10 เมษายน 2553 08:06 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
เมื่อชนะแล้วก็ยังเมตตาปราณีต่อฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่ว่าจะแพ้แต่ไม่อยากทำ และก็ไม่ได้มองว่าเป็นศัตรู และก็ไม่ได้หลับหูหลับตาทำแบบเมื่อก่อน พวกตอกลิ่มยังคงทำหน้าที่ตอกลิ่มเหมือนเดิม แต่บางคนก้มหน้าทำให้เห็นภาพความเป็นมิตร ความเป็นคนไทยที่ทำตามหน้าที่ของบุคคล อย่างมีสติปัญญา ภาพหนึ่งภาพก็น่าสนใจแล้ว แต่ภาพหลายภาพพร้อมคำบรรยายทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งกินใจมาก อย่างนี้แล้วทหารหรือตำรวจที่ออกปราบจะไม่ให้ใจได้อย่างไร อันนี้คือทางออกของการแก้ปัญหา ไม่มีทางที่จะแก้อะไรได้หากหัวใจยังคงคิดทำร้าย สิ่งที่พูดออกมาย่อมแสดงให้เห็นถึงสติปัญญา และความดีชั่ว สาธุ พระเจ้าท่านเมตตา ให้สิ่งที่ดีๆบังเกิดได้จากการเริ่มต้นของจิตใจแห่งความดี ความรักกันแบบนี้ที่สามารถทำให้ประเทศชาติคงอยู่รอดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้และจะอยู่รอดตลอดไป
หนทางแห่งความต้องการยังต้องไปอีกไกล แม้ว่าแนวทางจะไม่แน่ชัด เมฆหมอกคลุมเครือ ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศก็ไม่สบาย การทดสอบของสวรรค์ยังคงมีต่อบุคคลเรื่อยๆไป ผู้ที่ผ่านการทดสอบว่าดีจริงดีแท้เท่านั้นจะเรียกว่า กาเผือก หรือ กาขาว
อันกาดำน้ำก็ยังคงเป็นกาดำวันยังค่ำ แต่ทว่ากาขาวหมายความ ถึง คนที่เก่งคนที่ดีบังเกิดขึ้นในแผ่นดินมากมายต่างหากและจะส่งผลต่ออนาคตต่อไป สงครามการต่อสู้ด้วยจิตใจ ผู้ใดจิตใจต่ำย่อมพ่ายแพ้แน่นอน ผู้มีจิตใจสูงจะชนะ ผมเฝ้ามองดูรูปที่ลาดหลุมแก้วแล้วปลื้มใจที่การทำงานของแต่ละฝ่ายก็จริงจังจริงใจต่อกัน การทำงานแม้ว่าไม่อาจบรรลุเป้าแต่หากว่าทำงานไปแล้วมีความสุขมันน่าจะเป็นการงานที่สุดยอดมากที่สุดแล้ว แต่ทว่าการทำอะไรเพียงเพื่อหวัง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ฤาจะทำให้เกิดความสุขได้อย่างแท้จริง หัวใจที่ลาดหลุมแก้วเมื่อ 9 เม.ย.2553 กระผมขอปรบมือให้กับทั้งสองฝ่ายที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า จริงๆแล้วพวกเราล้วนชนะ ชนะที่เห็นใจกันในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ในท่ามกลางที่ดูเหมือนจะเลวร้ายแต่ก็เกิดกระแสความตื้นตันใจอย่างหักโหม เพียงแต่ว่าผู้ที่มีสติปัญญาน้อยก็จะเข้าใจได้ยากได้นานหน่อย แต่ทว่าอย่างไรก็ตามก็จะเข้าใจได้อย่างกว้างขวางต่อไป เหตุการณ์แบบนี้ต่อไปอาจกลายเป็นเตาหล่อหลอมที่อัศจรรย์รวมความคิดเห็นและกลั่นกรองด้วยเหตุผลให้ออกมาเป็นแนวความคิดที่คิดดีๆก็ได้ต่อไป กรรมเวรยังคงมีจริงต่อไป ซึ่งหลายๆคนได้เห็นชัดๆกับตาและสามารถระลึกอย่างแจ่มชัด
6 เมษายน 2553 21:21 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
การโคจรของคนสามคนมาพบกันในพื้นที่ภาคใต้ก็มีวาระอีกครั้งหนึ่ง หนึ่งว่ากันว่าเป็นถึงทหารที่โบกจามจุรีบนหลังช้าง อีกหนึ่งว่ากันว่าเป็นจตุรงคบาทในยามสงครามและเป็นมหาดเล็กคนสนิทในวัง และอีกหนึ่งว่ากันว่าเป็นนายกองทะลวงฟัน
เราสามคนนั่งหัวเราะกันในยามพลบค่ำ และพูดคุยกันอย่างสนิทสนมคุ้นเคย เมื่ออดีตเราสามคนคงจะได้เคยลงมาร่วมรบในพื้นที่นี้ พื้นที่นี้มันเป็นพื้นที่ที่แปลก ผู้ที่ลงมาล้วนแล้วแต่มีจิตใจที่เปลี่ยนไป ถ้าหากว่าไม่ตั้งใจลงมาตั้งใจสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแล้วไซร้ก็คงจะมีความคิดกลับกลายคล้ายถูกเป่ามนต์สะกด
ต้องเหนื่อยอีกแล้วนะชาตินี้ จานทูนหัวเรือใหญ่กล่าวขึ้นมา พอพวกมันโกงกันทีไรและเกิดปัญหากับประเทศพวกเราต้องมาเกิดอีกมาช่วยแก้ปัญหา ทุกชาติไป ผม กับ น้องสลาม พยักเพยิด ฟังปรมาจารย์บนหลังช้างท่านว่าอย่างหูดับตับไหม้ พวกเราฟังก็ดูดบุหรี่จานทูนก็ยังไม่หยุดว่าของแกไปเรื่อย
สักพักจานทูนบอกว่า พวกคนอื่นๆคงจะมองว่าพวกเราบ้านะ ผมแค่หัวเราะ น้องสลามก็หัวเราะชอบอกชอบใจ แต่เนื่องจากว่า บางครั้งเมื่อคนอื่นเห็นว่าเราบ้าไปแล้ว เราก็ต้องขี่สถานการณ์ให้สมคล้อยไปกับเรื่องนั้น
คือบางครั้งสิ่งที่รู้มันก็รู้ดีอยู่แต่พิจารณาแล้วว่ามันยังไม่สมควรที่จะเปิดเผยออกไป เพราะหากเปิดเผยไปก่อนเวลาแล้วน่าจะทำให้อะไรอะไรลำบากอีกเยอะ
แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงเวลาต้องประดาบเลือดเดือดแล้วก็ต้องออกแรงอีก จานทูนบอกว่าผมเนี่ยเมื่อถึงเวลาต้องสละชีพเพื่อชาติได้แน่ ผมหัวเราะ เพราะผมไม่ต้องการอะไรอีกจึงได้แต่หัวเราะ แต่ก็ถามตัวเองและตอบแก่ตัวเองในใจในเรื่องนี้
ช่างเป็นโชคดีอะไรของแผ่นดินอย่างนี้หนอ ประดาหมู่โจรร้ายเฝ้ารองบหนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านหักค่าเบี้ยเลี้ยงของทหารออกไปแล้วเหลือแต่งบของพลเรือน แต่ทว่าเหมือนนรกชังและสวรรค์แกล้ง งบประมาณที่พวกโจรร้ายรอ ดีดขิมรอ ไขว่ห้างกระดิกเท้ารอ กลับหายอย่างไร้ร่องรอย
ผม จานทูน และสลามล้วนแล้วแต่โล่งอก
หากงานนี้ไม่มีสามัคคีกินโกงอย่างขนานใหญ่แล้ว พวกโจรก็คงจะได้อะไรอะไรขึ้นมาอีกเยอะ และน่าจะเสียไวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามน้ำคงท่วมภาคใต้ก่อนที่โจรร้ายจะคิดอะไรสำเร็จ
ในการส่งเสบียงอาหารมาช่วยกองทัพทำการรบ แต่ทว่าการส่งก็ส่งมาเพียงร้อยละห้าสิบ แถมขณะที่กำลังลำเลียงเสบียงอาหารมาระหว่างทาง พวกแนวหน้าก็ดันแต่งกองโจรมาปล้นเสบียงของตนเองอีก
คือบางทีคงจะลืมไปว่า สิ่งที่เอาไปนั่นคือภาษีของคนทุกคนในประเทศรวมทั้งภาษีของเราเองด้วย หากยังปล่อยให้โจรชั่วปล้นเสบียงอาหารกองทัพที่ไปรบกับข้าศึก กองทัพที่ไปรบก็จะพ่ายแพ้
6 เมษายน 2553 20:56 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ก่อนเดินทางไปทำงานที่ภาคใต้ ผมหวังหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง เช่น ยศฐาบันดาศักด์เงินทองสิทธิต่างๆ แต่ทว่าเมื่อภรรยาผมได้ทักขึ้นมาว่า ไม่อยากให้ไปเพราะเป็นห่วง จึงต้องทำให้ผมคิด
ก่อนหน้าจะลงไปอยู่ยาวๆ ผมได้เจอกับพี่ทูน หรือ จานทูน อายุแก่กว่าผมราวห้าปี แกชอบตัดผมสกรีนเฮด ใส่แว่นสายตา และแข็งแรง ก็ยังไม่ได้คุยเท่าไหร่ในตอนก่อนลง แต่เมื่อลงไปได้นั่งรถไฟชั้นหนึ่งในห้องเดียวกัน และได้พูดคุยกันตลอดทาง เริ่มทำให้ผมรู้สึกว่าแกมีความรู้สูงส่ง
เมื่อได้ลงไปทำงานได้ไปเห็นผู้หมวดนายสิบทำงานและทานข้าว และนอนค้างในฐานของผู้หมวด ความรู้สึกแบบเดิมๆสมัยผู้บังคับหมวด ยามค่ำคืนที่เหล่าทหารเพลียจากการตรากตรำทำงานหนักหนักและหนัก และหัวหน้าที่ลงไปก็ไม่ได้มีสาระความรู้ที่จะพอให้ความนับถือได้ แต่กลับสำแดงสิ่งที่ไม่สมควรหลายๆอย่างให้ประจักษ์
เมื่อจบภารกิจสั้นๆอันแรกก็เดินทางกลับมา ก็ไม่รู้ว่าการเดินทางไปแบบนี้จะได้อะไรแค่ไหนแต่เมื่อกลับมาแล้วก็มีความรู้สึกว่าภูมิใจที่ได้ไปช่วยนิดหนึ่งอย่างน้อยก็ให้กำลังใจ
ก่อนลงผมตัดสินใจแล้วว่าพอจึงเขียนใบขอจบภารกิจแต่ต้องลงไปอีกราวสองถึงสามเดือน
ไม่กี่สัปดาห์เราต้องลงอีกคราวนี้ต้องลงไปอยู่นานหลายเดือน ทีแรกผมกะว่าจะเป็นบัดดี้กับ จานทูน และคุยเรื่องราวต่างๆ แต่ทว่าเขากลับแยกห้อง แต่อย่างไรก็ตามส่วนมากของเวลาที่ไปอยู่ ผมกับจานทูนมักจะพูดคุยกันเป็นส่วนมาก ไม่ขึ้น ฮ เข้าประชุม คุยกับเพื่อน ผลิตเอกสารรายงานส่ง ซักผ้า กินข้าว สัมมนาก็แค่นี้
มันสบายมากเลย มีวันหนึ่งผมขึ้น ฮ ไปรดน้ำศพนายสิบและพลทหารที่เสียชีวิต ต่อมาทุกๆครั้งที่ได้รับเอสเอ็มเอสสถานการณ์ใต้ ระเบิด ลอบยิง ตาย เจ็บ
ผมนึกดีใจที่ผมขอกลับก่อนที่จะมา ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ทว่าไม่อยากเอาเปรียบน้องๆที่อยู่ในพื้นที่เครียดเหนื่อยและตายจริง
ผมอยากได้อะไรผมถามตนเองในพื้นที่
สงสัยผมจะบ้าไปแล้ว หลงไปแล้ว ผมนึกขึ้นมาได้แล้วก็สมเพชในความคิดของตนเองที่หวังสิ่งต่างๆที่จะมีมากกว่าเดิม เมื่อจานทูนเข้ามาเสริมในเรื่องแนวความคิดของแกที่ไม่ได้สนใจเรื่องต่างๆให้มากกว่าสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วย ก็ทำให้ผมระลึกได้ตลอดเวลาที่เผลอไผลคิดวาดฝัน
เมื่อเดินทางกลับ ผมมีความสุขมากที่สุด เพราะว่าสามเดือนที่ผ่านมาได้รับความรู้จากจานทูน ได้เข้าใจตนเองและเห็นความจริงของคำพูดของภรรยา และความไม่ต้องการอะไรที่เกินไป
ปัจจุบัน ผมเฝ้ามองสิ่งต่างๆที่เข้ามา มันไม่ต้องการแล้วมันก็ไม่เครียด รู้สึกว่าไม่มีอะไรเครียด
เมื่อไม่ต้องการมันดีอย่างนี้นี่เอง
25 มีนาคม 2553 06:46 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
จานทูน
มันเป็นความโชคดีอะไรอย่างนี้ที่จะไปเข้ารับการศึกษาหลักสูตรพิสดาร
คนสอนก็พิสดาร คนเรียนก็พิสดาร
แต่ในท่ามกลางสายตาของผู้คนในพื้นที่อาจจะมองว่าคนบ้าสองคน
สะพั่ง ลูกศิษย์ และ จานทูน ปรมาจารย์ สองคนเดินต้อยๆในพื้นที่ และในเวลาปฏิบัติราชการ ซึ่งผู้คนรอบข้างได้ให้คำจำกัดความในการปรึกษาหารือและฟังแนวคิดแปลกๆ ว่า บ้า
จานทูนหัวเราะและมองมาที่ผม ว่าเขาคงหาว่าเราบ้าแน่เลย ผมสะพั่ง หัวเราะร่วน ก็ไม่แปลกหากจะมีมุมมองโง่ๆแบบนั้น ในความคิดของผม ผมต้องการศึกษาหาความรู้ซึ่งแต่ละในบริบทและพื้นที่หนึ่งจะแตกต่างกัน
สิ่งที่ผมประทับใจ จานทูน เริ่มแรกเลยก็คือ บอกแค่วันเดือนปีเกิดและเวลา ในสมองของจานทูนจะรวดเร็วมากในการคำนวณ และบทพยากรณ์อีกอันเหลือเชื่อ และสามารถย้อนได้หนึ่งชาติ
บอกตามตรงผมมันเชื่อคนยาก แต่ก็เฝ้าสังเกตศึกษา ซึ่งจากประสบการณ์ของผม การจะเข้าใจคนๆหนึ่งได้อย่างลึกซึ้งมันต้องใช้เวลาในการรับรู้ทางอายตนไม่ใช่เพียงรับรู้จากการมองเห็นได้ยิน
และอย่างน้อยก็เป็นการดูแลพี่เชื้อเท่าที่รุ่นน้องจะทำให้ได้โดยมิได้หวังอะไร แต่ต่อมาภายหลังถึงพบว่ามันเป็นการดูแลซึ่งกันและกันต่างหาก และ จานทูนได้ปฏิเสธการเป็นปรมาจารย์ว่าเป็นแค่สหชาติเท่านั้น
สิ่งที่ได้รับมาจากจานทูนมีมากมายเหลือเกินในช่วงสองเดือนครึ่งที่ผ่านมา อาทิ
การไม่ต้องจำ(รีเมมเบอร์)การใช้การระลึก(รีค๊อกไน๊)
การผูกดวงโดยไม่ต้องใช้ตำรา และการพิจารณาพยากรณ์
ตำราพิชัยสงครามไทย ยี่สิบเอ็ดบท
การใช้การสื่อสารทางจิต อันนี้ทดสอบเองได้ผล
การฝึกสมาธิเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในด้านต่างๆและหาวิธีการฝึกให้เหมาะสมกับจริตของตน
การนั่งอยู่ในหัวใจคน
การไม่หวังยศ ลาภ สรรเสริญ สุข ด้วยวิถีทางที่ไม่ดี
การไล่สว๊อตแมทริกจากอดีตจนถึงปัจจุบันทำให้เข้าใจเรื่องราวของคลื่นลูกต่างๆ
การมุมานะในการหาข้อมูลจนครบทุกแปดทิศ จนเกิดเป็นวสี
การดูดาวบนท้องฟ้า
การมีญานที่เกิดจากการวางแผนในอนาคต
และความมั่นใจในสติปัญญา
ผมมองดู จานทูน ซึ่งเป็นผู้คิดค้นมหายุทธศาสตร์ที่ทำให้เห็นว่า มีเพียงสิบจังหวัดที่ไม่มีมัสยิดตั้งอยู่และลูกหลานจะอยู่ลำบาก
เอกสารสรุปห้วงเวลาของประวัติศาสตร์ สองแผ่น ตั้งแต่ศรีวิชัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งตอบเรื่องความคิดความเชื่อของผู้ลี้ภัยจากเกาะมาอยู่ที่ปัตตานีที่มาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารแก่ขุนต่างๆในสมัยสุโขทัย
การทดสอบอีเอ็มเมื่อใส่เกลือลงไป
การปฏิบัติการข่าวสารที่แท้จริง
ผมมอง ผมเฝ้าฟัง สิ่งที่จานทูนพูด
มีโอกาสได้ใช้ในหลายๆงานจากผู้ร่วมกลายเป็นวิทยากรได้
ผมไม่ได้เทิดทูน
สหชาติเท่านั้น
เมื่อต้องจากกันด้วยหนทางของแต่ละบุคคล
ก็ไม่มีอะไรที่จะเหลือไว้นอกจากการระลึก
สิ่งที่ได้ไป จานทูน บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมจะต้องนำไปใช้ในอนาคต
และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีบังเอิญ
สะพั่ง สะท้านไมภพ - satanmipop at 1935.in.th
24 มีนาคม 2553 19:39 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
เมื่อตำแหน่งก็ไม่ต้องการ เงินที่นอกเหนือจากเงินเดือนก็ไม่ต้องการ
แล้วจะอยู่ทำไม
ว่าแล้วสองเกลอ สะพั่ง กับ จานทูน ก็วิ่งเข้าไปเก็บของในห้องพัก
สะพั่งใช้เวลาแค่สิบนาที กับของสามกระเป๋า
ส่วนจานทูนตอนที่สะพั่งเก็บของออกมาแล้ว จานทูนยังไม่ได้เริ่มเก็บของเลย
ในที่สุดก็ขนข้าวของมาที่สถานนีรถไฟ
ประดาลูกน้องหัวโจกขาเก๋าโคตระเกก็ตามมาส่งเป็นขบวน
จานทูนเพิ่งรับเงินจากหัวหน้าใหญ่มาและแกเรียกเงินนี้ว่าเป็นเงินดอกไม้ทอง
แกก็เลยแจกลูกน้องคนละพัน
สะพั่ง บอกกับจานทูนว่า พี่เหลือไว้พันก็แล้วกัน
ถึงสถานีรถไฟก็ใช้เงินที่เหลือไว้พันเสริมค่าตั๋วชั้นหนึ่งหาดใหญ่กรุงเต๊บ
ไม่นับค่าอาหารเย็นบนรถไฟชั้นหนึ่งและอาหารเช้าแถมค่าติ๊ป
จานทูน กับ น้าพั่ง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ๆ
และชื่นชมกับความบ้าและความเอาจริงอย่างรวดเร็วของกันและกัน
จานทูนบอกว่า น้าพั่ง กลับไปแล้วเผื่อพี่เรียกไปทานเหล้ากัน
น้าพั่ง บอกว่า พี่ครับ ผมไม่อยากไปครับ
ก็ในเมื่อมันไม่ต้องการอะไรแล้วมันจะต้องการทำอะไรเพื่ออะไร
จานทูนคิดด้วยสมองระดับไดนามิคส์แอบพลาย
แกก็หัวเราะเคี๊ยกๆ
จิบเบียร์คนละขวด
สามทุ่ม เกรงใจคนจัดเตียง เลยเริ่มจัดที่นอนและเข้านอน
ผม สะพั่ง หรือ ที่จานทูน ชอบเรียกว่า น้าพั่ง ชอบนอนหัวค่ำ และพยายามจะไม่เสพของมึนเมา และกลับไปจะเลิกบุหรี่
แต่ขบวนชั้นหนึ่งเนี่ยสูบบุหรี่ยาก
เลยต้องนอนหัวค่ำ
เช้ามาก็ได้ที่สูบ จานทูนเล่นซะทีเดียวหลายตัว ส่วนผม นิดหน่อยพอหายอยาก
กลับไปเลิกบุหรี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่กลัวลืมจริงๆ
บางซื่อ
จานทูน แบกของใส่หลังและถืออีกมือหนึ่งพร้อมโน๊ตบุคส์เหมือนอูตลงจากรถไฟมาได้ก็เหงื่อตกกีบ
ผมก็สองกระเป๋าหนึ่งโน๊ตบุคส์ก็แทบแย่เหมือนกัน
พอลงมา แท๊กซี่จอดอยู่
จานทูนบอกบ้านผมไกลให้ไปก่อน
ระดับไดนามิคส์แอพพลายไม่ต้องมีลีลา
ลาก่อนครับจานทูน
ว่าแล้วสะพั่งก็แบกของโยนใส่ในรถแท๊กซี่แล้วก็โดยสารรถแท๊กซี่ไป
ผมเข้าใจจานทูนดีกว่าแกจะขึ้นรถแกต้องโบกบุหรี่ไปก่อนอย่างน้อยสองตัว
เมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว
ผมไม่อยากเชื่อเลย
การเชื่อคำพูดของเมียเนี่ยได้ผลดีจริง
เป็นการเชื่อคำพูดเมียครั้งแรกนับตั้งแต่แต่งงานมาแต่ปี 2527
แต่ว่าวันนี้เมียยังไม่รู้
เพราะว่าขนาดจะกลับคนจะกลับเองยังเพิ่งรู้
คิดแค่ไม่ถึงห้านาทีพอบอกกลับก็กลับกันเลย
แต่ทว่าเมื่อมาถึงบ้าน
เมียทำตาค้างนิดหน่อย
เหมือนๆดีใจ
ตกกลางคืน เหมือนเคย
ก่อกวนเมียดูละครหลังข่าวเหมือนก่อนไป
เช่นเดิม
เมียผมคงคิดอย่างงี้
ไกลกันก็คิดถึง ใกล้กันก็รำคาญ
ผมกลับนอนอมยิ้มหลับตาพริ้ม
อ้า
พอแล้ว
มันดีจริงจริงอย่างนี้นี่เอง