17 กรกฎาคม 2551 16:33 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ที่พันธ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ร้านจตุคามพุทไธสวรรค์ สะพั่งสะท้านไมภพ ได้เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยียนในฐานะลูกค้าเก่า ที่ร้านนี้มีน้องหัวเหม่งคนหนึ่ง และน้องสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่สะพั่งสะท้านภพ ก็ตั้งใจไปแวะเวียนเยี่ยมชม เพื่อที่จะหาจตุคามรามเทพรุ่นไหว้ครู ๔๘ เนื้อเงินเพื่อนำมาห้อยคอเป็นศิริมงคลยิ่งแก่ตน
พี่เหม่งแนะนำ ว่ารุ่นดังกล่าวยังไม่มี แต่เอารุ่นนี้ก่อนไหม รุ่นเศรษฐีเงิน หกพันบาทเอง สะพั่งได้ยินแล้วก็ต้องคิด แต่ทว่าเหมือนจะมีอะไรดลใจ ว่าน่าจะได้ของที่ดีกว่านี้ สะพั่งคิด บางครั้งของดีที่จะได้ก็ต้องมีความตั้งใจดีจริงๆถึงจะได้มา สะพั่งจึงภาคเสธ
พี่เหม่งจึงคว้าตำรามาเปิด ตำรานั้นคือตำราจตุคามรามเทพวัดพุทไธสวรรค์ แล้วพี่เหม่งก็เปิดไปหน้าเหรียญรูปไข่ทองคำ พี่เหม่งแกก็ชี้ว่าองค์นี้ตอนนี้เหลือแค่สามแสนกว่าๆ ลงมาเงินหน้ากากทองคำแท้ องค์นี้ก็สามหมื่นห้า สร้างแค่แปดสีบเจ็ดองค์ และลงมาบรรทัดล่างเป็นเหรียญรูปไข่เงินสร้างหกสิบหกเหรียญ ไม่ได้บอกราคาไว้
ผมสะพั่งสะท้านไมภพ เฝ้าดูความสวยงามจากภาพและก็อยากจะได้แต่ทว่าจำนวนเงินมันสูงมากทีเดียว
ขากลับแม้พี่เหม่งจะขยั้นคะยอให้เอาเศรษฐีเงินติดไม้ติดมือไปก่อนแต่ทว่าผมต้องขอปฏิเสธเนื่องจากว่าใจคอคิดแต่เหรียญเงินหน้ากากทองคำแท้เท่านั้น
ในเว็บจตุคามแห่งหนึ่ง มีน้องคนหนึ่งที่ผมเคยเช่าจตุคามแกเป็นประจำ แกได้ลงรุ่นไหว้ครูปี๔๘ พอดีและหน้ากากทองคำแท้ด้วย คุณคิดว่าถ้าคุณเป็นผมจะทำอย่างไร
น้องคนนี้เขาปล่อยจตุคามแต่ละองค์ บางองค์ก็เป็นทองคำซะส่วนมาก หรือไม่ก็ในระดับไฮเอน ยิ่งฟังเสียงพูดทางโทรศัพท์แล้วยิ่งรู้ว่าหนุ่มๆเลย
เมื่อมันทนไม่ไหวก็โทรไปทันที
ผมสะพั่งสะท้านไมภพ และ เซเว่นส์ ได้นัดเจอที่ร้านแมค แถวๆเซียร์รังสิต เมื่อน้องเขามาถึง ผมนับเงินแบ็งพันให้แกไปปึกหนึ่ง และผมก็ใส่พระกับสร้อยที่เตรียมไป
น้องเซเวนแกนำจตุคามทองคำมาให้ผมชมสามสี่เหรียญ รวมทั้งที่แกใส่อีกสองเหรียญ ผมมองหน้าน้องเขา นัยน์ตาแป๋วกลม ริมฝีปากบาง และลีลาการพูดที่นิ่มนวล มีราศี ก็ทำให้คุ้นเคยได้มากขึ้น และสิ่งที่ผมอดยิงคำถามออกไปไม่ได้ก็คือ ประสบการณ์
น้องเซเวนส์บอกว่าเวลาที่อยากได้องค์พ่อองค์ไหนไว้บูชาน้องเขาก็จะอธิษฐานขอองค์พ่อมาบูชา แล้วในไม่ช้าก็จะได้
เมื่อผมเห็นว่าจะมืดแล้วผมก็เป็นห่วงน้องเขาว่าพกทองคำมาเยอะเกิน ก็แยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่า
ขณะนั้นเองฟ้าฝนฟ้าผ่าลมพายุได้กระหน่ำอย่างบ้าครั่ง ผมออกมายืนดูความบ้าครั่งของดินฟ้านอกร้านแม๊ค ผมมองเห็นหลังคาแผงลอยปลิวไปปลิวมาตามแรงลม ฟ้าผ่าครืนครั่นอย่างจะระเบิดห้าง พอเบาลงหน่อย ผมเหลือบดูนาฬิกาจะทุ่มอยู่แล้ว ผมหยิบมือถือมาปิด และคิดในใจว่าแม้จะมีพระดีอย่างไรก็ตามแต่ก็อย่าได้ประมาท พอเห็นได้จังหวะน่าจะเบาสุด ผมก็ผ่าสายฝนตรงไปยังป้ายรถเมล์ทันที
เปรี้ยง ๆ แปรบๆ
สะพั่งสะท้านไมภพ นั่งบนรถแอร์สายห้าศูนย์สามกลับตลาดสพานใหม่ น้ำท่วมเจิ่งนอง รถเมล์แต่ละคันไม่รู้ว่าสภาพเป็นอย่างไร มองเห็นกันไหม หรือวัดดวงขับกัน ในความรู้สึกของผมกับได้ในสิ่งที่สมใจ ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมได้ของที่ผมรักก็หวังว่าจะไม่เกิดความอยากได้ในสิ่งอื่นต่อไป
ก่อนหน้าห้อยองค์นี้ ผมได้ห้อยเหรียญเงินเหนือดวงวัดพุทไธสวรรค์
ก่อนหน้าเหรียญเงินเหนือดวงวัดพุทไธสวรรค์ ผมอยากได้เหรียญมหาปราบเงินวัดพุทไธสวรรค์
ฯลฯ
14 กรกฎาคม 2551 17:19 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
สะพั่งสะท้านไมภพ นั่งฟังไอ้น้องปอน พูดอธิบายหูผึ่งตาแป๋ว สะพั่งมองที่ชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบเจ็ดปี ตากลม หล่อเหลาเอาการ จะบ้าเหรอพั่งมิใช่เกฮ่า สะพั่งสะบัดหัวกับความคิดบ้าๆบอๆแวบๆหนึ่ง เขากำลังสนอกสนใจฟังเรื่องราวที่พิสดารของอดีตภิกษุหนุ่มที่ต้องออกจากการเป็นพระแต่ก็ยังไม่ได้เปรียญสาม แต่พอเขาตอบคำถามเสร็จไอ้หนุ่มนั้นต้องย้อนกลับมาที่การโฆษณาสินค้า ที่ทานไปแล้วดูเหมือนจะบำรุงสุขภาพ จนสะพั่งรำคาญ แต่เอาละไอ้ความอยากรู้เนี่ยก็เลยทำให้ต้องถามซักไซร้ไล่เลียงกันหน่อย
ถามหน่อยครับน้องพอรู้ไหมว่า อย่างผมเนี่ยจะได้ญานชั้นใด
เอาแล้วไง เห็นไหมสะพั่งคิด หลวมตัวจนได้ การที่ออกปากถามแม้ปากแข็งว่าจะไม่เชื่อ แต่ทว่าเมื่อออกปากมาแล้วก็ต้องรู้ตนเองว่าตนเองกำลังจะเริ่มเชื่อซะแล้ว เพราะผู้ไม่มีวันเชื่อชาตินี้จะไม่มีวันถามเป็นอันขาด สะพั่งกลับมาสู่คำถามที่ยิงออกไป
ไอ้น้องเขาหลับตานิดหนึ่งแล้วตอบออกมาว่า แค่ขณิกะครับ
สะพั่งแทบจะบ้าตาย แค่ขณิกะเองหรือ ในใจก็มั่นใจว่าไม่ใช่มั้ง เพราะอ่านตำรามาหลายๆแล้วก็ไม่น่าจะใช่ แต่เอาละวะตอนนี้บางอย่างทำให้เริ่มเชื่อได้
เอ แล้วเราจะทำอย่างไรให้รู้ว่าพระองค์นี้จริงหรือปลอม
ก็ต้องฝึกสมาธิให้จิตมีพลังครับ แล้วจะรับรู้ได้ด้วยใจว่าของจริงหรือของปลอม
ฟังไปฟังมาก็ถามถึงขั้นตอนการนั่ง แต่อย่างว่าละครับ ไอ้น้องปอนแกก็ไปของแกตามทางของแก แต่ผมซึ่งได้เคยอ่านตำรามามากหลายเล่มแล้วไม่สงสัยเพราะว่าเท่าที่เจอไม่ค่อยมีใครเหมือนกัน
สะพั่งคิด สะพั่งก็รับฟังเห็นน้องเขาตอบจนเหนื่อยคอแห้ง ก็จำเป็นต้องเอาใจหน่อย
สุดท้ายผมก็ไปส่งเขากลับบ้านด้วยความขอบคุณที่เขากรุณาให้ความรู้แก่ผม แต่ทว่าการจะเชื่ออะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องเชื่อหมดทุกๆเรื่องถึงจะยอมปลงใจเชื่อกันได้ หากยังมีจุดหนึ่งจุดใดที่ผมสงสัยแล้วละก็ จะให้เชื่อหมดใจละไม่มีวัน
ผมนึกถึงไอ้พวกไฮปาร์คกลางกรุง มันก็ว่าของมันไปเรื่อยๆ จริงมั่ง โม้มั่งตามแต่ว่าคนไหนจะขัดประโยชน์มัน เขาก็จะว่าเป็นดอกๆไป เวลามีอย่างงี้มาทีก็มีรัฐบาลใหม่มาที ไอ้พวกที่ไฮปาร์คเนี่ยแหละก็จะกลับมาเป็นรัฐบาล แล้วมันก็วนเวียนไปเวียนมาอย่างนี้
สักครู่นายโทรมา เอ้าตรวจสอบหน่อยเห็นว่ามีการเคลื่อนย้ายกำลัง รถถังที่ทางเหนือ
ผมสะพั่งก็ต้องรีบเช็คทันที ผมรักทุกฝ่ายครับ
แต่ผมกลับคิดว่าหากทหารอยู่เฉยๆก็คงจะดีที่สุด ปล่อยให้แต่ละพวกกัดกันจนหมดแรงก่อนและเอาไม่อยู่เดี๋ยวเขาก็มาเชิญไปปกครองเองแหละ
เห็นมะครับ เอาแล้วไง
6 กรกฎาคม 2551 08:13 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ในห้องประชุมแห่งหนึ่งของมหานครใหญ่แต่เสื่อมโทรมทางด้านจิตใจสนองกับความต้องการได้อย่างสอดคล้องกับทุกชนชั้นได้อย่างน่าศึกษา อีกทั้งการปกครองของรัฐที่มีความแตกแยกแปลกไม่สามารถที่จะยึดเป็นรูปแบบที่คลาสสิคได้เลย คลับคล้ายกับว่าเป็นหลักยกเว้นในวิชาภาษาอังกฤษ ที่ โซลเดอร์ ให้อ่านเป็น โซลเย่อร์ อะไรยังงั้น นี่ถ้าหากนักเรียนที่ขี้เกียจเรียนหนังสือรู้ว่าจริงๆแล้วบ้านเมืองก็มีข้อยกเว้นมากมายจนมิอาจจะใช้ความเข้าใจให้มากกว่าความจำได้แล้วละก็ พวกนักเรียนเหล่านั้นคงจะเลิกเรียนตั้งแต่เจอไอ้ข้อยกเว้นอย่างว่าตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
ในขั้นตอนการเลือกประธาน ในที่ประชุมเห็นยศฐาบันดาศักดิ์ของผม แล้วทุกคนต่างก็จะเทคะแนนให้ มากกว่า คนที่ไม่มียศฐาบันดาศักดิ์ ผมหัวเราะในใจ เคี๊ยกๆๆ ข้อดีของคนที่มียศก็คือ ทำให้เขารู้ว่ามีประสบการณ์ในการทำงานมามากแค่ไหน แต่ทว่า สะพั่งคิด บางท่านมียศก็จริงแต่ก็อาจหามีปัญญาไม่ ดีแต่ทำงานให้นายรู้สึกพอใจไปวันๆโดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องหรือผิดศีลธรรมแต่อย่างใด
ทุกคนมีความพยายามจะให้ผมเป็นประธานเสียให้ได้ ผมสะพั่งก็คิดไปอีกว่า เออ นี่แหละ คนภายนอกเขายังให้เกียรติแต่ไอ้พวกเดียวกันเนี่ยมันมีแต่ลบหลู่เกียรติพวกเดียวกันเอง ดีแต่ตีหน้าผู้ดี ทำตัวสูงศักดิ์ อวดร่ำรวย และแสดงความใกล้ชิดต่อเจ้านาย ชีวิตจริงๆก็เพียงแค่หามาให้นายได้ ก็เท่านั้น
ผมยกมือและมองหน้าทุกคนว่า หากจะให้ผมเป็นประธาน แล้วก็ควรจะทราบไว้ก่อนว่า ผมจะบริหารอย่างนี้กล่าวคือ หนึ่งจะไม่สั่งการ สองจะไม่ใช้แบบเดิมๆในการบริหาร เช่น บันทึการประชุมอาจไม่ต้องมีแต่อาจสรุปสั้นๆว่าที่ประชุมให้ใครทำอะไรเสร็จเมื่อไหร่งบกี่ล้านก็เท่านั้น
สมาชิกคนหนึ่งยกมือ อยากขอทราบประวัติการของผม สะพั่งสะท้านไมภพ ผมยิ้มให้ครับแล้วชี้แจงว่า ข้อหนึ่ง เรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ผมไม่อยากเป็นประธาน และข้อสอง หากยังไม่ชัดเจนก็ให้กลับไปดูข้อหนึ่งใหม่
การชี้แจงแบบนี้ดันเกิดไปตรงกับนิสัยของคนไทยพอดีคือ ใจถึงแบบโง่ๆ พวกเขาจึงได้มีฉันทานุมัติให้กระผม สะพั่ง สะท้านไมภพ เป็นประธานคณะกรรมาธิการหนึ่งทันที
สะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆๆ ผมนึกแล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่เอาละเมื่อพวกคุณประสงค์ให้ผมเป็นประธานแล้วผมก็จะแสดงวิธีการบริหารงานของผม ซึ่งมีรูปแบบโดยเฉพาะให้พวกคุณได้เห็นซึ่งผมคิดว่ามันคลาสสิคพอที่จะทำให้งานของคณะกรรมาธิการออกมาตรงใจประชาชน
สะพั่งจึงเริ่มชี้แจง ตำแหน่งใครอยากจะเป็นอะไรก็ใส่ชื่อเข้าไป แต่สำหรับหน้าที่ความรับผิดชอบจะได้ว่ากันในวันหลัง ประธานจะไม่สั่ง แต่ประธานจะทำหน้าที่ประธานสรุปความเห็นของสมาชิกแม้จะเป็นพวก มวยวน ก็จะขมวดให้สั้นๆเข้าใจและดูดี
และการประชุมแต่ละครั้งก็ไม่ควรใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมง หากเกินกว่านี้ก็แสดงถึงสติปัญญาของประธานได้เหมือนกัน
แต่โดยที่ผมพยายามสรุปรวบรัดเช่นนี้ รองประธานคนหนึ่งได้ยกมือ ภายหลังที่ผมได้เข้ามาทำงานได้สักสามเดือน ท่านบอกว่า ผมมีเรื่องติเตียนประธานนิดหนึ่งครับ นั่นก็คือ ประธานอย่าทุบโต๊ะ
มันเหมือนกับฟ้าผ่าในยามแดดเปรี้ยง ผมสะท้านไมภพ ก็นึกย้อนไปในการประชุมต่างๆ อันที่จริง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมพยายามส่งเสริมความคิดริเริ่มของกรรมการแต่ละคนให้เขา ให้กำลังใจ และพยายามช่วยเหลือกรรมการในการเสนอของบประมาณ สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับมอบหน้าที่ ได้รับอำนาจในวงเงินแต่ละงานแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องความเสียสละของเขา ทักษะของเขา ว่าจะมีผลงานออกมาอย่างไร ผมสะพั่งไม่ได้แคร์ว่าจะล้มเหลว แต่ทว่าหากเพียงครั้งแรกไม่เข้าท่าซะแล้วครั้งต่อไปก็อย่าหวังเท่านั้น นี่คือวิธีของผม วิธีให้โอกาส
ในการทำงานของคนๆหนึ่งหากทุ่มเทให้กับงานมากเต็มที่และมีผลงานออกมาดียอมรับก็ต้องเกิดความมานะถือดีถือตนขึ้นมา อันนี้ผมเข้าใจดี เมื่อเขาต่อว่าผมว่าทุบโต๊ะ ผมก็ยอมรับ ว่าทุบโต๊ะ แล้วก็ว่าเรื่องต่อไป แต่ผมเองก็ต้องระวังตัวแล้ว แม้ว่าดูเหมือนจะทุบโต๊ะแต่ทว่า ปัจจัยเรื่องเวลา มันสำคัญ ที่จะต้องไม่ชักช้าในเรื่องที่ไม่ควรชักช้า แต่ทว่าในห้วงที่ผ่านมาสามเดือน ผมได้ส่งเสริมให้มีการทำโครงการต่างๆออกไปแล้วซึ่งเร็วๆนี้จะสำเร็จผลออกมาเรื่อยๆ
สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆๆ ต่อไปผมจะไม่ทุบโต๊ะแล้ว แต่ผมคิดในใจว่าหลังจากผลงานชุดแรกออกมาแล้ว ในหกเดือนต่อไปก่อนหมดวาระคณะกรรมการทุกคนจะต้องรักษาสถานภาพเอาไว้ให้ประชาชนยกย่องสรรเสริญไว้ให้ได้ และจะหยุดโครงการใหม่ๆไว้ก่อนสำหรับคณะกรรมาธิการชุดใหม่
ผมพยายามเข้าไปให้ข้อแนะนำกรรมาธิการแต่ละท่านที่มีความรับผิดชอบในการทำงาน พยายามขายความคิดในเรื่องการทำงานแบบมีขั้นตอนและมีการตกลงใจเพิ่มเติมในขั้นก่อนการเริ่มต้นขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะทำให้ไม่มีผลกระทบในเรื่องงบประมาณหรือความเห็น
ผมสะพั่งสะท้านไมภพ มีความสุข แต่ไม่ใช่จากการเป็นประธาน แต่มีความสุขที่ได้แสดงตัวอย่างให้คนอื่นได้เห็นวิธีการบริหารงานแบบใหม่ของผมให้ประจักษ์ไว้
ตามรอยเท้าทางเดินของผมที่ย่ำมาผมก็มีการศึกษารูปแบบต่างๆจนออกมาเป็นแบบของผมเอง และผมได้ชี้แจงแนะนำบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ รวมถึงได้รับความรู้จากความเก๋าของรุ่นพี่ซึ่งผมคิดว่ามีส่วนสำคัญ เรียกกันว่ามีการต่อยอดด้วย ก็ทำให้รู้ได้ว่าปัญหาของการบริหารในปัจจุบัน มันเป็นเรื่องของแนวคิดที่พยายามจะไม่เข้าใจว่า การให้คนที่ตั้งอกตั้งใจในการทำงานขึ้นมาเป็นใหญ่นั้นมันมีคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมมากทีเดียว
ผมสะพั่งสะท้านไมภพ ผลงานของผมมีทุกปีและเป็นผลงานที่ภาคภูมิใจทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คร้านที่เอื้อนเอ่ยออกมา
ผมไม่สามารถจะต่อต้านวิทยาการที่พวกเรียนระดับด๊อกเตอร์ได้นำมาให้ใช้ได้ เนื่องจากมันมีมากเกินไป มีมากจนกระทั่งศึกษาให้ครบก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ผมอาจจะโง่ก็เป็นได้ สะพั่งคิด แต่สะพั่งยักไหล่
แม้ผมจะไม่เคยทุบโต๊ะ แต่ความหมายที่ว่า ไม่ให้ผมทุบโต๊ะ ยังคงคิดไม่ออกใตอนนั้น
ดังนั้นผมจึงตอบรองประธานไปว่า ครับ ผมยอมรับว่าทุบโต๊ะ
แม้ว่าจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าทุบโต๊ะหรือเปล่า แต่ทว่าเห็นแก่คนทำงานอย่างตั้งใจ เราก็ละตัวตนซะยอมเขาหน่อยเพื่อความก้าวหน้าของงานและลดปัญหาความขัดแย้งได้อย่างนิ่มนวล
คำเตือนของเขาเปรียบเหมือนดังกระจกที่ส่องให้เราเห็นตามความเป็นจริง ไม่หล่อก็ฉายออกมาว่าไม่หล่อ ไม่ใช่กระจกในร้านตัดผมที่คนตัดมองอย่างไรก็เห็นว่าตนเองหล่อตนเองสวยงามเลิศเลอ
ในเบื้องหลังของทุกคนสะพั่งยิ้มๆ มีเรื่องน่าอายหลายๆเรื่องที่ไม่สามารถกล่าวให้คนรู้ได้ว่า เรารู้ เราดู เราเห็น เราทำ
แต่ทว่าในการทำงานชิ้นหนึ่ง คาแรกเตอริสติก ของเราก็ควรจะเป็นไปในแนวทางที่ทำงานเป็นประการสำคัญ มิฉะนั้นแล้วจะไปทำให้เกิดอาการพังทะลายของความเชื่อมั่นรุกรามยิ่งกว่าเริม เมื่อมีคนเห็นเข้าแล้วบอกต่อ
หนึ่งปีผ่านไป แม้ว่าความยั่วยวนในชื่อเสียงเกียรติยศเกียรติศักดิ์จะหอมหวลยวนใจแค่ไหน สะพั่งก็ขอกลับมาเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเดิม
สะพั่งหัวเราะให้กับมุมมองต่างๆของนักต่างๆ
เพียงเพื่อประโยชน์ตัวแค่นี้เหรอ ก็ทำทุกอย่างได้แม้จะขายชาติ
ทำไมศาสนาพุทธถึงสาบสูญในอินเดีย
ทำไมธรรมมะเช่น ศีลห้า จึงหาได้ยากเสียเหลือเกิน
ทำไมพวกแบบป้ายว่าเป็นชนฝ่ายธรรมะหรือสูงส่ง แต่การกระทำกลับเลวเหลวไหลยิ่งกว่าพวกที่โดนป้ายสีว่าเป็นพวกอธรรม
หรือเพียงแค่ผลประโยชน์และอำนาจ ใครที่ต่อสู้ช่วงชิงมาได้ย่อมถือว่าเป็นฝ่ายถูก
สะพั่ง หัวเราะให้แก่ตนเองอีกครั้ง เคี๊ยกๆๆ
สะพั่งตอบกลับรองประธานคนนั้นไปว่า ขอบคุณครับ ต่อไปผมจะไม่ทุบโต๊ะอีก
4 กรกฎาคม 2551 14:55 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
วันนี้สะพั่งสะท้านไมภพ พ่อค้าพระสมัครเล่นครึ้มอกครึ้มใจ จากการไปวางพระขายที่ตลาดไทยณรงค์ แถวสะพานใหม่ พอวางจัดเรียงพระเสร็จ ก็มีเซียนพระหลายหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาหยิบพระส่อง วันนี้สะพั่งยิ้มแป้นได้ค่าเช่าแผงได้ค่าโอเลี้ยง ได้ค่าข้าวแล้ว สะพั่งจึงจัดแจงเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเป้สะพายเพื่อกลับบ้าน
สะพั่งแวะทักทายไอ้หนุ่มผมเปียพ่อค้าพระด้วยกันแล้วก็เดินส่ายอาดซ้ายอาดขวาออกจากตลาด
อ๊ะ สะพั่งเหลือบไปเห็นร้าน นอผมบอ (นวดแผนโบราณ) เข้าร้านหนึ่ง เอาวะเบียร์ซักขวดวะ ดูหมอนวดด้วยว่า เศรษฐกิจแบบนี้จะมีจำนวนแค่ไหน เมื่อเข้าไปในร้าน นผบ. หญิงคนหนึ่งจำได้ว่าเคยมีรูปถ่ายอยู่ในเว็บโป๊ ก็นวยนาดเข้ามา สะพั่งนึกภาพหญิงเชียร์แขก แล้วก็ตั้งสติมองเข้าไปในตู้กระจก ตาดู ปากก็สั่งเบียร์ไฮเนเก๊นท์ เบียร์ผู้มีอันจะกินเย็นๆมาด๊วบสักขวด เมื่อเบียร์เย็นเจอกับคนทำงานเหนื่อย มันก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเป็นการตอบแทนให้แก่ตนเองได้เหมือนกัน
อันที่จริงผมก็คอยย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่าอย่าไปกินเหล้าเมายา เพราะเหตุที่ว่าทานเข้าไปแล้วจะขาดสติและยิ่งสตังค์ไม่ค่อยมีด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แต่ทว่ามันลืมไปแล้วตั้งแต่ฟาดแก้วแรกแล้วครับ แป๊บเดียวหมดไปหนึ่งขวด ในแง่ของปีศาจสุราแล้วเหล้าแพงแค่ขวดแรก ดังนั้นสะพั่งจึงกระดิกนิ้วเรียกสาวเชียร์ผิวคล้ำ แล้วชี้ไปที่ขวดเบียร์ แป๊บเดียว เรื่องช่วยสนับสนุนการทำความชั่วไม่ยาก เบียร์แก้วแรกในขวดที่สองเริ่มต้นแล้ว
ผมมองไปมองมาก็เห็นสาวในตู้บางคนเริ่มเซ็กส์ซี่ ดังนั้นก็เลยเรียกมานั่งด้วยกะจะแค่อย่างมากก็ไปนวด เมื่อเธอมาผมก็เอามือโอบกอดไหล่เธอ แต่ทว่าเธอกลับบอกว่าอาย ให้เข้าห้องดีกว่า เป็นไปตามความต้องการของเธอ เมื่อสะพั่งเมาสะพั่งย่อมจะกลายเป็นสุภาพบุรุษ ยิ่งเมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะรุษมากเท่านั้น
ในห้องนวดน้ำมัน สะพั่งด๊วบเบียร์เย็น และโช๊คซีกาแร๊ต อย่างสนุกสนาน นานๆจะได้อย่างนี้ซักที เอาละวะ ควักแบ๊งใบละห้าร้อยให้เด็ก ๆก็จัดการผ้าผ่อนท่อนสไบออกเหลือแต่ตัวเปล่าเล่าเปลือย สะพั่งชมโฉมแล้วก็ยิ่งเพลิดเพลินเจริญใจดี
ขวดที่สามเริ่มแล้วสะพั่งเริ่มหัวเราะเริ่มหื่นและเริ่มสนใจในข้อเสนอและอยากจะเห็นลีลาที่คุยว่าแน่อย่างโน้นอย่างนี้ สะพั่งนึกก่อนที่จะตกลงใจ ถึงประสบการณ์ทางเพศในอดีตที่มันๆและยังจำความได้ เอาก็เอาวะลองดู สะพั่งคิดคนอย่างเขาเคยลองดูลีลาชีวิตตนเองว่าจะเป็นอย่างไรในหนึ่งวันมาแล้ว หรือ บางครั้งก็เคยลองมาแล้วแต่เมาแล้วจำความไม่ได้ และวันนี้ก็อีกวันหนึ่งที่สะพั่งติดดาบลุย เป็นอย่างไรก็เป็นกัน
สะพั่งออกมาจากร้านตัวเบาโหวง เงินก็หมดแล้ว ตัดใจรูดการ์ดบัตรเครดิต เพื่อถอนเงินมาติดกระเป๋า และคิดในใจว่า ช่างมันเถอะว๊ะ ซื้อความรู้
สะพั่งก็เดินกลับมาขึ้นรถสองแถวเจ็ดบาทเพื่อเข้าบ้านต่อไป
29 มิถุนายน 2551 20:52 น.
สะพั่งสะท้านไมภพ
ผมมองออกไปที่สระน้ำใหญ่ที่บนเทอเรสแห่งบ้านเดี่ยวขนาดยักษ์ตั้งอยู่ บรรยากาศบึงใหญ่ช่างเหมือนกับร้านอาหารริมน้ำเจ้าพระยาจริงๆขาดแต่เรือใหญ่ๆและคลื่นที่เกิดจากเรือใหญ่น้อยเท่านั้น ในท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้เมื่อก่อนก็จะต้องใช้มือถือแก้วเหล้าแล้วคนวนๆนัยว่าให้เหล้าน้ำแข็งและโซดาปะปนกลมกล่อม ก่อนที่จะกร๊วบเข้าคอด้วยความราบรื่น เสียงเพลงไทยสากลสมัย 1960 ดังและเข้ากับสายลมเย็นๆฉ่ำจนเคลิ้มคล้ายว่า ณ เทอเรสชานบ้านกลับกลายเป็นวิมานแดนดินไปซะแร้ว
บรรยากาศแบบนี้จะต้องเป็น บลู โกล กรีน แบล็ค หรือ เรด ดี ผมสะพั่ง หัวเราะให้กับตัวเองในการที่ดัดจริตให้สูงส่ง ในเวลานี้มันไม่ต้องโอ้อวดใครว่ามั่งมีซะจนเกินประดา แต่มันเป็นความจริงในบ้าน ที่ไม่ต้องเสแสร้ง และแล้วเขาก็หยิบบลูมากิน อ้อแน่นอนสะพั่งคิด ด้วยความงกของผม หากต้องเอาเหล้าไปให้ใครกิน แน่นอน ผมรักเพื่อนทุกคน แค่เรดเนี่ยก็สุดแสนจะรักมากอยู่แล้ว
สะพั่งหัวเราะเคี๊ยกๆ นึกชมความฉลาดของตนอยู่ในใจ
เมื่อภรรยาได้ยกกับแกล้มสุรามาให้ วันนี้เป็นอะไรนะ อ้อยำเนื้อย่าง ที่รสชาติสุดแสนจะเข้ากับรสชาติของสุราแม่โขงมากกว่าแต่ทว่าเมื่อบลูแล้วก็ต้องเป็นกับแกล้มอะไรที่มันพิสดารแบบคนไทยแต่ธรรมดาแบบไอ้หรั่ง แต่เอยังไงก็นึกไม่ออก
อ้อ นึกได้แล้วในตอนนั้นในตอนที่พาฝรั่งไปเทคแคร์ ได้พามันเข้าโรงเบียร์เยอรมัน รสชาติของเบียร์เยอรมันและบวกด้วยไส้กรอกเยอรมันที่สีมันเหมือนกับน้ำมันหมูใช้แล้ว มันช่างรสชาติมันอย่างบอกไม่ถูกอะไรเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อคิดตังค์ก็รู้สึกว่ามันโคตรแพงบัลลัย และเหมาะสมแล้วที่จะได้ลิ้มรสชาติสักครั้งเพียงแต่ว่าหากได้ลิ้มรสชาติแล้วโดยไม่ต้องจ่ายตังค์เลยเนี่ยน่าจะดีที่สุด
ไนท์คลับ เป็นที่ๆมีแสงจากลูกแก้วกลมหมุนวนจนเวียนหัวแต่เวียนน้อยกว่าสุราที่ได้เข้าไปดองในสายโลหิตทุกเส้นอย่างไม่มีช่องว่างแล้ว และเสียงเพลงที่กรอกรูหูก็ไม่ได้ทำให้แก้วหูรู้สึกเพราะมัวคลอเคลียกับผมพาร์ตเนอร์อยู่
คิดไปคิดมาคิดย้อนไปย้อนมาก็มีแต่เรื่องที่ในตอนนี้กลับรู้สึกทึ่งว่าแต่ละสิ่งที่ทำลงไปนั้นทำได้อย่างไร บางอย่างก็รู้สึกละอายใจและก็กลบมันไปด้วยความหน้าด้านไร้ยางอายของผมเอง
สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างที่เห็นก็คือ คนหนึ่งคนทำงานและตั้งมั่นที่จะทำงานโดยไม่ยอมไปทำตัวให้น่ารัก กับคนที่คอยแต่ทำตัวให้น่ารักไม่ว่านายเมียนายลูกนายหลานนายจะใช้ให้ไปทำอะไรก็จะไปทำ สิ่งที่ได้รับช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินทีเดียว ในโลกนี้เขามองคนเราด้วยยศฐาบันดาศักดิ์ และความหรูหราฟู่ฟ่าจากการแต่งตัวเครื่องประดับ เงินทอง รถราคาแพงๆ
ผมกรึ๊บสุราผสมโซดาอีกแก้วแล้วลิ้มรสความแพงและความหอมของบลูขวดนี้แล้วก็เคลิบเคลิ้มในความมีโชคของตน ที่คิดทำแบบนี้และมั่นใจว่าจะทำอย่างนี้ต่อไป
ผมไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ต่อหน้าผมก็เล่นละครหรือหนังเลยทีเดียวบทบาทการตีบทแตกกระจุยของผมเป็นแบบตัวละครที่ดูสง่างามมีเกียรติภูมิฐานและทรงคุณทั้งวัยวุฒิคุณวุฒิ และนำเสนอในสิ่งที่ทุกคนที่ได้ยินจะต้องทึ่งในความเป็นเทพทีเดียว
ภรรยาก็ได้ไป ชุดเพชร ราคาร้อยล้าน รถสปอร์ตที่ต้องสั่งเข้าถึงจะมีขี่ เงินในธนาคารของลูก ของเมีย ของเมียน้อย ของลูกน้องคนสนิท และหากทำงานลับมาบ้างก็จะมีบัญชีธนาคารในชื่อปลอม ชาตินี้ให้ตรวจยังไงยังไงก็ไม่เจอ
ที่ทำงานก็จะมีสาวๆมาใหม่ๆ หากเขาให้ได้ทุกอย่างผมก็สามารถตอบแทนได้ทุกอย่าง ทีแรกนึกว่าพวกด๊อกเตอร์จะยากเย็นแต่กลายเป็นว่าพวกนี้มองการณ์ไกลและง่ายกว่าที่คิดซะอีก
ใครสามารถหาในสิ่งที่ผมต้องการได้ก็นับว่าเป็นลูกน้อง ส่วนไอ้ที่บ้าแต่ทำงานตามหน้าที่ เถรตรง ผมยุ่งทั้งวัน ไอ้พวกนี้มันบ้าทำงานมันก็เป็นได้แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
ใครมาด่าต่อว่าเด็กของตัวในการทำงาน ก็แสดงว่ามันไม่ดี ก็ย้ายมันไปซะ
ใครที่มาขวางการเล่นกอล์ฟของผม ไม่ยอมหลีกทางให้สะดวกหรือไปก่อน แค่นี้ก็ย้ายมันไปซะ
ใครก็ตามที่มาทำงานแล้วมีปัญหา ผู้รับเหมาให้ซองใต้โต๊ะทำเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรม ไอ้พวกนี้ก็ต้องจับย้ายให้อยู่ด้วยไม่ได้เพราะมันจะทำให้ระบบที่ดีๆของผมเสียหาย รายได้หด
ในหน่วยงานจะมีอยู่สองพวก คือ เด็กผม กับ เด็กคนอื่นๆ หากเป็นเด็กผมก็ต้องเข้าใจว่าจะต้องมีสิทธิแปลกประหลาดกว่า เด็กคนอื่น และต้องอย่างเห็นเด่นชัด
ผมสะหลัดหัวแล้วเริ่มเติมเหล้าอีกแก้วหนึ่งแล้วหัวเราะเคี๊ยกๆ
ไอ้พวกบ้า มัวแต่ดูหนังที่พระเอกกล้าหาญ ซื่อสัตย์ ตงฉิน เสียสละ จนลืมตัวคิดว่ามันเป็นพระเอกไป แต่ทว่าผมสะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆๆ ผมไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้น การกระทำของผมได้ส่งผมให้เป็นถึง พณฯ ทีเดียว
ผมหัวเราะเยาะให้กับคนอื่นๆ ไม่มีหรอกไอ้พวก พณฯ ที่มีแต่คุณความดีแบบในหนังนิยายโคตรเน่าในนิยายหลอกเด็ก
มิน่ายังโง่อย่างนี้นิเล่าถึงต้องกล้ำกลืนฝืนโง่จนเจ็บจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ผมสะพั่งชูแก้วเหล้าแล้วยกชูเชียร์และตะโกนก้องว่า ขอให้กูจงเจริญโว้ย ไชโย ไชโย ไชโย