14 พฤศจิกายน 2551 17:16 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมใส่เสื้อลายดำเทา แขนยาว ผ้าหนานุ่ม ปลายแขนยาวลงมาคลุมเกือบปลายนิ้ว และกางเกงยีนส์รุ่นเผลอหลุดตูด พับปลายขากางเกง และรองเท้าหนังสายรัดหุ้มส้น
ในกระเป๋ากางเกงทางด้านซ้ายตุงไปด้วยของสามอย่าง โทรศัพท์มือถือสองเครื่อง และบุหรี่มาโบลโรซองขาวพร้อมไฟแช๊คแก๊สหนึ่งอัน
ในกระเป๋าด้านขวา มีกระเป๋าตังค์ มีกุญแจรถ มีกุญแจบ้าน และเศษตังค์
ผมงัดบุหรี่ขึ้นมาอัดควันเข้าปอด และก็เห็นสาวคนหนึ่งใส่เสื้อลายดำขาวแนวเดียวกับผม ที่คอห้อยแผ่นป้ายรูปไข่สองอัน และกางเกงขาสั้น เดินทำธุระผ่านไปมา แม้ว่าจะลอบชมโฉมว่าสวย
แต่ทว่าผมต้องเหยียบเบรคความคิดอย่างกระทันหันและหันกลับมาคิดเรื่องนี้
เมื่อไม่มีรายชื่อในคำสั่งแต่งตั้งอีกครั้งหนึ่งในวันนี้
สะพั่ง สะท้านไมภพ นึกย้อนกลับไปในอดีต
ผู้รับเหมาเอาซองใส่ตังค์ค่าน้ำมันมาให้สะพั่ง ไม่รับ
นึกถึงความบ้าในเรื่องซื่อสัตย์ในการทำงาน
นึกถึงเรื่องการมีวินัยที่เคร่งครัด
นึกถึงการครับ
นึกถึงการทุ่มเทให้กับการทำงาน
นึกถึงผลงานที่ผ่านมาเป็นชิ้นเป็นอันสามารถบอกได้ว่ามีผลงานอะไรบ้าง
นึกถึงตอนนี้ผมก็สูบบุหรี่อีกวาบหนึ่ง
แม้ว่าเราจะคิดเอาเองว่า เราสามารถละลาภ น่าจะเป็นละลาบละล้วงซะมากกว่า และวางใจสำหรับยศฐาบันดาศักดิ์ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วก็ยังสะเทือนใจต่อคำสั่งแต่งตั้งอยู่ดี
แม้ว่าจะคิดไปไกล
เกิดความแค้นเคืองที่ไม่ได้รับตามความประสงค์
แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่เกิดคิดขึ้นมาได้นั่นก็คือ
ข้อแรก เลิกคิดเรื่องคุณความดีในอดีตเสียทั้งสิ้น
ข้อสอง ตัดสินใจว่าจะเอาแบบไหน
ข้อที่สาม ลงมือทำ
สิ่งที่ยังเป็นจริงเสมอแต่ ผม สะพั่ง แกล้งลืมคือ
หนึ่ง ที่แท้จริงแล้วสะพั่ง ยังเป็นคน
สอง ยังมี โลภ โกรธ หลง อยู่เต็ม
สาม ยังมีความรู้สึกจากโลกธรรมแปดเป็นประจำ
แต่ทว่าในเมื่อเลือกได้ เลือกทางเดินของตนเองได้
ก็เลือกเดินในทางที่คิดว่าจะดี
แม้อาจจะเป็นทางที่คิดผิด
น่าจะมีความสุขกว่าทางเดินที่แล้วๆมา
เอาละ ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ คิด
ในระหว่างนั้นเอง หญิงสาวคนที่ผมกล่าวถึงขั้นต้นก็เดินเข้ามาแล้วก็เฉี่ยวไป
เฉี่ยวมาแล้วก็เฉี่ยวไปอย่างงี้อีกหลายๆครั้ง
สะพั่ง รีบหากระจกมาส่อง แล้วคิดในใจ หล่อยังวะ
ฉับพลันนั้น ผมก็ลืมเรื่องเครียดๆไปแล้วและมองแต่ผู้หญิงคนนั้นเดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา
ในสมองก็รวบรวมข้อมูล
และทำการวิเคราะห์ข้อมูลในทุกประเด็น
อยากจะรู้อะไรเพิ่มเติมอีกไหม
ผมเดินผ่านรถของเธอ
แต่ผมกลับไม่ต้องการจะดูแม้แต่เลขทะเบียนรถหรือสิ่งอื่นๆที่จะสามารถไขให้เกิดความรอบรู้มากขึ้น
ผมคิดในใจ สะพั่ง เอย สะพั่ง
เอ็งเป็นสายลับที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
10 พฤศจิกายน 2551 16:52 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
สะพั่ง สะท้านไมภพ เปิดเว็บดูหน้าขาประจำ และสนใจติดตามข่าวสารและวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง โชซอน อย่างไม่ยอมรู้จักง่วงหรือกลัวเครื่องดีวีดีพัง และหากมีโอกาสเปิดเน็ตก็จะจะทำแสกนข่าวผ่านตาโฮมเพจละหนึ่งวืบ ซึ่งก็ทำให้ประดาข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการกรองเข้าไปตุงอยู่เต็ม แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเป็นกองอยู่ทางซีกไหน ซีกเหลือง หรือ ซีกแดง กันแน่ ก็ปัดโถ๋ ทางวงการแพทย์เขาบอกว่าไม่มีซีกตรงกลางต่างหาก แต่อย่างไรก็ตามไม่อยากจะไปไล่เรียงว่า อะไรหยิน อะไรหยาง อะไรแดง อะไรเหลือง มันก็ไม่แปลกแตกต่าง กันสักเท่าไหร่ ระหว่างเส้นขีดขั้นความดี กับ เส้นที่เป็นความชั่ว นี่อาจจะเป็นผลจากการที่ดูหนังซีรีเกามากเกินไปกระมัง
จะอยากไปลองดูในกลุ่มนั้นบ้าง จะอยากลองไปดูกลุ่มนั้นบ้าง เดี๋ยวเขาหาว่าเอาแต่เก่งแต่หน้าจอ แต่ทว่าคิดไปคิดมา ผู้ฉลาดที่สุดย่อมจะไม่แสดงออกว่าอยู่ฝ่ายใดแม้จะเอนเอียง
สะพั่ง มักจะถามภรรเมียก่อนนอนเสมอว่า กินหญ้าก่อนนอนแล้วหรือยัง ผมไม่คิดเลยว่าคำถามเบาๆเพียงแค่นี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงออกมาจากครัวเรือนและกระเพื่อมสัมพันธ์กับคลื่นของหมู่บ้าน ตำบล เขต อำเภอ จังหวัด ประเทศ โลก และจักรวาล
เสียงภรรยาผมหัวเราะเคี๊ยกๆๆๆ แบบอำมหิต รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมห้องนอน ทุกครั้งที่มีปัญหา สะพั่งจะต้องนั่งคิด และในวันนี้สะพั่งออกไปยืนอยู่นอกชานมองออกไปข้างนอก ตรงท้องฟ้ามืดๆ อากาศเย็นๆ และหมู่เมฆที่บดบังหมดทั้งพระจันทร์และดวงดาว
ในตอนนี้แม้แต่ญาตที่ต่างจังหวัดก็เอนเอียงไปหมดแล้ว
แม้จะเน้นว่าเป็นกลาง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอนเอียงไปทางฝั่งตรงกันข้ามแต่ต้องเฉพาะแง่ของประชาธิปไตย ที่ไม่มีการลบหลู่ เท่านั้นหรือไม่เชียร์บุคคล
คลื่นแห่งความเลวร้ายปกคลุมไอซ์แลนด์แล้วในวันนี้ แม้แต่สิงคโปร์ก็เอียงๆไปนานแล้ว
ในยามนี้ แม้ว่าจะชูมือแล้วร้องว่า สู้สู้ แต่พอเผลอครั้งใดก็อดคิดสลดใจหดหู่เศร้าสร้อย ออกนอกทางไม่ได้ แม้จะตีวงกลับเข้าแนวทางอดทนอดกลั้นต่อสู้อีกครั้ง
แม้ว่าผมจะนึกเสมอว่าตัวผมนี่เป็นคนกล้า ในยามเหตุการณ์ใดที่น่าตื่นตกใจผมมักจะไม่ค่อยตกใจ หรือความคิดตกใจมันเกิดขึ้นช้ามากเกินไปหรือเปล่าจากการประมวลผลจากสมองของผม
ผมนั่งจินตนาการถึงเรื่องการออกรบในมหาสงคราม ขี่ม้าชักดาบพุ่งตัวออกนำหน้าเหล่าทหารเป็นคนแรก
ผมจะขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีคนแรกและหลายๆเพลง จนคิดว่าพอสมควรแล้วที่จะให้ไมค์ต่อคนอื่นบ้าง
วันหนึ่ง ผมขับรถมาจอดตรงห้าแยกเล็กๆในกรุงเทพแถวสายไหม สักพักเสียงดังตูมสนั่น ผมมองไปก็เห็นเสาไฟฟ้าตรงแยกตรงข้ามกับผมเลย ระเบิด ดัง ตูมๆ มองไฟก็แล้วยังแดงอยู่ คือต้องเข้าใจนะครับว่า ห้าแยก เนี่ยกว่าจะถึงรอบเลนของผมบ้างเนี่ยคงอีกนาน
ดังนั้น เมื่อตูมอีกทีนึง สะพั่ง ก็ออกรถไปแล้วแม้จะไฟแดงก็ตาม
สะพั่ง คิดในใจ
หวังว่า ตำรวจคงเห็นใจ
ไปก่อนละโว้ย เย้ เย้
9 พฤศจิกายน 2551 07:36 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
รถไฟฟ้าใต้ดิน กว่าจะไปขึ้นได้ต้องนั่งรถสองแถวออกจากบ้าน ต่อรถตู้ ถึงจะไปขึ้นได้ที่หน้าเซ็นทรัล และจะให้พิสดารก็ไปขึ้นที่สุขุมวิท และต่อรถไฟฟ้าลอยฟ้าไปอโศก
ขากลับ นั่งรถไฟลอยฟ้า มาลงหมอชิต นั่งรถใดก็ได้ที่ไปสพานใหม่ และนั่งแท็กซี่
สะพั่งเนี่ย มาจากที่เดียว และกลับไปที่เดียวกันหรือเปล่า
คำตอบคือ ใช่ครับ ที่เดียวกัน
แต่ในความแปลกและแตกต่างทำไมถึงเป็นอย่างน้าน
สะพั่งหัวเราะในคำถาม และก็ขอตอบไล่ตามลำดับจากหลังมาหน้าเพื่อการทำงานของสมองจะได้หัดย้อนกลับบ้าง
หนึ่งที่ขึ้นแท็กซี่ก็เพราะ เห็นคนจำนวนห้าสิบคน กรูแย่งขึ้นรถสองแถว สมใจอยากที่จะดูแล้ว และได้คิดว่า แม้สะพั่ง จะยากจน แต่ก็ไม่รีบ และในขณะนั้นมีแบ็งห้าสิบในกระเป๋ากางเกงหนึ่งใบ ก็โอเค ไปได้ และแซงรถสองแถวคั้นนั้นเมื่อใกล้ถึงหมู่บ้าน
สองรถเมล์มาสพานใหม่ หายากมากเลย เดิมทีคิดในใจว่าจะขึ้นรถตู้ แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมไม่เป็นไปตามที่คิด
ในระหว่างทางก็เห็นร้านรวงเปิดไฟแสงสี น้องๆน่ารักนั่งวาบหวิว จนกระทั่งถึงใกล้บ้าน นั่งโชว์ความขาวกันอร้าอร่าม สะพั่ง กลืนน้ำลาย และโทรหาเมียตัดใจพูดว่า กลับแล้ว ผม คิดในใจว่า จะกลับตัวกลับใจเสียใหม่ แต่อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่จะคาดหวังอะไรจากสะพั่ง ที่ลมเพลมพัดลมๆแล้งๆได้
ในรถไฟฟ้า สะพั่ง มองดูหญิงสาวคนหนึ่ง ไม่สวย แต่ทำตัวให้สวย และหญิงสาวอื่นๆ และไม่สาวแต่สวย และไม่สวยก็ด้วย
ในรถตู้ หญิงสาวกางเกงขาสั้น เปิดขาขาวสูงยิ่งและไอ้หนุ่มที่มาด้วยหลับคอตกหงึกหงัก ในตอนฝนพรำ
ในห้าง ทีหญิงสาวแต่งหน้าตาเหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลี บ้างก็เปิดเผยเห็นร่องอกรำไร
สะพั่ง มองแล้วพิจารณา นึกไรไปเรื่อยเปื่อย
ในวันนี้เมื่อออกมาจากถ้ำ ก็ตั้งใจไว้ว่าอาจจะแว๊บสักนิดหนึ่ง แต่ทว่าเมื่อนึกถึงความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะสร้างความสุขให้กับครอบครัวตั้งแต่วันนี้แล้ว สะพั่งก็ยิ้ม แม้ว่าจะเป็นอัสนีบาตในหน้าแล้ง หรือการชักม้าริมผา หรือเห็นโลงศพแล้วหลั่งน้ำตา หรือวัวหายล้อมคอก หรือโดนระเบิดปาแล้วถึงวางเครื่องกีดขวางก็ดี
ไม่สายเกินไปที่จะเริ่ม
สะพั่งคิดในใจรู้อย่างนี้จะเริ่มอย่างมั่นคงตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว
7 พฤศจิกายน 2551 20:09 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
วันนี้ ขายของได้จำนวนมากแต่ได้เงินจำนวนน้อยมาก สะพั่งหัวเราะนั่งคิดเลขบวกรายได้และนำตัวเลขจำนวนที่ต้องจ่ายมาตั้งลบแล้ว ...
สะพั่ง วางสมุดบันทึกไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์สร้างเอง ที่สร้างจากกล่องพลาสติกใบใหญ่ลดราคาถูกๆในห้างสองใบวางซ้อนกัน
สะพั่งนึกถึงความสามารถในการดูแลครอบครัวให้ได้ดีกว่าที่น่าจะเป็นในปัจจุบัน แล้วก็เครียด
นึกถึงรายจ่าย
นึกถึงการค้าขาย
นึกถึงงานพิเศษแท้งกิ้วต่างๆ
นึกถึงงานคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้าน
นึกถึงงานที่ต้องอัพเกรดคอมพิวเตอร์
และแล้วก็นึกได้ว่าจะต้องไปส่งของที่ไปรษณีย์ จะต้องไปหาที่จอดรถแล้วเดินไปที่ธนาคารปัมพ์สมุดธนาคาร พอเห็นยอดเงินที่โอนเข้ามา ก็ต้องโทรตามลูกหนี้ที่ยังไม่โอนตังค์มาให้ และเมื่อทวงครบแล้วก็เครียดเนื่องจากบ้างก็ไม่รับสาย บ้างก็ยันว่าโอนแล้ว ผมอดดูสมุดธนาคารอีกครั้งไม่ได้ และยืนยันนั่งยันและนอนยันว่า ยังไม่ได้โอน
ขับรถกลับมาบ้านมองดูหน้าตนเองในกระจกแล้ว รอยย่นมันหลายหลายและมีหลายแนวทาง
ในช่วงนี้ นึกได้ถึงดีวีดี ที่ซื้อมา เป็นพวกซีรี่ย้อนยุคของเกาหลี
ก็จัดแจงเปิดชมตอนต่อจากเมื่อวาน
ประมาณได้ครึ่งเรื่อง
สาวโทรมาเรื่องงาน
สักพักอีกสาวก็โทรมาเรื่องงานเลี้ยงปีใหม่
คือคำว่าสาวในที่นี่ของผมเนี่ยสี่สิบอัพเกือบทุกท่าน
พอคุยโทรศัพท์เสร็จก็มาย้อนวีดีโอกลับมาตอนที่โทรศัพท์มา
ตอนเที่ยงก็คดช้าวใส่ชามตาไก่ซะเพียบชามแล้วราดแกงเผ็ดหน่อไม้เหลือตอนเช้า กวาดซะเกลี้ยงกะไข่ดาวที่ทอดและกินเหลือเมื่อเช้า
หนังก็ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ
น้ำตาก็ไหลพรากได้ทุกตอน
จนกระทั่งเหนื่อยมากแล้วที่ต้องคอยเช็ดน้ำตาทุกตอน
เมื่อในบ้านไม่มีใครอยู่ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากๆไปเรื่อยตามสบาย
สักพัก ลูกหนี้ที่เคารพสองท่านก็โอนเงินเข้าบัญชี ทราบโดยท่านหนึ่งโทรมาบอก อีกท่านหนึ่งส่งเอสเอ็มเอสแจ้งให้ทราบ
ความเครียดในวันนี้ลดลงแบบราคาน้ำมัน
สะพั่งนั่งคิดอีกว่า เอเป็นเพราะน้ำตา หรือ เงิน กันแน่
เริ่มเครียดอีกแล้ว
2 พฤศจิกายน 2551 08:11 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
อิโรติค3
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสแจ๋ว มีเมฆก้อนเล็กๆประดับลอยฟ่องไปมา ในเขื่อนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ที่เต็มใบด้วยดอกบัวชูช่อสีชมพู หนึ่งสาวหัวเรือ และหนึ่งสาวท้ายเรือ จับจ้องมองมาที่ชายที่นั่งตรงกลาง ชายที่นั่งตรงกลางก็ไม่ยักรู้ว่ามีสาวด้านหลังคอยชม้ายจ้องดูอยู่ รู้แต่เพียงว่ามีเพียงสาวที่นั่งข้างหน้าเท่านั้นที่กำลังมีหน้าตาบานชื่นรื่นเริงเมื่อเห็นดอกบัวในบึงต่างแข่งกันชูช่อรับแสงอาทิตย์ยามเช้า
ผมมือไม่พาย ใช้มือราน้ำใสแจ๋วไป อากาศที่เย็นๆในหน้าหนาว กลิ่นหอมดอกบัว และกลิ่นกายสาวแรกรุ่น ช่างเป็นบรรยากาศที่วิจิตรพิสดาร อย่างมิอาจบรรยายออกมาได้ครบทุกรสชาติแห่งความสุขสรรค์ หรือหฤหรรษาได้ ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจในการเสพซร้องธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายทางองคายพทั้งหก
ผมใช้มือหนึ่งจับมือสาวข้างหน้าเรือ มือของผู้หญิง นิ่มเรียบรื่น แผ่ซ่านพลังความร้อนเข้าสู่ร่างกายเธอให้อบอุ่นอก ดูเหมือนว่าอีกสาวหนึ่งด้านหลังก็เริ่มมีความกระเง้ากระงอดจากจังหวะของการพายเรือที่กระแทกกระทั้นไม่ราบเรียบ ผมหันไปมองเธอทางด้านหลังและมองเข้าไปในนัยน์ตาของเธอ จนกระทั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจเธอ
แม้ว่ามันจะเป็นการยากที่จะบ่งบอกถึงความไม่ต้องการกระทำให้ใครๆต้องผิดหวังแม้เพียงสักคน แต่ก็ยากที่จะเอื้อนเอ่ยปาก ดูเหมือนว่าระลอกของความสะท้านของความรู้สึกนี้จะกระเพื่อมจากประสาทหัวใจไปสู่อีกประสาทของหัวใจหนึ่ง เธอข้างหน้ามองผมจ้องตาผมและเหมือนว่าอัพโหลดความคิดของเธอสู่หัวใจของผม ผมตอบกลับเธอด้วยสัญญานไฟฟ้าของร่างกาย และก็เอื้อมอีกมือหนึ่งไปจับมือเธออีกคนทางด้านหลัง
ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความปราณีของหญิงสาวหนึ่งต่อหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่อื่นใกลพี่สาวและน้องสาวนั้น จะเอื้อและเป็นแรงผลักดันระดับของความเอ่อล้นแห่งความสุขได้ปานไหน
ความสุขย่อมผ่านไปรวดเร็วเหมือนกับความฝัน ความสุขที่ติดในหัวใจ ย่อมคล้ายรสชาติหวานหอมละมุนติดอยู่ที่ริมฝีปากฉะนั้น กลิ่นหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา ไม่แตกต่าง แต่ก็สร้างความระลึกอันอบอุ่นให้มาตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อหันหัวเรือกลับ ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ มองดูภาพทางด้านหลังอีกครั้ง และอดจะคิดไม่ได้ว่า เมื่อใดหนอจะได้กลับมาที่นี่อีก
แม้ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ได้เคยไปที่นั่นอีกเลย
...สวรรค์ลิขิตอีกแล้ว...