1 สิงหาคม 2550 11:38 น.
สองร่าง
วันนั้น....ที่เราพบกัน........
แสงแดดร้อนแรงหน้าตึกที่ฉันทำงานอยู่ ทำให้ฉันต้องรีบเดินเพื่อเข้าไปรับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในตัวอาคาร ฉันเดินผ่านประตูกระจกใสบานใหญ่เข้ามา ใช่! อุณหภูมิภายในตัวตึกมันเย็นสบายจริงๆ แต่แล้วอยู่ๆ อุณหภูมิภายในร่างกายของฉันก็พุ่งปรี๊ดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ถ้าฉันเป็นปรอทกระเปาะก็คงจะแตกจนน้ำสีแดงทะลักทลายออกมาแน่ๆ
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าฉัน คือชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ความสูงของเขาช่างพอเหมาะพอดีกับสัดส่วนของฉันจริงๆ ผมรองทรงก็รับกับใบหน้าขาวใสตัดกับคิ้วที่เข้มได้รูปและนัยน์ตาชวนฝันของเขา โอย...ฉันเกือบจะเผลอตัวเผยอริมฝีปากอวบอิ่มไปลิ้มรสชาติหวานๆ ที่ปากเล็กและบางของเขาเลยทีเดียว
ขอโทษครับ น้ำเสียงนุ่มทุ้มกังวานดังขึ้นที่โสตประสาท ขณะที่ฉันกำลังตกอยู่ในภวังค์ เสียงนุ่มๆ นั้น ทำให้ฉันสะดุ้งและเมื่อสติสตังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โอ! ไม่อยากจะเชื่อเลย เป็นเขาจริงๆ ด้วย นี่มันเนื้อคู่ของเราชัด ชัด ฉันเผลอคิดเข้าข้างตัวเอง คะ? ฉันตอบเค้าออกไปด้วยเสียงที่สั่นเครือเพราะความตื่นเต้นจนไม่กล้าสบตาได้แต่มองไปทางอื่น ทำไมนะฉันถึงไม่สบตาเขา ทั้งที่เขาน่ามองจะตายไป เอ่อ ไม่ทราบว่าสำนักพิมพ์เพื่อนรัก อยู่ฉันไหนครับ น้ำเสียงสำเนียงของเขาช่างไพเราะ และสุภาพ แถมกิริยาที่แสดงออกมาราวกับว่าผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี แต่เอ๊ะ! พระเจ้าช่วย นั่นมันชื่อบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ไม่ใช่รึ ฉันคิดในใจ คุณครับ เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นอีกครั้ง อ๋อ ค่ะอยู่ชั้น 5 ขึ้นลิฟท์ด้านซ้ายค่ะ ฉันตอบออกไปห้วนๆ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นอยู่ นึกได้อีกทีก็เห็นแผ่นหลังของเขาหายแว๊บเข้าไปในลิฟท์ซะแล้ว ไม่เป็นไรถ้าฉันรีบตามขึ้นลิฟท์ไปอาจจะได้เจอเขาที่หน้าออฟฟิสก็ได้ ไหนๆ เค้าก็มาบริษัทที่ฉันทำงานอยู่นี่ ว่าแต่เขามาทำอะไรของเขานะ ฉันรำพึงรำพันกับตัวเองแล้วเดินไปขึ้นลิฟท์
แน็ตตี้ แน็ตตี้!!! แกขึ้นมาบนนี้นานรึยัง ฉันตะโกนถามเพื่อนสนิทที่ทำงานติดกับฉันในสำนักพิมพ์เพื่อนรักด้วยกัน ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกและสายตาฉันมองลอดช่องประตูที่กำลังแยกตัวออกจากกันได้
ก่อนแกสัก 5 วิได้มั๊ง มีไร มันตอบแบบกวนๆ
แกเห็นเนื้อคู่ฉันเดินผ่านมาทางนี้บ้างมั๊ยวะ ฉันถามออกไปด้วยท่าทีที่ไร้ซึ่งคุณสมบัติของสตรีไทย
ใครวะเนื้อคู่แก ฉันเห็นแต่คุณวัตรที่มาติดต่อบริษัทเราเรื่องหนังสือเล่มใหม่ นั่นไง เดินออกมาจากห้องน้ำนู่น
คุณวัตร สุวัตร อัตราเจริญ ที่นัดคุยคอนเซ็ปปกหนังสือกับฉันวันนี้น่ะเหรอ อ๊ายยยย!!!!! นั่นไงเล่า ฉันว่าแล้วว่าต้องเป็นเนื้อคู่ฉันแน่ๆ อย่างนี้นี่เองที่เค้าเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส ฉันกรี๊ด กรี๊ด อยู่กับเพื่อนที่หน้าลิฟท์สักพัก ก็มีน้องมาเรียก
พี่จี้คะ คุณสุวัตรที่นัดไว้เรื่องหนังสือเล่มหน้า รอพี่อยู่ที่ห้องประชุมเล็กนะคะ
อ๋อ จ้ะ พี่จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ.
สวัสดีครับ ผมสุวัตร....อ้าว! คุณ?
จีจี้ค่ะ ดิฉันจีจี้ ฉันพูดแทรกขึ้นมาขณะที่เค้ากำลังแนะนำตัว
เราเริ่มคุยเรื่องงานกันโดยที่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่า ยังไงยังไง ฉันก็ต้องตกลงร่วมงานกับเค้าแน่นอน ขณะที่คุยกันฉันแทบจะละลายไปกับความเป็นสุภาพบุรุษของเขา ช่างเรียบร้อย น่ารักนี่ถ้าได้มาเป็นพ่อของลูกเราก็คงดี ฉันมัวคิดอยู่ในใจ เคลิ้มจนไม่ทันได้ยินคำถามที่เขาถามมา
คุณจีจี้ครับ ทานกลางวันกันก่อนนะครับ
คะ ? เขายิ้มปากกว้างก่อนจะถามซ้ำอีกครั้ง ผมเห็นร้านอาหารข้างล่างน่าทานมาก ถ้าไม่เป็นการรบกวนไปทานข้าวกลางวันด้วยกันนะครับ
ตกลงค่ะ ฉันตอบโดยไม่ต้องคิด เรื่องอะไรจะยอมพลาดโอกาสแบบนี้ ถ้ามัวแต่เล่นตัวละก็ ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้เจอผู้ชายดีๆ อย่างนื้อีกเลย......
เราตกลงร่วมงานกัน และตั้งแต่นั้นเราก็เจอกันบ่อยขึ้น สนิทกันมากขึ้นจนเพื่อนๆ ที่ออฟฟิสเริ่มจะรู้แล้วว่าฉันกับเขา คบกันอยู่ในสถานะที่เกินเลยจากเพื่อนร่วมงาน และที่สำคัญ ฉันคลั่งเขาเอามากๆ ด้วยสิ......
เมื่อครั้ง คลั่งรัก........
เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน ข้างๆ วัตรแฟนของฉัน ดวงตาเขาดูเข้ม และเครียด จมูกโด่ง รับกับผิวหน้าที่ดูกร้านและร่องรอยของหนวดสีเขียวครึ้ม ถ้าให้เดาฉันว่าเขาเป็นคนใต้แน่ๆ
วัตรบอกฉันว่า รู้จักกับต่อและคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ถึงตอนนี้ก็ร่วม 8 ปีแล้ว ใช่ วัตรกับต่อเป็นเพื่อนกันและดูว่าเขาจะสนิทกันเอามากๆ ซะด้วย
นี่ไม่ใช่วันแรกที่ฉันรู้จักต่อ วัตรกับฉันไปไหนมาไหนด้วยกันโดยมีต่อติดตามเราไปด้วยเสมอ เท่าที่จำได้ฉันก็สองหรือสามครั้งได้ล่ะมั๊งที่เคยไปไหนกับวัตรสองต่อสอง แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นาไม่เห็นจะแปลกอะไร และอีกอย่างนอกจากต่อแล้วฉันก็ไม่เคยเจอเพื่อนคนอื่นๆ ของวัตรเลยสักคน
นี่แก จะนั่งมองหน้านายต่ออีกนานมั๊ยเนี่ย ชั้นหิวแล้วนะยะ สั่งสิ สั่ง หรือถ้าไม่สั่งก็ส่งเมนูมานี่ แน๊ตตี้เอ็ดชั้นด้วยความหิว และเหมือนทุกครั้ง วัตรมองหน้าฉันแล้วยิ้มมุมปากอย่างมีจริต มันน่ารักจนทำให้ฉันต้องยิ้มตามไปด้วยอีกคน
แหม๊ ขำ กันใหญ่ เข้ากันดีจังเลยนะ รักกันมากเลยนะ เพื่อนฝูงไม่เคยจะเข้าข้างหรอก แน๊ตตี้จิกกัดชั้นต่อ แล้วก็แย่งเมนูไปจากมือฉัน จังหวะนั้นชั้นเหลือบไปเห็นสายตาของต่อที่มองมาที่แน็ตตี้อย่างไม่ค่อยพอใจนัก สงสัยชั้นต้องบอกยัยแน๊ตแล้วล่ะว่าให้รักษาจริตหน่อย ต่ออาจไม่ชอบคนพูดจาโผงผางแบบนี้ก็ได้
เรานั่งกินข้าวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จะมีก็แต่ต่อที่ดูเงียบๆ ถามคำตอบคำ สายตาก็มองที่วัตรตลอดเวลา สงสัยคงคิดว่ามาคบกับผู้หญิงแบบยัยแน็ตตี้ได้ยังไง ไม่ได้ ฉันต้องบอกแน๊ตตี้จริงๆ แล้วล่ะ ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่กำลังไปได้ด้วยดีของฉันกับวัตรต้องมาพังลงเพราะเพื่อน ฉันว่าแน็ตคงจะไม่ว่าอะไร และคงเข้าใจล่ะ........
แน็ตเลิกงานแล้ว ไปกินข้าวกันนะ ฉันถามเพื่อสนิทเพื่อหวังจะได้คุยเรื่องการแสดงออกของมันเวลาไปกินข้าวกับวัตรและต่อ
ไปกับแฟนแกน่ะเหรอ
เปล่า วันนี้มีเราแค่สองคน ฉันตอบ
อ๊าว! ทำไมล่ะยะ ห่างกันได้ด้วยเหรอแกสองคนน่ะ
เออน่า เลิกงานแล้วไปกับชั้นก็แล้วกัน อย่าถามมาก ชอบไม่ใช่เหรอของฟรีน่ะ
เออ เออ ไปก็ไป มันค้อน แต่ก็ตกลงไป
หลังจากที่คุยกันฉันก็ร่างสคริปทันที ฉันต้องการคุยกับแน็ตโดยที่มันไม่รู้สึกว่าฉันเห็นผู้ชายดีกว่ามันที่คบกันมานมนาน เลยต้องมีการเตรียมตัวซะหน่อย
ที่ร้านอาหารเจ้าประจำ เรานั่งคุยกันตามปกติ หลังจากโซ๊ยเบียร์ขวดเขียวๆ ไปได้สองขวด ฉันก็เริ่มปฏิบัติการ
แกว่าวัตรเป็นไงบ้างว่ะ ฉันถามแบบเกรงๆ เล็กน้อย
ก็ดี มันตอบ
โอ๊ว ก็ดียังไงเล่า ฉันต้องการคำขยายเพิ่มเติม
ก็ หงิมๆ ติ๋มๆ ชั้นว่าถ้าไม่เป็นสุภาพบุรุษมากๆ ก็แต๋วว่ะ
ฉันอึ้งไปเล็กน้อย แล้วยกเบียร์ในแก้วกลืนลงคออย่างยากลำบาก แต่ไอ้แน็ตมันยังมีอาการปกติ และฉันก็รู้ว่ามันเป็นคนพูดอะไรตรงกับใจเสมอ
เหรอ อืมชั้นขอร้องไรแกอย่างได้มั๊ยวะ?
อะไร??
เวลาไปเที่ยวไปกินกันกับวัตรกับต่อน่ะ ชั้นอยากให้แกลด ลดความดิบแกลงหน่อย ชั้นรู้สึกว่าต่อเค้าไม่ค่อยชอบ ชั้นอยากไปไหนมาไหนแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ว่ะไม่อยากให้มีเรื่องแคลงใจกัน
มันบอกแกเหรอ ให้มาบอกชั้นน่ะยัย จี้
เปล่าหรอก ชั้นแค่รู้สึกว่าเค้าชอบมองแก กับชั้นแปลกๆ ฉันบอกยัยแน็ตไปอย่างที่ตั้งใจไว้
เออ เออ ชั้นก็รู้สึก แน็ตตอบแล้วก็นิ่งไปจนฉันต้องถามต่อเองด้วยความอยากรู้
แกรู้สึกอะไรวะแน็ต
รู้สึกว่า ไอ้ต่อเพื่อนตาวัตรของแกน่ะ มันหึงแกว่ะ 555.... มันตอบแล้วก็หัวเราะออกมาซะดัง
อีกครั้งที่ฉันต้องอึ้ง เบียร์ที่กินอยู่แทบจะพุ่งใส่หน้ามันเลยทีเดียว แต่ไม่น่ะ ต้องไม่ใช่อย่างนั้น เขาสองคนแค่เป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนฉันกับแน็ตนี่ล่ะ
บ้า แกก็พูดไปเรื่อย
โอ๊ย คอยดูไปแล้วกัน แกระวังหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวนี้ผู้ชายมันไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก
แต่ต่อเขาก็รู้นะว่าชั้นคบกับวัตรอยู่ เขาจะมาหึงชั้นทำไมยะ ฉันถามต่อ
เขาไม่ได้หึงเพราะเขาชอบแกหรอก แต่ชั้นว่าเขาหึงนายวัตรต่างหากที่มากิ๊กกับแกแบบนี้ แน็ตตอบแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป
อึก อึก อึก......ส่วนฉันยกเบียร์ที่เหลือในแก้วกินจนหยดสุดท้าย พอวางแก้วฉันก็พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ.....
อะไรกันนี่....
ที่ร้านอาหารวันนั้นแน็ตตี้ทำให้ฉันรู้สึกอะไรบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่า ฉันต้องลุกขึ้นมาป้องกันตัวเองจากความรักของฉัน มันคงไม่ดีแน่ถ้าวันนึงข้างหน้าฉันกับวัตร ตกลงคบกันอย่างจริงจัง เกิดพลาดพลั้งมีอะไรกันขึ้นมา แล้วฉันมารู้ทีหลังว่า ที่เขามาคบกับฉันเพียงเพราะว่า เขายังหาชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของเขาไม่ได้...... แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีอะไร หรือสิ่งไหนที่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าวัตรเป็นเกย์เลยแม้สักนิด ดูเขาก็เทคแคร์ดูแลฉันดี และที่สำคัญฉันว่า ฉันรักวัตรเข้าจริงๆ แล้วล่ะ.....
ค่ะ ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ไว้เจอกันวันหลังก็ได้
ฉันตัดบทวางสายจากวัตรที่โทรมาบอกขอเลื่อนนัดเย็นนี้เพราะติดปาร์ตี้กับเพื่อนที่ทำงาน.......
จากนั้นไม่ถึงห้านาที ...........อยาก......ให้เขารู้.... ว่ามันเจ็บ เจ็บเพียงไหนบอกฉันได้ไหม ว่าฉันผิด ผิดอย่างไร.... เสียงเรียกเข้า Mp3 สุดฮิตก็ดังขึ้นอีก และเพลงนี้ก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา)
จี้ค่ะ ฉันหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเจื้อยแจ้วทักทายคนในสาย
เอ๊ออออ!!!! ยัยจี้เหรอ เจ้เอง เจ้พจน์ น่ะ เสียงทุ้มใหญ่ดังมาจากปลายสาย ฉันรู้ทันที่ว่าเป็นเจ้พจน์ รุ่นพี่ที่มหาลัย เมื่อก่อนมีปัญหาอะไรก็ได้เจ้แกนี่ล่ะที่คอยให้คำแนะนำปรึกษามาตลอด
คิดถึงจังเลยเนี้ย ไม่ไหวแล้ว ต้องเจอกันคืนนี้เลยนะ เจ้พจน์เอ่ยสำเนียงเสียงสาวสุดขีด
อะไรกันเจ้ เพิ่งกลับจากฮอลแลนด์เมื่อวานไม่คิดจะพักเลยเหรอ
โอ๊ย!! จาพ๊ง จาพักอะไรกันยะ ไปตั้งสองเดือนคิดถึงน้องๆ หนุ่มๆ จนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ตกลงคิดถึงน้องหรือ คิดถึงหนุ่มกันแน่คะเจ้ ฉันถามไปด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็อยากเจอเจ้แกเหมือนกัน
เออนี่ ได้ข่าวว่ามีเด็กใหม่นี่ พาไปด้วยสิวันนี้ เจ้เลี้ยงเอง แค่นี้ จิ๊บ จิ๊บ
เด็ก เดิ้ก ที่ไหนกันเจ้ไม่มีหรอก ว่าแต่เจ้รู้ได้ไงล่ะ ฉันถามกลับไปแบบงงๆ
โถ โถ เด็กน๊อ เด็ก เจ้น่ะ กะเทยรุ่นศูนย์รวมข่าวนะจ๊ะ รู้ดี รู้จริง ยิ่งกว่าทีวีพาว กับฉาวแต่มืดซะอีก
อ้อ ค่ะ ไอ้มีก็มีหรอกเจ้ แต่เขาไปไม่ได้หรอกเพิ่งวางสายจากกันก่อนเจ้โทรมานี่เอง
อ๊าวว!! แล้วเขาไปติดหอย ติดปูที่ไหนละยะถึงไม่ว่างน่ะ เจ้กัดฉันต่อ
เปล่าหรอกเจ้ แต่เค้ามีนัดปาร์ตี้กับเพื่อนที่ทำงานเค้าน่ะ
โอเค เบตง ไม่เป็นรง ไม่เป็นไรย่ะ ตกลงว่าเจอกันสองทุ่ม ร้านเดิม location เดิมนะ อ้อ!อย่าลืมชวนยัยแน็ตตี้ด้วยล่ะ คิดถึงมันเหมือนกัน มีเรื่องเมาท์ร้อยแปดพันเก้า เชียวล่ะแก เจ้พจน์รัวไม่ยั้งแล้วก็วางสายไปซะงั้น ส่วนยัยแน็ตก็ตั้งใจฟังฉันคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่ตอนที่คุยกับวัตรแล้ว พอวางสายจากเจ้พจน์ มันก็พูดว่า
ไปยังล่ะแก หูยนี่ แค่ได้ยินก็เริ่มสนุกแล้วเนี้ย ต้องไปกันเลยนะแก รถติดเดี๋ยวผิดเวลานัดมันจะไม่ดี วันนี้วันศุกร์ด้วย แล้วมันก็เก็บกระเป๋า เดินนำหน้าฉันไปเฉย โดยที่ฉันยังไม่เอ่ยปากชวนมันสักคำ....เฮ้อ!! มันส์ ล่ะคืนนี้ไปเที่ยวบาร์เกย์กับเจ้พจน์ ก็ดีจะได้ไปสำรวจดูสิว่า วัตรของฉันจะเหมือนเกย์ในผับนั้นบ้างรึเปล่า.....(แต่ฉันว่าไม่หรอก).......
........เกือบ เกือบ สองทุ่มหน้าสถานที่ที่คุ้นเคย ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง จมูกโด่ง แก้มตอบ กับผมบางๆ ของเขายืนหันหน้าหันหลังอย่างกระวนกระวายอยู่หน้าบาร์แห่งหนึ่งย่านสีลม ใช่เลยเจ้พจน์แน่นอน ฉันกับแน็ตตี้เดินปรี่เข้าไปแต่ยังไม่ทันจะถึงตัวเจ้
ต๊าย!! ตาย มาสายอย่างงี้เดี๋ยวผู้ชง ผู้ชายก็วายกันพอดี ทีนี้นะพวกหล่อนจะต้องรับผิดชอบหาชายรูปงามมาสังเวยชั้น อะไรกันนังชะนีพวกนี้
เจ้พจน์ตะโกนเสียงแหลมปี๊ด ระบบเสียงเซอร์ราวด์ของแกทำเอา หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ระแวกนั้นหันมามองฉันกับแน็ตตี้เป็นตาเดียว
หูยเจ้ นี่ยังไม่สองทุ่มเลย แล้วดูสิแถวนี้ยิ่งมีผู้หญิงน้อยๆ อยู่ด้วย แน็ตตี้ค่อนขอดเจ้พจน์ด้วยรอยยิ้มแหยๆ และสายตามองไปรอบๆ
หนอยแน่ ทีนี้มาทำเป็นอาย ถ้าไม่อยากอายทีหลังก็มาให้เร็วๆ สิยะ เจ้มารออยู่ตรงนี้ตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว นี่ดีนะที่แถวนี้ถิ่นเจ้ไม่งั้นคงโดนกะเทยเด็กรุมตีลงข่าว กะเทยไทยไม่ทราบชื่อถูกกะเทยรุ่นลูกรุมทึ้งหน้าบาร์ผู้ชาย ให้ได้อายกันไปแล้ว เจ้รัวไม่หยุด
เจอหน้าก็กัดกันเลยนะเจ้ ไหนล่ะร้านไหน? ไปกันเหอะ อายเค้าดูสิมองกันใหญ่แล้ว ฉันรีบตัดบทเพราะไม่อยากยืนอยู่ท่ามกลางดงเกย์แบบนี้นานๆ เดี๋ยวจะพาลได้ลงข่าวหน้าหนึ่งไปอีกคน
อ้าว??? ไหงเป็นร้านนี้ล่ะเจ้ นึกว่าจะได้เข้าบาร์เกย์ หูยยย...ไรเนี้ย ฉันถามเจ้พจน์ด้วยความสงสัยที่เจ้แกไม่ตรงไปเข้าบาร์แล้วออฟผู้ชายออกมาเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้เจ้แกกลับพามานั่งบาร์เบียร์ที่แถวๆย่านเกย์นั่นล่ะ แต่บรรยากาศก็ดีเหมือนกัน ได้นั่งมองสังคมอีกอย่างที่เราไม่คุ้นเคยเท่าไหร่
ทีแรกเจ้ก็อยากอยู่หรอกจี้ แต่เจ้ได้ข่าวเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของแกมา ก็ยัยแน็ตนั่นแหล่ะมันเมาท์ให้ฟัง
เรื่องไรเจ้ ชั้นไม่ซื้อนะ ประกงประกันน่ะ เลิกพูดไปเลย
จะบ้าเหรอ เจ้นี่นะจะขายประกัน คิดได้ไง
อ๊าวว!! งั้นเรื่องไรล่ะเจ้ ฉันถาม
ก็ไอ้เรื่องผู้ชายของแกไงเล่า ที่ชั้นเคยบอกแกว่าต่อเขาหึงวัตรที่มาชอบแกน่ะ แน็ตตี้สวนขึ้นมาทันควัน
แกคิดมากน่ายัยแน็ต วัตรเค้าไม่ได้เป็นเกย์หรอก ชั้นรีบตอบทันทีก่อนที่ยัยแน็ตจะเพ้อเจ้อไปมากกว่านั้น
เอาล่ะ หล่อนสองคนไม่ต้องเถียงกัน เจ้จะบอกให้ว่าเกย์ไม่เกย์เนี้ยมันเป็นยังไง ดูแบบไหน อาไรกันไม่รู้เรื่องเลย นี่ล่ะน๊า เกิดมาเป็นชะนีก็ดีแต่ร้องผัว ๆ ไปวันๆ ระวังนะแกไอ้ผัวที่แกได้มามันจะ ชะแว๊บบ แอบไปเป็นเมียชาวบ้านเข้าให้ เจ้พูดเหมือนเป็นนักวิชาการผู้รอบรู้ในวงการสีม่วง ทำเอาฉันสะอึกกับคำพูดของแกเหมือนกัน
เจ้โม้รึเปล่า เกย์เนี้ยมันดูกันง่ายๆ อย่างงั้นเลยเหรอชั้นถามด้วยความอยากรู้
นี่เจ้จะบอกให้ มันไม่มีใครหรอกนะยะที่จะบอกได้ว่าคนนั้นเป็นหรือไม่เป็นเกย์ ไอ้การแสดงออกของผู้ชายมันมีหลายรูปแบบ บางทีเค้าอาจจะไม่ได้เป็นเกย์แต่เค้าเป็นผู้ชายที่เรียบร้อยเอามากๆ เจ้กล้าพูดตรงนี้เลยนะว่า ไม่มีใครจะใช้กฏเกณฑ์อะไรมาชี้ชัดได้ว่า คนคนนั้นเป็นเกย์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ถ้าเขาไม่ได้แสดงออกมาโต้งๆ น่ะ เจ้ร่ายยาว
อ้าวเจ้ แล้วงี้ที่เค้าบอกว่า ผู้ชายที่ยกแก้วแล้วนิ้วก้อยกระดกอะไรพวกนั้นต้องเป็นเกย์ ก็ไม่ใช่แล้วอะดิ ยัยแน็ตก็เริ่มสนใจขึ้นมาเหมือนกัน
ไม่ใช่ ไม่ใช่ เจ้ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ที่เจ้พูดเนี้ยหมายถึงว่ามันบอกไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าง case ที่แน็ตว่ามาเนี้ยผู้ชายแท้ๆ ที่นิ้วก้อยเค้าเจ็บแล้วบังเอิญต้องยกแก้วขึ้นกินน้ำ เหล้า หรือเบียร์อะไรสักอย่าง นิ้วก้อยมันก็ต้องชี้ออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเป็นเกย์ ที่กระดกน่ะเพราะนิ้วเค้าเจ็บต่างหาก เห็นมั๊ย แค่ภายนอกน่ะตัดสินไม่ได้หรอก
ฉันกับแน็ตตี้ตั้งใจฟังพลางยกเบียร์กระดกและสายตาก็มองไปรอบเพื่อสังเกตอาการในแหล่งชุมชนเกย์ของจริง
นี่ แต่พวกผู้ชายที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเกย์เนี้ยมันก็พอมีบ้างนะไอ้ทฤษฎีที่ไม่รู้ใครคิดเพียงแต่ว่ามันน่าจะเป็นลักษณะของเกย์ทั่วๆ ที่เค้าเป็นกันน่ะ เจ้พจน์เมาท์ต่อ
ยังไงล่ะเจ้ แน็ตตี้กับฉันถามขึ้นพร้อมกันด้วยโทนเสียงที่แหลมปรี๊ดทั้งคู่
ฟังสิ ฟัง!! คอยแทรกอย่างงี้มันจะรู้เรื่องกันมั๊ยเล่าเจ้กัด
คืองื้นะไอ้อาการของพวกที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเนี้ยมันก็พอจะสรุปได้กว้างๆ อย่างที่แน็ตบอกเรื่องนิ้วกระดง กระดกนั่นก็ใช่ แต่ส่วนมากคนที่เป็นเกย์ เป็นกะเทยอย่างเจ้เนี้ยเค้าก็จะชอบฟังเพลงของดิว่า,เจโล,มารายห์,วิทนีย์ แม่ แม่พวกนี้ล่ะ โดยเฉพาะเจ้มาดอนน่านะแก ถือว่าเป็น Idol ของคนกลุ่มเจ้เลยทีเดียว นี๊!!! ในห้องน้ำนะจ๊ะก็จะเต็มไปด้วยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ เจ้ว่าดีไม่ดีเยอะกว่าของหล่อนสองคนซะอีก แล้วอีพวกนี้นะช๊อบ ชอบแบบไปยิมกับสระว่ายน้ำอะไรพวกนี้ แต่ไม่ใช่ไปออกกำลังกายอย่างเดียวนะจ๊ะ ไอ้ประเด็นหลักก็ไปดูกล้ามดูเป้าของผู้ชายด้วยกันนั่นแหล่ะ ทีนี้มาดูการแต่งตัวกันบ้าง โอ๊ยแม่เจ้า เนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมนี่ไม่กระดิกสักเส้นเลยนะแก ส่วนข้อนี้ล่ะที่ทำให้เหล่าชะนีคลั่งรัก มาหลงใหลได้ปลื้มกับหนุ่มเกย์โดยไม่รู้ตัว ก็เพราะคนพวกนี้นะจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากๆ เขาจะดูแลเทคแคร์พวกหล่อนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้อย่างนี้มาก่อน และที่สำคัญ ก็คือเขาจะไม่ล่วงเกินหรือถูกเนื้อต้องตัวพวกหล่อนเลยสักครั้ง
ถึงข้อนี้ฉันย้อนนึกไปว่าวัตรเคยจับมือฉันบ้างรึเปล่า
นี่ยังไม่จบนะยะ พวกหนุ่มๆที่เข้าข่ายเนี้ย มักจะรอบรู้ในเรืองแฟชั่นทุกอย่างที่ไม่ใช่เรื่องเครื่องยนต์กลไก ชอบใส่เสื้อรัดรูปโดยเฉพาะเสื้อแขนกุด และอีกข้อที่เจ้พอจะนึกได้นะ ถ้ามีหนังให้เลือกดูสองเรื่องเขาจะต้องอยากดูเรื่อง Chicago มากกว่า X Men อย่างแน่นอน นี่แค่จิ๊บ จิ๊บนะจ๊ะ แล้วไม่ใช่ไปเที่ยวว่าใครต่อใครที่เป็นอย่างเจ้เมาท์ ว่าเขาเป็นเกย์ล่ะ เดียวจะโดนบาทาเอาง่ายๆ เจ้หยุดพูดพร้อมยกเบียร์แก้วใหญ่ซดหมดแก้ว แล้วตะโกนสั่งเบียร์เพิ่ม ตามสเต็ป
ไปห้องน้ำก่อนนะยะ ว่าแล้วเจ้แกก็ลุกพรวดไปอย่างไม่ใยดี
ระหว่างที่เจ้พจน์ไปห้องน้ำฉันก็มองไปรอบๆ ตัว สังเกตุพฤติกรรมของบรรดาเกย์ทั้งหลายที่อยู่ในดินแดนที่เรียกได้ว่าเป็นสังคมของพวกเขาอย่างแท้จริง
นี่ขนาดผู้ชายแถวนี้เป็นเกย์มากกว่า 90% แต่ฉันว่านะพวกนี้ก็ดูเป็นผู้ชายปกติทั่วไปเลยนะแก จะมีก็แค่บางคนที่ออกอาการเป็นสาวไปเลยแบบไม่ต้องเดาน่ะ แกว่ามั๊ย แน็ตตี้บ่นงึมงำ แล้วหันมาถามฉัน
อืม นั่นสิ แล้วอย่างงี้แกว่าวัตรของฉันเป็นเกย์มั๊ยวะ แต่ถึงเขาจะเป็นเกย์จริงๆ ฉันว่าฉันเปลี่ยนเขาได้ล่ะ ฉันตอบ
ย่ะ!!! แม่คุณ! หล่อนนี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ เจ้พจน์เดินกลับมาจากห้องน้ำแล้วก็ตะโกนขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ถึงโต๊ะเลย
อะไรกันเจ้ ฉันหันหลังกลับมามองเจ้แล้วเอ่ยถาม
นี่หล่อนรู้รึเปล่า ยัยจี้ว่าเกย์เนี้ยมันไม่เปลี่ยนกันง่ายๆ นะ หรือจะว่าไปแล้วเจ้ว่ามันเปลี่ยนกันไม่ได้หรอก เจ้พจน์บอกเล่าเก้าสิบ
ยังไงล่ะเจ้ ฉันถามต่อ
จี้ จี้!!! แน็ตตี้ตะโกนเรียกฉันสุดเสียง ทั้งที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน
อะไรของแกยัยแน็ต ฉันถามแต่ไม่ได้คำตอบและแน็ตตี้ก็ไม่ได้มองหน้าฉันแต่กลับมองไปที่บาร์เกย์ฝั่งตรงข้าม
แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นรึเปล่า แน็ตถามฉันโดยที่ไม่ละสายตาจากบาร์นั้น
เห็นอะไรล่ะ ฉันมองตามสายตายัยแน็ตตี้ไป
นั่นมันนายต่อไม่ใช่เหรอ
ฉันยอมรับว่าตอนนั้นฉันตกใจอยู่นิดๆ เหมือนกัน เพราะผู้ชายคนนั้นคือต่อเพื่อนสนิทของจริงๆ แต่เขามาทำอะไรกันล่ะแถวนี้
นั่นไง ฉันว่าแล้วไม่ผิดนายต่อคนเนี้ย เป็นเกย์จริงๆ ด้วยเห็นมั๊ยเล่า นี่แล้วอย่างนี้วัตรของแกจะไว้ใจได้มั๊ยเนี่ยยัยจี้? ยัยแน็ตพูดตอกย้ำจิตใจฉันแต่ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าต่อทำอะไรกันแถวนี้ แต่อีกใจนึงมันก็รู้สึกโล่งที่ไม่เห็นวัตรอยู่ที่นี่ด้วย
ฉันมองดูต่ออยู่สักพักจนเขาเดินผ่านหน้าร้านออกไปที่ไหนสักแห่ง ในใจพยายามคิดว่าไม่มีอะไร และถึงต่อจะเป็นอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องของเขา เรานั่งดื่มกินและคุยกันสักพัก เจ้พจน์ก็ชวนกลับเพราะได้เวลาอันสมควร เราสามคนเดินเล่นไปตามทางของถนนสายสีม่วง มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ความสนุกสนาน ร่าเริงของคนกลุ่มนี้มันเป็นโลกที่ดูมีชีวิตชีวาซะจริงๆ เราเดินกันมาจนถึงรถ และขับออกมาจากที่จอด คุยกันสนุกสนานแต่แล้วทุกอย่างก็เงียบลง เมื่อไฟหน้ารถสาดไปกระทบร่างกายของชายสองคนที่กำลังจะรถอีกคันหนึ่ง เพราะนั่นคือต่อกับวัตรที่กำลังจะขึ้นรถไปด้วยกัน....เค้าจะไปไหนกัน? วัตรมาทำอะไรที่นี่ แล้วที่ฉันเห็นมันคืออะไรกันล่ะ?...
9 มกราคม 2550 15:42 น.
สองร่าง
"ดันพื้น 20 ปฏิบัติ!!!!" เสียงแข็งกร้าวนั้นทำให้ฉันฮึกเหิมระคนเหนื่อยและหอบ
"บ้าเอ๊ย ไม่รู้จะดุไปถึงไหนกัน ก็ทำอยู่เนี่ยไม่เห็นรึไงวะ" ฉันคิดฉุนอยู่ในใจ
"อู้เหรอ ลุก! ลุกขึ้น สก็อตจั๊มพ์ 50 ปฏิบัติ!!! " เสียงนั่นยังสั่งฉันไม่เลิก เพียงเพราะฉันดันพื้นช้าไปเท่านั้น มันจะรู้มั๊ยนะว่าที่ฉันกำลังทำอยู่เนี่ยมันเหนื่อยสักแค่ไหน
"แล้วฉันมาทำอะไรอยู่ล่ะเนี่ย? ทำไมฉันต้องมาทรมาน ทำไมต้องมาเหนื่อยกาย และใจให้เขาด่าทอ ตะคอกอยู่อย่างนี้" ฉันคิดอยู่ในใจขณะที่ใช้มือขัดไว้ที่ท้ายทอย นั่งกระโดดต่ำๆ อยู่ที่พื้นตามคำสั่งไอ้หมาบ้าที่อยู่เบื้องหน้าฉัน
เมื่อทุกอย่างผ่านไป เราทุกคนรวมแถวกันอยู่ที่หน้าสนามโรงเรียนและฟังประกาศผลผู้ที่ผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายเพื่อเข้าเรียนอะไรบางอย่างที่ ชายอ้อนแอ้นอย่างพวกฉันไม่ปรารถนานัก ใช่ นี่ล่ะที่เค้าเรียกกันว่า นักศึกษาวิชาทหาร.......และฉันก็เลือกที่จะเรียนมัน
"เป็นละยะ อนาคตว่าที่ร้อยตรีหญิง ฮิฮิ อยู่ดีไม่ว่าดี ดูซินั่นหน้าดำเป็นตอตะโกเลยแก" เพื่อนสาวคนเดิม ใช่ ก็นังแว่นนั่นล่ะมันเยาะฉัน ที่ต้องมาเปลือยกายท่อนบนวิ่งแข่ง ผ่านด่านโหดๆ กลางแดดกับพวกผู้ชายร่วมรุ่นด้วยกัน
"ย่ะแม่คนสวย หล่อนไม่เห็นเหรอว่าฉันน่ะเหมือนเจ้าหญิงขนาดไหน" ฉันตอบไป
"ไหนยะ เจ้าหญิงบ้าบออะไร ฉันเห็นแต่กะเทยควายวิ่งโชว์กล้ามเนื้ออยู่กลางสนามนั่น่ะ เมื่อกี๊ สวยนะยะ หล่อนน่ะ สวยสำคัญน่ะ (สวยสำคัญ ก็ สันซำควาย ภาษาอีสาน หมายถึง กล้ามใหญ่มากๆ)"
"อ๊าววว หล่อนไม่เห็นเหรอยะ ว่ามีองครักษ์วิ่งคอยดูแลฉันเป็นสิบ เนี่ยเค้าเรียกว่าดาวล้อมเดือนไงแก" ฉันไม่ยอมแพ้
"อืมว่าไปก็เหมือนนะแก แต่ฉันว่าเหมือนแมงวันตอมขี้มากกว่า"
"เออ อีนี่กัดกูไม่เลิก" ฉันคิดในใจ
"ไม่เอาแล้วแก เหนียวตัวเหนียวหน้าฉันไปล้างหน้าดีกว่า"
........
"เหนื่อยมั๊ย"
เสียงนั่นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากก๊อกที่มีน้ำกำลังพวยพุ่งออกมาพร้อมความชุ่มฉ่ำ
"ชิ๊บหายแล้ว" ฉันอุทานเพียงแค่ริมฝีปากเผยอแต่หาได้มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากช่องปากฉันไม่
"อ้อ ก็เหนื่อยสิพี่ เป็นพี่ไม่เหนื่อยรึไง" ฉันตอบไป พลางในใจก็คิดว่า "แม่งเสือกไปกวนตีนเขาอีก" มันสับสนไงไม่รู้ ก็เจ้าของเสียงนั่นมันรุ่นพี่สุดหล่อที่ฉันเฝ้ารอและติดตามมาตลอดสามปีนี่
"อ้าว แล้วพี่มาดูอยู่นานแล้วเหรอ" ฉันถามไปงั้น
"อืม ก็พักนึงแล้วล่ะ เป็นไง ได้เรียนรด.มั๊ย" เขาถาม
"โหพี่ ดับนี้แล้ว ได้ดิ ไม่ได้ก็เสียชื่อนักกีฬาว่ายน้ำโรงเรียนหมด" ฉันอวด
"อืมดีแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร"
"อะไรกันพี่ ที่เรียนเนี่ยไม่ได้คิดจะให้พ้นเกณฑ์หรอกนะแต่เรียนเพราะอยากเรียนจริง" ฉันตอบ
"ต๊ายยยยย!!! เรียนเพราะอยากเรียน กล้าพูดดดด...... ไม่บอกพี่เขาไปล่ะว่า "พี่คะ!!! พี่เป็นแรงดลใจให้หนูมาเรียนค่ะ เวลาเข้าค่ายจะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกว่านี้" เสียงนังแว่นลอยมาแต่ไกล เล่นเอาฉันที่หน้าดำเพราะแดดรวมกับสีแดงเลือดฝาดที่พร่านขึ้นบนหน้า กลายเป็นสีเขียวอมม่วงซะงั้น
"อีบ้า" ฉันด่ามันเบา โดยหันหน้าไปหามันเกรงว่าถ้าดังไปจะเสียจริตที่สั่งสมมาต่อหน้าชายอันเป็นที่รัก
"พี่ยุทธ์ ฝึกรด.หนักมั๊ยพี่" ฉันถามรุ่นพี่สุดหล่อเพราะเกรงว่าเขาจะเดินหนีไปเสียก่อน
"ปีหนึ่ง ปีสองเนี่ยก็หนักหน่อยล่ะ" เขาตอบ
"เอ่อ คือว่า แล้วเราจะได้เจอกันมั๊ยล่ะคะเวลาฝึกน่ะ" นังแว่นถามแทน
ฉันด้วยน้ำเสียงที่เกินจริต
"เจอสิครับ ปีหน้ายังเจอกันอยู่ เอาโชคดีนะพี่ไปเตะบอลก่อน รอสนามมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว" เขาตอบแล้วเดินไป
จบกันฉันก็นึกดีใจว่าพี่ยุทธ์สุดหล่อมาแอบมองให้กำลังใจแบบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เอาน่าอย่างน้อยเพราะยัยแว่นก็ได้พูดความจริงในใจออกไปให้พี่ยุทธ์รู้แล้วนี่ ไว้เจอกันวันฝึกนะพี่นะ........
to be continue......
9 มกราคม 2550 11:49 น.
สองร่าง
"เฮ๊ย!! อีแว่น แกรู้จักพี่คนนั้นปะ?"
"คนไหนยะ"
"ก็นั่นไงคนที่ยืนอยู่หน้าสหกรณ์น่ะ "
ฉันถามเพื่อนสาวคนสนิททันทีที่เจอรุ่นพี่สุดหล่อที่ฉันคลั่งไคล้มาตั้งแต่สมัยเข้ามาเรียนที่นี่วันแรก ซึ่งจริงๆ แล้วถึงตอนนี้ที่ฉันเจอเขาอีกครั้งก็เพิ่งจะผ่านมาแค่สามวันเอง ใช่สิสามวันแรกในโรงเรียนมัธยมชายประจำจังหวัด เมื่อก่อนฉันยังสับสนว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ตอนเรียนประถมคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีแฟนเป็นหญิงอยู่ดีๆ จนมาเจอรุ่นพี่รูปหล่อคนนี้ถึงได้รู้ว่า อ้อ ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นี่เอง คิดไปคิดมาก็พิลึกดีนะชีวิต
.........
"หิ้วโว๊ย!!!"
ฉันหิวจนไส้แทบขาด และต้องรีบกินข้าวให้เสร็จก่อนที่นักเรียนห้องและชั้นอื่นๆ จะลงมาซะก่อน
ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนกำลังสร้างอาคารใหม่เต็มรูปแบบด้วยสน ามกิฬาและห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ชั้นสอง โรงอาหารหรูหราไฮโซที่อยู่ชั้นล่าง แต่นั่นคงไกลเกินฝันของฉัน หรืออย่างน้อยคงต้องใช้เวลาอีกสองสามปีกว่าจะได้ใช้มัน เพราะวันนี้ฉันเพิ่งจะเป็นเขาลงเสาเข็มต้นแรกเท่านั้นเอง
นั่นละเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องมากินข้าวอยู่ที่หอประชุมเล็กอันเกรอะกรังและร้อนอบอ้าวจนสุดจะทน แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าควรจะนั่งตรงไหนและหันหน้าไปทางใด
"เจ้แหวว ผัดวุ้นเส้นกับต้มข่าไก่ค่ะ" ฉันสั่งอาหารจานโปรดร้านประจำที่มักจะโดดเรียนช่วงก่อนบ่ายลงมานั่งเมาท์กับเจ้แกอยู่เสมอๆ
"ได้แล้วจ้า"
"ขอบคุณค่ะ"
ฉันละเมืยดกินอย่างช้า ๆ แลดูมีจริตอยู่ไม่น้อย นั่นไม่ใช่เพราะฉันกลัวว่าข้าวจะติดคอ หรือใครมองมาจะเห็นกิริยาอันตะกระตะกรามของฉันหรอกนะ แต่ที่ฉันต้องกินช้าๆ เพราะว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก
นั่นไง ยังไม่ทันสิ้นความคิดสิ่งที่ฉันรอก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้า มันเป็นไปตามที่ฉันคาดไว้ไม่มีผิด
โต๊ะไม้ยาวสภาพไม่ค่อยดีนัก แต่มันก็น่ามองเมื่อมีคนที่ฉันคลั่งไคล้นั่งอยู่ตรงข้ามห่างกันเพียงไม่ถึงสองเมตร ภาพนั้นฉันจำติดตาไม่เคยลืมกระทั่งทุกวันนี้
รุ่นพี่สุดหล่อที่ฉันคลั่งไคล้ถึอจานข้าวพลาสติกสีชมพู ดูอย่างไม่ถนัดนักฉันว่าเขาต้องกินแกงเขียวหวานไก่ กับผัดคะน้า ตายล่ะเค้าเดืนมาหยุดตรงโต๊ะเบื้องหน้าของฉัน มือขวาที่ถือจานข้าว วางมันลงบนโต๊ะอาหาร ซ่อมที่วางอยู่อย่างไม่มั่นคงนักหล่นลงกระทบพื้นเบื้องล่าง เขาหันหลังกลับไป ก้มลงเก็บ โอ!!! ดูเอาเถอะกางเกงนักเรียนสีกากีขาสั้นรัดติ้ว เขาก้มลงเก็บซ่อมคันนั้นหันบั้นท้ายที่แน่นปั๊กมาทางฉัน โอย ฉันแทบบ้าถึงแม้มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่ตอนนั้นในสมองฉันบอกมาว่า นั่นมันช็อตเด็ดในภาพกีฬามัน มันส์ทางช่องเจ็ดไม่ผิดเพี้ยน
เอาล่ะสิเขาคงได้เวลาที่จะนั่งกินข้าวให้สบายใจ ช็อตเด็ดเมื่อครู่ไม่สะใจเท่ากับช็อตนี้แน่ เก้าอี้ม้ายาวสำหรับนั่งทานข้าวขนาดความสูงสักเลยเข่าเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าสูงพอดูในตอนนั้น ฉันกำลังนับถอยหลัง ให้เขาก้าวขาข้ามมันมาสักที เอาล่ะสิเขาเริ่มแล้ว ขาซ้ายยกขึ้นสูงพอที่จะทำให้ฉันสามารถมองเห็นต้นขาที่ขาวและเต็มไปด้วยขนหยิกหยอยสีดำที่ไล่มาตั้งแต่หน้าแข้งและหายวั๊บเข้าไปในกางเกงสีกากีตัวนั้น ยังเรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น ขาขวาก้าวข้ามตามเข้ามาทันควันเสียดายที่ตอนก้าวขาขวาฉันเผลอสายตาแบ่งปันไปให้ใบหน้าอันขาวใสและคมเข้มของรุ่นพี่สุดหล่อแต่ยังดีที่ฉันตั้งสติได้ทันทำให้ไม่พลาดช็อตเด็ดที่รอคอย เขายืนตรง สายตามองไปรอบๆ มือสองข้างจับที่ขากางเกงบริเวณใกล้กับสิ่งสงวนนั้น ใช่ เขาดึงมันขึ้น และนั่งลงอย่างช้า ๆ นั่นอาจเพื่อช่วยให้การนั่งสบายขึ้น แต่พระเจ้า ตอนนี้ล่ะที่ฉันได้ทักทายกับน้องชายของรุ่นพี่ ไม่รู้นะว่าอะไรคือความรู้สึกตอนนั้น แต่เท่าที่รู้มันช่างน่า.......ซะจริงๆ เขานั่งลงและเริ่มตักอาหารเข้าปากอย่างสบายใจ ส่วนฉันก็กินข้าวพร้อมกับลอบมองหน้าเขาไปเรื่อยๆ แต่ก็มีนะที่บางครั้งเขาเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉันพอดี แปลกที่ฉันเกิดความอายอย่างประหลาดและไม่กล้าที่จะสบตาเขาเลยแม้สักครั้ง......
to be continue
14 ธันวาคม 2549 18:19 น.
สองร่าง
โต๊ะกลมตัวเล็กสีน้ำตาลกับเก้าอี้ขนาดพอเหมาะสองตัววางเข้าชุดกันดูสวยเก๋ สายลมเย็นพัดเอื่อยมาไม่ขาดช่วง เส้นผมปลิวพริ้วไปตามแรงลม กาแฟแก้วเล็กวางอยู่ตรงหน้าข้างๆกันมีที่เขี่ยบุหรี่ที่ดูเหมือนด้วยของหวานซะมากกว่า บุหรี่ที่บรรจุอยู่ภายในซองสีแดงนั้นถูกหยิบขึ้นมาอย่างปราณีต สองนิ้วบรรจงสอดบุหรี่ไว้ระหว่างริมฝีปากบางๆ นั้น เปลวไฟเล็กๆ จากไฟแช็คราคาถูกทั่วๆ ไปจ่อที่ปลายสุดของบุหรี่กลายเป็นเถ้าสีแดงตามด้วยควันที่ไม่ประสงค์ดีกับสุขภาพเท่าไรนักถูกพ่นออกมาเป็นทางยาว นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด หลังจากตรากตรำทำงานมาแล้วตลอดเช้า......
นั่นไงเป้าหมายที่ทำให้ผมมานั่งที่โต๊ะตัวนี้ทุกวัน มองจากระยะไกลถึงแม้จะมีกระจกใสบานใหญ่ที่มีเงาสะท้อนจากนอกตัวตึกทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ผมก็รู้ได้ด้วยใจว่าเป็นเขาแน่ๆ ผิดเหรอที่ผมจะมองผู้ชายด้วยกัน ในเมื่อเขาน่ามองออกจะตาย "มานั่งตรงนี้สิ" ในใจของผมร่ำร้องเสียงดังหากแต่เสียงนั้นคงดังก้องอยู่ภายในใจของผมเท่านั้น และเป็นเช่นทุกวัน เขาเดินใกล้เข้ามาด้วยมาดที่ดูนุ่มลึก บรรจงนั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเค้าเตอร์ซึ่งเป็นมุมที่ผมและเขานั่งตรงข้ามกันพอดี ใบหน้าที่ขาวใสและยิ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อตัดกับผมรองทรงสีดำขลับ จมูกเป็นสันโด่งราวกับว่าพระเจ้าบรรจงปั้นให้เขาอย่างสุดฝีมือมันช่างรับกับริมฝีปากบางได้รูปของเขา ผมนั่งมองเขาอยู่อย่างนี้ทุกวัน จนวันนี้ที่เราได้สบตากัน
ความเย็นยะเยือกเข้าสิงสู่ในตัวผมทันที ผมหลบสายตาเขาไม่ทันด้วยซ้ำ ใช่เขาต้องรู้ตัวอยู่ก่อนว่าผมแอบมองเขาอยู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขามาแสนนานเหลือเกิน ถ้าจะให้นับกันจริงๆ ก็ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ซึ่งนั่นก็ล่วงเลยมาถึงสี่ปีแล้ว แปลกที่ผมไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าได้รู้จักเขามากขึ้นกว่านี้ หรืออย่างน้อยเวลาเดินผ่านก็ขอให้ได้ยิ้ม หรือพูดจาทักทายกันบ้างเท่านั้น อาจเพียงเพราะว่าความผิดปกติภายในจิตใจของผม ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเปิดเผยว่าผมประทับใจในความเป็นเขาอย่างที่สุด ทั้งๆที่คนอื่นในตึกนี้ผมกล้าพูดว่าผมสามารถทักทายและล้อเล่นได้หมด ยกเว้นเขาคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ผมไม่สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้เลยแม้สักครั้ง
"นั่งด้วยคนนะครับ" เสียงนั่นทำให้ผมชาไปทั้งตัว
"ยินดีครับ" ผมพูดออกไปได้เพียงเท่านั้นจริงๆ และไม่รู้ว่าหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างไร รู้สึกได้อย่างเดียวว่ามันร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
"ชอบทานกาแฟเหมือนกันเลยนะครับ" เขาถามขึ้นมาอีก
"ครับ วันละ...."
"สามแก้ว" เขาตอบขึ้นมาทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ อะไรกันเขาเฝ้าติดตามพฤติกรรมของผมอยู่เหมือนกันหรือนี่
"ไม่ค่อยพูดเลยนะครับ ผมเห็นตอนคุณอยู่กับเพื่อนๆ น้องๆ คุยไม่หยุดเลย"
"โธ่ ใครจะไปกล้า คนที่คลั่งแทบบ้ามาขอนั่งด้วยแถมยังชวนคุยเป็นวรรคเป็นเวร" ผมคิดในใจ ที่ทำได้ก็แค่ส่งยิ้มให้แล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบ
"บุหรี่มั๊ยครับ" ทำยังไงล่ะทีนี้เขายังไม่ไปไหนแถมยื่นบุหรี่ที่อยู่ในซองสีน้ำเงินนั่นให้อีก
"ขอบคุณครับ" ผมตอบแล้วหยิบบุหรี่จากซองนั้น และนี่เป็นอีกครั้งที่ได้สบตาเขาต่างกันตรงที่มันใกล้มากๆ เขายิ้มแก้มป่อง เห็นแล้วอยากกระโจนไปกัดซะจริงๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้คงจะดี
"น้ำเปล่าค่ะ" เสียงเด็กสาวที่ร้านกาแฟเดินถือแก้วน้ำใสกิ๊กมาวางให้ผมตามปกติ และเสียงนั่นก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น และเขายังคงนั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์ ตรงที่เดิม ผมมีความสุขกับการจิบกาแฟและนั่งนึกเรื่องแบบนี้ไปพร้อมๆ กับมองหน้าเขาไปด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะกลับขึ้นไปทำงานอย่างนี้ทุกวันt>
13 ธันวาคม 2549 18:04 น.
สองร่าง
บรรยากาศของค่ำคืนในร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์ ที่ดูโปร่งโล่งและสบาย แต่ภายในจิตใจของผมตอนนี้มันกลับไม่โปร่งโล่งเหมือนบรรยายกาศภายในร้าน คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมรู้สึกเหงาอย่างประหลาด และสถานที่แห่งนี้เองที่ผมเลือกเป็นที่พักใจ และปล่อยให้ความเหงามันกัดกินใจผมอย่างนี้ต่อไป แปลกนะที่เวลาเหงา หรือเศร้า พอเราได้ฟังเพลงอะไรก็ตาม ไม่ว่าเนื้อหาจะเกี่ยวกับรักที่สมหวังหรืออกหัก มันกลับกระทบจิตใจของผมอย่างแรง เหมือนกับว่านักประพันธ์เพลงทุกเพลงทุกคนบนโลก จะแต่งเพลงเหล่านี้ให้กับผมโดยเฉพาะ
เสียงเพลงจากดีเจจบลงพร้อมน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ฟังดูนุ่มสบายของดีเจหนุ่มคนนั้น ส่งต่อหน้าที่ให้กับนักร้องหนุ่มที่มีน้ำเสียงไพเราะและร้องเพลงสดได้อย่างน่าฟัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบได้เท่ากับมือกีตาร์ของเขา ใบหน้าที่ใสราวกับว่าเคลือบไว้ด้วยเรซิ่น คาดการณ์จากระยะไกลขนาดนี้อายุอานามคงประมาณยี่สิบต้นๆ เท่านั้น นัยตาที่ฉ่ำหวานอยู่ในที และลีลาการเล่นกีตาร์โปร่งของเขามันทำให้ผมตกอยู่ในพวังค์ อย่า ผมขอร้องเขาอยู่ในใจ และภาวนาขออย่าให้เขาหันมาสบตากับผมเลย เพราะผมเองไม่อาจจะซ่อนแววตาที่สื่อให้เขารู้ได้ว่าผมสนใจเขาเข้าแล้วอย่างจัง
น้ำแข็ง โซดา และสุรา ถูกรินลงในแก้วตามด้วยเสียงที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์บางอย่างคนเพื่อให้สุรานั้นเคล้ากันจนให้รสชาดที่จะนำมาซึ่งความเมาในที่สุด แก้วแล้ว แก้วเล่าที่ผมนั่งดื่มอยู่คนเดียว กับแกล้มบนโต๊ะ ไม่มีความหมายกับผมอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะผมอิ่ม เพียงแต่ว่าสุรายิ่งให้รสชาดและอารมณ์ที่พรุ่งพร่านมากยิ่งขึ้นเมื่อมีอาหารตาให้ผมนั่งมองแทนกับแกล้มบนโต๊ะเหล้านั้น ผมยอมรับว่าอารมณ์เตลิดไปไกล ผมนั่งมองเด็กหนุ่มที่เล่นกีตาร์ราวกับว่าเค้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรืออาภรณ์ใด อะไรกันที่ทำให้ผมรู้สึกไปกับเขาได้ขนาดนั้นทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นี่มันคือรัก ประทับใจ หรือเรียกว่าความใคร่กันแน่ แล้วถ้ามันเป็นเพียงความใคร่ ทำอย่างไรความอยากนั้นจะได้รับการตอบสนองล่ะ สุราอีกแก้วไหลผ่านลำคอผมอย่างรวดเร็วหลังจากความคิดของผมเริ่มไปไกลเกินความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เสียงเพลงเศร้าๆ ที่คุ้นหูของศิลปินที่ขับกล่อมอยู่บนเวทีดังขึ้น พร้อมกับความเจ็บปวดที่ประดังเข้ามาทิ่มแทงใจอย่างไร้ซึ่งความปราณี ความคิดเก่าๆ ย้อนกลับเข้ามาเติมเพิ่มความเจ็บปวดให้รวดร้าวหนักยิ่งขึ้น ใคร จะมีใครมั๊ยที่เจ็บและทรมานใจอย่างผมในตอนนี้ ผมไม่ต้องการใครเป็นเพื่อนคุย เพราะไม่อยากจะเสแสร้งว่าผมสบายดี ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งที่ในใจมันหมดความอดกลั้นและไม่เหลือพื้นที่ให้กับความสุขใดๆ อีกแล้ว เพลงแล้วเพลงเล่าที่ทิ่มแทงจนใจผมยับเยิน จนแทบจะหมดแรงที่จะทำให้มันเต้นต่อไปได้อีก น้ำตาเริ่มคลอจนเป็นเงาประกายแวววาว แต่แล้วผมก็ยิ้มขึ้นมาได้ มันแปลกนะกับการที่ต้องเจ็บปวดเพราะความรัก อกหักใจสลาย แต่เมื่อความเจ็บปวดมันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ผมก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้เอง อย่างน้อยผมก็เคยมีความรัก มีความสุขกับคนที่ผมรัก และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่ารักของผมจะร้างลาไปแล้ว แต่มันก็เป็นเหมือนความทรงจำจางๆ ที่ทำให้ผมได้นึกถึงคนที่ผมรักมากที่สุด บางครั้งความเจ็บปวดมันก็ทำให้เรายิ้มได้เหมือนกัน....