4 กุมภาพันธ์ 2558 13:41 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 5

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 5

แม้จะเป็นวัดที่อยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าวัดแล้ว สถานที่นี้ย่อมจะเงียบและมีความสงบมากกว่าสถานที่อื่นๆ แน่นอน แหม่มเดินดูลวดลายแกะสลักที่บานประตูโบสถ์ด้วยความสนใจ หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า จะด้วยเพราะความร่มรื่นของสถานที่ หรือความสวยงามในงานฝีมือแกะสลักก็ตาม แต่สถานที่แห่งนี้ก็ทำให้หญิงสาวไม่อยากออกไปจากอาณาบริเวณในขณะนี้

โยมลองหัดนั่งสมาธิดูบ้างสิ เผื่อว่าบางทีบุญกุศลที่มาจากการภาวนาของโยม อาจช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้

หญิงสาวหวนนึกถึงคำพูดของพระชรา หลังจากที่เธอและเพื่อนไปทำบุญและถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเธอคนนั้น เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา มันยิ่งทำให้หญิงสาวครุ่นคิดจนไม่สามารถหยุดได้ ถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้น

ซึ่งหากเธอได้ทราบเรื่องที่เจ้าหน้าที่ที่ขับรถตามมาได้พบเห็นแล้วละก็ ในขณะนี้เธออาจจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างคอยติดตามเธออยู่ แม้กระทั่งในขณะนี้

“ขอบใจเธอมาก...ที่อยากจะช่วยฉัน

... จิตเธอสื่อกับฉันได้...เธอช่วยฉันได้...

ฉันจะพาเธอไป...ไปพบกับคนพวกนั้น

...แล้วนำพาพวกเขา มาที่นี่”

หญิงสาวใบหน้าขาวซีด ยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด จ้องมองไปที่แหม่ม พร้อมกับพูดเสียงในลำคอ เธอส่งยิ้มเยือกเย็นให้กับหญิงสาวก่อนที่จะค่อยๆ เลือนหายไป

 ฉันว่าแกเลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นซะเถอะ นี่เราก็ทำบุญไปให้เขาแล้ว เขาคงได้รับแล้วล่ะ”ชมพู่พูดเตือนสติเพื่อน เมื่อเห็นแหม่ม นั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด

“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะชมพู่” หญิงสาวลุกขึ้นยืนภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ก่อนจะนำพาตัวเองออกมาบริเวณที่รถจอดอยู่

แม้หญิงสาวจะมากันเพียงสองคน แต่ภาพที่พระชรารูปนั้นได้สัมผัสกลับมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินตามหลังอยู่ติดๆ

บุรุษผู้ครองผ้าเหลืองเพ่งมองไปยังภาพเบื้องหน้า...

หญิงสาวผู้นั้นหันมามองพระชรา ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะโยม”

พระชราพูดน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ภาพหญิงเบื้องหน้านั้นหาได้เลือนหายไปไม่ เธอยังคงติดตามหญิงสาวทั้งสองออกไปจนลับตา

พระชราทำได้เพียงยืนสงบนิ่งแล้วกล่าวเป็นภาษาบาลี เพื่อแผ่เมตตาไปให้

.........................................................................................................................

แม้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว แต่ทว่าตลอดทั้งวันแหม่มครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของหญิงคนนั้น เธอจึงตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปยังคลื่นวิทยุผีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสอบถามประวัติโดยละเอียดของบ้านร้าง แต่ทว่าได้รบการปฏิเสธจากทีมงาน โดยให้เหตุผลว่าทีมงานไม่สามารถให้ข้อมูลได้ รายละเอียดทุกอย่างต้องรอสอบถามดีเจที่รับผิดชอบในการจัดรายการเท่านั้น

บ้านร้างรามอินทรา

 หญิงสาวบรรจงกรอกตัวอักษรลงในโลกเครือข่ายอัจฉริยะ ไม่กี่อึดใจภาพบ้านร้างที่แหม่มและเพื่อนเข้าไปร่วมลองดีในรายการวิทยุคลื่นผีก็ปรากฏภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

“ว่ากันว่าหญิงสาวเจ้าของบ้านฆ่าตัวตายภายในบ้าน แต่ไม่มีใครรู้เพราะเพื่อนบ้านยังคงเห็นเธอทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ แต่พอตกกลางคืนก็จะได้ยินเสียงร้องไห้อย่างโหยหวนและเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทุกวัน นับวันเสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้น โหยหวนขึ้น และยาวนานขึ้น เพื่อนบ้านจึงไปหาเธอที่บ้าน และได้พบศพเธอซึ่งตำรวจชันสูตรแล้วว่าเธอเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นบ้านหลังนี้ถูกขายแต่สองสามีภรรยาที่มาซื้อกลับก่อเหตุฆาตกรรมตายด้วยกันทั้งคู่ภายในบ้าน หลังจากนั้นมาบ้านหลังนี้ถูกปล่อยให้ร้าง เพียง 6 เดือน นับจากเหตุการณ์สยอง กิตติศัพท์ความเฮี้ยนของวิญญาณหญิงสาวทวีมากขึ้นทุกวัน ทุกคืนมักมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ บางคืนจะเห็นผู้หญิงออกมายืนที่ประตูรั้วหน้าบ้าน จนชาวบ้านในละแวกนั้นไม่มีใครกล้าอยู่ ย้ายออกไปทีละหลัง ทำให้เกือบทั้งซอยไม่มีคนอาศัยอยู่เลย จะมีเพียงต้นๆ ซอยสามสี่หลังเท่านั้น

หญิงสาววางแว่นตาลงข้างๆ จอคอมพิวเตอร์ แล้วถอนหายใจเล็กๆ ข้อมูลในอินเตอร์เนตไม่ได้แตกต่างอะไรกับข้อมูลที่ทางคลื่นวิทยุแจ้งให้ทราบก่อนที่จะสมัครไปร่วมรายการ แต่สิ่งที่เธออยากรู้มากไปกว่านี้คืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวผู้นั้นกระทำการอัตวิบากกรรม

เสียงสะอื้นร่ำไห้ ในค่ำคืนนั้นยังแว่วอยู่ในหู

ตะวันบ่ายคล้อยของวันอาทิตย์ หญิงสาวเผลอหลับไปท่ามกลางความสงสัย

....................................................................................................................................

เสียงเพลงแว่วมาไกลๆ แต่ก็ยังพอจับจังหวะได้ว่าเป็นเพลงบรรเลงสากลในยุค 60 แสงแห่งวันใกล้จะหมดไปแล้วแต่ก็ยังคงมีแสงหลงเหลือให้เห็นสภาพแวดล้อมรายรอบได้อย่างชัดเจน จากสามแยกแหม่มสาวท้าวไปตามเสียงเพลงนั้น มันค่อยๆ ดังขึ้นๆ จนกระทั่งถึงที่มาของต้นเสียง หญิงสาวหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้น มันเป็นบ้านร้างที่เธอไปร่วมสำรวจกับรายการวิทยุที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่ทว่าสภาพบ้านตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาโดยจะค่อนไปทางคึกคักเสียด้วยซ้ำ รายรอบบ้านถูกจัดแต่งให้สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นสวนรอบบ้านที่ถูกประดับประดาไปด้วยไฟกระพริบหลากสี กลางสนามมีเตาย่างบาบีคิวอันใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยบรรดาเชฟมือสมัครเล่นทั้งหลาย ควันสีขาวลอยโขมงสู่ชั้นบรรยากาศ ใครบางคนถือถาดบาบีคิวเดินไปรอบๆ บ้านและใครอีกบางคนกำลังขมีขมันกับการเปิดเบียร์เย็นๆ แจกสมาชิกที่กำลังยืนรออยู่

ถัดไปที่ข้างบ้านเลยยาวไปจนถึงรั้วหลังบ้าน เป็นสระว่ายน้ำเล็กๆ ที่บัดนี้กลีบกุหลาบสีแดงสดนับร้อยๆ กลีบกำลังลอยเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ข้างๆ กันเป็นกลุ่มชายหญิงที่ทั้งนั่งทั้งยืนสนทนาปนกับเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริง

แน่นอนว่ามันคืองานเลี้ยง

แขกไม่ได้รับเชิญค่อยชะโงกหน้าผ่านประตูใหญ่หน้าบ้านที่ถูกเปิดกว้าง หน้าบ้านมีรถจอดอยู่หลายคัน อย่างไม่รอรีเธอก้าวเข้าไปในบริเวณบ้าน มันช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่าสนุกเสียจริง แต่ทว่ากลับไม่มีใครมองเห็นเธอแม้แต่คนเดียว หญิงสาวเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปคล้ายกับตนเองเป็นเพียงอากาศธาตุ เธอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ หน้าบ้าน เพื่อนำพาตนเองไปยังระเบียงหน้าบ้าน หญิงสาวได้แต่มองเข้าไปภายในบ้านที่นับว่ามีสมาชิกมากกว่าด้านนอกหลายสิบคน

เอาละๆ มาเพื่อนๆ เรามาอวยพรให้เพื่อนของเราทั้งสองคนดีกว่า

ชายรูปร่างสมบูรณ์คนหนึ่งยืนขึ้นพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แล้วสมาชิกทุกคนต่างก็หลั่งเข้าไปในตัวบ้าน

ข้างชายรูปร่างสมบูรณ์คนนั้น น่าจะเป็นหญิงสาวคนที่เธอพบ เมื่อมองหน้าเธอชัดๆ เธอไม่จัดว่าสวยมากหากแต่มันมีเสน่ห์บางอย่าง โดยเฉพาะเวลาเธอยิ้ม ดูเธอน่ารักทีเดียว ถัดไปเป็นชายรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาคมเข้มคนหนึ่ง ยืนถือแก้วบรั่นดีแล้วยกขึ้น

ขอบใจเพื่อนทุกคนที่มางานเลี้ยงส่งเรากับรันในวันนี้ เอ้า !!! ดื่มเพื่ออนาคตที่สดใส

ทุกคนต่างก็ยกแก้วในมือชูขึ้นพร้อมกับดื่มพร้อมๆ กัน

ฉันละเชื่อพวกแกสองคนจริงๆ เลย ทำไมไม่แต่งงานกันเลยวะใครบางคนตะโกนมา

เฮ้ย !ชายหญิงอุทานออกมาพร้อมๆ กัน

ไอ้บ้า! พวกเราเป็นเพื่อนกัน เลิกจับคู่ซักทีเถอะวะ เป็นเพื่อนกันอยู่ดูแลกันไปอย่างนี้แหละ ใช่ไหมโชคหญิงสาวพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางเพื่อนชายหน้าตาคมเข้มคนนั้น

“ใช่ ฉันว่าพวกแกก็เลิกจับคู่สักทีเถอะ คบกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ถ้าจะชอบกันคงชอบกันตั้งแต่เรียนอยู่ละมั้ง ตอนนี้มันเลยวัยแล้วหว่ะ อยู่มาจนอายุขึ้นเลข 3 แล้วยังไม่มีใครมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซักที คงต้องไปอยู่คานทองนิเวศน์ด้วยกันหมดนี่แหละวะ”ว่าแล้วทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

แล้วนี่แกสองคนจะไปเมื่อไหร่หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยถามบ้าง

เคลียร์บ้านเสร็จ ก็คงเดินทางทันที

แล้วทางบ้านไอ้โชคว่าไง ที่รันจะไป

พ่อกับแม่ก็โอเคนะ แม่ฉันนี่จะดีใจเสียด้วยซ้ำ ถือซะว่าปลดเกษียณให้โอกาสคนรุ่นใหม่ไฟแรงไปบริหารบ้าง

พวกเราจะเอาใจช่วยนะ ขอให้กิจการของพวกแกเฮงๆ นะ

ผู้เฝ้ามองพอจะคาดเดาเหตุการณ์ออกกรายๆ ถึงงานเลี้ยงในคืนนี้ มันน่าจะเป็นงานเลี้ยงส่งจากเพื่อนๆ ที่หญิงชายคู่นี้กำลังจะเดินทางไปสานต่อธุรกิจอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ใบหน้าของชายหญิงคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มันช่างต่างกับภาพและเสียงที่แหม่มเพิ่งได้สัมผัสมา

............................................................................................................

ข้าวของในบ้านถูกจัดเก็บลงกล่องพลาสติก และแยกหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบ ผ้าคลุมผืนโตกำลังถูกคลี่ออกเพื่อห่มคลุมโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขก หญิงสาวใช้หลังมือปาดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา ส่วนฝ่ายชายกำลังล็อคห้องเก็บของใต้บันใด หญิงสาวถือกระติกน้ำใบเล็กๆ สองใบเดินนำออกไปด้านนอก พลางมองไปทางชายหนุ่มแล้วพยักหน้า พร้อมกับใช้สายตามองออกไปด้านนอก เพื่อแทนคำพูดในการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายออกไปนั่งด้านนอกด้วยกัน

เสื่อผืนย่อมถูกกางออกกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน หญิงสาวนั่งมองดูกระถางต้นกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน อีกไม่นานเธอจะจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว การจ้างแม่บ้านมารดน้ำต้นไม้สัปดาห์ละครั้งจะเพียงพอหรือไม่สำหรับการอยู่รอดของเหล่าต้นไม้และดอกไม้ที่เธอรัก

“จะยากอะไรรัน แกก็ขนเอาต้นกุหลาบพวกนั้นไปด้วยสิ” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ

“ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกัน แกนี่มันช่างรู้ใจฉันจริงๆ เลยวะโชค” หญิงสาวละสายตาจากกระถางดอกไม้แล้วหันไปทางชายหนุ่ม

“ฉันรู้ว่าแกรักต้นไม้พวกนั้น เออแล้วฉันจะช่วยขน ส่วนต้นใหญ่ๆ ก็ค่อยให้คนที่ป้าแกจ้างมาเขารดก็แล้วกัน”

แทนคำตอบหญิงสาวสิ่งยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วใช้มือเล็กๆ นั้นสัมผัสกับพื้นหญ้าสีเขียวที่โผล่พ้นเสื่อออกมา

“แกลงมานั่งกับฉันสิ มานั่งนี่” หญิงสาวว่าพลางใช้มือตบลงบนที่ว่างบนเสื่อข้างๆ ตัว

“อีกหน่อยเราจะไม่ได้มานั่งกันแบบนี้แล้วนะ”

“แกก็พูดอย่างกับว่าจะไม่กลับบ้านแกอีกงั้นแหละ ฉันพาแกไปทำงานนะ ไม่ได้พาไปแล้วไปเลยซะหน่อย ถ้าว่างแกก็กลับมาสิ” ชายหนุ่มแย้งแล้วพาร่างตนเองลงไปนั่งอยู่ข้างๆ หญิงสาว

“ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะคบกันมา 18 ปีแล้ว มันเร็วจนไม่น่าเชื่อเลยวะ” ชายหนุ่มเอ่ย

“รันฉันถามแกจริงๆ เถอะวะ แกไม่คิดจะมีแฟน แล้วแต่งการแต่งงานเหมือนคนอื่นบ้างเลยเหรอ คือที่ฉันถามแกเนี่ย .....” ชายหนุ่มเอ่ยคำถามแต่ยังคงค้างไว้

“แกไม่ต้องถามต่อหรอก ฉันเคยคิด แต่มันนานมาแล้ว” หญิงสาวชิงตอบคำถามเสียก่อน

“กับใครวะ”

“พี่โบ๊ทไง”

“คนที่เขาทิ้งแกไปอะนะ”

“เออ ไม่ต้องมาย้ำหรอก”

“ฉันรักเขา คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วทำงานอีกซักสองปี ก็จะแต่งงาน แต่มันก็อย่างที่แกเห็นนั่นแหละ สุดท้ายก็เฮงซวย ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันคิดว่าเก็บเงินเยอะๆ เอาไว้ใช้ตอนแก่ ถ้าไม่มีใครได้อย่างใจจริงๆ ขออยู่คนเดียวดีกว่า ว่าแต่แกเถอะ กลับไปอยู่บ้านอย่างนี้แล้วพวกสาวๆ ของแกจะทำไงวะ”

“มันพูดยากวะรัน แกก็รู้ว่าฉันมันลูกคนเดียวยังไงฉันต้องกลับไปอยู่บ้าน ดูแลพ่อแม่ จะมีใครวะอยากไปอยู่ต่างจังหวัด อยู่บ้านนอก”

“แกก็พูดซะน่ากลัว บ้านน้งบ้านนอกอะไรกัน ก็แล้วทำไมแกไม่บอกไปล่ะ ว่าที่บ้านแกเปิดร้านอาหารใหญ่โตขนาดไหน ดันไปบอกเขาเองนี่หว่าว่าเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาด”

“ก็นั่นไง ถ้าเขารักฉันจริง เขาต้องไม่สนใจสิว่าครอบครัวฉันจะทำงานอะไร เขาต้องรับให้ได้สิวะ”

“เฮ้ย แต่ฉันว่ามันต้องมีสิวะ ถ้าเขารักแกจริง”

                “แกจำโอ๋ได้ไหมละ ฉันคิดว่าฉันชอบผู้หญิงคนนี้มาก แต่พอเจอแม่ฉันทดสอบไม่กี่บท ก็ใส่เกียร์ถอยแทบไม่ทัน” ชายหนุ่มพูดปนรอยยิ้ม

                “เอาเป็นว่าต่อไปนี้เรื่องความรักสำหรับแกกับฉัน หยุดไว้ก่อน ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเก็บเยอะๆ ดีกว่าใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยสายตารื่นเริง

                “โอเค ได้เลย ใครเก็บเงินได้เยอะกว่ากันภายในห้าปี คนนั้นชนะ” ชายหนุ่มว่า

                “แล้วถ้าใครมีแฟนก่อนกัน อะไรดีน้า” หญิงสาวทำหน้าทะเล้น พลางหลับตาครุ่นคิด

                “คิดออกแล้ว ถ้าใครมีแฟนก่อนคนนั้นต้องไปกระโดดบันจี้จั๊ม” ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

“แกจำตอนไปสมุยได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะเล็กๆ

“ทำไมจะจำไม่ได้ แกกับฉันหลอกให้พวกไอ้อ้วนกระโดดก่อน แล้วก็ขับรถหนีพวกมันที่ท้าให้เรากระโดดบันจี้จั๊ม”ชายหนุ่มร่วมสนทนาเรื่องขบขันในอดีตอย่างออกรสออกชาติ

“จนต้องนอนค้างบนรถ” ทั้งสองพูดพร้อมกันกลั้วเสียงหัวเราะ

                ...........................................................................................................................

ก็อกๆๆๆๆๆๆ

เสียงเคาะประตูห้องทำให้แหม่มถูกกระชากออกมาจากการสนทนาที่แสนรื่นเริงนั้น หลังจากลืมตาแล้วเธอยังคงงุนงงกับภาพรอบๆ ตัวที่บัดนี้มันกลายเป็นอพาร์ทเม้นท์ของเธอ ไม่ใช่เทอร์เรซหน้าบ้านที่เธอกำลังยืนมองชายหญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่

“แหม่ม! เปิดประตูเร็วเข้า ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”

 เสียงชมพู่นั่นเอง ตามด้วยเสียงเคาะประตูที่ถี่ยิบหลังจากเปิดประตูให้เพื่อนแล้ว ชมพู่วิ่งพรวดเข้ามาในห้องและเลยไปห้องน้ำด้านหลังอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวยังคงยืนงัวเงียอยู่ที่ประตู ใจก็นึกถึงแต่เรื่องราวในความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วินาที ซึ่งเธอยังไม่แน่ใจว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังดีหรือไม่

 

4 กุมภาพันธ์ 2558 13:36 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 4

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 4

ที่ท่านผู้ฟังร่วมรับฟังและจบไปแล้วนั้น คือช่วงลองดีของรายการเราครับ และตอนนี้เราจะมาพูดคุยกับสมาชิกทางบ้านที่มาร่วมลองดีกับรายการของเรา และพบเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ในค่ำคืนนี้

“โป้งครับ เมื่อกี้น้องแหม่มเป็นอะไรไปครับ ตอนที่สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปนะครับ”

พิธีกรในห้องส่งๆ คำถามไปยังพิธีกรภาคสนาม ถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน

“โป้งครับ ได้ยินไหมครับ”

“น้องแหม่มครับ” โป้งหมายถึง หนึ่งในสามของสมาชิกจากทางบ้านที่สมัครเข้ามาร่วมรายการในคืนนี้

“ท่านผู้ฟังครับเมื่อสักครู่นี้ น้องแหม่ม สมาชิกหนึ่งในสามของเรามีอาการแปลกๆ ครับ คือยืนนิ่ง ไม่เดินตามกลุ่มเพื่อน ไม่พูดจาอะไรเลยครับ จากนั้นสัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไป จนทำให้เกือบยุติการสำรวจบ้านร้างในช่วงลองดีของคลื่นผีในคืนนี้” พิธีกรภาคสนามบอกเล่าถึงความระทึกขวัญที่ตนและสมาชิกทั้งหมดเพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อไม่กี่วินาทีนี้

“แล้วน้องแหม่มจำได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น” พิธีกรส่งคำถามไปยังหญิงสาวร่างเล็ก ที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่

“ค่ะ แหม่มเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงห้องใหญ่ชั้นบนค่ะ ได้ยินเสียงร้องไห้ และเธอพยายามพูดอะไรบางอย่าง แหม่มก็เลยยืนนิ่งเพื่อจะฟังเธอๆ พูดออกมาเรื่อยๆ แต่แหม่มฟังไม่รู้เรื่อง มันอู้อี้มากค่ะ”

“แล้วที่เพื่อนๆ เรียกได้ยินไหมครับ”

“ไม่ได้ยินค่ะ รู้แต่ว่าแหม่มพยายามฟังเธอ แต่ก็ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ”

“แหม่มไม่กลัวหรือครับ”

“กลัวค่ะ ขนหัวลุกตัวเย็นชืดเลยค่ะ แต่ร่างกายมันขยับไม่ได้ และผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้มาให้เห็นแบบหน้ากลัว ก็เหมือนคนทั่วไป แต่ในบ้านมันมืด เลยมองเห็นหน้าเธอไม่ชัดนะคะ แหม่มได้แต่คิดในใจว่าอยากจะให้ช่วยอะไรก็บอก แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ สักพักก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนๆ รุมกันเขย่าตัวแหม่มใหญ่เลย”

“ขนลุกครับ ท่านผู้ฟัง ค่ำคืนนี้สมาชิกจากทางบ้านของเราได้สัมผัสกับวิญญาณของหญิงสาวเจ้าของบ้าน ที่ชาวบ้านละแวกนั้นต่างร่ำลือกันถึงความเฮี้ยนของเธอ โดยที่เธอพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับผู้ร่วมรายการของเรา ทำเอาสมาชิกอีกสองท่าน และทีมงานของเราที่อยู่ภาคสนามอึ้งกันไปตามๆ กันเลยละครับ เอาละครับสำหรับช่วงลองดีกับผมนายโป้งและสมาชิกจากทางบ้านในคืนนี้ กับวิญญาณหญิงสาวในบ้านร้าง ขอย้ำอีกครั้งนะครับผู้ฟังทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังนะครับ ส่วนคุณผู้ฟังทางบ้านท่านใดสนใจมาร่วมพิสูจน์สิ่งลี้ลับกับเรา ติดต่อมาได้ที่ 02-xxx0099 อย่าลืมนะครับมาร่วมพิสูจน์กับพวกเรา สำหรับคืนนี้ ในช่วงลองดีสำรวจบ้านร้างกับผมนายโป้ง ต้องขอลากไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ”

โทรศัพท์ถูกวางสาย และพิธีกรในห้องส่งคงกำลังกล่าวขวัญถึงสิ่งที่ทุกคนเพิ่งได้สัมผัสมากันต่อ นายโป้งพิธีกรภาคสนามหันหน้าไปทางทีมงานพร้อมกับตะโกนบอกให้รีบเก็บข้าวของ เพราะขณะนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องปรับอากาศที่ถูกลดอุณหภูมิลงต่ำ จนเขาต้องห่อไหล่เข้าหากัน แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นขนหัวของเขามันลุกขึ้นโดยยากที่จะควบคุม

“แหม่ม เมื่อกี้น้องเห็นอะไรนะ ลองเล่าให้พี่ฟังอีกทีได้ไหม” เขาหันกลับไปถามหญิงสาวร่างเล็กอีกครั้งหนึ่ง

“ผู้หญิงผมไม่ยาวมาก สวมเสื้อยืดกระโปรงยาว ยืนร้องไห้ตรงห้องด้านหลังสุดนั่น” แหม่ม หนึ่งในผู้ร่วมรายการจากทางบ้านที่บอกว่าตนเองเห็นวิญญาณหญิงสาว เล่าให้โป้งฟังด้วยเสียงสั่นเครือ

“ปกติแหม่มมีสัมผัสที่หกหรือเปล่า” พิธีกรยังถามต่อไปทั้งๆ ที่ปิดรายการไปแล้ว

“ไม่นะพี่ ปกติหนูก็ไม่เคยเห็นอะไรทำนองนี้ ไม่เคยได้ยิน หรือได้กลิ่นอะไร" ผู้ร่วมรายการสาวบอกกับนายโป้งไปตามจริง เพราะจริงๆ แล้วตั้งแต่เธอจำความได้ เธอเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์หรือสัมผัสเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ที่เธอได้สัมผัสกับสิ่งลี้ลับเช่นนี้ด้วยตัวเอง

บ้านหลังนี้ แม้จะถูกเรียกขานว่า “บ้านร้าง” แต่ทว่าตัวบ้านยังดูไม่เก่าเหมือนบ้านร้างหลังอื่นๆ ที่ทางรายการเคยไปสำรวจมา คงมีเพียงรอบๆ บ้านเท่านั้นที่ต้นไม้จะดูรกหูรกตา โดยเฉพาะสระว่ายน้ำเล็กๆ ข้างบ้าน ที่เศษใบไม้แห้งร่วงหล่นทับถมกันเกือบครึ่งสระ ส่วนภายในบ้านเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกขนย้ายออกไปจนเหลือแต่บ้านโล่งๆ ประตูหน้าต่างทุกบานถูกปิดล็อคไว้อย่างแน่นหนา คงมีแต่ประตูบานใหญ่หน้าบ้านเท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าครั้งหนึ่งจะมีกระจกบานใหญ่กางกั้นอยู่ แต่ทว่าบัดนี้คงมีแต่โครงไม้เท่านั้น ซึ่งมันเป็นช่องทางเดียวที่ผู้สำรวจได้นำพาตนเองเข้าไปในบ้าน

“แหม่ม พรุ่งนี้เราไปทำบุญกันนะแก” ก้อยเพื่อนสาวที่ชักชวนให้มาร่วมสำรวจบ้านร้างเอ่ยปากขึ้น

“แน่อยู่แล้วละแก ก็ฉันสัญญากับเขาไว้แล้วนี่ ถึงแกไม่ชวนฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว” หญิงสาวผู้เพิ่งจะสัมผัสกับวิญญาณตอบกลับ

“เธอ...ผู้หญิงคนนั้น...ต้องอยากบอกอะไรเราหรือเปล่า?...ถึงได้มาปรากฏให้เราเห็นเพียงคนเดียว” หญิงสาวผู้พบพานกับวิญญาณรำพึงกับตนเองอีกคำรบหนึ่ง

“พี่ว่า น้องๆ อย่าคิดอะไรมากเลยครับ ให้คิดเสียว่าเรามาเล่นเกมส์ เมื่อเกมส์จบก็ให้มันจบไป ถ้าพวกน้องอยากทำบุญก็ไปทำกัน จะได้สบายใจ แต่พี่ขอย้ำว่าอย่าคิดต่อนะครับ ไม่อย่างนั้น.....”

“ไม่อย่างนั้นอะไรพี่โป้ง” ชมพู่สวนขึ้นทันที

โป้งยังอึกอักที่จะตอบ

“ก็ไม่อย่างนั้นน้องก็จะนอนไม่หลับไงละครับ พี่โป้งขี้เกียจขับรถไปอยู่เป็นเพื่อน”

โป้งแกล้งตอบไปอย่างอารมณ์ขัน แต่ในใจนั้นรู้ดีว่า หากทั้งสามสาวเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดต่อเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะหลายปีก่อนเคยมีผู้ร่วมรายการท่านหนึ่งติดตามเรื่องราวของวิญญาณต่อ แต่กลับทำให้ตัวเองแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว

กุญแจถูกปิดล็อคทันทีที่สัมภาระชิ้นสุดท้ายถูกโยนขึ้นท้ายรถ เสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์ของรถหกล้อคันใหญ่ดับความเงียบงันของเวลาดึกสงัดในขณะนี้ได้ แต่ทันทีที่ผู้ทำหน้าที่บังคับยานยนต์นั้นเหยียบคันเร่ง

“โครม”

เสียงดังมาจากด้านหลังรถ

ท้ายรถชนเข้ากับรั้วคอนกรีตหน้าบ้านเข้าอย่างจัง เพราะแทนจะใส่เกียร์เดินหน้ามันกลับเป็นเกียร์ถอยหลัง รั้วบ้านผุกร่อนลงมาตามแรงกระแทก แต่ทว่าคนขับกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสับเปลี่ยนเกียร์รถแล้วรีบขับเคลื่อนรถออกไปข้างหน้าในทันที ปล่อยให้บ้านนั้นตั้งตระหง่านเฝ้ามองการจากไปของผู้มาเยือน

แต่จะมีใครรู้ไหมว่า นั่นคือสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในบ้านรอคอยมานาน เพราะบัดนี้แผ่นทองเหลืองเล็กๆ สลักภาษาบาลีที่ถูกตรึงไว้กับกำแพงหน้าบ้านนั้น มันได้เกาะเกี่ยวไปกับท้ายรถหกล้อคันใหญ่คันนั้นไป แล้วร่วงหล่นอยู่กลางถนนสายเปลี่ยวสายนั้น

“ฉันเป็นอิสระแล้ว” เสียงอันแจ่มชัดของหญิงสาวผู้เบื้องหลัง

 ผู้ขับรถเหยียบคันเร่งเกือบจะมิดไมล์ จุดประสงค์ก็เพื่อรีบตามรถคันหน้าให้ทัน รถคันสีขาวข้างหน้าเป็นรถของพิธีกรภาคสนามอย่างแน่นอน ผู้ขับขี่ผ่อนเครื่องยนต์ลงเมื่อเห็นว่าเจอรถของทีมงานแล้ว แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปใกล้รถคันข้างหน้า ผู้เป็นสารถีเพิ่มน้ำหนักแรงกดที่คันเร่งอีกครั้งเพื่อหวังจะแซงนำหน้าไป

ในวินาทีนั้นเองสายตาทุกคู่ของผู้ที่โดยสารมาในรถก็เห็นสิ่งๆ เดียวกัน ซึ่งทำให้ทุกคนแทบจะหยุดหายใจ

หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีขาวกระโปรงยาว นั่งห้อยขาอยู่กระโปรงหลังของรถคันข้างหน้า ร่างๆ นั้นค่อยเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้อย่างเยือกเย็น

ผู้ทำหน้าที่สารถีหยุดรถกะทันหัน โดยไม่สนใจว่ามีรถคันหลังตามมาหรือไม่ แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้างพวกเขาอยู่ เพราะยามนี้ดูเหมือนจะมีแต่รถของทีมงานเท่านั้นที่สัญจรอยู่บนถนนเส้นนี้ แต่พวกเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้พิธีกรภาคสนามผู้เป็นเจ้าของรถฟังดีหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

4 กุมภาพันธ์ 2558 13:27 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 3

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 3

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในค่ำคืนนี้ มันช่างดูอึดอัดเหลือเกิน ชายหญิงคู่นั้นบนโต๊ะอาหาร ต่างจ้องมองหน้ากันด้วยแววตาสับสน อาหารบนโต๊ะไม่มีจานใดพร่องลงไปเลย

“ประวิทย์ค่ะ มนถามคุณตรงๆ นะคะ คุณมีอะไรที่ปิดบังมนอยู่หรือเปล่า” ฝ่ายภรรยาเอ่ยปากถามก่อน

“อันนี้ผมควรจะถามคุณมากกว่า คุณต่างหากที่มีอะไรปิดบังผม แล้ววันนี้ใครรับโทรศัพท์คุณ”

น้ำเสียงของฝ่ายสามีเริ่มดังขึ้นๆ แววตาที่โกรธเกรี้ยวนั้นมองไปที่ภรรยาสาวเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแม้ว่าหญิงสาวจะอธิบายและเล่าเรื่องราวต่างๆ ตามจริง แต่ทว่าผู้เป็นสามีกลับส่งรอยยิ้มที่มุมปากกลับคืนมาให้

“ผมไม่เชื่อ คุณโกหก คุณมีคนอื่นนอกจากผม บอกผมมาสิ ว่าคุณกำลังนอกใจผม”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ คุณมีสิทธิ์อะไรมาใส่ร้ายมนแบบนี้ แล้วคุณล่ะ คุณกล้าพูดหรือเปล่าว่าคุณเองยังซื่อสัตย์กับมนอยู่”ภาพประวิทย์และหญิงคนนั้นผุดขึ้นมากลางอากาศ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน แต่จากพฤติกรรมของประวิทย์ที่หาเรื่องเธอ มันยิ่งสนับสนุนให้เธอคิดว่า เสียงประหลาดนั้นเป็นเสียงเตือนจากผู้หวังดี และการที่เธอฝันเห็นเรื่องราวต่างๆ นั้น เป็นลางบอกเหตุให้เธอระวังภัยที่กำลังจะมาถึง

คราวนี้หญิงสาวตอบกลับด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นกัน ไม่พูดเปล่าเธอขว้างช้อนที่อยู่ในมือใส่หน้าผู้เป็นสามี

“ผมไม่เคยมีใครนอกจากคุณ คุณต่างหากที่นอกใจผม และสิ่งที่คุณกำลังทำนี่มันก็เกินไปแล้ว คุณหัดเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะคุณเบื่อผมใช่ไหม” แทนคำตอบหญิงสาวเดินเลี่ยงออกไปหลังบ้าน

ส่วนผู้เป็นสามีเดินออกไปด้านหน้าบ้าน เพื่อหวังว่าอารมณ์ที่กำลังประทุอยู่นี้จะเบาบางลงบ้าง เวลาผ่านไป เกือบชั่วโมง ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของมนทิราแว่วมาจากหลังบ้าน หรือเขาจะคิดไปเองอย่างที่เธอบอก เธออาจจะไม่มีใครก็เป็นได้ แวบหนึ่งในความคิด

“มนทิรากำลังมีคนอื่น อย่าไปเชื่อ อย่าใจอ่อน” เสียงกระซิบนั้นอยู่ที่ข้างหูของชายหนุ่มเขามองเข้าไปในบ้านอย่างครุ่นคิด

“เธอออกไปดูสิ ผู้หญิงคนใหม่ของเขา กำลังมาที่นี่ สามีเธอกำลังจะไปจากเธอ” เสียงกระซิบแผ่วเบาบอกมนทิราขณะที่นั่งอยู่หลังบ้าน ไม่รอช้าเธอค่อยๆ สืบเท้าไปด้านนอกมีเสียงคนคุยกันจริงๆ แน่นอนว่าเสียงผู้ชายนั้นเป็นเสียงของสามีเธอ แต่เสียงผู้หญิงนั้นเล่าเป็นเสียงของใคร มนทิราพยายามเดินให้เสียงเบาที่สุด เธอแอบอยู่หลังทีวีจอใหญ่เพื่อฟังการสนทนาของทั้งสอง

“คุณมาได้อย่างไรที่รัก” ประวิทย์เอ่ยถามหญิงสาวนิรนามผู้นั้นพร้อมกับที่หญิงสาวกำลังโถมร่างเข้ากอดรัดผู้เป็นสามีของเธอ มนทิราแอบมองด้วยสายตาที่รวดร้าว เหมือนคมมีดสักล้านใบมากรีดซ้ำๆ ที่หัวใจ

“ฉันคิดถึงคุณ จนทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

“ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน ผมอยากไปจากที่นี่ ผมก็สุดที่จะทนอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว”

ลมหายใจของผู้เป็นภรรยาเกือบจะหยุดลงในวินาทีนั้น พวกเขารักกันมากถึงขั้นตามมาหากันถึงบ้านเชียวหรือ ประวิทย์สามีสุดที่รักทำไมทำกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาได้ถึงเพียงนี้ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเธอเลย เธอซื่อสัตย์กับสามีมาตลอด ตั้งแต่คบหากันเป็นแฟนกระทั่งตอนที่แต่งงานกันแล้ว ในใจเธอก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่นี่เขากำลังนอกใจเธอ กำลังเหยียบย่ำความรักของเธอ น้ำตาหยดแรกเริ่มหลั่งรินแล้วหยาดหยดต่อมาก็อาบไหลเอ่ออาบดวงตาทั้งสองของผู้เฝ้ามอง เรี่ยวแรงทั้งหมดเหมือนถูกแม่เหล็กดูดไปจนหมดสิ้น นี่เธอจะทำเช่นไร หากเขาไปกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ

ลมด้านนอกพัดโชยมา ทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธเคืองเบาบางลงมาก เขาคงจะคิดมากไปเองอย่างที่ภรรยากบอกก็เป็นได้ วินาทีหนึ่งในความคิด เขาควรจะเข้าไปขอโทษเธอเสีย เพราะอย่างไรเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เขาตัดสินใจเข้าไปในบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าเสียงแห่งการสนทนาของผู้เป็นภรรยา กลับกระแทกใจเขาเข้าอย่างจัง

“คุณมารับมนได้ไหมคะ มนอยากไปจากบ้านหลังนี้ มนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว” เสียงภรรยาเขาจริงแท้แน่นอน

แล้วภรรยาเขาคุยกับใคร?

“มนรักคุณ รักคุณคนเดียว มนเบื่อเขาเหลือเกิน คุณมารับมนตอนนี้ได้ไหม มนจะเก็บเสื้อผ้ารอนะคะ”

นี่ภรรยาเขากำลังจะหนีตามชายชู้อย่างนั้นหรือ

เขายอมไม่ได้ มันหยามกันถึงเพียงนี้หรือ นัดแนะชายชู้ให้มารับ

น้ำตาของลูกผู้ชายหลั่งรินโดยที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“มน คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร คุณเห็นผมโง่นักหรือ ถึงนัดชายชู้ให้มารับกันถึงบ้าน” ประวิทย์ระเบิดคำพูดใส่ภรรยาอย่างยั้งไม่อยู่

มนทิราลุกพรวดขึ้นจากด้านหลังของทีวีจอใหญ่ เธอเอ่ยพร้อมน้ำตานองหน้า

“แล้วทีคุณล่ะจะเรียกว่าอะไร มาหากันถึงที่ ออดอ้อนกันในบ้านของเรา คุณทำถูกแล้วหรือ” มนทิราเอ่ยสวนไปทันที

ประวิทย์คว้าข้อมือของภรรยา ก่อนที่เธอจะพาตัวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

“ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น คุณต้องอยู่กับผม” ว่าแล้วประวิทย์ก็ดึงแขนภรรยาเข้าไปในห้องนอน

บัดนี้เขาคือคนใหม่ ที่มนทิราไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งสีหน้า แววตา การกระทำ ที่ไม่ใช่ประวิทย์คนเดิม ก็แน่ละสิ เขาไม่ใช่คนเดิม เพราะเขาไปมีคนใหม่แล้ว ที่กล้าพามาเย้ยเธอถึงบ้าน คิดแล้วมนทิราก็สลัดข้อมืออย่างแรง จนหลุดจากการควบคุมของผู้เป็นสามี

ชายหนุ่มตรงเข้ายื้อยุดฉุดกระชากหญิงสาว ในวินาทีนั้นเองเพื่อหยุดทุกอย่าง ประวิทย์ตัดสินใจใช้ฝ่ามือของเขาประทับไปอย่างแรงที่ใบหน้าของผู้เป็นภรรยา

“คุณตบหน้ามน” หญิงสาวใช้มือเรียวเล็กนั้นกุมที่แก้มซ้ายของตนเองความเจ็บแค้นที่สามีนอกใจบวกกับความเจ็บใจที่ถูกสามีทำร้าย หญิงสาวใช้กำปั้นเล็กๆ ของตนนั้นทุบไปที่สามีนับครั้งไม่ถ้วน ปากก็ร้องเอะอะโวยวายถึงแต่เรื่องผู้หญิงคนนั้น หญิงสาวกำลังจากกระโจนออกจากห้องไป แต่ทว่าชายหนุ่มใช้มือทั้งสองคว้าร่างนั้นไว้ทัน เขาตัดสินใจใช้กำปั้นกระซวกไปที่ท้องน้อยของผู้เป็นภรรยา

“ผมไม่มีวันให้คุณหนีไปกับชู้หรอก คุณต้องอยู่กับผมที่นี่” ว่าแล้วชายหนุ่มเหวี่ยงร่างผู้เป็นภรรยา ไปอีกมุมหนึ่งของห้อง

มนทิราลงไปกองอยู่ที่พื้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปนมากับเสียงแห่งความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกุมท้องของตนเองไว้ ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดทั้งกายและใจวินาทีนั้นเอง ประวิทย์เริ่มมองหาเชือก

เขาต้องมัดหล่อนไว้ เพื่อไม่ให้หล่อนไปกับใครอื่นได้

ประวิทย์เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาวัตถุที่จะสามารถพันธนาการภรรยาตนไว้ได้ แต่ในวินาทีนั้นมนทิราพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ เธอเอื้อมมือไปหยิบโคมไฟที่หัวเตียง และทุ่มไปสุดแรงที่ศีรษะของผู้เป็นสามี

ร่างของประวิทย์ล้มลง ของเหลวอุ่นๆ สีแดงหยดลงบนพื้น ประวิทย์ใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ศีรษะ นี่มนทิราเกลียดเขาถึงเพียงนี้หรือ แค่ความคิดนี้มันก็เจ็บแปลบมากกว่าบาดแผลบนศีรษะในขณะนี้เป็นร้อยเท่าไม่รอช้า เขาย่างสามขุมไปที่หญิงสาวแล้วใช้มือทั้งสองบีบไปที่ลำคอ ปากก็พร่ำพูดเรื่องที่หญิงสาวกำลังจะหนีตามชายชู้

“คุณไม่มีวันหนีไปกับมันได้หรอก คุณต้องอยู่กับผมที่นี่”

“เราจะตายไม่ได้ ถ้าเราตายประวิทย์กับผู้หญิงคนนั้น ต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ชาติชั่วทั้งหญิงและชาย”

กังวานหนึ่งในความคิดของผู้เป็นภรรยา หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเศษกระเบื้องจากโคมไฟที่ตกอยู่เกลื่อนพื้น แล้วปักลงไปที่ต้นคอของผู้เป็นสามีสุดแรงเกิด

ร่างของประวิทย์ล้มลงอีกครั้ง มนทิราพรวดลุกขึ้นมาทันทีแล้ววิ่งออกจากห้อง โดยมีประวิทย์กระเสือกกระสนลุกขึ้นและตามมาด้วยร่างที่อาบโชคไปด้วยเลือด มนทิราเลือกจะวิ่งไปที่ห้องครัวเพราะที่นั่นมีอาวุธที่เธอสามารถจะนำมาใช้ป้องกันตัวจากสามีที่บัดนี้กำลังจะเป็นฆาตกรคร่าชีวิตเธอ

“คุณเห็นมันดีกว่าผม ถึงขนาดทำร้ายผมได้เพียงนี้เชียวหรือ” ประวิทย์ตามลงมาชั้นล่าง เขาจ้องภรรยาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“คุณต่างหากล่ะ ที่พาผู้หญิงคนนั้นเข้ามา และกำลังจะเข้ามาแทนที่มน คุณผิดต่อมน แล้วคุณก็เป็นฝ่ายทำร้ายมนก่อน”

พลันนั้นเอง ร่างหญิงสาวคนใหม่ของสามีก็ก้าวย่างเข้ามาในบ้าน พร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ

“ฉันชนะเธอแล้ว ประวิทย์เขาเลือกฉัน”

สุดที่จะทนต่อไป เขาโกหกเธอซึ่งๆ หน้า ปากก็บอกว่าไม่มีใคร แต่ก็พาหญิงคนใหม่มาเย้ยกันถึงบ้าน

“อย่าอยู่เลย พวกแก ชายโฉดหญิงชั่ว” มนทิราตะโกนไปสุดเสียง เธอก้าวเข้าไปหาผู้เป็นสามีในมือถือมีดทำครัวอันคมกริบ ประวิทย์เห็นอยู่ว่ามนทิรากำลังจะทำอะไร แต่ทว่าบัดนี้ร่างกายเขา เหมือนถูกตรึงไว้ เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ มีเพียงเสียงคมมีดปะทะกับผิวหนังของเขาเท่านั้น ที่ดังกึกก้องอยู่ในเสี้ยววินาทีนี้

มนทิราปักมีดอันคมกริบนั้นลงที่ท้องของผู้เป็นสามี เธอกระหน่ำคมมีดซ้ำไปอีกสองสามแห่ง พลางส่ายสายตามองหาหญิงคนนั้น เธอจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นออกจากบ้านไปเด็ดขาด

ประวิทย์นอนหายใจรวยระรินจมกองเลือดอยู่ในครัว เขาได้แต่มองตามภรรยาที่บัดนี้กำลังเดินไปหาชายชู้ที่เปิดประตูเข้ามาจากด้านหน้าบ้าน

มนทิราภรรยาสุดที่รัก ผู้ที่จงใจคร่าลมหายใจของเขาเพื่อแลกกับการหนีตามชายชู้ไป ความเจ็บจากบาดแผลหาได้มีผลใดๆ กับเขาไม่ คงมีเพียงแต่ความเจ็บในใจเท่านั้นที่บัดนี้มันบาดลึกๆ เข้าไปทุกทีๆ ภาพคนทั้งสองสวมกอดกัน มนทิราหันมายิ้มหยันๆ ให้กับเขา แล้วจูงมือชายชู้เดินเข้ามาในบ้าน

ชั่วอึดใจนั้นเองนั้นเอง

ประวิทย์รวมรวมแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่ ดึงมีดออกจากหน้าอก ลิ่มเลือดทะลักออกมา ทั้งจากบาดแผลที่ศีรษะ ที่ต้นคอ และที่ท้องอีกหลายแผล ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบ้าน เขาจะไม่ปล่อยให้มนทิราไปมีความสุขกับชายชู้เด็ดขาด

ร่างภรรยาสุดที่รักกำลังจะก้าวผ่านเขาไปยังชั้นสอง เขาใช้มือดึงที่ข้อเท้าเธอสุดกำลัง ร่างของหญิงสาวล้มลงในทันที ศีรษะของเธอกระแทกพื้นเสียงดังปั๊กตามด้วยเสียงข้าวของหล่นลงพื้น

“ผมไม่ปล่อยให้คุณหนีไปมีความสุขกับไอ้ผู้ชายคนนั้นหรอกมน คุณต้องอยู่ที่นี่”

เท่านั้นชายหนุ่มก็ใช้มีดในมือปักลงที่กลางหลังของหญิงสาว มนทิราสะดุ้งเฮือก บัดนี้เธอรู้สึกชาที่แผ่นหลัง พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากชายผู้ไม่ซื่อสัตย์กับเธอ

ประวิทย์พยายามยันกายให้ลุกขึ้น เพื่อนำพาร่างกายเขาไปใกล้มนทิราให้มากที่สุด แต่ทว่าชายชู้นั้นกลับกำลังจะดึงร่างของมนทิราออกไป เขาตัดสินใจฝังคมมีดนั้นลงไปที่ขาของเธอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงมนทิรากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด บัดนี้ประวิทย์ขยับร่างไปจนถึงภรรยาแล้ว เขาใช้มือดึงข้อมือเธอไว้อีกครา

“มน คุณต้องอยู่กับผม”พูดไปลิ่มเลือดก็ทะลักออกมาจากปาก

มนทิราหมดเรี่ยวแรงจะขัดขืนต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยไร้การควบคุม

ประวิทย์จับตัวหล่อนให้นอนหงาย เขาคลานเข้าไปหาเธออย่างยากเย็น เป็นเพราะพิษบาดแผลที่มนทิราฝากฝังเอาไว้ มือขวาใช้ยันกายให้ลุกขึ้น มือซ้ายกำมีดมรณะไว้แน่น

มนทิราหายใจแผ่วเบา บัดนี้เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากแผ่นหลังของเธออย่างหยุดไม่อยู่ และบาดแผลอีกนับไม่ถ้วนที่ต้นขายาวลงไปถึงน่องเรียวงามของเธอ เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้น ภาพของหญิงสาวคนนั้นกำลังพยุงประวิทย์ให้ลุกขึ้น

“แกมันโง่ ประวิทย์ต้องเป็นของฉัน” ตามด้วยเสียงหัวเราะ

แต่ทว่าในความเป็นจริง บัดนี้ประวิทย์กำลังนอนหายใจรวยระริน บาดแผลนับไม่ถ้วนกำลังถ่ายเทเลือดในกายของเขาให้ออกมานองพื้น เขาเริ่มรู้สึกหนาวสะบั้นไปทั้งตัว ความรู้สึกนี้มันช่างไม่ต่างกับมนทิราแม้แต่น้อย บาดแผลที่สามีมอบให้แก่เธอนั้น มันไปตัดเอาเส้นเลือดใหญ่ทำให้เลือดของเธอไหลออกมามาก ในเวลาอันรวดเร็ว เธอทั้งหนาวและสะท้านไปทั่วทั้งตัว ผู้เป็นภรรยาชายตามองไปข้างกาย เห็นแต่ประวิทย์นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาก็ชำเลืองมองเธออยู่เช่นกัน

สายตาทั้งสองประสานกัน บ่งบอกอะไรบางอย่างที่ทั้งคู่ไม่สามารถจะสื่อสารเป็นภาษาได้แล้วในบัดนี้ ภายในบ้านไม่มีใครนอกจากคนทั้งสอง

และแล้ว

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะนั้น

ภาพหญิงใบหน้าซีดเซียวเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ปรากฏอยู่ปลายเท้าคนทั้งคู่ ร่างๆ นั้นค่อยๆ นั่งลงช้าๆ แล้วยื่นใบหน้าใกล้เข้าๆ ทำให้มองเห็นหยดเลือดที่กำลังไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสอง ตามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน

“ฉันเกลียดความรัก ฉันเกลียดทุกคนที่มีความรัก”

“พวกแกต้องตาย ความรักมันจะทำให้พวกแกต้องตาย ในเมื่อฉันไม่มีความรัก ใครก็อย่าหวังจะมีความรักเลย พวกแกต้องอยู่กับฉันที่นี่” เสียงดุดันนั้นแผดดังขึ้นๆ จนก้องไปทั่ว พร้อมกับลมหายใจของคนทั้งคู่ที่เริ่มแผ่วเบาลงทีละน้อยๆ และหมดลงในที่สุด

 

Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสมภพ แจ่มจันทร์