ตอนที่ 4
ที่ท่านผู้ฟังร่วมรับฟังและจบไปแล้วนั้น คือช่วงลองดีของรายการเราครับ และตอนนี้เราจะมาพูดคุยกับสมาชิกทางบ้านที่มาร่วมลองดีกับรายการของเรา และพบเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ในค่ำคืนนี้
“โป้งครับ เมื่อกี้น้องแหม่มเป็นอะไรไปครับ ตอนที่สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปนะครับ”
พิธีกรในห้องส่งๆ คำถามไปยังพิธีกรภาคสนาม ถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน
“โป้งครับ ได้ยินไหมครับ”
“น้องแหม่มครับ” โป้งหมายถึง หนึ่งในสามของสมาชิกจากทางบ้านที่สมัครเข้ามาร่วมรายการในคืนนี้
“ท่านผู้ฟังครับเมื่อสักครู่นี้ น้องแหม่ม สมาชิกหนึ่งในสามของเรามีอาการแปลกๆ ครับ คือยืนนิ่ง ไม่เดินตามกลุ่มเพื่อน ไม่พูดจาอะไรเลยครับ จากนั้นสัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไป จนทำให้เกือบยุติการสำรวจบ้านร้างในช่วงลองดีของคลื่นผีในคืนนี้” พิธีกรภาคสนามบอกเล่าถึงความระทึกขวัญที่ตนและสมาชิกทั้งหมดเพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อไม่กี่วินาทีนี้
“แล้วน้องแหม่มจำได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น” พิธีกรส่งคำถามไปยังหญิงสาวร่างเล็ก ที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่
“ค่ะ แหม่มเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงห้องใหญ่ชั้นบนค่ะ ได้ยินเสียงร้องไห้ และเธอพยายามพูดอะไรบางอย่าง แหม่มก็เลยยืนนิ่งเพื่อจะฟังเธอๆ พูดออกมาเรื่อยๆ แต่แหม่มฟังไม่รู้เรื่อง มันอู้อี้มากค่ะ”
“แล้วที่เพื่อนๆ เรียกได้ยินไหมครับ”
“ไม่ได้ยินค่ะ รู้แต่ว่าแหม่มพยายามฟังเธอ แต่ก็ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ”
“แหม่มไม่กลัวหรือครับ”
“กลัวค่ะ ขนหัวลุกตัวเย็นชืดเลยค่ะ แต่ร่างกายมันขยับไม่ได้ และผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้มาให้เห็นแบบหน้ากลัว ก็เหมือนคนทั่วไป แต่ในบ้านมันมืด เลยมองเห็นหน้าเธอไม่ชัดนะคะ แหม่มได้แต่คิดในใจว่าอยากจะให้ช่วยอะไรก็บอก แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ สักพักก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนๆ รุมกันเขย่าตัวแหม่มใหญ่เลย”
“ขนลุกครับ ท่านผู้ฟัง ค่ำคืนนี้สมาชิกจากทางบ้านของเราได้สัมผัสกับวิญญาณของหญิงสาวเจ้าของบ้าน ที่ชาวบ้านละแวกนั้นต่างร่ำลือกันถึงความเฮี้ยนของเธอ โดยที่เธอพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับผู้ร่วมรายการของเรา ทำเอาสมาชิกอีกสองท่าน และทีมงานของเราที่อยู่ภาคสนามอึ้งกันไปตามๆ กันเลยละครับ เอาละครับสำหรับช่วงลองดีกับผมนายโป้งและสมาชิกจากทางบ้านในคืนนี้ กับวิญญาณหญิงสาวในบ้านร้าง ขอย้ำอีกครั้งนะครับผู้ฟังทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังนะครับ ส่วนคุณผู้ฟังทางบ้านท่านใดสนใจมาร่วมพิสูจน์สิ่งลี้ลับกับเรา ติดต่อมาได้ที่ 02-xxx0099 อย่าลืมนะครับมาร่วมพิสูจน์กับพวกเรา สำหรับคืนนี้ ในช่วงลองดีสำรวจบ้านร้างกับผมนายโป้ง ต้องขอลากไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ”
โทรศัพท์ถูกวางสาย และพิธีกรในห้องส่งคงกำลังกล่าวขวัญถึงสิ่งที่ทุกคนเพิ่งได้สัมผัสมากันต่อ นายโป้งพิธีกรภาคสนามหันหน้าไปทางทีมงานพร้อมกับตะโกนบอกให้รีบเก็บข้าวของ เพราะขณะนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องปรับอากาศที่ถูกลดอุณหภูมิลงต่ำ จนเขาต้องห่อไหล่เข้าหากัน แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นขนหัวของเขามันลุกขึ้นโดยยากที่จะควบคุม
“แหม่ม เมื่อกี้น้องเห็นอะไรนะ ลองเล่าให้พี่ฟังอีกทีได้ไหม” เขาหันกลับไปถามหญิงสาวร่างเล็กอีกครั้งหนึ่ง
“ผู้หญิงผมไม่ยาวมาก สวมเสื้อยืดกระโปรงยาว ยืนร้องไห้ตรงห้องด้านหลังสุดนั่น” แหม่ม หนึ่งในผู้ร่วมรายการจากทางบ้านที่บอกว่าตนเองเห็นวิญญาณหญิงสาว เล่าให้โป้งฟังด้วยเสียงสั่นเครือ
“ปกติแหม่มมีสัมผัสที่หกหรือเปล่า” พิธีกรยังถามต่อไปทั้งๆ ที่ปิดรายการไปแล้ว
“ไม่นะพี่ ปกติหนูก็ไม่เคยเห็นอะไรทำนองนี้ ไม่เคยได้ยิน หรือได้กลิ่นอะไร" ผู้ร่วมรายการสาวบอกกับนายโป้งไปตามจริง เพราะจริงๆ แล้วตั้งแต่เธอจำความได้ เธอเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์หรือสัมผัสเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ที่เธอได้สัมผัสกับสิ่งลี้ลับเช่นนี้ด้วยตัวเอง
บ้านหลังนี้ แม้จะถูกเรียกขานว่า “บ้านร้าง” แต่ทว่าตัวบ้านยังดูไม่เก่าเหมือนบ้านร้างหลังอื่นๆ ที่ทางรายการเคยไปสำรวจมา คงมีเพียงรอบๆ บ้านเท่านั้นที่ต้นไม้จะดูรกหูรกตา โดยเฉพาะสระว่ายน้ำเล็กๆ ข้างบ้าน ที่เศษใบไม้แห้งร่วงหล่นทับถมกันเกือบครึ่งสระ ส่วนภายในบ้านเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกขนย้ายออกไปจนเหลือแต่บ้านโล่งๆ ประตูหน้าต่างทุกบานถูกปิดล็อคไว้อย่างแน่นหนา คงมีแต่ประตูบานใหญ่หน้าบ้านเท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าครั้งหนึ่งจะมีกระจกบานใหญ่กางกั้นอยู่ แต่ทว่าบัดนี้คงมีแต่โครงไม้เท่านั้น ซึ่งมันเป็นช่องทางเดียวที่ผู้สำรวจได้นำพาตนเองเข้าไปในบ้าน
“แหม่ม พรุ่งนี้เราไปทำบุญกันนะแก” ก้อยเพื่อนสาวที่ชักชวนให้มาร่วมสำรวจบ้านร้างเอ่ยปากขึ้น
“แน่อยู่แล้วละแก ก็ฉันสัญญากับเขาไว้แล้วนี่ ถึงแกไม่ชวนฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว” หญิงสาวผู้เพิ่งจะสัมผัสกับวิญญาณตอบกลับ
“เธอ...ผู้หญิงคนนั้น...ต้องอยากบอกอะไรเราหรือเปล่า?...ถึงได้มาปรากฏให้เราเห็นเพียงคนเดียว” หญิงสาวผู้พบพานกับวิญญาณรำพึงกับตนเองอีกคำรบหนึ่ง
“พี่ว่า น้องๆ อย่าคิดอะไรมากเลยครับ ให้คิดเสียว่าเรามาเล่นเกมส์ เมื่อเกมส์จบก็ให้มันจบไป ถ้าพวกน้องอยากทำบุญก็ไปทำกัน จะได้สบายใจ แต่พี่ขอย้ำว่าอย่าคิดต่อนะครับ ไม่อย่างนั้น.....”
“ไม่อย่างนั้นอะไรพี่โป้ง” ชมพู่สวนขึ้นทันที
โป้งยังอึกอักที่จะตอบ
“ก็ไม่อย่างนั้นน้องก็จะนอนไม่หลับไงละครับ พี่โป้งขี้เกียจขับรถไปอยู่เป็นเพื่อน”
โป้งแกล้งตอบไปอย่างอารมณ์ขัน แต่ในใจนั้นรู้ดีว่า หากทั้งสามสาวเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดต่อเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะหลายปีก่อนเคยมีผู้ร่วมรายการท่านหนึ่งติดตามเรื่องราวของวิญญาณต่อ แต่กลับทำให้ตัวเองแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว
กุญแจถูกปิดล็อคทันทีที่สัมภาระชิ้นสุดท้ายถูกโยนขึ้นท้ายรถ เสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์ของรถหกล้อคันใหญ่ดับความเงียบงันของเวลาดึกสงัดในขณะนี้ได้ แต่ทันทีที่ผู้ทำหน้าที่บังคับยานยนต์นั้นเหยียบคันเร่ง
“โครม”
เสียงดังมาจากด้านหลังรถ
ท้ายรถชนเข้ากับรั้วคอนกรีตหน้าบ้านเข้าอย่างจัง เพราะแทนจะใส่เกียร์เดินหน้ามันกลับเป็นเกียร์ถอยหลัง รั้วบ้านผุกร่อนลงมาตามแรงกระแทก แต่ทว่าคนขับกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสับเปลี่ยนเกียร์รถแล้วรีบขับเคลื่อนรถออกไปข้างหน้าในทันที ปล่อยให้บ้านนั้นตั้งตระหง่านเฝ้ามองการจากไปของผู้มาเยือน
แต่จะมีใครรู้ไหมว่า นั่นคือสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในบ้านรอคอยมานาน เพราะบัดนี้แผ่นทองเหลืองเล็กๆ สลักภาษาบาลีที่ถูกตรึงไว้กับกำแพงหน้าบ้านนั้น มันได้เกาะเกี่ยวไปกับท้ายรถหกล้อคันใหญ่คันนั้นไป แล้วร่วงหล่นอยู่กลางถนนสายเปลี่ยวสายนั้น
“ฉันเป็นอิสระแล้ว” เสียงอันแจ่มชัดของหญิงสาวผู้เบื้องหลัง
ผู้ขับรถเหยียบคันเร่งเกือบจะมิดไมล์ จุดประสงค์ก็เพื่อรีบตามรถคันหน้าให้ทัน รถคันสีขาวข้างหน้าเป็นรถของพิธีกรภาคสนามอย่างแน่นอน ผู้ขับขี่ผ่อนเครื่องยนต์ลงเมื่อเห็นว่าเจอรถของทีมงานแล้ว แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปใกล้รถคันข้างหน้า ผู้เป็นสารถีเพิ่มน้ำหนักแรงกดที่คันเร่งอีกครั้งเพื่อหวังจะแซงนำหน้าไป
ในวินาทีนั้นเองสายตาทุกคู่ของผู้ที่โดยสารมาในรถก็เห็นสิ่งๆ เดียวกัน ซึ่งทำให้ทุกคนแทบจะหยุดหายใจ
หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีขาวกระโปรงยาว นั่งห้อยขาอยู่กระโปรงหลังของรถคันข้างหน้า ร่างๆ นั้นค่อยเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้อย่างเยือกเย็น
ผู้ทำหน้าที่สารถีหยุดรถกะทันหัน โดยไม่สนใจว่ามีรถคันหลังตามมาหรือไม่ แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้างพวกเขาอยู่ เพราะยามนี้ดูเหมือนจะมีแต่รถของทีมงานเท่านั้นที่สัญจรอยู่บนถนนเส้นนี้ แต่พวกเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้พิธีกรภาคสนามผู้เป็นเจ้าของรถฟังดีหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนที่ 3
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในค่ำคืนนี้ มันช่างดูอึดอัดเหลือเกิน ชายหญิงคู่นั้นบนโต๊ะอาหาร ต่างจ้องมองหน้ากันด้วยแววตาสับสน อาหารบนโต๊ะไม่มีจานใดพร่องลงไปเลย
“ประวิทย์ค่ะ มนถามคุณตรงๆ นะคะ คุณมีอะไรที่ปิดบังมนอยู่หรือเปล่า” ฝ่ายภรรยาเอ่ยปากถามก่อน
“อันนี้ผมควรจะถามคุณมากกว่า คุณต่างหากที่มีอะไรปิดบังผม แล้ววันนี้ใครรับโทรศัพท์คุณ”
น้ำเสียงของฝ่ายสามีเริ่มดังขึ้นๆ แววตาที่โกรธเกรี้ยวนั้นมองไปที่ภรรยาสาวเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแม้ว่าหญิงสาวจะอธิบายและเล่าเรื่องราวต่างๆ ตามจริง แต่ทว่าผู้เป็นสามีกลับส่งรอยยิ้มที่มุมปากกลับคืนมาให้
“ผมไม่เชื่อ คุณโกหก คุณมีคนอื่นนอกจากผม บอกผมมาสิ ว่าคุณกำลังนอกใจผม”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ คุณมีสิทธิ์อะไรมาใส่ร้ายมนแบบนี้ แล้วคุณล่ะ คุณกล้าพูดหรือเปล่าว่าคุณเองยังซื่อสัตย์กับมนอยู่”ภาพประวิทย์และหญิงคนนั้นผุดขึ้นมากลางอากาศ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน แต่จากพฤติกรรมของประวิทย์ที่หาเรื่องเธอ มันยิ่งสนับสนุนให้เธอคิดว่า เสียงประหลาดนั้นเป็นเสียงเตือนจากผู้หวังดี และการที่เธอฝันเห็นเรื่องราวต่างๆ นั้น เป็นลางบอกเหตุให้เธอระวังภัยที่กำลังจะมาถึง
คราวนี้หญิงสาวตอบกลับด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นกัน ไม่พูดเปล่าเธอขว้างช้อนที่อยู่ในมือใส่หน้าผู้เป็นสามี
“ผมไม่เคยมีใครนอกจากคุณ คุณต่างหากที่นอกใจผม และสิ่งที่คุณกำลังทำนี่มันก็เกินไปแล้ว คุณหัดเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะคุณเบื่อผมใช่ไหม” แทนคำตอบหญิงสาวเดินเลี่ยงออกไปหลังบ้าน
ส่วนผู้เป็นสามีเดินออกไปด้านหน้าบ้าน เพื่อหวังว่าอารมณ์ที่กำลังประทุอยู่นี้จะเบาบางลงบ้าง เวลาผ่านไป เกือบชั่วโมง ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของมนทิราแว่วมาจากหลังบ้าน หรือเขาจะคิดไปเองอย่างที่เธอบอก เธออาจจะไม่มีใครก็เป็นได้ แวบหนึ่งในความคิด
“มนทิรากำลังมีคนอื่น อย่าไปเชื่อ อย่าใจอ่อน” เสียงกระซิบนั้นอยู่ที่ข้างหูของชายหนุ่มเขามองเข้าไปในบ้านอย่างครุ่นคิด
“เธอออกไปดูสิ ผู้หญิงคนใหม่ของเขา กำลังมาที่นี่ สามีเธอกำลังจะไปจากเธอ” เสียงกระซิบแผ่วเบาบอกมนทิราขณะที่นั่งอยู่หลังบ้าน ไม่รอช้าเธอค่อยๆ สืบเท้าไปด้านนอกมีเสียงคนคุยกันจริงๆ แน่นอนว่าเสียงผู้ชายนั้นเป็นเสียงของสามีเธอ แต่เสียงผู้หญิงนั้นเล่าเป็นเสียงของใคร มนทิราพยายามเดินให้เสียงเบาที่สุด เธอแอบอยู่หลังทีวีจอใหญ่เพื่อฟังการสนทนาของทั้งสอง
“คุณมาได้อย่างไรที่รัก” ประวิทย์เอ่ยถามหญิงสาวนิรนามผู้นั้นพร้อมกับที่หญิงสาวกำลังโถมร่างเข้ากอดรัดผู้เป็นสามีของเธอ มนทิราแอบมองด้วยสายตาที่รวดร้าว เหมือนคมมีดสักล้านใบมากรีดซ้ำๆ ที่หัวใจ
“ฉันคิดถึงคุณ จนทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน ผมอยากไปจากที่นี่ ผมก็สุดที่จะทนอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
ลมหายใจของผู้เป็นภรรยาเกือบจะหยุดลงในวินาทีนั้น พวกเขารักกันมากถึงขั้นตามมาหากันถึงบ้านเชียวหรือ ประวิทย์สามีสุดที่รักทำไมทำกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาได้ถึงเพียงนี้ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเธอเลย เธอซื่อสัตย์กับสามีมาตลอด ตั้งแต่คบหากันเป็นแฟนกระทั่งตอนที่แต่งงานกันแล้ว ในใจเธอก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่นี่เขากำลังนอกใจเธอ กำลังเหยียบย่ำความรักของเธอ น้ำตาหยดแรกเริ่มหลั่งรินแล้วหยาดหยดต่อมาก็อาบไหลเอ่ออาบดวงตาทั้งสองของผู้เฝ้ามอง เรี่ยวแรงทั้งหมดเหมือนถูกแม่เหล็กดูดไปจนหมดสิ้น นี่เธอจะทำเช่นไร หากเขาไปกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ
ลมด้านนอกพัดโชยมา ทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธเคืองเบาบางลงมาก เขาคงจะคิดมากไปเองอย่างที่ภรรยากบอกก็เป็นได้ วินาทีหนึ่งในความคิด เขาควรจะเข้าไปขอโทษเธอเสีย เพราะอย่างไรเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เขาตัดสินใจเข้าไปในบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าเสียงแห่งการสนทนาของผู้เป็นภรรยา กลับกระแทกใจเขาเข้าอย่างจัง
“คุณมารับมนได้ไหมคะ มนอยากไปจากบ้านหลังนี้ มนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว” เสียงภรรยาเขาจริงแท้แน่นอน
แล้วภรรยาเขาคุยกับใคร?
“มนรักคุณ รักคุณคนเดียว มนเบื่อเขาเหลือเกิน คุณมารับมนตอนนี้ได้ไหม มนจะเก็บเสื้อผ้ารอนะคะ”
นี่ภรรยาเขากำลังจะหนีตามชายชู้อย่างนั้นหรือ
เขายอมไม่ได้ มันหยามกันถึงเพียงนี้หรือ นัดแนะชายชู้ให้มารับ
น้ำตาของลูกผู้ชายหลั่งรินโดยที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“มน คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร คุณเห็นผมโง่นักหรือ ถึงนัดชายชู้ให้มารับกันถึงบ้าน” ประวิทย์ระเบิดคำพูดใส่ภรรยาอย่างยั้งไม่อยู่
มนทิราลุกพรวดขึ้นจากด้านหลังของทีวีจอใหญ่ เธอเอ่ยพร้อมน้ำตานองหน้า
“แล้วทีคุณล่ะจะเรียกว่าอะไร มาหากันถึงที่ ออดอ้อนกันในบ้านของเรา คุณทำถูกแล้วหรือ” มนทิราเอ่ยสวนไปทันที
ประวิทย์คว้าข้อมือของภรรยา ก่อนที่เธอจะพาตัวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
“ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น คุณต้องอยู่กับผม” ว่าแล้วประวิทย์ก็ดึงแขนภรรยาเข้าไปในห้องนอน
บัดนี้เขาคือคนใหม่ ที่มนทิราไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งสีหน้า แววตา การกระทำ ที่ไม่ใช่ประวิทย์คนเดิม ก็แน่ละสิ เขาไม่ใช่คนเดิม เพราะเขาไปมีคนใหม่แล้ว ที่กล้าพามาเย้ยเธอถึงบ้าน คิดแล้วมนทิราก็สลัดข้อมืออย่างแรง จนหลุดจากการควบคุมของผู้เป็นสามี
ชายหนุ่มตรงเข้ายื้อยุดฉุดกระชากหญิงสาว ในวินาทีนั้นเองเพื่อหยุดทุกอย่าง ประวิทย์ตัดสินใจใช้ฝ่ามือของเขาประทับไปอย่างแรงที่ใบหน้าของผู้เป็นภรรยา
“คุณตบหน้ามน” หญิงสาวใช้มือเรียวเล็กนั้นกุมที่แก้มซ้ายของตนเองความเจ็บแค้นที่สามีนอกใจบวกกับความเจ็บใจที่ถูกสามีทำร้าย หญิงสาวใช้กำปั้นเล็กๆ ของตนนั้นทุบไปที่สามีนับครั้งไม่ถ้วน ปากก็ร้องเอะอะโวยวายถึงแต่เรื่องผู้หญิงคนนั้น หญิงสาวกำลังจากกระโจนออกจากห้องไป แต่ทว่าชายหนุ่มใช้มือทั้งสองคว้าร่างนั้นไว้ทัน เขาตัดสินใจใช้กำปั้นกระซวกไปที่ท้องน้อยของผู้เป็นภรรยา
“ผมไม่มีวันให้คุณหนีไปกับชู้หรอก คุณต้องอยู่กับผมที่นี่” ว่าแล้วชายหนุ่มเหวี่ยงร่างผู้เป็นภรรยา ไปอีกมุมหนึ่งของห้อง
มนทิราลงไปกองอยู่ที่พื้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปนมากับเสียงแห่งความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกุมท้องของตนเองไว้ ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดทั้งกายและใจวินาทีนั้นเอง ประวิทย์เริ่มมองหาเชือก
เขาต้องมัดหล่อนไว้ เพื่อไม่ให้หล่อนไปกับใครอื่นได้
ประวิทย์เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาวัตถุที่จะสามารถพันธนาการภรรยาตนไว้ได้ แต่ในวินาทีนั้นมนทิราพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ เธอเอื้อมมือไปหยิบโคมไฟที่หัวเตียง และทุ่มไปสุดแรงที่ศีรษะของผู้เป็นสามี
ร่างของประวิทย์ล้มลง ของเหลวอุ่นๆ สีแดงหยดลงบนพื้น ประวิทย์ใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ศีรษะ นี่มนทิราเกลียดเขาถึงเพียงนี้หรือ แค่ความคิดนี้มันก็เจ็บแปลบมากกว่าบาดแผลบนศีรษะในขณะนี้เป็นร้อยเท่าไม่รอช้า เขาย่างสามขุมไปที่หญิงสาวแล้วใช้มือทั้งสองบีบไปที่ลำคอ ปากก็พร่ำพูดเรื่องที่หญิงสาวกำลังจะหนีตามชายชู้
“คุณไม่มีวันหนีไปกับมันได้หรอก คุณต้องอยู่กับผมที่นี่”
“เราจะตายไม่ได้ ถ้าเราตายประวิทย์กับผู้หญิงคนนั้น ต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ชาติชั่วทั้งหญิงและชาย”
กังวานหนึ่งในความคิดของผู้เป็นภรรยา หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเศษกระเบื้องจากโคมไฟที่ตกอยู่เกลื่อนพื้น แล้วปักลงไปที่ต้นคอของผู้เป็นสามีสุดแรงเกิด
ร่างของประวิทย์ล้มลงอีกครั้ง มนทิราพรวดลุกขึ้นมาทันทีแล้ววิ่งออกจากห้อง โดยมีประวิทย์กระเสือกกระสนลุกขึ้นและตามมาด้วยร่างที่อาบโชคไปด้วยเลือด มนทิราเลือกจะวิ่งไปที่ห้องครัวเพราะที่นั่นมีอาวุธที่เธอสามารถจะนำมาใช้ป้องกันตัวจากสามีที่บัดนี้กำลังจะเป็นฆาตกรคร่าชีวิตเธอ
“คุณเห็นมันดีกว่าผม ถึงขนาดทำร้ายผมได้เพียงนี้เชียวหรือ” ประวิทย์ตามลงมาชั้นล่าง เขาจ้องภรรยาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณต่างหากล่ะ ที่พาผู้หญิงคนนั้นเข้ามา และกำลังจะเข้ามาแทนที่มน คุณผิดต่อมน แล้วคุณก็เป็นฝ่ายทำร้ายมนก่อน”
พลันนั้นเอง ร่างหญิงสาวคนใหม่ของสามีก็ก้าวย่างเข้ามาในบ้าน พร้อมกับรอยยิ้มหยันๆ
“ฉันชนะเธอแล้ว ประวิทย์เขาเลือกฉัน”
สุดที่จะทนต่อไป เขาโกหกเธอซึ่งๆ หน้า ปากก็บอกว่าไม่มีใคร แต่ก็พาหญิงคนใหม่มาเย้ยกันถึงบ้าน
“อย่าอยู่เลย พวกแก ชายโฉดหญิงชั่ว” มนทิราตะโกนไปสุดเสียง เธอก้าวเข้าไปหาผู้เป็นสามีในมือถือมีดทำครัวอันคมกริบ ประวิทย์เห็นอยู่ว่ามนทิรากำลังจะทำอะไร แต่ทว่าบัดนี้ร่างกายเขา เหมือนถูกตรึงไว้ เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ มีเพียงเสียงคมมีดปะทะกับผิวหนังของเขาเท่านั้น ที่ดังกึกก้องอยู่ในเสี้ยววินาทีนี้
มนทิราปักมีดอันคมกริบนั้นลงที่ท้องของผู้เป็นสามี เธอกระหน่ำคมมีดซ้ำไปอีกสองสามแห่ง พลางส่ายสายตามองหาหญิงคนนั้น เธอจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นออกจากบ้านไปเด็ดขาด
ประวิทย์นอนหายใจรวยระรินจมกองเลือดอยู่ในครัว เขาได้แต่มองตามภรรยาที่บัดนี้กำลังเดินไปหาชายชู้ที่เปิดประตูเข้ามาจากด้านหน้าบ้าน
มนทิราภรรยาสุดที่รัก ผู้ที่จงใจคร่าลมหายใจของเขาเพื่อแลกกับการหนีตามชายชู้ไป ความเจ็บจากบาดแผลหาได้มีผลใดๆ กับเขาไม่ คงมีเพียงแต่ความเจ็บในใจเท่านั้นที่บัดนี้มันบาดลึกๆ เข้าไปทุกทีๆ ภาพคนทั้งสองสวมกอดกัน มนทิราหันมายิ้มหยันๆ ให้กับเขา แล้วจูงมือชายชู้เดินเข้ามาในบ้าน
ชั่วอึดใจนั้นเองนั้นเอง
ประวิทย์รวมรวมแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่ ดึงมีดออกจากหน้าอก ลิ่มเลือดทะลักออกมา ทั้งจากบาดแผลที่ศีรษะ ที่ต้นคอ และที่ท้องอีกหลายแผล ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบ้าน เขาจะไม่ปล่อยให้มนทิราไปมีความสุขกับชายชู้เด็ดขาด
ร่างภรรยาสุดที่รักกำลังจะก้าวผ่านเขาไปยังชั้นสอง เขาใช้มือดึงที่ข้อเท้าเธอสุดกำลัง ร่างของหญิงสาวล้มลงในทันที ศีรษะของเธอกระแทกพื้นเสียงดังปั๊กตามด้วยเสียงข้าวของหล่นลงพื้น
“ผมไม่ปล่อยให้คุณหนีไปมีความสุขกับไอ้ผู้ชายคนนั้นหรอกมน คุณต้องอยู่ที่นี่”
เท่านั้นชายหนุ่มก็ใช้มีดในมือปักลงที่กลางหลังของหญิงสาว มนทิราสะดุ้งเฮือก บัดนี้เธอรู้สึกชาที่แผ่นหลัง พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากชายผู้ไม่ซื่อสัตย์กับเธอ
ประวิทย์พยายามยันกายให้ลุกขึ้น เพื่อนำพาร่างกายเขาไปใกล้มนทิราให้มากที่สุด แต่ทว่าชายชู้นั้นกลับกำลังจะดึงร่างของมนทิราออกไป เขาตัดสินใจฝังคมมีดนั้นลงไปที่ขาของเธอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงมนทิรากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด บัดนี้ประวิทย์ขยับร่างไปจนถึงภรรยาแล้ว เขาใช้มือดึงข้อมือเธอไว้อีกครา
“มน คุณต้องอยู่กับผม”พูดไปลิ่มเลือดก็ทะลักออกมาจากปาก
มนทิราหมดเรี่ยวแรงจะขัดขืนต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยไร้การควบคุม
ประวิทย์จับตัวหล่อนให้นอนหงาย เขาคลานเข้าไปหาเธออย่างยากเย็น เป็นเพราะพิษบาดแผลที่มนทิราฝากฝังเอาไว้ มือขวาใช้ยันกายให้ลุกขึ้น มือซ้ายกำมีดมรณะไว้แน่น
มนทิราหายใจแผ่วเบา บัดนี้เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากแผ่นหลังของเธออย่างหยุดไม่อยู่ และบาดแผลอีกนับไม่ถ้วนที่ต้นขายาวลงไปถึงน่องเรียวงามของเธอ เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้น ภาพของหญิงสาวคนนั้นกำลังพยุงประวิทย์ให้ลุกขึ้น
“แกมันโง่ ประวิทย์ต้องเป็นของฉัน” ตามด้วยเสียงหัวเราะ
แต่ทว่าในความเป็นจริง บัดนี้ประวิทย์กำลังนอนหายใจรวยระริน บาดแผลนับไม่ถ้วนกำลังถ่ายเทเลือดในกายของเขาให้ออกมานองพื้น เขาเริ่มรู้สึกหนาวสะบั้นไปทั้งตัว ความรู้สึกนี้มันช่างไม่ต่างกับมนทิราแม้แต่น้อย บาดแผลที่สามีมอบให้แก่เธอนั้น มันไปตัดเอาเส้นเลือดใหญ่ทำให้เลือดของเธอไหลออกมามาก ในเวลาอันรวดเร็ว เธอทั้งหนาวและสะท้านไปทั่วทั้งตัว ผู้เป็นภรรยาชายตามองไปข้างกาย เห็นแต่ประวิทย์นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งเขาก็ชำเลืองมองเธออยู่เช่นกัน
สายตาทั้งสองประสานกัน บ่งบอกอะไรบางอย่างที่ทั้งคู่ไม่สามารถจะสื่อสารเป็นภาษาได้แล้วในบัดนี้ ภายในบ้านไม่มีใครนอกจากคนทั้งสอง
และแล้ว
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะนั้น
ภาพหญิงใบหน้าซีดเซียวเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ปรากฏอยู่ปลายเท้าคนทั้งคู่ ร่างๆ นั้นค่อยๆ นั่งลงช้าๆ แล้วยื่นใบหน้าใกล้เข้าๆ ทำให้มองเห็นหยดเลือดที่กำลังไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสอง ตามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน
“ฉันเกลียดความรัก ฉันเกลียดทุกคนที่มีความรัก”
“พวกแกต้องตาย ความรักมันจะทำให้พวกแกต้องตาย ในเมื่อฉันไม่มีความรัก ใครก็อย่าหวังจะมีความรักเลย พวกแกต้องอยู่กับฉันที่นี่” เสียงดุดันนั้นแผดดังขึ้นๆ จนก้องไปทั่ว พร้อมกับลมหายใจของคนทั้งคู่ที่เริ่มแผ่วเบาลงทีละน้อยๆ และหมดลงในที่สุด
ตอนที่ 2
อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงบ้านแล้ว ประวิทย์ไม่ลืมที่จะแวะซื้อไวน์ติดมือกลับบ้าน เพราะอาหารเย็นวันนี้จะต้องเป็นดินเนอร์ที่สุดแสนโรแมนติกสำหรับเขาและภรรยาสุดที่รักในบ้านหลังใหม่ ความรู้สึกที่มีต่อมนทิราในวันแรกที่เขาได้พบเจอกับวันนี้มันไม่ได้แตกต่างกันเลย เขารักเธอและเธอก็รักเขา นั่นคือชีวิตคู่และครอบครัวที่มีความสุขของชายหนุ่ม
“เมียเธอกำลังคบชู้ เขากำลังจะมีคนอื่น ระวังไว้”
เสียงใคร?
ประวิทย์สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงประหลาดนั้น เขาชะลอรถ แล้วหันไปมองด้านหลัง ก็พบแต่กับความว่างเปล่า ก็ในรถมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วเสียงที่เขาได้ยิน เสียงผู้หญิง ประวิทย์สะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่ความเหนื่อยล้า
“สงสัยจะหูฝาด หรือคงเป็นเพลงจากวิทยุ” เขาบอกตัวเอง
“ความรักมันไม่มีในโลก”
หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสแยะยิ้มอยู่เบาะด้านหน้าคู่กับคนขับ หากประวิทย์มองเห็นเธอ เขาคงจะสติแตกจนไม่สามารถขับรถต่อไปได้อีกแน่นอน
ประวิทย์กดแตรรถอยู่สามครั้ง แต่ก็ไร้วี่แววของมนทิราที่จะมาเปิดประตู เขาจึงลงมาเปิดประตูเสียเอง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูบ้านภาพที่เห็นคือ มนทิราภรรยาของเขา กำลังยืนกอดอยู่กับผู้ชาย
ใครกัน...?
หรือเสียงที่บอกนั้นจะเป็นจริง
เขาหยุดมองอยู่ชั่วอึดใจ ทั้งคู่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะทั้งคู่ยังกอดกันอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะผละออกจากกัน
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกกับสามีหน้าโง่คุณเสียที ผมรอไม่ไหวแล้วนะมน” คำถามจากชายที่กำลังกอดภรรยาของเขาอยู่
“รอหน่อยเถอะที่รัก ให้มนหลอกเอาบ้านหลังนี้จากมันให้ได้ก่อน มนไปจากมันแน่ เบื่อมันเต็มที” ว่าแล้วภรรยาสุดที่รักของเขาก็แนบศีรษะกับอกแผงใหญ่ของชายชู้ผู้นั้น
บัดนี้ประวิทย์เหมือนถูกทับด้วยหินหนักสักหนึ่งตัน มนทิราภรรยาสุดที่รักของเขา กำลังคบชู้ หมดกำลังที่จะอดทนดูคนทั้งคู่ออดอ้อนกันต่อไปได้
“คุณๆ ช่วยเลื่อนรถหน่อยครับ”
เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากหน้าบ้าน ประวิทย์หันไปมองตามต้นเสียง รถของเขานั่นเองที่จอดขวางถนนไว้ ทำให้รถคันอื่นไม่สามารถสัญจรไปมาได้ แต่เมื่อหันกลับมาดูบริเวณที่ภรรยาและชายชู้พลอดรักกัน ทั้งคู่กลับหายไปเสียแล้ว
เขาเร่งรีบเลื่อนรถเข้ามาจอดในบ้าน แล้วสาวเท้าต่อเข้าไปในบ้าน สายตามองหาคนทั้งคู่มิลดละ แต่ภายในบ้านกลับมีเพียงมนทิราคนเดียวเท่านั้นที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“มนคุณอยู่กับใคร” ชายหนุ่มตะโกนถามด้วยน้ำขุ่นเคือง
ฝ่ายภรรยาหันมามองด้วยความตกใจ เพราะตั้งแต่คบและแต่งงานกันมา ประวิทย์ไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เธอใช้มือหนึ่งปิดลำโพงโทรศัพท์ไว้ และกล่าวบอกสามีว่ากำลังคุยอยู่กับพี่สาว
ประวิทย์กวาดตามองไปรอบๆ บ้าน เขาเดินไปดูที่ห้องครัว ห้องน้ำ และเลยไปถึงหลังบ้าน
ความว่างเปล่า...มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
หลังจากวางโทรศัพท์จากพี่สาว มนทิราเดินมาหาสามีพร้อมกับสายตาที่เป็นคำถามนัยๆ
“วิทย์ค่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากสามี มีเพียงสายตาเช่นกัน ที่ส่งคำถามกลับคืน
“คุณคุยกับใคร ผมขอดูโทรศัพท์ได้ไหม”
มนทิรายื่นโทรศัพท์ให้ด้วยความงุนงง
ประวิทย์กดดูเบอร์โทรศัพท์
“มันไม่ใช่เบอร์พี่สาวคุณนี่ แล้วเป็นเบอร์ใคร คุณกำลังปิดบังอะไรผมอยู่”
“พี่สาวมนเพิ่งเปลี่ยนเบอร์ใหม่ นี่เค้าก็เพิ่งโทรมาบอกค่ะ”
“ผมไม่เชื่อ”
“งั้นคุณก็ลองโทรไปอีกครั้งสิ”
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...” เสียงจากปลายสาย มันยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อว่าเบอร์โทรศัพท์นี้ ต้องเป็นเบอร์ชายชู้อย่างแน่นอน
“มน...ทิ...รา... คุณปิดบังอะไรผม ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ประวิทย์เอ่ยชื่อภรรยาอย่างยากเย็น เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามนทิราจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้
“ใครคะ ผู้ชายที่ไหน” หญิงสาวตอบไปด้วยความงุนงง
“ก็ที่ยืนกอดกันกลมอยู่หน้าบ้านไง”
“ผมมันน่าเบื่อมากใช่ไหม คุณถึงต้องไปมีคนอื่น บอกผมมาสิมน คุณสวมเขาให้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่คุณกล้ามากนะที่พาชายชู้เข้ามาพลอดรักกันถึงในบ้านของเรา” มนทิราทวีสับสนในคำพูดของสามี เพราะวันนี้เธออยู่บ้านคนเดียวทั้งวัน และเธอเองไม่มีวันรักใครได้อีกแล้วนอกจากประวิทย์
“มนไม่มีใครทั้งนั้น คุณเอาอะไรมาพูด คุณก็รู้ว่ามนรักคุณคนเดียว”
“ผมเห็นตำตา คุณพามันเข้ามาในบ้านเรา มันซ่อนอยู่ที่ไหน”
ประวิทย์เพิ่มขีดความดังของเสียงขึ้นมาจนมนทิราเริ่มไม่พอใจทั้งคำพูด และการกระทำ ที่ขณะนี้ประวิทย์กำลังเขย่าแขนทั้งสองของเธอและเพิ่มน้ำหนักแรงบีบของมือให้แรงขึ้นๆ
“ปล่อยมนนะ มนเจ็บ คุณมาถึงก็ว่ามนฉอดๆ ทั้งๆ ที่มนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณว่าเลย คุณหาเรื่องมน เพราะคุณก็มีผู้หญิงอีกคนใช่ไหม”มนทิราระเบิดเสียงใส่บ้าง
“ผมไม่เคยมีใครทั้งนั้น ไม่เหมือนคุณที่พาชายชู้เข้าบ้าน”
“งั้นคุณก็ลองหาดูสิ” มนทิราพูดเชิงท้าทาย
ประวิทย์กึ่งลากกึ่งดึงภรรยาขึ้นไปชั้นบน เพราะเขาแน่ใจว่าชายคนนั้นต้องหลบอยู่ชั้นบนแน่นอน
...ความว่างเปล่า...
มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีใครอยู่ชั้นบนมีเพียงเขาและเธอเท่านั้น แล้วชายชู้ไปไหน
“ทีนี้คุณจะว่าอะไรมนอีก คุณกุเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะหาเรื่องมน แล้วไปหาผู้หญิงคนใหม่ใช่ไหม”
“ผมไม่มีใคร มน... ผมขอโทษ ผมคงเครียดกับงานมากเกินไป แต่ผมเห็น......” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แล้วหยุดคำพูดเพียงเท่านี้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็โอบกอดภรรยาไว้แนบแน่น
แต่ทว่าบัดนี้ในใจของคนทั้งคู่ต่างมีแต่ความหวาดระแวงปะปนอยู่ในคำพูดที่บอกว่ารักและขอโทษ
“บ้านหลังนี้ไม่มีความรักหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ความรักของพวกแกต้องแตกสลาย” ใครบางคนพึมพำอยู่มุมหนึ่งของห้องนอน แล้วค่อยๆ เลือนหายไป
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ประวิทย์อยากจะสลัดความคิดและภาพเหล่านั้นออกไปให้หมด แต่ดูเหมือนยิ่งขว้างทิ้งมันยิ่งกลับสะท้อนกลับมาที่เดิม ความคิดวกไปวนมาไม่รู้จักจบสิ้น วันนี้มนทิราไปทำงานเป็นวันแรกหลังจากลางานมาสามวันเพื่อจัดแจงบ้านให้เรียบร้อย หากภรรยาสุดที่รักเจอใครคนใหม่ระหว่างการทำงาน เขาจะทำอย่างไร เขาจะล่วงรู้ได้อย่างไร เท่านั้นเขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหามนทิราในทันที
สี่ ห้า หก สาย เธอทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสาย ความคิดยิ่งเตลิดไปไกล
ครั้งที่เจ็ด มีคนรับสาย หากแต่เป็นเสียงผู้ชาย
“ขอโทษนะครับ พี่มนออกไปข้างนอกแล้วลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะทำงาน ผมเห็นคุณโทรมาหลายสายเกรงว่าจะมีเรื่องเร่งด่วน เลยถือวิสาสะรับโทรศัพท์ครับ”
ปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย หรือว่าจะเป็นชายชู้จริงๆ แล้วตอนนี้มนทิรากับชายชู้อยู่ที่ไหน คิดเพียงเท่านั้น มันก็เจ็บปวดรวดร้าวหัวใจจนย่อยยับ
“พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน” ชายหนุ่มถามไปเสียงแข็ง
“อยู่ที่ทำงานครับ พี่มนออกไปไหนก็ไม่ทราบ”
ประวิทย์วางสายทันที
“เชื่อฉันหรือยังล่ะ เมียเธอกำลังมีคนอื่น เขากำลังหลอกเธอ”
เสียงนั้นกังวานก้องอยู่ในโสตประสาท เขาเองไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร และมาจากไหน แต่ก็นึกขอบคุณเสียงลึกลับนั้นที่มาเตือนเขาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วนี่เขาจะทำเช่นไร
.......................................................................................................................
ทันทีที่มนทิรากลับมาถึงบริษัท เธอถลาไปที่โต๊ะทำงานและมองหาโทรศัพท์มือถือ เพราะเมื่อเธอรู้ว่าตนเองลืมโทรศัพท์เธอจึงโทรเข้าบริษัท เด็กฝึกงานเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ยิ่งทำให้เธอร้อนใจ เกรงว่าประวิทย์จะเข้าใจผิด ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เธอคิด เพราะหลังจากที่เธอโทรศัพท์กลับไปหาสามี น้ำเสียงของเขาขุ่นมัวและแข็งกระด้าง บ่งบอกถึงอารมณ์ได้อย่างชัดเจนว่าโกรธเคืองเพียงใด
“เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เขาต่างหากที่หาเรื่อง เพราะเขาอยากจะไปจากเธอ เขามีผู้หญิงคนอื่น” เสียงลึกลับนั้น กลับมาอีกครา มนทิราใช้มือทั้งสองข้างปิดหู พร้อมกับส่ายหัวไปมา
“ฉันไม่อยากฟัง ฉันไม่อยากฟัง” ความคิดที่กำลังต่อต้าน
“เธอต้องเชื่อฉัน เขามีคนอื่น เขาไม่ได้รักเธอแค่คนเดียว” เสียงนั้นย้ำบอกด้วยพลังอันหนักแน่น
“มนๆ เธอเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฉันปวดหัว สงสัยจะเพลียแดด เดี๋ยวกินยาสักสองเม็ดก็คงหาย”
มนทิราทานยาไปสองเม็ด เธอเลือกที่จะนั่งหลบมุมในห้องประชุม เพื่อสักสายตาสักครู่ แต่แล้วภาพที่เธอไม่อยากพบก็มาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง
“ผมกำลังหาเรื่องเลิกกับเขาอยู่ รอผมนะคนดี”
ประวิทย์กำลังนั่งกุมมือหญิงสาวคนนั้นไว้ พร้อมกับเอ่ยประโยคที่บาดใจมนทิราเหลือเกิน
“แล้วคุณจะทนอยู่กับเขาทำไม ในเมื่อคุณไม่รักเขา” ฝ่ายหญิงเอ่ยถาม
“ผมต้องการสินสมรส ผมอยู่กับผู้หญิงคนนี้ก็เพราะเงินเท่านั้น คุณเชื่อผมนะครับ ผมเบื่อเขามาก ผมต้องใช้ความอดทนขนาดไหนเวลาอยู่กับเขา คนที่ผมรักอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้ว มนทิราก็แค่ผู้หญิงโง่ๆ ที่ผมขยะแขยงที่สุด”
นี่หรือคือความรู้สึกที่สามีที่เธอซื่อสัตย์กับเขามาตลอด มันช่างโหดร้ายเสียจริงๆ เหตุใดเขาถึงเหยียบย่ำความรักของเธอได้เพียงนี้ น้ำตาเริ่มเอ่อล้นสองตาของหญิงสาวก่อนที่จะปล่อยโฮออกมาสุดเสียง
“มนๆ ตื่นๆ เธอร้องไห้ทำไม ไหวหรือเปล่า ไม่ไหวก็กลับไปพักก่อน” เพื่อนร่วมงานคนเดิมเดินเข้ามาดู หลังจากที่ได้ยินเสียงมนทิราร้องไห้อยู่ในห้องประชุม
หญิงสาวฝืนบอกไปว่าไม่เป็นอะไร ทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้ระส่ำระส่าย แม้จะรู้ดีว่าคือความฝัน แต่...เธอก็ยังให้คำตอบตนเองไม่ได้ ว่าเหตุใดจึงหวั่นไหวราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง และเมื่อบวกกับเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวานที่ประวิทย์จงใจหาเรื่องเธอก่อน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
“หรือจะเป็นจริงอย่างที่เสียงลึกลับนั้นบอก” คราวนี้มนทิราเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอควรจะเชื่อเสียงนั้นดีหรือไม่
“แกต้องเชื่อฉัน ทำตามที่ฉันบอก ความรักต้องแตกสลาย ฮ่าๆๆๆๆ” หญิงใบหน้าซีดเซียวนั้นแผดเสียงหัวเราะกังวานก้อง
ตอน ที่ 1
เข็มนาฬิกาเลยสองยามไปไม่กี่วินาที สายลมเอื่อยๆ พัดอ้อยอิ่งล้อเล่นกันในยามวิกาล ท้องฟ้ากระจ่างด้วยแสงของดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือม่านเมฆ ซุ่มเสียงของความเงียบเป็นดั่งบทเพลงขับกล่อมยามนิทราของใครต่อใครในวินาทีนี้ ในช่วงเวลาดึกสงัดเช่นนี้น่าจะเป็นชั่วโมงแห่งการหลับใหลอันแสนรื่นรมย์ของใครหลายต่อหลายคน แต่ในความเงียบนั้นกลับมีกังวานหนึ่งแอบแฝงมากับความมืด
“พวกแกรักกันมาใช่ไหม ฉันเกลียด....เกลียดความรัก พวกแกต้องตายเพราะความรัก”
ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันโหยหวน...
มนทิราผวาตื่นขึ้นกลางดึก เสียงนั้น ในโสตประสาท มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน น้ำเสียงที่ฟังดูดุดัน แข็งกร้าว และจริงจัง นับตั้งแต่คืนแรก จนถึงคืนนี้มันเป็นคืนที่สามแล้วที่เธอต้องผวาตื่นด้วยเสียงอันน่าหวาดกลัวนี้ น้ำเสียงมันทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้น ยากเย็นเหลือเกินที่เธอจะข่มตาให้หลับต่อไปได้
“วิทย์ค่ะ” หญิงสาวเขย่าแขนสามี
ชายหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมา ฝ่ายภรรยาลุกขึ้นไปเปิดไฟให้สว่างทั่วห้อง พร้อมกับเล่าเรื่องเสียงยามวิกาลนั้น แต่ทว่าฝ่ายสามีกลับดึงร่างของภรรยาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แล้วบอกให้ผู้เป็นภรรยานั้นนอนเสีย
“นอนเถอะมน คุณเหนื่อยและฝันร้ายเท่านั้นเอง”
ผู้เป็นภรรยาจำใจเอนตัวลงนอนในก้อมกอดผู้ที่เป็นสามี ทั้งๆ ที่ในยามนี้หล่อนกลัวเหลือเกิน กลัวซุ่มเสียงยามวิกาลนั้นจะกลับมากังวานอีกครา
“วิทย์คะ มนได้ยินเสียงนั้นจริงๆ นะคะ มนไม่ได้โกหกหรือคิดไปเอง”
มนทิรา กล่าวกับสามีอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้นแต่ทว่าสามีกลับนิ่งเงียบ และปลอบใจผู้เป็นภรรยาว่าคงจะแปลกที่จึงนอนไม่หลับแล้วคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา แต่อันที่จริงแล้วเขาเองต่างหากที่ได้ยินเสียงนั้นก่อนที่มนทิราจะได้ยิน ทว่าเขาตัดสินใจที่จะไม่บอกภรรยา เพราะเกรงเธอจะเสียขวัญจนไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้
วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วที่ประวิทย์และมนทิราย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ แม้ว่าบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านมือสอง แต่ทว่าสภาพยังใหม่มาก ป้าเจ้าของบ้านบอกว่าหลานสาวอยู่ได้เพียงสองปี ก็แต่งงานและไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ บ้านหลังนี้จึงไม่มีใครอยู่ ทั้งคู่จึงตัดสินใจประกาศขาย
หากเปรียบเทียบตัวเลขกับบ้านในโครงการใหม่ๆ ในละแวกนี้ บ้านหลังนี้ก็ยังราคาถูกมากกว่าครึ่ง ประวิทย์และมนทิรา จึงตัดสินใจรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่และกู้เงินเพิ่มอีกเล็กน้อย มาซื้อบ้านหลังนี้แม้ว่าจะอยู่ชานเมือง แต่ทั้งสองก็มีรถจึงทำให้ไม่ลำบากในการเดินทาง เพราะนับตั้งแต่แต่งงานกันมาหนึ่งปี เขาและเธอเช่าคอนโดอยู่ หากเทียบราคาค่าเช่าคอนโดกลางใจเมือง เดือนหนึ่งก็พอๆ กับผ่อนบ้านแถบชานเมืองเลยทีเดียว และเมื่อทั้งคู่อยากจะมีลูกขึ้นมา จึงเริ่มจะขยับขยายพื้นที่สำหรับครอบครัวเล็กๆ ของเขาและเธอ
สภาพบ้านแม้ว่าจะดูใหม่ ด้านนอกมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กและสวนขนาดย่อมที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่สำหรับมนทิราแล้ว เธอรู้สึกแปลกๆ กับบ้านหลังนี้ โดยเฉพาะในห้องนอน เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันยากที่จะอธิบายเหลือเกิน เมื่อครั้งที่ทั้งคู่มาดูบ้านเธอพยายามคิดว่าเป็นเพราะบ้านถูกปิดไว้นาน จึงทำให้อากาศไม่ถ่ายเท แต่เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ เวลาแค่เพียงสี่คืนเท่านั้น ความอึดอัดเริ่มทวีขึ้นหลายเท่าพร้อมกับเสียงลึกลับยามวิกาลนั้นที่ทวีความน่ากลัวขึ้น
“วิทย์ค่ะ เรายังไม่ได้ทำบุญบ้านเลย มนว่าเราน่าจะนิมนต์พระมาทำบุญบ้านนะคะ” ฝ่ายภรรยาเสนอความคิดเห็น
“ผมก็เห็นด้วยนะมน แต่ผมว่าเอาไว้ทำทีเดียวตอนสงกรานต์จะดีกว่าไหม เหลืออีกไม่กี่เดือนเอง ญาติๆ คุณกับผมก็จะได้มาพร้อมกันด้วยไง รออีกสักเดือนกว่าๆ นะที่รัก”
มนทิราเห็นตามสามีอีกครั้ง เหลือเวลาอีกเดือนกว่าเท่านั้นก็จะถึงเทศกาลปีใหม่ไทย เมื่อทั้งสองตัดสินใจซื้อบ้าน บรรดาญาติๆ ของทั้งสองตกลงกันว่าจะมาเยี่ยมทั้งสองในวันปีใหม่ไทยที่ใกล้จะถึงนี้ มันก็คงเป็นการดีหากจะเอาถือเอาวันปีใหม่นั้นเป็นวันทำบุญบ้าน อีกทั้งในวันนั้นก็จะเป็นรวมตัวญาติๆ ของทั้งสองฝ่าย มนทิราเห็นคล้อยตามสามี เธอจึงได้แต่ยิ้มและพยักหน้าแทนคำตอบรับ
“มน...เย็นนี้ผมจะรีบกลับนะ คุณเตรียมทำอาหารไว้ เราจะดินเนอร์ริมสระน้ำกัน”
ประวิทย์บอกภรรยาก่อนออกไปทำงานตอนเช้า มนทิราเลื่อนปิดประตูรั้วหน้าบ้าน แต่ยังไม่ทันปิดสนิท ประวิทย์ผู้เป็นสามีกลับลดกระจกรถลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้าออดอ้อน
“คุณลืมอะไรหรือเปล่า”
มนทิราก้าวเดินไปหาสามีที่รถ พร้อมกับประทับรอยจูบลงที่แก้มของฝ่ายชาย
“ขับรถดีๆ นะคะ เย็นนี้เจอกัน”
หญิงสาวอมยิ้มเล็กๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะแม้เธอกับประวิทย์จะแต่งงานกันมาเป็นสามปีแล้ว แต่ประวิทย์ยังปฏิบัติกับเธอเหมือนเพิ่งจีบกันใหม่ๆ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอรักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจ
มนทิราตระเตรียมอาหารที่สามีชื่นชอบ ดอกกุหลาบดอกโตสีแดงถูกตัดจากกระถางหน้าบ้านมาปักไว้บนแจกันแก้วใบกะทัดรัด เธอหันไปมองภาพถ่ายในวันแต่งงานที่ถูกนำมาติดไว้ในห้องรับแขก แล้วยิ้มเล็กๆ
“วิทย์ค่ะ มนรักคุณค่ะ”
มนทิราเอ่ยอย่างแผ่วเบา ในจิตใจขณะนี้เบ่งบานไปด้วยความรัก ความสุข และความสมหวัง รอเพียงวันเวลา ที่เธอจะมีเจ้าตัวน้อยเท่านั้น ชีวิตของเธอคงจะมีความสุขอย่างหาใครเปรียบมิได้
ความรักที่ผนึกอยู่ในหัวใจของหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ในใจของหญิงสาวอีกหนึ่งนั้นกลับตรงกันข้าม
“ที่จริงมันต้องเป็นฉัน ต้องเป็นฉันที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ต้องเป็นฉันคนเดียว”
กังวานเสียงที่แผดก้องอยู่ในอากาศ แต่ทว่ามนทิรากลับไม่ได้ยินอะไรเลย
“ฉันเกลียดความรัก ในเมื่อฉันไม่มีความรัก ก็อย่าให้ใครมีความรักเลย”
ในกังวานนั้นมีเสียงหัวเราะแผดขึ้นมาสลับกัน ร่างๆ นั้น ใกล้มนทิราเข้าไปทุกที ดวงตาที่ไร้แววจ้องมองไปยังหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหาร
“สามีเธอกำลังมีคนอื่น สามีเธอกำลังมีคนอื่น” เสียงๆ หนึ่งแว่วมาในโสตประสาท
มนทิราหันมองซ้ายทีขวาที แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า ในบ้านนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น แล้วที่ได้ยินนั่นเสียงใคร หญิงสาวหันไปมองซ้ายทีขวาที
“สามีเธอกำลังมีคนอื่น”ริมฝีปากซีดเผือดนั้นกระซิบที่ข้างหูของมนทิรา โดยที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้เลย
เสียงนั้นกำลังดังขึ้นๆ จนเธอรู้สึกได้ว่าต้นเสียงมาจากในห้องครัวนี่เอง
แล้วเป็นเสียงใคร?
หญิงสาววางมีดลง แล้วเดินอย่างรวดเร็วไปที่โต๊ะรับแขกที่โทรศัพท์มือถือวางอยู่ แล้วรีบกดโทรศัพท์หาสามีทันทีแต่โทรศัพท์ปิดเครื่อง เธอพยายามติดต่ออีกหลายครั้ง กระทั่งตัดสินใจโทรเข้าเบอร์บริษัทก็ได้ความว่าผู้เป็นสามีกำลังประชุมอยู่ เธอจึงได้แต่ฝากข้อความไว้
“หรือเราจะประสาทหลอน”
หญิงสาวพยายามโกหกตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเสียงที่เธอได้ยินได้มิได้เกิดจากอาการประสาทหลอนอย่างที่เธอคิด เธอแก้ปัญหาด้วยการหยิบยาแก้ปวดศีรษะมารับประทาน มันช่วยได้ในระดับหนึ่ง เธอเลือกที่จะเอนหลังที่โซฟามากกว่าจะเข้าไปที่ห้องนอน หนังตาเริ่มหนักขึ้นๆ และหลับไปในที่สุด
ภาพของประวิทย์สามีสุดที่รัก กำลังเคล้าคลออยู่กับหญิงอื่น ปากก็พร่ำบอกแต่คำรักต่อกัน ฝ่ายชายโอบกอดฝ่ายหญิงไว้แนบแน่น “ผมรักคุณ” ประโยคที่เธอคุ้นเคยจากปากฝ่ายชาย แต่บัดนี้ผู้รับฟังหาใช่เธอไม่ กลับเป็นหญิงอื่น ที่เธอไม่รู้จัก
“ไม่จริง สิ่งที่เสียงนั้นบอกมันเป็นความจริง ประวิทย์กำลังนอกใจเราหรือนี่”
เธอพยายามพาตัวเข้าไปหาคนทั้งคู่ แต่ทว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้สักนิด มีเพียงดวงตาเท่านั้น ที่เพ่งมองทั้งคู่ที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งรัก
“ไม่จริง”
กังวานนั้นแผดออกมาสุดเสียง เหงื่อกาฬเม็ดโตผุดขึ้นจนเนื้อตัวชุ่มโชกหญิงสาวลุกพรวดขึ้นจากโซฟารับแขก มองไปรอบๆ ตัว มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่มีประวิทย์ไม่มีหญิงคนนั้น
ใช่! มันคือความฝัน แต่มันเหมือนจริงมาก หญิงสาวเหลือบมองดูนาฬิกาข้างฝาผนังเกือบสี่โมงเย็นแล้ว พลางมองหาโทรศัพท์แล้วรีบกดไปหาสามีอีกครั้ง
“วิทย์คะ คุณอยู่ที่ไหน”
“ผมกำลังจะกลับ มีอะไรหรือเปล่า ผมเห็นคุณโทรมาตอนผมประชุมหลายสาย โทรกลับไปคุณก็ไม่รับ คุณไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรค่ะ คุณรีบกลับบ้านนะคะ มนทำอาหารที่คุณชอบไว้เยอะเลยค่ะ”
“เชื่อฉัน เขากำลังมีคนอื่น เธอต้องเชื่อฉัน สามีเธอโกหก” เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นแว่วมาอีกครา
หญิงสาวสะดุ้งมาอีกครั้ง คราวนี้เธอรีบก้าวออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แหงนมองไปที่ตัวบ้าน บ้านนี้ต้องมีอะไรแน่นอน มันคือความคิดที่เธอต้องบอกสามีในอีกไม่กี่นาทีที่สามีกำลังจะมาถึง
“ย่างเข้าเดือนหกฝนก็ตกพรำๆ.....”
ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้า เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุชุมชนส่งผ่านมาทางทรานซิสเตอร์ข้างๆ โต๊ะทำงานของผม มันช่างเข้ากับบรรยากาศยามเช้าของวันนี้เสียจริงๆ เดือนมิถุนายนอย่างนี้ ฝนตกแทบจะทุกวัน วันนี้อากาศยามเช้าแสนจะสดชื่น เพราะมีไอฝนจางๆ ปรอยมา ผมนั่งมองกลุ่มเมฆที่ลอยลงต่ำเกือบจรดหลังคาบ้าน ด้วยอารมณ์อันเบิกบาน ทัศนียภาพที่นี่ช่างเป็นกรอบรูปที่มีชีวิตจริงๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกาน้ำชาโชยมาประชดผม หลังจากที่ผมหันหลังให้เพื่อไปสูดกลิ่นหอมของไอฝนที่ริมหน้าต่าง
แต่ใครจะรู้ได้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จะทำให้ผมหัวเสียได้เกือบทั้งวัน
“พนักงานลางานพร้อมกัน 7 คน” ผมบอกผู้เป็นน้องชายของบิดาผมด้วยเหตุผลเดียวกันคือ “ลาไปเอามื้อ”
อะไรวะ...เอามื้อ ผมยังงงกับคำๆ นี้
เอาเป็นว่าสรุปคือ พนักงานลางานพร้อมกันทีเดียว 7 คน อย่างไรดีล่ะครับ ผมได้ขอร้องให้แบ่งกันลา คำตอบก็คือไม่ได้ ไอ้ครั้นผมจะบอกเด็ดขาดไปว่า “ไม่ได้ หากใครจะลาก็ให้ออกไปเลย” มันก็ดูรุนแรงเกินไป สุดท้ายผมต้องหาพนักงานมาเพิ่มเอง จะโดยวิธีการใดก็แล้วแต่ เพื่อไม่ให้งานของผมสะดุด
ผมถามพนักงานอีกทีว่า ไปเอามื้อ มันคืออะไร คำตอบก็คือ ไปลงแขกปลูกข้าวนั่นเองคราวนี้อาการหัวเสียของผมมันเริ่มบรรเทาลงแล้วสิครับ เพราะว่ามันน่าจะมีอะไรสนุกๆ อยู่ในท้องนา และการไปเอามื้อแน่นอน
เจ้าพงษ์ก็คือหนึ่งในเจ็ดพนักงานที่พร้อมใจกันลางานไปเอามื้อ มันบอกผมว่าที่นามันมีสิบไร่ ต้องเกณฑ์ญาติพี่น้องทั้งหมดมาช่วยกันปลูก (หากไม่อยากเสียเงินจ้าง) ผมก็เลยถามมันไปว่า แล้วทำไมที่บ้านมันไม่จ้างล่ะ คำตอบก็คือ ต้องการประหยัด ก็ต้องเกณฑ์ญาติพี่น้องมาช่วยกันนั่นแหละ ใครที่มีที่นาเจ้าพงษ์ก็ต้องไปช่วยเขาถอนกล้าและดำนา เมื่อถึงคราวที่บ้านของมันจะถอนกล้าดำนาบ้าง ญาติก็จะมาช่วยเอง ส่วนใครที่ไม่มีนา ก็ตัดแบ่งข้าวเปลือกให้ กี่ไต้ (กระสอบ) ก็ว่ากันไป
ง่ายดีนะ ไม่ต้องเสียเงินจ้าง แต่ว่าอย่างนี้ก็ไม่ไหวกับผมนะครับ ก็เล่นลางานพร้อมๆ กันอย่างนี้ ถ้าญาติเจ้าพงษ์มีสักโหลหนึ่งมันมิต้องลางานผมถึง 12 วันเหรอครับ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละครับ นี่คือวิถีชาวบ้าน ทำนาคืออาชีพหลัก ส่วนงานของผมคืออาชีพรอง (น้อยใจเล็กๆ) เพราะเจ้าพงษ์บอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยซื้อข้าวกิน ตั้งแต่รุ่นทวด ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ไม่เคยซื้อข้าวกิน หากอยากมีข้าวเอาไว้กินก็ต้องปลูกเอง ที่เหลือค่อยเอาไปขาย เอาเป็นว่าปีหน้าผมต้องเตรียมรับมือกับฤดูกาลเอามื้อนี้ให้รัดกุม เพราะนี่เป็นฤดูกาลแรกที่ผมมาอยู่ที่เมืองนี้
ตกเย็นฝนหยุดแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใส วันนี้ไม่มีสมาชิกตั้งวงร่ำสุราแต่อย่างใด ผมเลยถือโอกาสนี้เป็นวาระที่น่าจะออกกำลังกายเสียบ้าง ดังนั้นแล้วผมจึงไม่รอช้า รื้อหารองเท้าผ้าใบในตู้เก็บรองเท้ามาสวมใส่ แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปมาแถวๆ บ้านเช่า
ไม่น่าจะถึงสามร้อยเมตร วิ่งไปสามรอบ เล่นเอาผมหอบเล็กๆ เหมือนกันครับ จากนั้นการวิ่งก็เปลี่ยนเป็นการเดินไปโดยปริยาย นี่ละครับนานๆ ได้ออกกำลังกายอย่างเป็นทางการเสียที (ปกติบริหารแต่ข้อมือครับ) เดินๆ ไป ผมก็คิดว่าน่าจะลองไปดูที่เขาปลูกข้าวดู สองเท้าพาผมเดินอ้อมไปตามถนนลูกรังหลังบ้านเช่า กลิ่นโคลนสาบควายลอยอยู่ใกล้ๆ จมูกผม แม้มันจะส่งกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัยเท่าใดนัก แต่ผมกลับเดินเข้าไปหามัน
ที่นาแถวนี้เพิ่งถูกไถไปหมาดๆ ฝนที่ตกลงมาเมื่อเช้าทำให้ดินอ่อนนุ่ม (ผมสังเกตจากรอยเท้าคุณสุนัขที่ปรากฏเป็นหลักฐาน) บางแปลงที่ยังไม่ถูกไถ ชาวบ้านก็จะเอาควายมาเลี้ยง (ผมก็สังเกตจากปลักที่เกลื่อนอยู่ 4-5 ปลัก) นั่นเองมันจึงเป็นที่มาของ กลิ่นโคลน-สาบควาย มองไปสักสองร้อยเมตรเห็นจะได้ มีกลุ่มคนไม่น่าจะต่ำกว่าสิบคนอยู่ที่นั่น นั่นต้องเป็นการทำนาเอามื้อแน่เลย
ความอยากรู้ของผม ทำให้ผมวิ่งเหยาะๆ ไปตามคันนาแปลงที่ข้าวยังเป็นกล้าอยู่เป็นแผ่นกำมะหยี่ที่เคลื่อนไหวได้ กลิ่นหอมอ่อนของกล้าข้าวกลบกลิ่นโคลนสาบควายไปได้ชะงัดนัก ผมเดินเข้าใกล้กลุ่มคนนั้นเข้าทุกทีๆ พวกเขาหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน ก็จะไม่ให้มองได้อย่างไร ในเมื่อผมอยู่ในชุดมันช่างไม่เข้ากับสถานที่เอาเสียจริงๆ
ใครคนหนึ่งส่งเสียงทักทายผม ราวกับว่าคุ้นเคยกันดี (นี่แหละครับอัธยาศัยของชาวบ้าน) ผมบอกเล่าเก้าสิบว่าผมมาวิ่งออกกำลังกาย แล้วก็เลยมาถึงที่นี่ ดูเหมือนทุกคนจะดูยินดีกับการมาเยือนของผม เพราะหลายเสียงได้ชักชวนให้ผมนั่งร่วมวงด้วย จะวงอะไรเล่าครับ เย็นๆ อย่างนี้ ก็น้ำขาวนั่นแหละครับ หาง่ายขายคล่อง (จริงๆ แล้วผิดกฎหมายนะครับ) ดีสำหรับแถวนี้
แต่ละคนอยู่ในชุดยูนิฟอร์มกันทั้งนั้น รองเท้าบู้ทยาวถึงหัวเข่า เสื้อผ้าที่เปรอะไปด้วยดินและโคลน แต่ใบหน้าของพวกเขานั้นต่างยิ้มระรื่น
มาเอามื้อกันหรือครับ ผมยิงคำถาม พร้อมกับรับแก้วที่มีน้ำใสๆ อยู่ด้านใน
“ไม่ได้มาเอามื้อหรอก มา มอ....นอ....ต่างหาก” ตาลุงคนหนึ่งกล่าวมาปนเสียงหัวเราะ
ศัพท์อะไรอีกละครับ มอ...นอ...ผมยังไม่มี คำพูดใดๆ หลุดออกมา
“ก็เหมานายังไงล่ะ....” ตาลุงอีกคนตะโกนมาบ้าง
ผมถึงบางอ้อ...รับจ้างทำนา
ลุงทั้งสิบคนมาจากอีกตำบลหนึ่ง พวกแกเล่าว่าพอถึงฤดูทำนา หลังจากทำนาของตัวเองเสร็จแล้ว ก็จะรวมตัวกันเดินสายรับจ้างทำนาในละแวกนี้ ที่แกใช้ศัพท์ย่อว่า ม.น. นั่นแหละครับ ชาวบ้านจะเรียกว่า “เหมานา” ปีหนึ่งมีสองครั้ง แต่ที่รายได้ดีที่สุดคือช่วงนาปี เพราะทำนากันทุกแปลง ส่วนนาปรังนั้นจะทำแค่พื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอเท่านั้น สนนราคาสำหรับ ม.น. เริ่มต้นที่ไร่ละ 900-1500 บาท ส่วนแปลงที่พวกลุงๆ เพิ่งปลูกเสร็จสิ้นไปนั้น มีสิบไร่เหมากัน 13000 บาท ช่วยกันสิบคน สองวันก็เสร็จ เฉลี่ยแล้วจะได้ค่าแรงวันละ 650 บาท ข้าวปลาอาหารก็ห่อมาจากบ้าน หากเจ้าของที่นาบางคนใจดีก็จะมีอาหารหรือขนมเลี้ยง หรืออย่างเจ้าของที่นาแปลงนี้ที่มีน้ำขาวติดไม้ติดมือมาฝากเมื่อทำนาเสร็จ คิดๆ แล้วมากกว่าค่าแรงของผมเสียอีกครับ ถ้าหนึ่งเดือนไปรับจ้างทำนาสักยี่สิบวันก็ได้เงินตั้งหมื่นสาม มันมากเอาการอยู่นะครับ
พระอาทิตย์เริ่มล้าแรงแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับมืด ผมช่วยบรรดาคุณลุงทั้งสิบ เก็บจานกับแกล้ม และสัมภาระใส่ตะกร้าเดินเรียงแถวตามกันบนคันนา มุ่งตรงไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดอยู่ริมถนน และถือโอกาสแยกทางกันตรงนั้นเสียเลย ผมวิ่งสลับเดินกลับบ้านเช่า อย่างเชื่องช้า เพราะตอนนี้ดีกรีน้ำขาวมันเริ่มออกอาการเสียแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่ผมคิดระหว่างที่กลับบ้าน คือผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า การที่พนักงานลาพร้อมกันเจ็ดคนนั้น จริงๆ แล้วเขาไปเอามื้อหรือไปมอ...นอ กันแน่ ก็ไอ้ค่าแรงที่ผมจ่าย กับการไป ม.น.นั้นมันต่างกันมากอยู่ละครับ