5 มกราคม 2552 21:25 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
เสียงรถหวอ ดังว่า ตายแหน่ ๆ ๆๆๆๆๆ ผ่านไปในยามค่ำคืน ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ นอนบนเตียงอ่อนนุ่มในยามค่ำคืน แม้อากาศจะเย็นสบายในหน้าหนาว แต่ทว่าความเครียดในเรื่องต่างๆประดังเข้ามาอย่างเป็นระลอกของคลื่น ระลอกแล้ว ระลอกเล่า ทำไมหนา ทำไมน้า ผมพึมพัมไปตามเรื่องเท่าที่ทำได้
ผมคิดถึงวิธีทำสมาธิ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ผมคิดถึงมหาสติปัฏฐานสี่ แต่ทว่า ผมไม่อยากทำ มันไม่สงบพอที่จะทำใจได้
ผมลงไปข้างล่างและออกไปสูบบุหรี่นอก พ่นควันออกจากปากและจมูก และมองดูท้องฟ้า ดวงดาว และอากาศยานที่บินเห็นแสงแว๊บๆลิบๆ
แม้จะสูบจนหมดมวลแล้วก็ตามแต่ทว่า เหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผมเดินเซนิดๆด้วยความมึนเมาบุหรี่ กลับเข้าบ้าน
ผมมองดูที่นอนเมียของผมที่ว่างเปล่า
ผมไม่อาจจะทนไหวต่อไป
ผมเครียดเรื่องการงาน ผมเครียดเรื่องเงิน แต่ที่ทนไม่ไหวเลยก็คือเรื่องความเข้าใจผิดของภรรยา
เมื่อฝ่ายหนึ่งพูดด้วยความรักแท้ และอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจในรัก แต่ทว่ารักที่แท้ย่อมจะสามารถส่งผ่านและถ่ายเทให้สมดุลย์กันได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
ในที่สุดการถ่ายเทความรักต่อกันก็เท่าเที่ยมกัน
ผมมาย้อนดูปัญหาของผม หากจะคิดว่าเศรษฐกิจไม่ดีแล้วก็ตีโพยตีพาย มือเท้าอ่อนงอมือรอความตายแล้วละก็
ใจปลาซิวจริงๆ
ใจมด
ผมสรรหาคำมาต่อว่าตัวผมเองจนคิดไม่ออก
ผมด้วยหัวใจที่มีพลังของความรัก และลูกอึด ก็ตั้งใจว่าจะต่อสู้กับคลื่นยักษ์ซึนามิของชีวิตด้วยความเข้มแข็ง
ที่พูดมาทั้งหมดนี่ เรื่องความรักผ่านฉลุย
แต่เรื่องปากท้องยังไม่รู้
สู้ต่อไปพั่ง สู้ สู้
30 ธันวาคม 2551 08:07 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ในวันอันหมองหม่น ต่อหน้าเครื่องโน๊ตบุคส์ที่ออนไลน์ไปได้ไกลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดๆในโลก ก็จะมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ จากอังกฤษก็จะมาแปลเป็นไทย การสื่อสารบทความจากภายนอก ทำให้คนในประเทศต่างต้องตกตะลึง ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้มันมากซะจนไม่อาจจะอ่านให้หมดได้ไหวๆ และข้อมูลที่ได้อ่านต่างๆเหล่านี้ต่างก็กระทบกับความเชื่ออันยิ่งใหญ่มาแต่เดิม
วันหนึ่งในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ห้าครึ่งพระองค์โบราณ กระผมคุกเข่าถวายบังคมเสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕ และกล่าวขอพระราชทานอภัยโทษที่ข้าพพระพุทธเจ้าละลืมละเลยความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีไป ก็ด้วยเนื่องจาก การรับฟังข่าวสารข้อมูลในยุคนี้มากจนเกินไป และบัดนี้ ข้าพพระพุทธเจ้าได้คิดหรือคิดได้แล้ว ข้าพพระพุทธเจ้าจะขอจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ เน้นทุกพระองค์ตลอดชีวิตของข้าพพระพุทธเจ้าจักหาไม่
เมื่อผมได้กราบถวายบังคมขอพระราชอภัยโทษต่อเสด็จพ่อแล้ว หัวใจของผมก็ปลอดโปร่งอีกครั้งหนึ่ง
ผมเคยกราบไหว้พระบรมรูปพระปิยมหาราช ขอรถเก๋งท่านหนึ่งคัน เอาไว้ใช้ทำงาน ท่านก็โปรดประทานให้ รถเก่าสภาพใหม่ราคาถูกให้หนึ่งคันและก็เป็นรถที่ผมรักและหวงแหนมากที่สุดในปัจจุบัน มาสด้าสามสองสามจีแอลเอ็กซ์
ผมรำลึกได้ถึงความเมตตาปราณี ของในหลวงที่ได้ประทานปริญญาบัตรโดยพระหัตถ์ของพระองค์ท่านให้แก่ผม ในงานนั้นผมได้มองตาพระองค์ท่านและยังจำแววตาของท่านได้จนถึงทุกวันนี้
ผมอ่านหนังสือพงศาวดารจีนทุกเล่มที่ได้แปลและก็ตั้งใจไว้ว่าจะรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจงรักภักดีแด่ราชวงศ์
สภาพสังคม การเอารัดเอาเปรียบ การแก่งแย่งแข่งดี ทำให้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
เมื่อคนกระทำความดีแล้วไม่ได้ดี
เมื่อคนทำความดีแล้วผิดหวังกระทบกระเทือนใจ
เมื่อมีเรื่องราวอันไม่สมควรเกิดขึ้นมากมาย
แต่คนดีจริงย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และต้องมั่นคง
ผมนั่งคิดว่าทำไมผมที่ไม่สมหวังกับการรับราชการ กลับมาจงรักภักดีอย่างมั่นคงอีกได้
ผมมีความสุขที่ผมแม้จะไม่เจริญในการรับราชการ แต่ผมก็ยังมีความจงรักภักดี แม้จะเคยได้เห็นได้อ่านอะไรมาแล้วก็ตาม
ผมไม่ต้องการเอาอกเอาใจใคร แต่ผมอยากให้ลองคิดกันดูว่าทำไมคนอย่างผมจึงคิดแบบนั้น
ผมมองดูท่านประทานสภาหมอบกราบแทบเท้าในหลวง
ผมหวังว่าสักวันจะได้กราบพระบาทของพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดมากๆ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
หากความรักของชายหญิง จะไม่มีเหตุผล
ผมก็ไม่ขอให้เหตุผลสำหรับผมในเรื่องนี้
สักวันครับ เมื่อแต่ละคนเข้าใจ ก็หวังว่าวันนั้นคนที่เข้าใจจะยังไม่สายไป
หลวงพ่อคูณ ท่านกล่าวว่าใครที่ได้ทำอะไรให้ในหลวงได้สักครั้ง เกิดมาก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
ความลำบากกายและใจหรือทนทุกข์ทรมานมันเกิดจากกรรมที่เคยกระทำ
หากไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้บ้างก็จะหาที่พึ่งไม่ได้
หัวใจของผมปลอดโปร่งยิ่ง
และที่แน่ๆผมไม่ใช่พวกคลั่งเจ้าอย่างแน่นอน
ผมไม่ต่อว่าใครๆที่ประนามพระองค์ท่านเพราะเป็นเรื่องของประชาธิปไตย
หัวใจที่อบอุ่นและปลอดโปร่ง ในยามทุกข์เข็ญนี้ เป็นสิ่งที่อยาเชิญชวนให้ลองดู
หากจะว่า โง่ ผมก็ขอยอมโง่ในเรื่องดังกล่าวตราบนานเท่านาน
หัวใจที่อบอุ่น ในยามทุกข์ยาก
อย่างน้อยก็หนึ่งดวงของผมครับ
ผมไม่จุดเทียนในวันที่ห้า
แต่หัวใจของผมมีแสงสว่างของเทียนเล็กสว่างน้อยๆ ทุกวันเวลา
ผมไม่ทำท่าจงรักภักดีต่อหน้าให้ชาวโลกรู้
แต่ผมเก็บความจงรักภักดีของผมไว้ในหัวใจ
ความคิดของผมเป็นอย่างนี้
25 ธันวาคม 2551 06:07 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
@อนิจจาเอ๋ย.....
ท้องฟ้ามันดูมืดมนตั้งแต่เช้าจนค่ำ อากาศก็วิปริตแปรปรวนมีทั้งสามฤดูในวันเดียวกัน
พระจันทร์ยิ้ม สัญญานแห่งฟ้าแปลกๆ และฝนดาวตก
แผ่นดินไหวบ่อยๆครั้งมากขึ้นทุกที
สิ่งต่างๆอันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดก็เกิดขึ้นมามากมาย
หากเกิดอะไรแต่สิ่งที่ดีๆ ก็แสดงว่าจะดี แต่ทว่าหากเกิดสิ่งใดๆที่ไม่ค่อยดีก็แสดงว่ามีแนวโน้มจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีต่อไป
คนเรายามจะดี ทำอะไรก็ดีไปหมด แต่ทว่ายามเคราะห์หามยามร้ายเล่าแม้ทำแต่สิ่งที่ดีก็ยังทำให้ร้ายได้
.........
...คำทำนาย ถิ่นกาขาว ...
กล่าวไว้ว่าเมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนาม
ลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดีเกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธาเมื่อนั้นฟ้าจะศรีทองผ่องอำไพ
......
ผมก็อีกคนหนึ่งที่นั่งไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็เห็นว่าจะต้องทนไปอีกไม่นาน
ความทุรยศมากประดามีในตอนนี้ช่างไม่อาจจะเยียวยาได้อีกต่อไป
ในช่วงนี้ ผมคิดว่าเป็นช่วงคนดีจะต้องชดใช้กรรมเก่าไปพรางๆก่อน ก็ต้องก้มหน้าอดทนต่อไป
คิดถึงการงานที่ผ่านมาในอดีต แล้วก็อบอุ่นใจ ที่ได้แสดงฝีมือให้ปรากฏไว้เป็นหลักฐาน
แตกต่างจากพวกที่ใช้ ฝีปาก ฝีเท้า ฝีไม้ ที่ยังคงเชิดหน้าชูตาทรนงองอาจและดูดีตามที่ปรากฏภาพต่อไป
ไม่ต้องพูดถึงพวกฝีพระหัตถ์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าราชการที่ตั้งใจทำงาน เมื่อได้เห็นคนที่ไม่ทำงาน แต่ไปเอาใจนาย แล้วได้ดีมากขึ้น คนทำงานก็เลยทำงานแบบขอไปที
คนที่เคยคิดดีๆ เมื่อเห็นคนที่คิดไม่ดีเจริญรุ่งเรือง คนที่คิดดีนั้นก็เลิกคิด
------
บรรดาลูกจ้างแรงงานโดนปลดออกเป็นล้านคนแล้วในตอนนี้
ธนาคารต่างๆเริ่มสั่นคลอนจากหนี้สินของรากหญ้าที่โดนหลอกว่าเป็นรากแก้ว และเริ่มล้ม
ข้าราชการเริ่มไม่มีเงินเดือน และโดนตัดค่าสมองไหล ค่ารถ และลดจำนวนเงินเดือนอีกร้อยละยี่สิบ
เกิดโจรชุกชุมมากขึ้นและฆ่ากันเพื่อแย่งชิงแม้เพียงอาหาร
และการลุกขื้นของประชาชนที่สุดจะทนต่อสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนเยี่ยงนี้
-----
ผมนึกถึงคำปฏิญานต่อธงชัยเฉลิมพลของผม ที่เคยกล่าวออกไปว่า
ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพและความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า จักเทอดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม
ข้าพเจ้า จักไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการเป็นอันขาด
-----
ผมนึกถึงบรรดาลูกน้องของผม ที่ได้สละชีวิตเลือดเนื้อของเขาไปในยามสงครามหรือการรบต่างๆ
พวกเขาจะรู้บ้างไหมหนอว่าสิ่งที่พวกเขาทำได้ทำให้พวกที่ชุบมือเปิดกินแรงตีกินโกงกินกันสนุกสนานอย่างตะบี้ตะบัน
พวกเขาจะรู้บ้างไหมว่าโดนคนดูถูกทหารอย่างพวกเขาแบบไม่มีชิ้นดีจากพวกกินแรงดังกล่าว
จะมีสักกี่คนที่จะกล้าหาญได้ไหวอีกต่อไป เมื่อกำลังใจมันไม่มี ลูกเมียก็ขาดการดูแลเอาใจใส่
ไอ้จะทุ่มเทให้กับการรบ และการทำงาน มันก็ไม่เคยมีคำว่าเจริญอยู่เลยแม้แต่สักนิด
----
ถึงเวลาแล้วละมั้งที่ต้องสู้
ว่าแล้วผม สะพั่ง สะท้านไมภพ ก็ลาออกจากราชการ
แล้วมุ่งหน้าสู่ถนนการเมืองท้องถิ่น ต่อไป
----
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีก็มีความตั้งใจสูงส่งในเรื่องทำการเมือง
แต่ต่อมา...เกิดอะไรขึ้น
24 ธันวาคม 2551 17:10 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
นี่ครับ ผู้หมวด ตลับแป้งของพวกมัน
ผม ผู้หมวดสะพั่ง สะท้านไมภพ มองตลับแป้งทาหน้าผู้หญิงสีเขียวตองอ่อน บนฝ่ามือของจ่าหนู ตาแกกลม ผิวออกค่อนข้างดำ จ้องตาแป๋วมายังผม ผู้หมวดหนุ่มอ่อนประสบการณ์
ผมยิ้มให้จ่าหนู แล้วถามว่าไปเก็บจากไหนมาหรือจ่า
ไปเก็บตามแนวชายแดนครับ มีอยู่เต็มไปหมดเลย
นี่จ่าหนูวันหลังไม่ต้องไปเก็บอีกแล้วนะครับ ผมไม่อยากดู
แต่ที่จริงผมเป็นห่วงลูกน้องของผมเสียมากกว่า
เดี๋ยวผมจะทำไฟแช๊คจากลูกเอ็มเจ็ดสิบเก้าให้ครับ
เอาอีกแล้วจ่า ไม่ต้องทำแล้ว ผมพูดจนอ่อนใจ แล้วจ่าหนูก็หัวเราะคิกๆ เดินจากไป
ในท่ามกลางหมู่บ้าน ผมและลูกน้องก็ออกเดินตรวจกันก็พบภูเขาขวดเหล้ากองพะเนินเทินทึกสองกอง ผมก็เข้าไปถามคุณยายเจ้าของบ้านว่า
นี่ยาย ทำไมยายยังกินเหล้ามากมายขนาดนี้
ยายหัวเราะ คิกๆ ไอ้ลูกนี้แหละของยายกินเอง แต่ไอ้กองขวดกองใหญ่นั่น ลูกน้องผู้หมวดกิน
เท่านั้นแหละงานเข้า
ผมตะโกน ยั๊วะสุดขีด จ่าหนู!
และแล้วผมก็กักบริเวณลูกน้องของผมในฐานห้ามออกไปไหน นัยว่าเป็นการทำโทษที่ห้ามไม่ให้กินเหล้าดันแอบไปกินกัน แต่ขวดเหล้าเปล่ากองเท่าภูเขา ใยจะเอาใบบัวมาปิดมิด
พ้นจากวันทำโทษ เข้าหน้าฝนพอดี ผมเดินทางไปพักผ่อนที่บ้านกรุงเทพ แต่เมื่อเดินทางกลับมาปรากฏว่าฐานของผม เต็มไปด้วยอึ่งอ่างแช่เกลือในหม้อ และเสียบราวตากแห้งเต็มไปหมด
ผมมองดูบรรดา จ่าหนู หมู่ชู จ่าไพ และไอ้ลูกน้องทหารอีสาน มองซ้ายมองขวา ทั้งน้ำมัน ที่ทอด และผมจะอ๊วก เลยเรียกจ่าหนูมามอบหมายหน้าที่ให้ดูแลฐาน และผมก็ออกจากฐานไป จะกลับมาเมื่อพวกลูกน้องของผมได้รับประทานดิ่งผสุธากันหมดฐานก่อน นั่นแหละผู้หมวดจึงจะกลับ
จ่าหนูตะเบ๊ะ แล้วแอบหัวเราะคิ๊กๆ
วันเวลาผ่านไป ผู้หมวดหนุ่ม เริ่มเห็นสิ่งบอกเหตุผิดปกติ คือมีลูกสาวชาวบ้านอย่างน้อยสอง นำเอาอาหารมาให้ รวมทั้งแม่ม่ายก็ด้วย แต่เนื่องจากว่าผมกำลงเก็บเงินแต่งงานจึงไม่สนใจและไม่เปิดโอกาสใดๆสักนิดเพื่อไม่สร้างความหวัง อีกทั้งยังต้องทำตนเป็นตัวอย่างแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกด้วย
ว่างๆ หลังจากออกลาดตระเวณตามแนวชายแดน เข้าไปเยี่ยมฐานมอญตามแนวชายแดน แล้วก็กลับมาเข้าฐาน และก็ชวนจ่าหนูขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาเหล้าทานที่ชุมพร
เมื่อทานเสร็จแล้วจ่าหนูจะออกไปต่อ ผมก็ไม่ว่า สักพักแกก็มาตามผมจะไปเอาเรื่องกับชาวชุมพรที่เกเรกับแก ผมฟังแกแล้วผมก็หัวเราะ
ครั้งเดียวเข็ด จ่าหนูแกบ่น และก็หัวเราะคิ๊กๆ
ผมก็เข้าใจว่าความหมายของแกคือ ผมที่พาแกมาด้วยพาแกมาครั้งเดียวเข็ด แต่ผมแอบหัวเราะในใจ คี๊ยกๆ กูชอบ
จ่าหนูเขาไม่รู้หรอกว่าไอ้ความบ้าของผมเนี่ยมันขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องชม เมื่อผมออกคำสั่ง ปั๊บ แกก็หยุดทันที และชิดเท้าขานว่าครับผม
นอกจากชายแดนที่ตะวันตกแล้ว ผมกับจ่าหนูได้ออกไปราชการชายแดนที่ชายแดนตะวันตก
ในการนี้จ่าหนูล้วงสร้อยพระออกมาให้ดู ที่สร้อยมีเศษผ้าซิ่นของแม่จ่าหนูผูกไว้ และจ่าหนูคุยนักหนาว่าสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่เป็นมงคลไว้กับตัวสามารถป้องกันภัยต่างๆได้
แต่ผมกลับไม่คิดอย่างงั้น ผมกลับยกเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาตอนเสียกรุงมาเล่าให้จ่าหนูฟัง และเน้นว่า หากเชื่อเรื่องของขลังมากเกินไปก็อาจจะเป็นอันตรายได้
ในตอนที่ออกชายแดนทางด้านตะวันตกนั้น ผมตั้งใจว่าจะโปรโมทจ่าหนู ให้เป็นผู้หมวด ให้ได้และทุกคนในกองร้อยต่างก็ทราบดีว่า จะได้เป็นแน่
ในวันหนึ่ง ผมมอบหมายงานให้จ่าหนูเป็นผู้ไปส่งเสบียงทหารตามแนวชายแดน และก่อนไปก็ได้กำชับจ่าหนูว่า ไปส่งเสบียงแต่เพียงอย่างเดียวก็พอ อย่าไปทำอย่างอื่น เช่นไปจับปลาแถวคลองน้ำใส หรือไปกู้ระเบิดเล่น จ่าหนูก็รับคำ ว่าครับ และหัวเราะคิ๊กๆ
เมื่อขบวนส่งเสบียงเริ่มเคลื่อนย้ายออกจากฐานกองร้อย ลางไม่ดีเริ่มปรากฏ เจ้าทหารยาม ดันทำท่าวันทยาวุธ ซึ่งเป็นท่าที่ใช้แสดงความเคารพของทหารที่เป็นนายทหารสัญญาบัตร แต่ในขบวนนั้นมีแต่ชั้นประทวน ซึ่งไม่ต้องวันทยาวุธ
แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร
พอไม่ทันไร ก็มีข่าวว่า จ่าหนูโดนกับระเบิด
ผม และผู้พัน ก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลทันที
จ่าหนูก็ยังคงเป็นหน้าตาของจ่าหนูที่หลับตาไม่สนิท
หน้าตาและลำตัวของแกเป็นรูพรุนจากสะเก็ดระเบิด
มีอยู่รูหนึ่งที่ใหญ่ปากโพรงอยู่ใต้จมูกรูเบ้อเร่อ และก็ยังเห็นผ้าซิ่นของแม่จ่าหนูผูกที่สร้อย
ผมยืนมองศพจ่าหนูด้วยความเศร้าที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งต้องตายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
นับตั้งแต่นั้นมา
ผมมีความรู้สึกว่าต้องชดใช้ให้กับลูกน้องต่อๆมา
ไม่ได้เย่อหยิ่งแบ่งชนชั้น
ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนายหรือเขาเป็นลูกน้อง
เดี่ยวนี้จ่าหนูของผมได้เป็นพันตรีแล้ว ขอให้คนดีอย่างผู้พันหนูจงไปสู่สุคติ ผมก็จะทำหน้าที่ทหารให้ดีที่สุดต่อไป
อย่าประมาทนะครับพี่ทหาร ที่ออกไปรบรับใช้ประเทศชาติ อย่าประมาทเป็นอันขาด หากไม่ประมาทอย่างน้อยก็หนักเป็นเบาละครับ
ผมไม่ต่อว่าคนที่ชอบด่าว่าทหารในเมือง
แต่ผมอยากจะให้ช่วยส่งกำลังใจให้แก่ทหารที่กำลังปกป้องประเทศอยู่ทางใต้
ผมตั้งใจว่าวันหนึ่งผมจะออกไปรบกับพวกเขา พวกทหารเหล่านั้น
และแล้ว......
20 ธันวาคม 2551 21:51 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ย้อนหลังไปนานมากแล้ว ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผู้พันคนหนึ่งแกชื่อผู้พันอมอน ผิวแกดำมะเมื่อมไว้หนวดดำปี๋ การพูดการจาก็เอะอะโผงผาง ในวันที่ประชุมกับบรรดาผู้กองลูกน้องของแก เสียงแกจะดังลั่นมาจากบนกองพัน เป็นอย่างงี้ประจำ บรรดาผู้ว่าราชการจังหวัดก็มาหาแกเป็นประจำ เพื่อจะมาขอตับจระเข้ เพื่อไปรักษาโรคมะเร็ง นอกจากแกจะเก่งในเรื่องกระสิณแล้ว แกยังลงทุนปลูกพืชสมุนไพรที่ไร่อีกต่างหาก นอกจากนี้แล้วแกก็ยังเก่งเรื่องคาถาอาคม และในวันนั้นก็มาถึง ผู้พันอมอนแกก็เรียกบรรดาผู้กองของแกมาพบ และแจกควายดินปั้นให้คนละสองตัว เพื่อเอาไปเฝ้าคลังอาวุธตัวหนึ่ง และอีกตัวหนึ่งเอาไปเฝ้าคลังของฝึก บรรดาผู้กองซึ่งก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้พันต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก และอมยิ้ม แต่เนื่องจากเป็นทหาร เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งแล้วก็ต้องทำตาม ผู้กองแต่ละกองก็เอาความยธนูไปตั้งตรงกลางหน้าคลังตั้งแต่นั้นมา
ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ ตอนนั้นเป็นทหารเฝ้ายามคลังอาวุธ ก็ยืนตามระเบียบหน้าคลัง หาวไปตบยุงไป ตีหนึ่งแล้วอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงจะออกเวร ถึงจะได้เข้าไปนอนในมุ้งในเรือนนอนทหารให้สบายใจ
ทันใดนั้นเอง เสียงสุนัขหอนอย่างโหยหวน ขนที่แขนลุกกราวและรู้สึกได้ถึงเส้นผมที่ตั้งชันในหมวกที่ใส่ นัยน์ตาของผมเริ่มชัดเจนขึ้นจากที่ตาปรือๆมาก่อนหน้า สายลมหนาวพัดซู่เข้าใส่จนขนลุกซ้ำสอง เสียงหมาเห่าหอนรับกันเป็นทอดๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตาของผมที่ปรือก็ค่อยๆสว่างเรื่อยๆ และแล้วกลิ่นเหม็นหนูเน่าก็เริ่มโชยเข้ามาที่จมูก เริ่มมีความรู้สึกว่ามีอะไรทางซ้ายผมก็มองไปทางซ้าย ต่อมาเหมือนอยู่ข้างหลัง ผมก็มองไปข้างหลัง จากอากาศที่หนาวแต่เหงื่อที่เย็นยะเยียบไหลออกมาและผุดออกมาจากในเสื้อ
ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ นึกได้ถึงควายธนูของผู้พันที่ตั้งวางตระหง่านอยู่หน้าคลัง ผมสวดมนตร์ขอให้ควายธนูนั้นช่วยผมด้วย เสียงหมาหอนยิ่งมายิ่งเยือกเย็น มองหาพี่สิบเวรกองร้อยพี่แกก็ไม่รู้ไปนอนตรงไหน
พอได้กลิ่นเหม็นสาบอีกครั้ง เท่านั้นเองผมร้องว่า ไม่ไหวแล้วโว้ย แล้วผมก็วิ่งเข้าไปในโรงนอนและกระโดดเข้าไปในมุ้งคลุมโปง และก็เลยหลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราว
เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละครับ
ข้าพเจ้าจบคำให้การในการสอบสวนแต่เพียงเท่านี้
เมื่อผมบอกเล่าคำให้การไปให้ผู้กองฟัง ผู้กอง ผู้หมวด จ่า หมู่ สิบเวร ต่างก็นั่งฟังกันตาแป๋ว บางท่านก็ทำท่าเหยเกทำท่าเชื่อเรื่องราวที่ผมพูดมาทั้งหมด
ผมตีหน้าเศร้า และให้การต่อไปอีกว่า แต่เนื่องจากเห็นว่ามีควายธนูของผู้พัน เป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างยิ่งมิฉะนั้นแล้วอาจจะแย่กว่านี้ก็เป็นได้
ก็เป็นอันว่าในกรณีของผมเนี่ยได้รับการยกเว้นโทษหนักเพียงแต่ให้ลงโทษเบาๆเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ในคืนต่อมา ขณะที่ผมกำลังยืนเข้าเวรที่เก่าเวลาใหม่อยู่นั้น กำลังตาปรือและสับประหงกทั้งๆที่ยืนอยู่เลย ทันใดนั้นเอง เงาร่างคนดำมะเมื่อมปรากฏขึ้นตรงหน้า
ผม พลทหารสะพั่ง สะท้านไมภพ ต้องตาเหลือกตกใจ เมื่อได้เห็น และตกใจร้องเสียงหลงไปคำหนึ่ง
ท่านผู้พันควายธนูของผมท่านโผล่ขึ้นมาอย่างเงียบๆ ตาแกมองจ้องหน้าผม ตาดำของแกแวววับ แกมองหน้าผมแบบเขี้ยวๆนักเลงๆ
ผมมัวตกใจอยู่ แต่พอนึกได้ผมก็วิ่งเข้าไปรายงานเวรกับแก
ผม พลทหารสะพั่ง สะท้านไมภพ เป็นเวรคลังอาวุธ ผลัดที่สาม ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืน ถึง ตีสอง ในขณะปฏิบัติหน้าที่เหตุการณ์ปกติครับ
แล้วผมก็วิ่งไปยืนตามระเบียบพักที่เดิม
เมื่อรู้ว่าเป็นใครมาแล้ว หัวใจของผม หัวใจของทหารเลวคนหนึ่งรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด และรู้สึกมีแรงและพลัง รวมทั้งหัวใจที่จะปฏิบัติงานรับใช้ชาติจนถึงที่สุดเมื่อผู้บังคับบัญชาสั่ง
ผู้พันเดินเข้ามาและตบที่ไหลผมดังป๊าบ ในท่าทีแบบนักเลง
เป็นอย่างไรบ้างท่านถาม
เรียบร้อยดีครับ
ดีแล้ว และมีเหตุการณ์แบบเมื่อคืนก่อนที่เจออีกหรือเปล่า
ไม่มีครับ ผมตะโกนก้อง
ผู้พันยืนนิ่งและมองไปรอบๆ อย่างช้าๆเสร็จแล้วก็ก็หลับตาคล้ายกับกำลังร่ายมนตร์ป้องกันภัยให้ทหารเล็กๆอยู่เพื่อให้มีความปลอดภัย
สักพัก ท่านผู้พันก็มาตบไหล่เบาๆ และบอกว่า เอาละนะต่อไปนี้ไม่มีอะไรแล้วนะ
บอกพวกเพื่อนๆด้วยว่าไม่ต้องกลัว
และเดี๋ยววันหลังผู้พันจะมาเยี่ยมใหม่
ครับผม ผมตะโกนก้องด้วยความดีใจ
หลังจากที่ผมได้พลกับท่านแล้ว ผมและลูกน้องก็มีความอบอุ่นใจ
ที่บ้านของผม ไม่มีใครสนใจผม ว่าผมจะเป็นอย่างไร
แต่ที่นี่ ที่กองร้อยของผม ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน และขวัญเสีย ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงกลับมาปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด และส่งผลให้ทหารทั้งกองร้อยมีขวัญดีในเรื่องที่น่ากลัว
ตั้งแต่วันนั้นมาพลทหารที่เข้าเวรทุกคนไม่มีใครกลัวเรื่องราวแบบนั้นอีกแล้ว