ตอนที่ 2
อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงบ้านแล้ว ประวิทย์ไม่ลืมที่จะแวะซื้อไวน์ติดมือกลับบ้าน เพราะอาหารเย็นวันนี้จะต้องเป็นดินเนอร์ที่สุดแสนโรแมนติกสำหรับเขาและภรรยาสุดที่รักในบ้านหลังใหม่ ความรู้สึกที่มีต่อมนทิราในวันแรกที่เขาได้พบเจอกับวันนี้มันไม่ได้แตกต่างกันเลย เขารักเธอและเธอก็รักเขา นั่นคือชีวิตคู่และครอบครัวที่มีความสุขของชายหนุ่ม
“เมียเธอกำลังคบชู้ เขากำลังจะมีคนอื่น ระวังไว้”
เสียงใคร?
ประวิทย์สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงประหลาดนั้น เขาชะลอรถ แล้วหันไปมองด้านหลัง ก็พบแต่กับความว่างเปล่า ก็ในรถมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วเสียงที่เขาได้ยิน เสียงผู้หญิง ประวิทย์สะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่ความเหนื่อยล้า
“สงสัยจะหูฝาด หรือคงเป็นเพลงจากวิทยุ” เขาบอกตัวเอง
“ความรักมันไม่มีในโลก”
หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสแยะยิ้มอยู่เบาะด้านหน้าคู่กับคนขับ หากประวิทย์มองเห็นเธอ เขาคงจะสติแตกจนไม่สามารถขับรถต่อไปได้อีกแน่นอน
ประวิทย์กดแตรรถอยู่สามครั้ง แต่ก็ไร้วี่แววของมนทิราที่จะมาเปิดประตู เขาจึงลงมาเปิดประตูเสียเอง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูบ้านภาพที่เห็นคือ มนทิราภรรยาของเขา กำลังยืนกอดอยู่กับผู้ชาย
ใครกัน...?
หรือเสียงที่บอกนั้นจะเป็นจริง
เขาหยุดมองอยู่ชั่วอึดใจ ทั้งคู่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะทั้งคู่ยังกอดกันอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะผละออกจากกัน
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกกับสามีหน้าโง่คุณเสียที ผมรอไม่ไหวแล้วนะมน” คำถามจากชายที่กำลังกอดภรรยาของเขาอยู่
“รอหน่อยเถอะที่รัก ให้มนหลอกเอาบ้านหลังนี้จากมันให้ได้ก่อน มนไปจากมันแน่ เบื่อมันเต็มที” ว่าแล้วภรรยาสุดที่รักของเขาก็แนบศีรษะกับอกแผงใหญ่ของชายชู้ผู้นั้น
บัดนี้ประวิทย์เหมือนถูกทับด้วยหินหนักสักหนึ่งตัน มนทิราภรรยาสุดที่รักของเขา กำลังคบชู้ หมดกำลังที่จะอดทนดูคนทั้งคู่ออดอ้อนกันต่อไปได้
“คุณๆ ช่วยเลื่อนรถหน่อยครับ”
เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากหน้าบ้าน ประวิทย์หันไปมองตามต้นเสียง รถของเขานั่นเองที่จอดขวางถนนไว้ ทำให้รถคันอื่นไม่สามารถสัญจรไปมาได้ แต่เมื่อหันกลับมาดูบริเวณที่ภรรยาและชายชู้พลอดรักกัน ทั้งคู่กลับหายไปเสียแล้ว
เขาเร่งรีบเลื่อนรถเข้ามาจอดในบ้าน แล้วสาวเท้าต่อเข้าไปในบ้าน สายตามองหาคนทั้งคู่มิลดละ แต่ภายในบ้านกลับมีเพียงมนทิราคนเดียวเท่านั้นที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“มนคุณอยู่กับใคร” ชายหนุ่มตะโกนถามด้วยน้ำขุ่นเคือง
ฝ่ายภรรยาหันมามองด้วยความตกใจ เพราะตั้งแต่คบและแต่งงานกันมา ประวิทย์ไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เธอใช้มือหนึ่งปิดลำโพงโทรศัพท์ไว้ และกล่าวบอกสามีว่ากำลังคุยอยู่กับพี่สาว
ประวิทย์กวาดตามองไปรอบๆ บ้าน เขาเดินไปดูที่ห้องครัว ห้องน้ำ และเลยไปถึงหลังบ้าน
ความว่างเปล่า...มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
หลังจากวางโทรศัพท์จากพี่สาว มนทิราเดินมาหาสามีพร้อมกับสายตาที่เป็นคำถามนัยๆ
“วิทย์ค่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากสามี มีเพียงสายตาเช่นกัน ที่ส่งคำถามกลับคืน
“คุณคุยกับใคร ผมขอดูโทรศัพท์ได้ไหม”
มนทิรายื่นโทรศัพท์ให้ด้วยความงุนงง
ประวิทย์กดดูเบอร์โทรศัพท์
“มันไม่ใช่เบอร์พี่สาวคุณนี่ แล้วเป็นเบอร์ใคร คุณกำลังปิดบังอะไรผมอยู่”
“พี่สาวมนเพิ่งเปลี่ยนเบอร์ใหม่ นี่เค้าก็เพิ่งโทรมาบอกค่ะ”
“ผมไม่เชื่อ”
“งั้นคุณก็ลองโทรไปอีกครั้งสิ”
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...” เสียงจากปลายสาย มันยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อว่าเบอร์โทรศัพท์นี้ ต้องเป็นเบอร์ชายชู้อย่างแน่นอน
“มน...ทิ...รา... คุณปิดบังอะไรผม ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ประวิทย์เอ่ยชื่อภรรยาอย่างยากเย็น เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามนทิราจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้
“ใครคะ ผู้ชายที่ไหน” หญิงสาวตอบไปด้วยความงุนงง
“ก็ที่ยืนกอดกันกลมอยู่หน้าบ้านไง”
“ผมมันน่าเบื่อมากใช่ไหม คุณถึงต้องไปมีคนอื่น บอกผมมาสิมน คุณสวมเขาให้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่คุณกล้ามากนะที่พาชายชู้เข้ามาพลอดรักกันถึงในบ้านของเรา” มนทิราทวีสับสนในคำพูดของสามี เพราะวันนี้เธออยู่บ้านคนเดียวทั้งวัน และเธอเองไม่มีวันรักใครได้อีกแล้วนอกจากประวิทย์
“มนไม่มีใครทั้งนั้น คุณเอาอะไรมาพูด คุณก็รู้ว่ามนรักคุณคนเดียว”
“ผมเห็นตำตา คุณพามันเข้ามาในบ้านเรา มันซ่อนอยู่ที่ไหน”
ประวิทย์เพิ่มขีดความดังของเสียงขึ้นมาจนมนทิราเริ่มไม่พอใจทั้งคำพูด และการกระทำ ที่ขณะนี้ประวิทย์กำลังเขย่าแขนทั้งสองของเธอและเพิ่มน้ำหนักแรงบีบของมือให้แรงขึ้นๆ
“ปล่อยมนนะ มนเจ็บ คุณมาถึงก็ว่ามนฉอดๆ ทั้งๆ ที่มนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณว่าเลย คุณหาเรื่องมน เพราะคุณก็มีผู้หญิงอีกคนใช่ไหม”มนทิราระเบิดเสียงใส่บ้าง
“ผมไม่เคยมีใครทั้งนั้น ไม่เหมือนคุณที่พาชายชู้เข้าบ้าน”
“งั้นคุณก็ลองหาดูสิ” มนทิราพูดเชิงท้าทาย
ประวิทย์กึ่งลากกึ่งดึงภรรยาขึ้นไปชั้นบน เพราะเขาแน่ใจว่าชายคนนั้นต้องหลบอยู่ชั้นบนแน่นอน
...ความว่างเปล่า...
มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีใครอยู่ชั้นบนมีเพียงเขาและเธอเท่านั้น แล้วชายชู้ไปไหน
“ทีนี้คุณจะว่าอะไรมนอีก คุณกุเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะหาเรื่องมน แล้วไปหาผู้หญิงคนใหม่ใช่ไหม”
“ผมไม่มีใคร มน... ผมขอโทษ ผมคงเครียดกับงานมากเกินไป แต่ผมเห็น......” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แล้วหยุดคำพูดเพียงเท่านี้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็โอบกอดภรรยาไว้แนบแน่น
แต่ทว่าบัดนี้ในใจของคนทั้งคู่ต่างมีแต่ความหวาดระแวงปะปนอยู่ในคำพูดที่บอกว่ารักและขอโทษ
“บ้านหลังนี้ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ความรักของพวกแกต้องแตกสลาย” ใครบางคนพึมพำอยู่มุมหนึ่งของห้องนอน แล้วค่อยๆ เลือนหายไป
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ประวิทย์อยากจะสลัดความคิดและภาพเหล่านั้นออกไปให้หมด แต่ดูเหมือนยิ่งขว้างทิ้งมันยิ่งกลับสะท้อนกลับมาที่เดิม ความคิดวกไปวนมาไม่รู้จักจบสิ้น วันนี้มนทิราไปทำงานเป็นวันแรกหลังจากลางานมาสามวันเพื่อจัดแจงบ้านให้เรียบร้อย หากภรรยาสุดที่รักเจอใครคนใหม่ระหว่างการทำงาน เขาจะทำอย่างไร เขาจะล่วงรู้ได้อย่างไร เท่านั้นเขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหามนทิราในทันที
สี่ ห้า หก สาย เธอทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสาย ความคิดยิ่งเตลิดไปไกล
ครั้งที่เจ็ด มีคนรับสาย หากแต่เป็นเสียงผู้ชาย
“ขอโทษนะครับ พี่มนออกไปข้างนอกแล้วลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะทำงาน ผมเห็นคุณโทรมาหลายสายเกรงว่าจะมีเรื่องเร่งด่วน เลยถือวิสาสะรับโทรศัพท์ครับ”
ปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย หรือว่าจะเป็นชายชู้จริงๆ แล้วตอนนี้มนทิรากับชายชู้อยู่ที่ไหน คิดเพียงเท่านั้น มันก็เจ็บปวดรวดร้าวหัวใจจนย่อยยับ
“พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน” ชายหนุ่มถามไปเสียงแข็ง
“อยู่ที่ทำงานครับ พี่มนออกไปไหนก็ไม่ทราบ”
ประวิทย์วางสายทันที
“เชื่อฉันหรือยังล่ะ เมียเธอกำลังมีคนอื่น เขากำลังหลอกเธอ”
เสียงนั้นกังวานก้องอยู่ในโสตประสาท เขาเองไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร และมาจากไหน แต่ก็นึกขอบคุณเสียงลึกลับนั้นที่มาเตือนเขาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วนี่เขาจะทำเช่นไร
.......................................................................................................................
ทันทีที่มนทิรากลับมาถึงบริษัท เธอถลาไปที่โต๊ะทำงานและมองหาโทรศัพท์มือถือ เพราะเมื่อเธอรู้ว่าตนเองลืมโทรศัพท์เธอจึงโทรเข้าบริษัท เด็กฝึกงานเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ยิ่งทำให้เธอร้อนใจ เกรงว่าประวิทย์จะเข้าใจผิด ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากที่เธอโทรศัพท์กลับไปหาสามี น้ำเสียงของเขาขุ่นมัวและแข็งกระด้าง บ่งบอกถึงอารมณ์ได้อย่างชัดเจนว่าโกรธเคืองเพียงใด
“เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เขาต่างหากที่หาเรื่อง เพราะเขาอยากจะไปจากเธอ เขามีผู้หญิงคนอื่น” เสียงลึกลับนั้น กลับมาอีกครา มนทิราใช้มือทั้งสองข้างปิดหู พร้อมกับส่ายหัวไปมา
“ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่อยากฟัง” ความคิดที่กำลังต่อต้าน
“เธอต้องเชื่อฉัน เขามีคนอื่น เขาไม่ได้รักเธอแค่คนเดียว” เสียงนั้นย้ำบอกด้วยพลังอันหนักแน่น
“มนๆ เธอเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฉันปวดหัว สงสัยจะเพลียแดด เดี๋ยวกินยาสักสองเม็ดก็คงหาย”
มนทิราทานยาไปสองเม็ด เธอเลือกที่จะนั่งหลบมุมในห้องประชุม เพื่อสักสายตาสักครู่ แต่แล้วภาพที่เธอไม่อยากพบก็มาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง
“ผมกำลังหาเรื่องเลิกกับเขาอยู่ รอผมนะคนดี”
ประวิทย์กำลังนั่งกุมมือหญิงสาวคนนั้นไว้ พร้อมกับเอ่ยประโยคที่บาดใจมนทิราเหลือเกิน
“แล้วคุณจะทนอยู่กับเขาทำไม ในเมื่อคุณไม่รักเขา” ฝ่ายหญิงเอ่ยถาม
“ผมต้องการสินสมรส ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้ก็เพราะเงินเท่านั้น คุณเชื่อผมนะครับ ผมเบื่อเขามาก ผมต้องใช้ความอดทนขนาดไหนเวลาอยู่กับเขา คนที่ผมรักอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้ว มนทิราก็แค่ผู้หญิงโง่ๆ ที่ผมขยะแขยงที่สุด”
นี่หรือคือความรู้สึกที่สามีที่เธอซื่อสัตย์กับเขามาตลอด มันช่างโหดร้ายเสียจริงๆ เหตุใดเขาถึงเหยียบย่ำความรักของเธอได้เพียงนี้ น้ำตาเริ่มเอ่อล้นสองตาของหญิงสาวก่อนที่จะปล่อยโฮออกมาสุดเสียง
“มนๆ ตื่นๆ เธอร้องไห้ทำไม ไหวหรือเปล่า ไม่ไหวก็กลับไปพักก่อน” เพื่อนร่วมงานคนเดิมเดินเข้ามาดู หลังจากที่ได้ยินเสียงมนทิราร้องไห้อยู่ในห้องประชุม
หญิงสาวฝืนบอกไปว่าไม่เป็นอะไร ทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้ระส่ำระส่าย แม้จะรู้ดีว่าคือความฝัน แต่...เธอก็ยังให้คำตอบตนเองไม่ได้ ว่าเหตุใดจึงหวั่นไหวราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง และเมื่อบวกกับเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวานที่ประวิทย์จงใจหาเรื่องเธอก่อน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
“หรือจะเป็นจริงอย่างที่เสียงลึกลับนั้นบอก” คราวนี้มนทิราเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอควรจะเชื่อเสียงนั้นดีหรือไม่
“แกต้องเชื่อฉัน ทำตามที่ฉันบอก ความรักต้องแตกสลาย ฮ่าๆๆๆๆ” หญิงใบหน้าซีดเซียวนั้นแผดเสียงหัวเราะกังวานก้อง
ตอน ที่ 1
เข็มนาฬิกาเลยสองยามไปไม่กี่วินาที สายลมเอื่อยๆ พัดอ้อยอิ่งล้อเล่นกันในยามวิกาล ท้องฟ้ากระจ่างด้วยแสงของดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือม่านเมฆ ซุ่มเสียงของความเงียบเป็นดั่งบทเพลงขับกล่อมยามนิทราของใครต่อใครในวินาทีนี้ ในช่วงเวลาดึกสงัดเช่นนี้น่าจะเป็นชั่วโมงแห่งการหลับใหลอันแสนรื่นรมย์ของใครหลายต่อหลายคน แต่ในความเงียบนั้นกลับมีกังวานหนึ่งแอบแฝงมากับความมืด
“พวกแกรักกันมาใช่ไหม ฉันเกลียด....เกลียดความรัก พวกแกต้องตายเพราะความรัก”
ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันโหยหวน...
มนทิราผวาตื่นขึ้นกลางดึก เสียงนั้น ในโสตประสาท มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน น้ำเสียงที่ฟังดูดุดัน แข็งกร้าว และจริงจัง นับตั้งแต่คืนแรก จนถึงคืนนี้มันเป็นคืนที่สามแล้วที่เธอต้องผวาตื่นด้วยเสียงอันน่าหวาดกลัวนี้ น้ำเสียงมันทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้น ยากเย็นเหลือเกินที่เธอจะข่มตาให้หลับต่อไปได้
“วิทย์ค่ะ” หญิงสาวเขย่าแขนสามี
ชายหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมา ฝ่ายภรรยาลุกขึ้นไปเปิดไฟให้สว่างทั่วห้อง พร้อมกับเล่าเรื่องเสียงยามวิกาลนั้น แต่ทว่าฝ่ายสามีกลับดึงร่างของภรรยาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แล้วบอกให้ผู้เป็นภรรยานั้นนอนเสีย
“นอนเถอะมน คุณเหนื่อยและฝันร้ายเท่านั้นเอง”
ผู้เป็นภรรยาจำใจเอนตัวลงนอนในก้อมกอดผู้ที่เป็นสามี ทั้งๆ ที่ในยามนี้หล่อนกลัวเหลือเกิน กลัวซุ่มเสียงยามวิกาลนั้นจะกลับมากังวานอีกครา
“วิทย์คะ มนได้ยินเสียงนั้นจริงๆ นะคะ มนไม่ได้โกหกหรือคิดไปเอง”
มนทิรา กล่าวกับสามีอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้นแต่ทว่าสามีกลับนิ่งเงียบ และปลอบใจผู้เป็นภรรยาว่าคงจะแปลกที่จึงนอนไม่หลับแล้วคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา แต่อันที่จริงแล้วเขาเองต่างหากที่ได้ยินเสียงนั้นก่อนที่มนทิราจะได้ยิน ทว่าเขาตัดสินใจที่จะไม่บอกภรรยา เพราะเกรงเธอจะเสียขวัญจนไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้
วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วที่ประวิทย์และมนทิราย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ แม้ว่าบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านมือสอง แต่ทว่าสภาพยังใหม่มาก ป้าเจ้าของบ้านบอกว่าหลานสาวอยู่ได้เพียงสองปี ก็แต่งงานและไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ บ้านหลังนี้จึงไม่มีใครอยู่ ทั้งคู่จึงตัดสินใจประกาศขาย
หากเปรียบเทียบตัวเลขกับบ้านในโครงการใหม่ๆ ในละแวกนี้ บ้านหลังนี้ก็ยังราคาถูกมากกว่าครึ่ง ประวิทย์และมนทิรา จึงตัดสินใจรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่และกู้เงินเพิ่มอีกเล็กน้อย มาซื้อบ้านหลังนี้แม้ว่าจะอยู่ชานเมือง แต่ทั้งสองก็มีรถจึงทำให้ไม่ลำบากในการเดินทาง เพราะนับตั้งแต่แต่งงานกันมาหนึ่งปี เขาและเธอเช่าคอนโดอยู่ หากเทียบราคาค่าเช่าคอนโดกลางใจเมือง เดือนหนึ่งก็พอๆ กับผ่อนบ้านแถบชานเมืองเลยทีเดียว และเมื่อทั้งคู่อยากจะมีลูกขึ้นมา จึงเริ่มจะขยับขยายพื้นที่สำหรับครอบครัวเล็กๆ ของเขาและเธอ
สภาพบ้านแม้ว่าจะดูใหม่ ด้านนอกมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กและสวนขนาดย่อมที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่สำหรับมนทิราแล้ว เธอรู้สึกแปลกๆ กับบ้านหลังนี้ โดยเฉพาะในห้องนอน เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันยากที่จะอธิบายเหลือเกิน เมื่อครั้งที่ทั้งคู่มาดูบ้านเธอพยายามคิดว่าเป็นเพราะบ้านถูกปิดไว้นาน จึงทำให้อากาศไม่ถ่ายเท แต่เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ เวลาแค่เพียงสี่คืนเท่านั้น ความอึดอัดเริ่มทวีขึ้นหลายเท่าพร้อมกับเสียงลึกลับยามวิกาลนั้นที่ทวีความน่ากลัวขึ้น
“วิทย์ค่ะ เรายังไม่ได้ทำบุญบ้านเลย มนว่าเราน่าจะนิมนต์พระมาทำบุญบ้านนะคะ” ฝ่ายภรรยาเสนอความคิดเห็น
“ผมก็เห็นด้วยนะมน แต่ผมว่าเอาไว้ทำทีเดียวตอนสงกรานต์จะดีกว่าไหม เหลืออีกไม่กี่เดือนเอง ญาติๆ คุณกับผมก็จะได้มาพร้อมกันด้วยไง รออีกสักเดือนกว่าๆ นะที่รัก”
มนทิราเห็นตามสามีอีกครั้ง เหลือเวลาอีกเดือนกว่าเท่านั้นก็จะถึงเทศกาลปีใหม่ไทย เมื่อทั้งสองตัดสินใจซื้อบ้าน บรรดาญาติๆ ของทั้งสองตกลงกันว่าจะมาเยี่ยมทั้งสองในวันปีใหม่ไทยที่ใกล้จะถึงนี้ มันก็คงเป็นการดีหากจะเอาถือเอาวันปีใหม่นั้นเป็นวันทำบุญบ้าน อีกทั้งในวันนั้นก็จะเป็นรวมตัวญาติๆ ของทั้งสองฝ่าย มนทิราเห็นคล้อยตามสามี เธอจึงได้แต่ยิ้มและพยักหน้าแทนคำตอบรับ
“มน...เย็นนี้ผมจะรีบกลับนะ คุณเตรียมทำอาหารไว้ เราจะดินเนอร์ริมสระน้ำกัน”
ประวิทย์บอกภรรยาก่อนออกไปทำงานตอนเช้า มนทิราเลื่อนปิดประตูรั้วหน้าบ้าน แต่ยังไม่ทันปิดสนิท ประวิทย์ผู้เป็นสามีกลับลดกระจกรถลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้าออดอ้อน
“คุณลืมอะไรหรือเปล่า”
มนทิราก้าวเดินไปหาสามีที่รถ พร้อมกับประทับรอยจูบลงที่แก้มของฝ่ายชาย
“ขับรถดีๆ นะคะ เย็นนี้เจอกัน”
หญิงสาวอมยิ้มเล็กๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะแม้เธอกับประวิทย์จะแต่งงานกันมาเป็นสามปีแล้ว แต่ประวิทย์ยังปฏิบัติกับเธอเหมือนเพิ่งจีบกันใหม่ๆ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอรักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจ
มนทิราตระเตรียมอาหารที่สามีชื่นชอบ ดอกกุหลาบดอกโตสีแดงถูกตัดจากกระถางหน้าบ้านมาปักไว้บนแจกันแก้วใบกะทัดรัด เธอหันไปมองภาพถ่ายในวันแต่งงานที่ถูกนำมาติดไว้ในห้องรับแขก แล้วยิ้มเล็กๆ
“วิทย์ค่ะ มนรักคุณค่ะ”
มนทิราเอ่ยอย่างแผ่วเบา ในจิตใจขณะนี้เบ่งบานไปด้วยความรัก ความสุข และความสมหวัง รอเพียงวันเวลา ที่เธอจะมีเจ้าตัวน้อยเท่านั้น ชีวิตของเธอคงจะมีความสุขอย่างหาใครเปรียบมิได้
ความรักที่ผนึกอยู่ในหัวใจของหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ในใจของหญิงสาวอีกหนึ่งนั้นกลับตรงกันข้าม
“ที่จริงมันต้องเป็นฉัน ต้องเป็นฉันที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ต้องเป็นฉันคนเดียว”
กังวานเสียงที่แผดก้องอยู่ในอากาศ แต่ทว่ามนทิรากลับไม่ได้ยินอะไรเลย
“ฉันเกลียดความรัก ในเมื่อฉันไม่มีความรัก ก็อย่าให้ใครมีความรักเลย”
ในกังวานนั้นมีเสียงหัวเราะแผดขึ้นมาสลับกัน ร่างๆ นั้น ใกล้มนทิราเข้าไปทุกที ดวงตาที่ไร้แววจ้องมองไปยังหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหาร
“สามีเธอกำลังมีคนอื่น สามีเธอกำลังมีคนอื่น” เสียงๆ หนึ่งแว่วมาในโสตประสาท
มนทิราหันมองซ้ายทีขวาที แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า ในบ้านนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น แล้วที่ได้ยินนั่นเสียงใคร หญิงสาวหันไปมองซ้ายทีขวาที
“สามีเธอกำลังมีคนอื่น”ริมฝีปากซีดเผือดนั้นกระซิบที่ข้างหูของมนทิรา โดยที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้เลย
เสียงนั้นกำลังดังขึ้นๆ จนเธอรู้สึกได้ว่าต้นเสียงมาจากในห้องครัวนี่เอง
แล้วเป็นเสียงใคร?
หญิงสาววางมีดลง แล้วเดินอย่างรวดเร็วไปที่โต๊ะรับแขกที่โทรศัพท์มือถือวางอยู่ แล้วรีบกดโทรศัพท์หาสามีทันทีแต่โทรศัพท์ปิดเครื่อง เธอพยายามติดต่ออีกหลายครั้ง กระทั่งตัดสินใจโทรเข้าเบอร์บริษัทก็ได้ความว่าผู้เป็นสามีกำลังประชุมอยู่ เธอจึงได้แต่ฝากข้อความไว้
“หรือเราจะประสาทหลอน”
หญิงสาวพยายามโกหกตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเสียงที่เธอได้ยินได้มิได้เกิดจากอาการประสาทหลอนอย่างที่เธอคิด เธอแก้ปัญหาด้วยการหยิบยาแก้ปวดศีรษะมารับประทาน มันช่วยได้ในระดับหนึ่ง เธอเลือกที่จะเอนหลังที่โซฟามากกว่าจะเข้าไปที่ห้องนอน หนังตาเริ่มหนักขึ้นๆ และหลับไปในที่สุด
ภาพของประวิทย์สามีสุดที่รัก กำลังเคล้าคลออยู่กับหญิงอื่น ปากก็พร่ำบอกแต่คำรักต่อกัน ฝ่ายชายโอบกอดฝ่ายหญิงไว้แนบแน่น “ผมรักคุณ” ประโยคที่เธอคุ้นเคยจากปากฝ่ายชาย แต่บัดนี้ผู้รับฟังหาใช่เธอไม่ กลับเป็นหญิงอื่น ที่เธอไม่รู้จัก
“ไม่จริง สิ่งที่เสียงนั้นบอกมันเป็นความจริง ประวิทย์กำลังนอกใจเราหรือนี่”
เธอพยายามพาตัวเข้าไปหาคนทั้งคู่ แต่ทว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้สักนิด มีเพียงดวงตาเท่านั้น ที่เพ่งมองทั้งคู่ที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งรัก
“ไม่จริง”
กังวานนั้นแผดออกมาสุดเสียง เหงื่อกาฬเม็ดโตผุดขึ้นจนเนื้อตัวชุ่มโชกหญิงสาวลุกพรวดขึ้นจากโซฟารับแขก มองไปรอบๆ ตัว มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่มีประวิทย์ไม่มีหญิงคนนั้น
ใช่! มันคือความฝัน แต่มันเหมือนจริงมาก หญิงสาวเหลือบมองดูนาฬิกาข้างฝาผนังเกือบสี่โมงเย็นแล้ว พลางมองหาโทรศัพท์แล้วรีบกดไปหาสามีอีกครั้ง
“วิทย์คะ คุณอยู่ที่ไหน”
“ผมกำลังจะกลับ มีอะไรหรือเปล่า ผมเห็นคุณโทรมาตอนผมประชุมหลายสาย โทรกลับไปคุณก็ไม่รับ คุณไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรค่ะ คุณรีบกลับบ้านนะคะ มนทำอาหารที่คุณชอบไว้เยอะเลยค่ะ”
“เชื่อฉัน เขากำลังมีคนอื่น เธอต้องเชื่อฉัน สามีเธอโกหก” เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นแว่วมาอีกครา
หญิงสาวสะดุ้งมาอีกครั้ง คราวนี้เธอรีบก้าวออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แหงนมองไปที่ตัวบ้าน บ้านนี้ต้องมีอะไรแน่นอน มันคือความคิดที่เธอต้องบอกสามีในอีกไม่กี่นาทีที่สามีกำลังจะมาถึง