดิม ค่อยอุ่นใจ ผมก็ไปนั่งตอนหน้าที่เดิมอีกนัยว่าเห็นวิวทิวทัศน์ชัดเจน แต่ก็มีสิ่งหน่งสะดุดตา นั่นก็คือขวดเอ็มร้อยห้าสิบเอ็ด กลิ้งไปมาตอนรถเมล์เบรคเข้าป้าย ผมก็ว่ามันแปลกดีที่มีขวดนี้กลิ้งไปมาโดยพลขับรถไม่ยอมเก็บ
แต่พอสักพักก็รู้ เมื่อรถเมล์เข้ามาจอดที่ป้ายและจอดนานเกิน ผมก็ชะโงกดูก็เห็นพลขับนั่งคอพับนิ่งสนิท สักพักก็ตกใจตื่นเองแล้วก็ขับรถออกไปจากป้าย แต่พอป้ายต่อมาพอจอดอีก ก็เหมือนเดิมอีก แต่คราวนี้ไม่มีวี่แววว่าจะออก จนกระทั่งผมได้หันไปมองดูผู้โดยสารร่วมชะตากรรมต่างคนต่างแป๋วแล้วผมก็ยิ้มให้ แล้วผมก็ไปสะกิดพลขับ บอกว่า พี่ๆไปได้แล้ว
พลขับก็ตกใจตื่นและออกรถ ผมได้คิดแล้วเห็นควรลงรถได้แล้วจึงเดินไปที่ทางจะลงแล้วกดออด พอรถเมล์จอดป้ายผมก็เดินลง พร้อมๆกับผู้โดยสารอีกหลายคน ต่างคนต่างก็ยิ้มให้แก่กัน
ทุกคนคงคิดเหมือนกับผมคิด ช่างโชคดี เกือบฟันกระทบกันอีกแล้วไหมละ
9 กุมภาพันธ์ 2551 08:28 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
หัวหน้ามาที่นี่ทำไม
ผมมองดูลูกน้องระดับจ่าของผมถามแบบกวนบาทาของผม
เอ้า กูก็มาแบบที่มึงอยากมานั่นแหละ
เป็นคำตอบของผมที่คนถามคนเดียวแต่ตอบคำถามแก่ทุกคนในหมู่ทหารรบ 7 คน
เอ้าวันนี้ไปไหนกัน ผมถามเปลี่ยนเรื่อง
ไปรักษาความปลอดภัยให้แก่พระสงฆ์ทีออกบิณฑบาทครับ
เอ้าไป แล้วผู้การจะไปด้วยหรือครับ ไม่อยู่นอนเล่นที่กองบัญชาการหรือครับ
อย่าเรียกผมว่า ผู้การเลยดีกว่า ผมลงมานี่ก็ตั้งใจว่าจะมารบเป็นเพื่อน และอย่าได้กังวลถึงชีวิตของผมว่าจะต้องดูแล ให้คิดว่าก็เป็นชีวิตของทหารเลวคนหนึ่งก็พอแล้ว
แน่ใจนะครับ
เออกูแน่ใจ ไปกันได้แล้ว และในวันนี้ผมขอแต่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
ผมเดินตามคนสุดท้ายของชุดลาดตระเวณ จากฐานก็เดินตามถนนไปตามเส้นทางไปวัดซึ่งก็เป็นอย่างนี้ทุกวัน รอบข้างเป็นท้องนาเดินลำบาก การเดินลาดตระเวณของหมู่นี้ก็ป้องกันแต่เพียงระยะห่างให้ไม่เพียงพอที่จะใช้ระเบิด หรือยากต่อการยิงเล็งตรงที่จะหวังฟลุ๊คโดนหากมีการซุ่มยิงจากโจร
เมื่อไปถึงวัด ทุกคนก็ประจำตามหน้าที่ สองคนเดินเคลียร์ทางให้พระตามเส้นทางที่พระจะไปบิณฑบาท สองคนเดินตามหลังห่างๆ อีกสามคนเดินปะปนในขบวนของพระ สำหรับผมเองก็เดินในภูมิประเทศตามเส้นทางคนเดินเท่าที่จะทำได้
การปฏิบัติภารกิจวันนี้ ราบรื่นเมื่อส่งพระเข้าวัดเสร็จ หมู่ทหารก็เดินทางกลับฐานเนื่องจากไม่มีภารกิจพิเศษเพิ่มเติม แต่ทว่าเมื่อวานยังไม่มีข่าวทหารโดนกระทำออกมาสักข่าวเดียวเลย
ห่างจากฐานประมาณ 100 เมตร เสียงปืนดังเป็นประทัดแตกออกมาจากข้างทาง กระสุนได้เจาะพื้นถนนยิ่งกว่าในหนัง ทหารทุกคนหมอบด้วยความเสียขวัญ แล้วก็ยิงปืนไปทางนั้นแบบไม่ต้องดู ผมก็นอนดูความวุ่นวานนั้น ก็เห็นตัวจ่าผู้บังคับหมู่ลาดตระเวนเริ่มเรียกกำลังพลให้เตรียมรับคำสั่ง ทุกคนมองมาที่จ่า แล้วจ่าก็มองมาหาผม ผมพยักหน้าให้เขารู้ว่างานนี้ให้จ่าสั่ง
จ่าก็เลยสั่ง ถอนตัว ทุกคนก็วิ่งออกมาในทิศทางตรงข้ามกับที่โจรดักซุ่มยิง ผมก็หัวเราะแล้วก็วิ่งตามหมู่ลาดตระเวนนั้นออกมา
เมื่อมาได้สักหนึ่งร้อยเมตรทุกคนก็วางตัวเป็นวงกลม จ่าก็ใช้มือถือซึ่งไม่ค่อยจะมีเงินเติมนักโทรแจ้งช่าวสารให้กองบัญชาการ ผมก็เข้าไปรับทราบแผนของจ่าต่อไป
รอสักพักครับ ผู้การ พอซาๆแล้วเราค่อยกลับฐาน
ผมมองหน้าจ่าแล้วก็ถามว่าเราทำแบบนี้กันทำไม
ขออนุญาตครับผู้การ มันเป็นการทำให้ไอ้พวกโจรได้ใจ สักสองสามครั้งว่าทหารกลัวมัน ครับ แล้วเราค่อยจัดการมันทีหลัง
เออ โล่งอกไปที กูนึกว่าเป็นอย่างงี้ตลอด
อีกสามวันต่อมาก็โดนอีก ทหารก็ทำแบบนี้อีก
อีกสามวันต่อมาก็โดนอีก แต่คราวนี้ทหารได้ทำการโอบล้อมพวกมันแล้ว การยิงต่อสู้ได้กระทำกันพอสมควร เนื่องจากฝ่ายโจรไม่มีกระสุนเยอะเพียงพอในที่สุดทหารก็จับมันได้
ไอ้สองตัวที่จับได้ มันก็เถียงกันหน้าดำหน้าแดงตอนที่ทหารปลดอาวุธและจับมันมัดมือไขว้หลัง
เสียงของมัน พอฟังเป็นไทยๆชัดๆได้ว่า ถุย กูหว้าแหล่ว
5 กุมภาพันธ์ 2551 09:16 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
พงศาวดารฮวนรื่อง ไฮ้อั่น ตอนที่สอง
สะพั่งสะท้านไมภพ
การไล่เลียงวิชาความรู้ที่นครหลวง เจ้าเมืองก็ลงมาไล่วิชาพวกที่สอบได้เอง พอถึงคราคนที่สองร้อย ไฮ้อั่น ก็เดินยิ้มเผล่ส่ายอาดๆเข้าไป เจ้าเมืองเห็นเจ้าไฮ้อั่น นั่งลงแล้ว จึงให้เลือกซองคำถาม ไฮ้อั่นหยิบขึ้นมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้เจ้าเมือง เจ้าเมืองก็อ่านออกมาว่า จงอธิบายมาว่า คำกล่าวว่าผู้ที่มีกตัญญูนั้นหากมีอำนาจและหน้าที่แล้วก็สามารถปราบเสี้ยนแผ่นดินได้ และถ้าผู้มีสติปัญญาเล่าหากไม่มีซึ่งอำนาจและหน้าที่แล้วก็จะเปรียบเหมือนกับสิ่งใด
ไฮ้อั่น ได้ยินคำถามแล้วก็วนหัวโคลงไปโคลงมา มองหน้าท่านเจ้าเมืองแล้วยิ้มก็กล่าวว่า อันนี้เป็นโคลงกลอนสมัยเหม็ง และคำตอบก็คือ เปรียบเหมือนมังกรน้ำตื้น และเสืออยู่ในที่กักขัง
เจ้าเมือง มองหน้าพวกกรมการเมืองแล้วตบมือ กล่าวว่าประเสริฐ แล้วเจ้าเมืองก็พยักหน้าเรียกให้ยกกระบัตรเมืองซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเจ้าพระยาสายสะพายแดงเข้ามา ท่านเจ้าพระยาสายสะพายแดงก็มองหน้าไฮ้อั่นด้วยความหยาม แล้วก็ถามขึ้นมาหนึ่งคำถามว่า ขบวนที่จะทำศึกสงครามทำประการใด
ข้อแรก รู้ว่าจะทำศึกกับใคร เช่นจังหวัดชายแดนใต้ ก็คือ พวกอิทธิพลนั่นเอง ตั
ข้อสอง ภูมิประเทศ ที่ล้อมรอบด้วยทะเล ชายแดนติดพวกแขก ด้านใต้ และด้านตะวันตก จึงไม่ยากที่จะส่งกำลัง และสนับสนุนให้ก่อการร้ายเป็นพวกโจรโพกผ้าดำ
ข้อสามเมื่อรู้ว่าจะรบกับใคร ภูมิประเทศเป็นอย่างใดแล้ว เบื้องต้นพื้นฐานเลยคือจะต้องฝึกหัดพลรบในเรื่องที่จะเป็นต้องใช้ในการรบให้เก่งก่อน อาวุธของทหารก็ต้องให้ทหารพลรบที่จะไปรบเกิดความมั่นใจ รวมถึงสามารถใช้ได้อย่างความต้องการ
ข้อสี่ จะใช้ใครคุมกระบวนทัพไปรบ ก็ให้พิจารณาให้ถ่องแท้ อย่าเอาแต่ไอ้พวกขี้ขอวิ่งเก่งไปเป็นอันขาด นอกจากมันจะออกข่าวเอาหน้าไปวันๆแล้ว ยังจะทำให้ลูกน้องล้มตายอีกเป็นอันมาก ขอให้เอาแต่พวกที่มีสติปัญญา ที่จะทำการได้เช่นพวกที่เคยมีประสบการณ์รบมาแล้วเป็นต้น หากยังทำแบบนี้ ทหารก็จะขาดความเชื่อมั่น และพลอยเสื่อมเสียขวัญ ทำให้รบแพ้ได้
ข้อที่ห้าตัวผู้บังคับทหารเอง ก็ต้องกอปรไปด้วยยุติธรรม ทำชอบให้รางวัล ทำผิดก็ลงโทษ ถ้าทำผิดไม่ลงโทษเพราะรัก หรือให้รางวัลเพียงเพราะเป็นคนใกล้ชิดหรือชอบ หรือเป็นญาติพี่น้องก็ปล่อยปละ เช่นนี้อำนาจของ ผู้บัญชาการทหารก็จะเสือมลงทุกวัน ก็จะทำให้เหล่าทหารด่านายกันเละเทะ
ข้อที่หกได้ผลประโยชน์สิ่งใดมาก็ให้มีการแบ่งปันให้กับผู้น้อย อย่าเก็บไว้แก่ตนเพียงคนเดียว เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข
ข้อที่เจ็ด อย่ายกน้องให้ดีกว่าพี่ อย่าให้ผู้น้อยก้ำเกินผู้ใหญ่ อย่าให้เมียเข้ามายุ่มย่ามเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้าย เลี้ยงให้เป็นลำดับกัน การกินการเป็นอยู่ของผผู้น้อยต้องดูแลให้ดีจริง เช่นนี้แล้วจะได้สรรเสริญ และก็จะมียศฐาใหญ่ขึ้นทุกคือนวัน
ฝ่ายพระยาสายสะพายแดงทราบก็หันไปมองตาเจ้าเมืองแล้วก็โค้งคำนับถอยไป
ฝ่ายไฮ้อั่นก็เดินออกจากห้องสอบสัมภาษณ์อย่างสุดเฟื่อง
หลายวันต่อมา....
การประกาศผลได้ออกมาแล้ว
ผลก็คือ พวกลูกหลานพี่น้องของอธิบายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พวกลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พวกลูกของพ่อค้ามีเงินได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และไฮ้อั่น ก็สอบไม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อแผ่นดินไดไม่ชอบใช้คนมีความรู้มีสติปัญญามีความซื่อสัตย์แล้วแผ่นดินนี้ก็จะเกิดจลาจล เหมือนกับไฟซึ่งติดขึ้นด้วยความชั่วร้ายจากน้ำมือคนใจชั่ว ทำให้เกิดความร้อนเกินทนขึ้นทุกอาณาบริเวณ เพราะเหตุนี้เองกลุ่มโจรร้ายจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย
ไฮ้อั่น ก็รำลึกได้ถึง พงศาวดารจีนเรื่องต่างๆแล้ว ก็ทราบแล้วว่าทำไมยอดคนหลายท่านจึงได้ซ่อนตนเร้นกาย เมื่อถึงเวลาวาสนาครบถ้วนแล้วคงจะได้เจอกัน
ว่าแล้วไฮ้อั่นก็เดินหายลับตาไปโดยสวนกระแสกับกลุ่มชนที่มุ่งหน้าเข้ามา