14 ธันวาคม 2549 18:19 น.
สองร่าง
โต๊ะกลมตัวเล็กสีน้ำตาลกับเก้าอี้ขนาดพอเหมาะสองตัววางเข้าชุดกันดูสวยเก๋ สายลมเย็นพัดเอื่อยมาไม่ขาดช่วง เส้นผมปลิวพริ้วไปตามแรงลม กาแฟแก้วเล็กวางอยู่ตรงหน้าข้างๆกันมีที่เขี่ยบุหรี่ที่ดูเหมือนด้วยของหวานซะมากกว่า บุหรี่ที่บรรจุอยู่ภายในซองสีแดงนั้นถูกหยิบขึ้นมาอย่างปราณีต สองนิ้วบรรจงสอดบุหรี่ไว้ระหว่างริมฝีปากบางๆ นั้น เปลวไฟเล็กๆ จากไฟแช็คราคาถูกทั่วๆ ไปจ่อที่ปลายสุดของบุหรี่กลายเป็นเถ้าสีแดงตามด้วยควันที่ไม่ประสงค์ดีกับสุขภาพเท่าไรนักถูกพ่นออกมาเป็นทางยาว นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด หลังจากตรากตรำทำงานมาแล้วตลอดเช้า......
นั่นไงเป้าหมายที่ทำให้ผมมานั่งที่โต๊ะตัวนี้ทุกวัน มองจากระยะไกลถึงแม้จะมีกระจกใสบานใหญ่ที่มีเงาสะท้อนจากนอกตัวตึกทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ผมก็รู้ได้ด้วยใจว่าเป็นเขาแน่ๆ ผิดเหรอที่ผมจะมองผู้ชายด้วยกัน ในเมื่อเขาน่ามองออกจะตาย "มานั่งตรงนี้สิ" ในใจของผมร่ำร้องเสียงดังหากแต่เสียงนั้นคงดังก้องอยู่ภายในใจของผมเท่านั้น และเป็นเช่นทุกวัน เขาเดินใกล้เข้ามาด้วยมาดที่ดูนุ่มลึก บรรจงนั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเค้าเตอร์ซึ่งเป็นมุมที่ผมและเขานั่งตรงข้ามกันพอดี ใบหน้าที่ขาวใสและยิ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อตัดกับผมรองทรงสีดำขลับ จมูกเป็นสันโด่งราวกับว่าพระเจ้าบรรจงปั้นให้เขาอย่างสุดฝีมือมันช่างรับกับริมฝีปากบางได้รูปของเขา ผมนั่งมองเขาอยู่อย่างนี้ทุกวัน จนวันนี้ที่เราได้สบตากัน
ความเย็นยะเยือกเข้าสิงสู่ในตัวผมทันที ผมหลบสายตาเขาไม่ทันด้วยซ้ำ ใช่เขาต้องรู้ตัวอยู่ก่อนว่าผมแอบมองเขาอยู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขามาแสนนานเหลือเกิน ถ้าจะให้นับกันจริงๆ ก็ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ซึ่งนั่นก็ล่วงเลยมาถึงสี่ปีแล้ว แปลกที่ผมไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าได้รู้จักเขามากขึ้นกว่านี้ หรืออย่างน้อยเวลาเดินผ่านก็ขอให้ได้ยิ้ม หรือพูดจาทักทายกันบ้างเท่านั้น อาจเพียงเพราะว่าความผิดปกติภายในจิตใจของผม ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเปิดเผยว่าผมประทับใจในความเป็นเขาอย่างที่สุด ทั้งๆที่คนอื่นในตึกนี้ผมกล้าพูดว่าผมสามารถทักทายและล้อเล่นได้หมด ยกเว้นเขาคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ผมไม่สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้เลยแม้สักครั้ง
"นั่งด้วยคนนะครับ" เสียงนั่นทำให้ผมชาไปทั้งตัว
"ยินดีครับ" ผมพูดออกไปได้เพียงเท่านั้นจริงๆ และไม่รู้ว่าหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างไร รู้สึกได้อย่างเดียวว่ามันร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
"ชอบทานกาแฟเหมือนกันเลยนะครับ" เขาถามขึ้นมาอีก
"ครับ วันละ...."
"สามแก้ว" เขาตอบขึ้นมาทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ อะไรกันเขาเฝ้าติดตามพฤติกรรมของผมอยู่เหมือนกันหรือนี่
"ไม่ค่อยพูดเลยนะครับ ผมเห็นตอนคุณอยู่กับเพื่อนๆ น้องๆ คุยไม่หยุดเลย"
"โธ่ ใครจะไปกล้า คนที่คลั่งแทบบ้ามาขอนั่งด้วยแถมยังชวนคุยเป็นวรรคเป็นเวร" ผมคิดในใจ ที่ทำได้ก็แค่ส่งยิ้มให้แล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบ
"บุหรี่มั๊ยครับ" ทำยังไงล่ะทีนี้เขายังไม่ไปไหนแถมยื่นบุหรี่ที่อยู่ในซองสีน้ำเงินนั่นให้อีก
"ขอบคุณครับ" ผมตอบแล้วหยิบบุหรี่จากซองนั้น และนี่เป็นอีกครั้งที่ได้สบตาเขาต่างกันตรงที่มันใกล้มากๆ เขายิ้มแก้มป่อง เห็นแล้วอยากกระโจนไปกัดซะจริงๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้คงจะดี
"น้ำเปล่าค่ะ" เสียงเด็กสาวที่ร้านกาแฟเดินถือแก้วน้ำใสกิ๊กมาวางให้ผมตามปกติ และเสียงนั่นก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น และเขายังคงนั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์ ตรงที่เดิม ผมมีความสุขกับการจิบกาแฟและนั่งนึกเรื่องแบบนี้ไปพร้อมๆ กับมองหน้าเขาไปด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะกลับขึ้นไปทำงานอย่างนี้ทุกวันt>
13 ธันวาคม 2549 18:04 น.
สองร่าง
บรรยากาศของค่ำคืนในร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์ ที่ดูโปร่งโล่งและสบาย แต่ภายในจิตใจของผมตอนนี้มันกลับไม่โปร่งโล่งเหมือนบรรยายกาศภายในร้าน คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมรู้สึกเหงาอย่างประหลาด และสถานที่แห่งนี้เองที่ผมเลือกเป็นที่พักใจ และปล่อยให้ความเหงามันกัดกินใจผมอย่างนี้ต่อไป แปลกนะที่เวลาเหงา หรือเศร้า พอเราได้ฟังเพลงอะไรก็ตาม ไม่ว่าเนื้อหาจะเกี่ยวกับรักที่สมหวังหรืออกหัก มันกลับกระทบจิตใจของผมอย่างแรง เหมือนกับว่านักประพันธ์เพลงทุกเพลงทุกคนบนโลก จะแต่งเพลงเหล่านี้ให้กับผมโดยเฉพาะ
เสียงเพลงจากดีเจจบลงพร้อมน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ฟังดูนุ่มสบายของดีเจหนุ่มคนนั้น ส่งต่อหน้าที่ให้กับนักร้องหนุ่มที่มีน้ำเสียงไพเราะและร้องเพลงสดได้อย่างน่าฟัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบได้เท่ากับมือกีตาร์ของเขา ใบหน้าที่ใสราวกับว่าเคลือบไว้ด้วยเรซิ่น คาดการณ์จากระยะไกลขนาดนี้อายุอานามคงประมาณยี่สิบต้นๆ เท่านั้น นัยตาที่ฉ่ำหวานอยู่ในที และลีลาการเล่นกีตาร์โปร่งของเขามันทำให้ผมตกอยู่ในพวังค์ อย่า ผมขอร้องเขาอยู่ในใจ และภาวนาขออย่าให้เขาหันมาสบตากับผมเลย เพราะผมเองไม่อาจจะซ่อนแววตาที่สื่อให้เขารู้ได้ว่าผมสนใจเขาเข้าแล้วอย่างจัง
น้ำแข็ง โซดา และสุรา ถูกรินลงในแก้วตามด้วยเสียงที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์บางอย่างคนเพื่อให้สุรานั้นเคล้ากันจนให้รสชาดที่จะนำมาซึ่งความเมาในที่สุด แก้วแล้ว แก้วเล่าที่ผมนั่งดื่มอยู่คนเดียว กับแกล้มบนโต๊ะ ไม่มีความหมายกับผมอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะผมอิ่ม เพียงแต่ว่าสุรายิ่งให้รสชาดและอารมณ์ที่พรุ่งพร่านมากยิ่งขึ้นเมื่อมีอาหารตาให้ผมนั่งมองแทนกับแกล้มบนโต๊ะเหล้านั้น ผมยอมรับว่าอารมณ์เตลิดไปไกล ผมนั่งมองเด็กหนุ่มที่เล่นกีตาร์ราวกับว่าเค้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรืออาภรณ์ใด อะไรกันที่ทำให้ผมรู้สึกไปกับเขาได้ขนาดนั้นทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นี่มันคือรัก ประทับใจ หรือเรียกว่าความใคร่กันแน่ แล้วถ้ามันเป็นเพียงความใคร่ ทำอย่างไรความอยากนั้นจะได้รับการตอบสนองล่ะ สุราอีกแก้วไหลผ่านลำคอผมอย่างรวดเร็วหลังจากความคิดของผมเริ่มไปไกลเกินความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เสียงเพลงเศร้าๆ ที่คุ้นหูของศิลปินที่ขับกล่อมอยู่บนเวทีดังขึ้น พร้อมกับความเจ็บปวดที่ประดังเข้ามาทิ่มแทงใจอย่างไร้ซึ่งความปราณี ความคิดเก่าๆ ย้อนกลับเข้ามาเติมเพิ่มความเจ็บปวดให้รวดร้าวหนักยิ่งขึ้น ใคร จะมีใครมั๊ยที่เจ็บและทรมานใจอย่างผมในตอนนี้ ผมไม่ต้องการใครเป็นเพื่อนคุย เพราะไม่อยากจะเสแสร้งว่าผมสบายดี ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งที่ในใจมันหมดความอดกลั้นและไม่เหลือพื้นที่ให้กับความสุขใดๆ อีกแล้ว เพลงแล้วเพลงเล่าที่ทิ่มแทงจนใจผมยับเยิน จนแทบจะหมดแรงที่จะทำให้มันเต้นต่อไปได้อีก น้ำตาเริ่มคลอจนเป็นเงาประกายแวววาว แต่แล้วผมก็ยิ้มขึ้นมาได้ มันแปลกนะกับการที่ต้องเจ็บปวดเพราะความรัก อกหักใจสลาย แต่เมื่อความเจ็บปวดมันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ผมก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้เอง อย่างน้อยผมก็เคยมีความรัก มีความสุขกับคนที่ผมรัก และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่ารักของผมจะร้างลาไปแล้ว แต่มันก็เป็นเหมือนความทรงจำจางๆ ที่ทำให้ผมได้นึกถึงคนที่ผมรักมากที่สุด บางครั้งความเจ็บปวดมันก็ทำให้เรายิ้มได้เหมือนกัน....