26 กันยายน 2553 20:32 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
การอยู่กับบ้าน ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเนี่ย ทำให้เกิดความน่าเบื่อ หรือเสพติดจนกระทั่งกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้อย่างไม่ยากเย็น
ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ ทุกครั้งที่ได้รับใบอนุญาตให้ออกไปเที่ยวนอกบ้านได้ ก็มีแนวความคิดพิสดารอยากทดสอบเรื่องราวที่คิดไว้อย่างมากมาย
มุขที่ว่าต่อไปนี้เป็นความสามารถเฉพาะบุคคลไม่ห้ามที่จะลอกเลียนแบบแต่ระวังเจอกระเทยควายก็แล้วกัน
มุขที่ว่าคือ มุขเก
คือในการไปเที่ยวคาเฟ มักจะมีหญิงสาวหรือผีเสื้อราตรีบิน
ฉวัดเฉวียนเฉี่ยวไปถูไถไปมา
ผม สะพั่ง ยิ้มกริ่ม เอาละวะลองดู สะพั่ง บอกทางซ้าย ทางขวา ว่าผมเป็นเก
ในใจนึกเสมอว่าเกเร เสียมากกว่าจะเป็นเกย์แบบนั้น
ทว่าการทำแบบนี้มันกลับทำให้เราหัวใจพองโต
เพราะแทนที่จะต้องใช้ลีลาวาจาท่าทางหยอกไก่ของเสือเก่า กลับโดนจับมือให้ไปจับของหวงกันแบบน่าตกใจ
นึกในใจอยู่ว่ามุขนี้ใช้ได้ และจะใช้ต่อไป
มุขที่สอง มุขอวตาร
มุขนี้เป็นมุขที่ผม สะพั่ง สมเพช ตนเอง
คือพอเหล้าเข้าปากแล้วดันใจดี
ผมถามกับปิตันว่ามีน้องคนไหนที่เดือดร้อนเรื่องเงิน
เธอก็บอกว่าเดือดร้อนทุกคน
ผมก็บอกว่าเอาที่เดือดร้อนมากๆ
ในที่สุดก็ได้มาหนึ่งคน
ผมควักตังให้เธอไปอย่างไม่ได้ทำอะไร
และไม่ต้องการอะไร
และก็แจกให้กับคนอื่นๆเท่าที่จะเพียงพอกับค่าเหล้าและกับ
อันนี้ไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ทว่าจะพบกับเรื่องราวที่เปลี่ยนไปในตอนจบ
มุขสองมุขนี้เป็นมุขเพิ่งคิดได้ใหม่ แต่มุขเก่าก็มีอีกมากแต่ยังขี้เกี่ยจเขียนอยู่ วันหลังค่อยนำมาตีแผ่นประจานให้โลกรู้
สำหรับวันนี้ ขอบพระคุณที่ติดตามผลงาน
26 กันยายน 2553 20:18 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
หน้าตึกเพชรสว่าง มีชายคาและถนนใต้ชายคาสำหรับให้รถจอดได้ ถัดออกไปเป็นท่าน้ำ และท่าน้ำนี้เองได้มีจอกแหนกลุ่มหนึ่งลอยนิ่งๆอยู่ก็แปลกดี ประดาจอกแหนกลุ่มนี้กลับไม่ไหลลอยล่องออกไปตามกระแสน้ำ
สะพั่ง สะท้านไมภพ ยืนมองดูจอกแหนดังกล่าวอย่างพินิจ
มันช่างเหมือนตัวตนของเราอย่างยิ่งในปัจจุบัน ณ บริบทนี้ ยังคงลอยนิ่งๆตรงนี้ หรือมาทำงานที่นี้ แต่ทว่าในอนาคตย่อมจะต้องลอยล่องไปแน่
การที่มาทำงาน ณ ที่แห่งหนึ่งนั้น บางครั้งมันดูเหมือนกับว่าเป็นความต้องการส่วนบุคคล หรือในความลึกล้ำในจิตใจของตน แต่กับสะพั่ง แล้วย่อมไม่ใช่ สะพั่ง มาทำงานตามประสงค์ของสวรรค์ที่ได้ลิขิตไว้แล้ว การมาก็ได้ทำหน้าที่ให้กับที่ทำงานได้อยู่รอดกับงานที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำได้ แต่ทว่าสะพั่ง กลับทำได้อย่างสำเร็จ ตราบใดก็ตามที่ยังมีความจำเป็นจะต้องช่วยเหลือในการทำงาน ณ ที่นี้แล้ว สะพั่ง ก็ยังต้องคงอยู่ทำให้ด่อไป
มีวันหนึ่งมีกระดาษแผ่นหนึ่งมีพระราชโอวาทบทหนึ่ง ผมเห็นความมีคุณค่าของกระดาษใบนั้น ใช่เลย ผมกลับมาจากสถานที่ที่ได้รับ แล้วเอามาแปะข้างฝาที่ทำงาน และอ่านอีกหลายๆเที่ยว ใช่เลย
ต่อความหลงลืมตนในการทำงานของผม ซึ่งบางครั้งก็ร้อนแรงออกแนวซาดิสต์และถึงขึ้นวิปลาส แต่ทว่าด้วยสติสัมปชัญญะที่ระลึกรู้ได้ทัน จึงสามารถลดระดับดีกรี และกลั่นกรองให้ผลออกมาในแนวทางที่เกิดประโยชน์แต่ส่วนรวมก็เท่านั้น แต่ทว่าด้วยความที่ยังเล็ก ไม่สามารถคะคานอะไรได้ต้องปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาว่ากันไป และสลดใจในความที่จิตใจของเขาที่ยังไม่ถึงขั้นพอ
ก็เท่าที่สวรรค์กำหนด
จอกแหนก็เหมือนสะพั่ง ถึงเวลาไปก็ไป
ในการที่ทำงานด้วยหัวใจอย่างมีสติปัญญาพร้อม
ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้เรื่องราวได้อีกมากมาย
สามารถมีหัวใจที่อบอุ่น
สามารถทนต่อความเลวร้ายเล่ห์ลิ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และยังสามารถสร้างความเกรงใจให้อย่างไม่เคยมาก่อน
เริ่มเห็นเรื่อยๆ
กับการทำความดี
อย่างที่เคยเขียนไปแล้วในบทก่อนๆโน้น
ว่าการทำความดี ผลที่ได้ก็ต้องเป็นความดี แต่ก็ต้องใช้การพิจารณาให้ลึกๆถึงจะชัดเจน
เป็นเพียงแค่จอกแหนก็พอ
ขอบพระคุณที่ติดตามผลงาน
22 กันยายน 2553 21:40 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ตอนเช้าผมต้องไปสัมมนาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
หะแรกก็นึกเสียวๆที่ต้องปะฝีปากและสติปัญญากับบรรดาด๊ากเตอร์ต่างๆในแง่มุมของนักวิชาการ
แม้จะใช้รีค๊อกไนท์ แต่ก็ต้องมีอะไรไปบ้างและในตอนเย็นก็ต้องมีงานเลี้ยงและรับปากไว้ว่าจะเป็นโฆษกให้
เอ สะพั่ง จะบ้างานเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
แต่ทว่าสะพั่งย่อมไม่คิดอะไรนอกจากเรื่องที่ต้อง
ทำก่อน ในความคิดของคนเราย่อมต้องคิดอะไรที่มักจะเกินไปกว่าความเป็นจริง
ความจริงภารกิจของผมก็แค่เรื่องเดียว
แต่ทว่าผิดคาด เรื่องที่ต้องพบก็ไม่ยากเย็นไม่ต้องออกแรกไม่ต้องเผยไต๋วิสัยทัศน์ ในตอนแรกกะเอาเฉพาะเรื่องที่รับผิดชอบ แต่ทว่ามันได้ความรู้มากมาก จึงตัดสินใจยังไม่ไปงานเลี้ยงเอาเรื่องวิชาก่อน
ในที่สุดงานสัมมนาหรืองานในหน้าที่ก็เลิกรา
สะพั่ง โบกรถปรื๊ดไปงาน
ทว่างานกลับเลิกไปแล้ว
สะพั่ง ก็ไปก็เจอกับส่วนที่เหลือที่ยังไม่ไป
เฮนเนสซ๊ขวดใหม่เปิด
ความกลมกล่อมของมันสุดบรรยาย
คุยไปโม้ไปกระดกวาบๆเข้าไป
ในที่สุดสองทุ่มจะกลับแล้ว
ความจริงในความคาดคิดกะกลับไม่เกินเที่ยงคืน
แต่เนี่ยแค่สองทุ่ม
แต่ทว่าผมสะพั่ง สะท้านไมภพ รู้ความจริงอย่างหนึ่ง
ว่าภรรยาดีที่สุดแล้ว
ดังนั้นโดดขึ้นแท๊กซี่กลับบ้านทันที
ภรรยาตกใจว่าทำไมมาไว
ผมมองนาฬิกาสามทุ่มตรง
ผมมึนนิดๆเนื่องจากเฮนเนสซี่เหลือประมารณก๊กหนึ่ง
ภรรยาจะทำกับข้าวให้กิน
แต่ผมไม่ยินยอม ผมคว้าไข่สองใบ คว้ากระทะ ราดน้ำมัน แม้ยังคงมึนอยุแต่ทว่าไข่ดาวสองฟองก็ทุบและเทไปเรียบร้อย ผมรีบไปตักข้าวสวยเย็นๆมาไข่สุกพอดี โปะไข่เข้าไป เอ๊ะน้ำปลาพริกมะนาวหอมแดง อยุ่ข้างหน้า
อุว้าว พอดี ผมตักน้ำปลาราด
แล้วไปนั่งกิน
กินเสร็จจะนอน
เอะอายุมากแล้วกินข้าวแล้วนอนเด๋วหลับไปอาหารไม่ย่อยแน่เลย
จึง
ได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ขึ้น
เรื่องนี้ต้องคิดนิดหนึ่ง แม้ว่าจะเขียนตอนเมามายบ้างก็ตาม
คิดสักนิดหนึ่งนะครับ
ขอบพระคุณที่ติดตามผลงานครับ
17 กันยายน 2553 20:56 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ใบหน้าของเขา เจ้านายของผม มันเป็นใบหน้าที่สุดแสลงที่ไม่อาจทนดูนานๆได้ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าไม่หล่อ แต่ทว่าจิตใจ และสติปัญญา ความคิด กลับอยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุง
ผมสะพั่ง ได้แต่ส่ายหัว คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน มีแบบนี้เยอะๆ ก็ไม่ต้องลำบากมือกินแรงในการรับมือ เพราะว่าหากแกเชื่อในสิ่งที่ผมเสนอ สิ่งที่ผมเสนอล้วนแล้วแต่มุ่งหวังที่จะเอื้อต่อส่วนรวม และหน่วยไม่มีคิดจะล้างผลาญใคร แม้แต่คิดจะเอาชื่อเสียงแก่ตนเอง แต่สติปัญญา และความคลาดเคลื่อนของวงจรไฟฟ้าในสมองผิดปกติจึงทำให้แปลกไป
ทุกครั้งที่คิดว่าจะเป็นระดับประธานกรรมการ หรือผู้อำนวยการสำนัก ผมจะต้องคิดได้ตามมาว่า มันจะบ้าหรือเปล่าวะ และทุกครั้งที่ทำงานอย่างทุ่มเทและลืมตัวอยากได้ตำแหน่ง ก็จะต้องขำว่าเผลอเป็นอยากเป็นเชียว
นี่ก็แสดงว่าตำแหน่งใหญ่ๆ มีอำนาจ มันอาจเป็นความต้องการที่สุดและอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจก็เป็นได้
ในยามนี้ ยามที่ปัญหา ยามที่ความเครียด ไม่ได้กลายเป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจอีกต่อไป แต่ทว่ากลับกลายเป็นเรื่องสนุกที่ควรจะต้องมี คิดถึงตอนนี้ สะพั่ง ก็ต้องหัวเราะเคี๊ยกๆอีกแล้ว
แม้ว่าอยากจะปักหลักฐานที่ใดที่หนึ่งในโลก อยากจะตั้งตัวเป็นใหญ่นะจุดหนึ่งแต่ทว่ายังไม่ถึงเวลาสักที ในตอนนี้ เป็นไปได้ไหมว่า ในตอนนั้น เป็นครูดาบ บ้างก็ว่าเป็นจตุรงคบาท บ้างก็ว่าเป็นมหาดเล็กใกล้คิดพระมหากษัตริย์ ผมก็คิดถึงคำพูดของจานทูนที่ว่า ไม่มีบังเอิญอย่างแน่นอน มีแต่เหตุและผล หรือเป็นว่าในปัจจุบัน ณ ที่ทำงานแห่งนี้ ผมจะต้องมาปรับให้กับพวกเขาทั้งหมดเลยหรือเนี่ย
มันกลับเป็นงานที่ยากและท้าทายยิ่งในการจะปรับเปลี่ยนทัศนคติของคน
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้รับเกียรติให้พูดเรื่องการแก้ไขปัญหาหมิ่นสถาบัน
ผมได้กล่าวออกไปถึงวันที่ 23 ต.ค.ที่เป็นวันที่ผมจะต้องไปวางพวงมาลาให้ได้ เพราะเหตุที่ว่าขอพระองค์ท่านไว้เยอะ รวมทั้งรถมาสด้าสามสองสามจีแอลเอ็กซ์ของผมด้วย แม้จะฝนตกพรำๆเพียงใด ก็ต้องไปให้ได้
สิ่งที่พูดออกไปล้วนแล้วแต่คิดทำแบบนั้นทั้งนี้น
และบางครั้งก็เป็นเรื่องจริงที่ปาฏิหารย์
หลังจากพูดจบผมบอกกับคนฟังว่าต้องเอาไปคิดอีกครั้ง
แต่แป๊บเดียวมีคนที่นึกว่ามาจากสถาบันหนึ่งแล้วเก่งสรุปออกมา
ผมนึกขำในใจ คนละเรื่องเลย ผมกำลังจะบอกกับผู้ฟังทั้งหลายต่างหากว่า วิธีแก้ไขปัญหาเรื่องนี้คือ ต้องใช้หัวใจพูดครับ
ผมเฝ้ามองหลายภาคส่วน มองลึกเข้าไปถึงคลื่นสมองที่แผ่ออกมากระจบกับจานรับสัญญานของผม แล้วก็ยิ้มๆ หลากหลายอย่างแตกต่างแบบเนียนๆ
ผมนั่งคิดถึงกลศึกที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาในแต่ละวัน และก็ลองใช้ดู มันก็ทำให้พอเห็นแนวทางหากมันผิดก็สมคล้อยตามสถานการณ์หรือขี่สถานการณ์ไปเลย แต่ส่วนมากหากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดในการตอบแล้วมักจะไม่พลาด
สะพั่ง สะท้านไมภพ ไม่เคยพลาด
แต่ในช่วงบทโหดที่เมื่อก่อนไม่มี ทว่าตอนนี้มีแล้ว ก็เลยสนุกสนานกับชีวิต สิ่งที่ทำล้วนแล้วแต่ตีแผ่เหตุและผลให้โลกรับรู้ได้ มีแต่สมองคิดเรื่องงาน สำหรับเรื่องเงินไม่คิดปล่อยให้เทพยาฟ้าดินท่านเห็นสมควร ชีวิตก็ไม่ยี่หระกับมันเท่าไหร่ อยู่ได้ถึงแค่ไหนก็เอาแค่นั้น
ในการทำงานบางครั้งก็ครุ่นคิดเสมอๆว่าสิ่งที่เราต้องการจะเปลี่ยนแปลงนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรายากลำบากหรือเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมแบบไม่ได้คิดมากไปหรือเปล่า สะพั่ง ยิ้มแย้มให้กับตนเอง ต้องคิดก่อนหลายๆครั้งจึงจะใช้ได้
สำหรับงานนี้ ทำเพื่อสิ่งเดียว
ไม่สนใจจริงๆสำหรับคำด่าหรือคำชม ไม่สนใจจริงๆ ไม่ย้ายหนีปัญหาเพราะว่าบางทีต้องมาทำงาน ณ ตรงนี้ ในบริบทนี้
ไม่รู้ว่าจะได้แค่ไหน จะสำเร็จผลหรือไม่
แต่สิ่งที่สะพั่ง สะท้านไมภพ ทำจะต้องสำเร็จโดยไม่มีข้อแม้หรือข้ออ้างของความไม่สำเร็จ
หากคนรอบข้างผม อาจบางครั้งโดนทักว่าเคยเป็นโน่นเป็นนี่ในอดีตชาติ ก็ขอให้เข้าใจว่าผมจะทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติใหม่ให้จงได้ และจะสนุกสนานกับการที่ได้เจอกันในชาติปัจจุบันเป็นต้นไป
สุนัขบางตัว ไม่แปลกใจ โกงเขามาเยอะในอดีตชาติ แต่ชาติพันธ์สุนัขก็แตกต่างกันบ้าง
ณ วันนี้ แม้หยุดอยู่กับบ้านยังเป็นแผนการณ์ที่จะทำให้เกิดพลวัตรขึ้นได้ที่จะส่งผลดีต่อไปในการทำงานในอนาคต
แนวคิดใหม่ผุดขึ้นปานภูเขาไฟระเบิด ความรวดเร็วกระฉับกระเฉงได้กลับมาอีกครั้ง เปลวเพลิงพลังพวยพุ่งรอบกายเจิดจ้าสีสรร
อายุ50แล้ว
บางทีต้องใช้สติปัญญาให้มากๆกว่าใช้แรงงานได้แล้ว
นึกได้ถึงคำจานทูนเตือนสติเสมอ
บอกได้คำเดียวว่า
เพิ่งจะสนุกจริงๆก็ตอนนี้แหละ ตอนที่ครบเครื่องอย่างสมบูรณ์
17 สิงหาคม 2553 07:11 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
มาสด้าสามสองสามจีแอลเอ็กซ์สีเทายังคงวิ่งบนเลนเดิมบนถนนพหลโยธินในเลนขวาราวเวลาสี่โมงเย็น สะพั่ง ในวันนี้ตั้งใจว่าจะขับแบบอะลุ้มอะล่วย จะให้ทุกคนไปก่อน และจะไม่โกรธหรือผรุสวาทให้ตัวเองฟังในรถอีก
ธรรมดาครับการจะทำความดีสักอย่างหนึ่งจะต้องมีมารมาผจญ และหลังจากคิดไม่กี่นาทีก็มาแล้วเป็นรายแรก เธอ เป็นผู้หญิงอายุราวสี่สิบปี เธอแซงมาทางขวา เส้นขวามันเป็นเส้นทึบสีเหลืองและมีพื้นที่ตีตารางสีเหลืองเธอจะปาดเข้ามาให้ได้ มีหรือคนอย่างสะพั่งจะยอม ชนเป็นชน แต่ก็หลบนิดหนึ่ง คือว่าอันที่จริงแล้วสะพั่ง ก็เป็นเพียงปถุชน ไม่รู้ว่าวินาทีที่ขยับพวงมาลัยหนีความดื้อนิดหนึ่งนั้นเป็นความกลัวหรือเปล่า ผมจอดรถมองดูในกระจกหลังเห็นเธอส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจหรือจะบอกผมว่าทำตัวงง ผมมองดูเธออีกที เมื่อตะกี้มีโครงๆนิดหนึ่งอาจมีการปะทะทางด้านกันชนขวาหลังก็ได้ แต่ผมสะพั่ง มองดูว่าเธอจะออกมาไหม ไม่ออก ผมก็ขำผมก็ไม่ออก เพราะว่าผมไม่ได้ให้เขาชนเพื่อที่จะเอาเงิน แต่จะเอาความมัน
ก็ผ่านไปแล้ว ขับมาอีกช่วงหนึ่งใกล้บ้านแล้ว รถจอดติดให้รถอีกเลนหนึ่งเลี้ยวขวา พอรถเริ่มเลื่อน มอเตอร์ไซด์แว้บเข้ามาเฉี่ยวกันชนซ้ายหน้า มอเตอร์ไซ์ปัดนิดหนึ่งแล้วทำท่าว่าจะทรงตัวไม่อยู่แต่ก็ทรงตัวอยู่ เสร็จแล้วเขาลากรถมาจอดทางขวาของรถผม ๆ ไขกระจกขึ้นแล้วดูลีลา เขากลับมองซ้ายมองขวาทีรถมอเตอร์ไซด์ของเขาอยู่จนผมชักลำคาญ ผมจึงถามไปว่าโอเคไหม มันยังคงทำท่าทางมองหารอยข่วนบนรถของเขาอยู่
ผมจึงตะโกนออกไปว่าง
โอเคไหม
กรูยังไม่ได้ดูรถกรูเลยว่าบุบหรือเปล่า
และรถของมรึงเองก็ขับปาดกรูเอง
โอเคหรือเปล่า
เขาพยักหน้าให้ผม
ผมปิดกระจกแล้วขับรถกลับบ้านต่อไป
ในใจของสะพั่ง ครุ่นคริด
นี่ขนาดตั้งใจจะขับรถแบบเรียบๆพอเพียงแล้วเชียวนา
แต่ทว่าสิ่งที่ต้องเกิดมันก็ต้องเกิด
นั่งนึกอีกทีนี่ถ้ามันไถลล้มลงไปสงสัยต้องเสียเงินแน่
ก็ถือว่าความตั้งใจที่ดีมาก่อนแล้วย่อมจะทำให้หนักกลายเป็นเบา
สะพั่งก็ผิวปากกลับบ้านและลืมแล้วซึ่งเหตุการณ์
และคิดว่าหากเอาจุดสี่ห้ามาด้วยกับตัวตอนขับรถ
และนำกระสุนมาเพียงสามแม๊ก
คงจะไม่พอยิงแน่
หากใจร้อนคงต้องยิงเป็นพันนัดในหนึ่งเดือน
ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ รักรถคันนี้มากที่สุดเลย
มาสด้า สามสองสาม จีแอลเอ็ก สีเทา
แม้จะเล็ก เครื่องพันสี่ร้อยเก้าสิบเก้า แตรรถบันทุก เพราะต้องหนักไปในทางขู่ และ ชอบขับตามหลังผู้ใหญ่ (รถบันทุก) แต่ถ้าหน้าใหญ่แล้วหลังใหญ่ด้วยแล้วต้องระวัง อัดก๊อบปี้
เครื่องยนตร์ขนาดนี้ขับร้อยสีสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงยังเฉยๆ แต่ทว่าไม่อยากทำเพราะว่าพี่ตำรวจชอบโบกเป็นประจำหาว่าขับรถเร็ว แต่ในกรุงเทพเจอประจำ จนผมชักสงสัยว่า รถผมเป็นอะไร ตำรวจจึงชอบโบกเรียกนัก อ้อทะเบียนรถประจำปีนั่นเองผมวางไว้ไม่ได้ติดกระจก จึงทำให้ตำรวจเรียกเป็นประจำ
และสาเหตุอีกอันหนึ่งที่รักรถคันนี้มากเลยอย่างมากมายเพราะว่า
รัก
ติดตามผลงานของกระผมได้ที่
www.1935.in.th
ผลงานเขียนเรื่องราวต่างๆที่ไม่ได้นำลงในนี้
ขอบพระคุณที่ติดตามผลงานครับ