6 ธันวาคม 2549 21:18 น.
สการะตาหรา
- ดอกโมก -
แสงเรืองรองเป็นริ้วๆสีแดงฉาบทาบท้องฟ้าสีหม่นคล้ายกับฝนกำลังตั้งเค้า ดอกโมกผลิดอกขาวสะพรั่งส่งกลิ่นอวลอบไปทั่วบริเวณ สายน้ำที่ทอดผ่านหน้าท่าน้ำเก่าคร่ำคร่านี้ยังคงไหลเอื่อยราวกับว่ามันไม่เคยอนาทรต่อสิ่งใดๆที่เกิดขึ้น
ฉันทอดสายตาไปยังสวนรกร้างริมฝั่งตรงข้าม... เรือนไม้สองชั้น ที่ระเบียงกว้างขวางประดับไปด้วยรอยฉลุขนมปังขิง ประติมากรรมชั้นยอดที่ผู้สร้างบรรจงวาดลวดลายแห่งความงดงามลงในทุกรายละเอียด
แม้ความงามเหล่านั้นจะทรุดโทรมลงไปตามกฎแห่งกาลเวลา กลายเป็นเพียงซากบ้านผุกร่อน แต่ความงามในหนหลังนั้น ฉันยังคงจารจดไว้ในทุกส่วนของสมอง
แม้กระทั่ง... ทุกส่วนของหัวใจ!
***
ฝนหยุดตกแล้ว แต่น้ำในตาของฉันยังไม่หยุดไหล ภาพของใครบางคนที่คุ้นตายังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
ฉันเห็นร่างของ เขาคนนั้นรางๆผ่านม่านน้ำตาและละอองหมอกหนา... ร่างนั้นหันมาคล้ายส่งกระแสบางอย่างให้ฉันได้สัมผัส
สัมผัสนั้นมิใช่สัมผัสทางกาย
มิใช่สัมผัสอันน่าหวาดหวั่น
มิใช่สัมผัสอันหยาบกระด้าง
สัมผัสนั้น... อ่อนโยน และอบอุ่นที่สุดเท่าที่ฉันเคยจำได้ภายในห้วงแห่งความรู้สึก
***
สายรุ้งทอดโค้งยาวผ่านท้องฟ้าสีครามซึ่งบัดนี้ไม่มีเค้าของเมฆฝนอีกต่อไป แสงอาทิตย์สีแดงระเรื่อดึงดูดสายตาของฉันเอาไว้ น้ำตาที่รินไหลค่อยๆแห้งเหือดไปจากใบหน้า ฉันนึกขึ้นมาได้ว่ามีบางอย่างที่ฉันได้ลืมไป ฉันเหลียวกลับไปมองยังฝั่งตรงข้าม
เขาหายไป แล้วหายไปอย่างไร้วี่แววเช่นเดียวกับที่เขามา...
ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ฉันกลับเข้ามาซุกตัวอยู่ภายใต้ไออุ่นของผ้านวมผืนหนา... กลิ่นไอดินบางๆยังคงโชยรับเข้ามากับเสียงของใบไม้ที่ไหวลู่ตามแรงลม ฉันพยายามข่มตาให้หลับแต่สิ่งที่ยังติดค้างอยู่เมื่อเย็นยังคงไม่คลี่คลาย...
เขาเป็นใครกัน?
ฉันกำลังเฝ้ารออะไรกันแน่?
***
ม่านหมอกที่ทาทับทั่วลำคลองค่อยๆคลี่ออก ต้นโมกริมน้ำที่ผลิดอกพราวสวยงามราวกับสวนสวรรค์ พร่างไปด้วยละอองน้ำค้างยามเช้า...
ริมต้นโมก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีครีมทอดสายตาไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านเบื้องหน้า ไม่นานนักหญิงสาวในชุดลูกไม้สีชมพูนวลตาก็ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง
พี่จักไปราชการไกล ขอมองหน้าเจ้าให้เต็มตาเสียก่อน... เห็นทีว่าไปครานี้ จักต้องไปนาน
หญิงสาวในชุดลูกไม้สีชมพูนวลตาเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม นัยน์ตาหวานซึ้งนั้นปนแววโศกอย่างมิอาจซ่อนเร้น
รีบกลับมานะคะ การรอคอยหาใช่สิ่งน่าพึงใจไม่
ใช่ การรอคอยนั้นมิใช่สิ่งน่าพึงใจเลย... และหาใช่สิ่งที่มีความสุขด้วย
ชายหนุ่มส่งยิ้มนุ่มนวลแต่ฉายแววกังวลอย่างชัดเจน
***
ฉันตื่นขึ้นมาในยามเช้าที่สดใสพร้อมๆกับความฝันที่ยังคงไม่เคยเลือนรางไปจากหัวใจ มันเป็นความฝันซ้ำๆที่เกิดขึ้นทุกคืนตั้งแต่ที่ฉันย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้
บางครั้งฉันก็คิดจะหาคำตอบให้กับความฝันของตัวเอง แต่มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรในการที่จะค้นหา ในเมื่อความฝันนั้นมันช่างแสนหวานถึงเพียงนี้ น่าจะต้องขอบคุณมันมากกว่าที่สร้างแรงบันดาลใจในการรอคอยอะไรบางอย่าง
...บางอย่างที่ฉันไม่รู้เลย...
ฉันมองออกไปที่นอกหน้าต่างผ่านผ้าม่านสีนวลตา นั่นไง... เขากลับมาอีกแล้ว ชายคนที่ฉันเห็นเมื่อวานนี้ ฉันพอจะนึกออกแล้วว่าเขาเป็นใคร แต่ไม่แน่ใจว่าเขาคือคำตอบของบางอย่างที่รอคอยหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร...
สักวันฉันคงจะได้รู้เป็นแน่!
แสงอาทิตย์ยามเช้าฉายผ่านผ้าม่านลูกไม้สีหวานเข้ามากระทบนัยน์ตาจนฉันต้องหลบลำแสงนั้น ด้วยไม่อาจสู้แสงแดดจ้านั้นได้ ฉันหวังไว้ในใจว่าอย่างไรเสีย วันนี้ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร
...เขาหายไปอีกแล้ว หายไปเฉยๆอย่างเมื่อวาน ฉันพยายามกวาดตาดูที่ตลิ่งฝั่งตรงข้าม แต่ก็ไร้วี่แวว แต่อย่างไร้ก็ตาม ฉันค่อนข้างมั่นใจกับสิ่งที่คิด เขาต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการรอคอยของฉัน...
***
เช้าแล้ว แต่ฉันยังคงอยู่บนที่นอน
ภาพของชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มคนนั้นปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว... ปรากฏขึ้นมาในความฝันแสนหวานเมื่อยามรุ่งสาง...
ฉันพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
ชายผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นเดินเข้ามาหาฉัน โน้มตัวลงกระซิบเสียงละมุนที่ข้างหูว่าใกล้ถึงเวลาของเราแล้ว
เรา ฉันทวนคำอย่างเลื่อนลอย... เราอย่างนั้นหรือ ฉันยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่า เรา เคยพบกันตอนไหน
โสตประสาทของฉันปวดแปลบขึ้นมาในทันที คล้ายมีบุคคลล่องหนทิ่มแทงเหล็กแหลมคมเข้าใส่ ภาพต่างๆวิ่งวุ่นอยู่ในหัวสมอง...
ท้องฟ้าที่เริ่มสางเมื่อครู่นี้กลับมืดลงทันใด ลมพัดแรงขึ้นจนฉันต้องรั้งผ้านวมห่อตัวเข้ามา ความหนาวเย็นและความเจ็บปวดนั้นทำให้ฉันนึกถึงความรู้สึกที่ฉันเคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้ ความทรมานที่ฉันเคยได้รับ
ภาพของใครบางคนในชุด,กไม้ขาวสะอาดภายใต้ผ้านวมผืนโตเช่นเดียวกับฉันในยามนี้ ภาพที่เลือนรางนั้นผ่านเข้ามาเสมือนจริงจนฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ
ความรู้สึกที่เดียวดายและว้าเหว่...
ความรู้สึกเย็นเยียบที่แล่นเข้าสู่หัวใจที่ว่างเปล่า...
ความเศร้า ความเหงา...
ความทรมานด้วยการรอคอยอะไรบางอย่างในชีวิต...
***
เสียงลมกู่หวิวเข้ามาเหมือนเสียงใครคนหนึ่งกำลังร่ำร้อง ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความเจ็บปวดนั้น ฉันได้ยินอย่างชัดเจนถึงเสียงกรีดร้องของเธอ
ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม ไม่จริง...ง...ง...
เสียงโหยหวนดังก้องผ่านสายลมมา ดอกโมกสีขาวสะอาดร่วงพราวพัดกรูเข้ามา ภาพความทรงจำอะไรบางอย่างแล่นเข้าสู่สมอง
... ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้... ใช่ ต้องใช่คนเดียวกับในความฝันแน่ๆ
แล้วนั่น ผู้หญิงในชุดดำเดินแบกกระเป๋าใบโตออกมาจากบ้านไม้หลังใหญ่ ต้องเป็นหลังนั้นแน่ๆ... หลังที่ฉันเคยเห็น หลังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น
ต้นโมกริมน้ำกับเรือนสีขาวหลังเล็ก ก็ที่นี่ไง แต่นั่น... ฉัน!
เป็นตัวฉันเองที่ยืนทอดสายตาอยู่ริมน้ำนั้น!
... ความรู้สึกถาโถมเข้ามา ฉันพยายามลำดับความรู้สึกเมื่อครู่ ทำนบน้ำตาล้นเอ่อออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้ สมองของฉันปวดร้าวราวกับจะแตกออกมาเป็นเสียงๆ ลมยังคงพัดกู่เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เสียงใบไม้ที่กระทบปลิวว่อนกระทบกันฟังคล้ายกับเสียงใครที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ
ลมพัดโหมพาเอาดอกโมกกรูเข้ามาล้อมรอบตัวฉันอีกครั้ง มันวนล้อมรุนแรงจนฉันต้องกรีดร้องออกมา ความเจ็บปวดถาโถมขึ้นจนฉันไม่สามารถทนทานต่อไปไหว ฉันล้มลงทุรนทุรายลงบนเตียงท่ามกลางกลิ่นอบอวลของดอกโมกสีขาวสะอาดที่พร่างอยู่รอบตัว...
***
... ลมสงบลงแล้ว...
ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาน้นก็ได้สิ้นสุดลงด้วย ตอนนี้ฉันรู้ถึงคำตอบของทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว... ผู้หญิงคนนั้น... ฉันเอง คือฉันเองที่รอคอย คือฉันเองที่จมอยู่ในความทุกข์ทรมานนั้น
นี่ฉันรอคอยมานานมากจนหลงลืมความทรงจำส่วนนั้นไปแล้วหรือ ความทรงจำในส่วนที่ทำให้ฉันต้องรอคอยอะไรบางอย่างอย่างไร้ไร้จุดหมายมาเนิ่นนาน อะไรบางอย่างทีทำให้ฉันติดอยู่ที่นี่
ใครบางคนที่จากไปไกล ไกลมากจนอาจจะไม่มีวันได้พบกัน ใครบางคนที่ฉันเผ้ารอ รออย่างไม่มีจุดหมาย เฝ้ารอแม้จะรู้ว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร เฝ้ารอจนใครๆในบ้านหลังนั้นคิดว่าฉันบ้า จนพาฉันมาอยู่ที่เรือนหลังนี้
เป็นอย่างไรล่ะ ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้บ้า พวกมันนั่นแหละที่บ้า... บ้าที่คิดว่าเขาจะไม่รักษาสัญญา เขาสัญญาว่าจะกลับมา เขาก็ต้องกลับมาหาฉัน เขาไม่เคยโกหกฉันและไม่มีวันที่จะทำด้วย
เขากลับมาแล้ว อยู่ใต้ร่มไทยฝั่งตรงข้ามนั่นไง จ้องมองมาที่ฉัน
คุณเห็นฉันไหม ฉันอยู่ตรงนี้ไง ใต้ต้นโมกที่คุณบอกรักฉัน...
ต้นโมกที่คุณสัญญาว่าจะกลับมาหาฉัน!
***
คุณคะมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ
หญิงชรานางหนึ่งทักทายชายหนุ่มในชุดขาวที่ชะเง้อชะแง้เมียงมองไปยังท่าน้ำฝั่งตรงข้าม
ยายครับ ยายพอจะรู้จักผู้หญิงชุดขาวที่ยืนอยู่ใต้ต้นโมกริมฝั่งโน้นมั๊ยครับ
หญิงชราทำท่าขนลุก พลางกวาดสายตามองไปยังต้นโมกฝั่งตรงข้าม
คุณคะ ผู้ยงผู้หญิงที่ไหนกัน ยายรับจ้างเฝ้าบ้านให้ตระกูลคุณมา 40 ปีเห็นจะได้ ไม่เห็นมีผู้หญิงซักคน... อย่าพูดไปนะคะคุณ นี่มันก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย
ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ปัญหาที่อยากรู้ยังคงค้างคาใจ
ทำไมล่ะครับ ใกล้ค่ำแล้วทำไม
หญิงชราค้อนให้ชายหนุ่มก่อนจะเริ่มเล่า
ก็บ้านสีขาวหลังนั้นน่ะสิคะ ผีดุนัก ผีคุณย่าน้อย ภรรยาของน้องชายแท้ๆของคุณปู่คุณ คนที่ตายในสงครามนั่นแหละค่ะ โอ๊ย เฮี้ยนเหลือเกิน วันดีคืนดีก็มานั่งรอสามีที่ใต้ต้นโมกนั่นแหละค่ะ
เห็นมั๊ยยังไม่ทันขาดคำอิฉันลมก็พัดวูบแล้ว รีบๆกลับกันเถอะค่ะคุณ
หญิงชรากึ่งวิ่งกึ่งลากชายหนุ่มให้เดินตามไป ในขณะที่เขายังคงติดใจไม่หาย เขาหันกลับมามองหญิงสาวในชุดขาวกับรอยยิ้มเศร้าๆนั้น
ไปสิคะคุณ คุณยิ่งหน้าเหมือนคุณปู่น้อยที่ตายไปอยู่ด้วย อิฉันเคยเห็นรูปท่านตอนสมัยอิฉันยังเล็กๆ ว่าจะทักคุณหลายครั้งแล้วเชียว
***
ฉันอยากจะบอกว่าไม่ใช่แค่เหมือนหรอกแต่เขาใช่คนเดียวกันแน่ๆ เขากลับมาหาฉันตามสัญญาที่เข้าให้ไว้ และคราวนี้ ไม่ว่าอะไรก็พรากเราจากกันไม่ได้อีก ฉันจะทำทุกวิถีทางไม่ว่าอะไรก็ตาม
นั่นไง เสียงนั้นที่ลอยลมมา เสียงที่คุ้นหู มันดังก้องอยู่รอบๆตัวฉัน...
ใช่ การรอคอยนั้นมิสนุกเลย... และหาใช่สิ่งที่มีความสุขด้วย
ใช่! มันทรมานมากและฉันจะไม่ยอมให้เขาจากไปซ้ำสอง!
***
3 ธันวาคม 2549 17:33 น.
สการะตาหรา
ผมรู้ตัวเลย ว่าตั้งแต่วันที่ผมรู้จักกับเธอ ผมก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น... หนึ่งในหลายๆอย่างนั้น อาจจะเป็นคำว่า รัก ด้วยก็ได้มั้ง
***
นี่ๆเธอ เธอว่าวันนี้ผมเรายุ่งไปรึเปล่าอ่ะ
ผมเงยหน้าจากกองสมุดการบ้านหนาเตอะที่อุตส่าห์ขอยืมเพื่อนมาลอก แล้วก็เจอกับเด็กผู้หญิงใส่แว่นตาหนาเตอะ รูปร่างบางๆ แต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางเชยๆคนหนึ่งที่ยืนค้ำโต๊ะของผมอยู่ ผมมองดูผมของเธอที่เธอถามผมถึง... ผมยาว สีดำสนิทเป็นมัน ถูกรวบไว้ที่กลางศีรษะ มีโบว์สีดำแสนจะธรรมดาผูกอยู่ และที่น่าแปลกใจคือปลายผมของเธอเรียบกริบ ไม่มีรอยซอยผมเลยแม้แต่นิดเดียว...
ก็เรียบดีนี่ ไม่เห็นยุ่งเลย ผมตอบเธอไปตามจริง ก่อนจะกลับไปทำการบ้านต่อ
นี่เธอๆ เสียงของเธอคนนั้นดังขี้นอีก พร้อมทั้งนิ้วเล็กๆมาสะกิดอยู่ที่บ่าของผม เธอว่าเราสวยรึเปล่าอ่ะ
ผมเงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้งนึง... เอ่อ... อย่างแรกเลยนะ ผมไม่รู้จักเธอ แล้วผมจะไปมองเห็นความงามอะไรจากเธอล่ะ ส่วน เอ่อ... ครั้งที่ 2 เนี่ย ผมจะตอบเธอยังไงดีล่ะ ที่จริงแล้วผมก็ไม่อยากจะทำร้ายความรู้สึกเธอหรอกนะ แต่ถ้าจะให้ผมโกหก ผมก็คงลำบากใจเหมือนกันแหละ
คือ... เราว่า... เธอก็... ก็... ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรมากหรอกนะ ก็ดูเรียบร้อยดี
หรอ เธอถามผม ดวงตาภายใต้กรอบแว่นของเธอโตขึ้นเล็กน้อย เธอคิดว่าเราไม่ได้น่าเกลียดหรอ แหม... ใจดีจังนะ
พอพูดจบเธอก็เดินจากห้องเรียนไป ทิ้งให้ผมนั่งสงสัยอยู่หน่อยๆว่า... ยายนี่มันบ้ารึเปล่าวะเนี่ย?
***
ถ้าทั้งหมดนี้เป็นชะตาของผม ผมก็คงต้องขอบคุณชะตาที่พาให้ผมมาพบกับเธออีกครั้งนึง ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะยังไม่ขอบคุณชะตามากเท่าวันนี้ก็ตาม
***
ปาๆ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่โทรหาเรา เสียงหวานใส กังวานที่ผมคุ้นเคยดีดังขึ้น ผมเงยหน้าอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเด็กผู้หญิงใส่แว่นตายืนอยู่แล้ว กลายเป็นนางฟ้าแสนสวยในชุดนักเรียนม.ปลายที่ผมคุ้นเคย นางฟ้าแสนสวยคนนั้นวิ่งมาทางผมที่เตรียมจะเข้าแถว เธอส่งยิ้มสดใสมาก่อนตัว และเป้าหมายของนางฟ้าของผมคนนั้นก็คือ เด็กผู้หญิงใส่แว่นตาคนเมื่อเช้านั่นเอง
กลับมาแล้วล่ะเดือน แต่ไม่อยากโทรหา กลัวจะรู้ว่าเราคิดถึง ยายเด็กแว่นตอบคำถามนางฟ้าของผมด้วยเสียงสะบัดแบบน่าหมั่นไส้ เธอยิ้มให้นางฟ้าของผม ก่อนจะตรงเข้าไปกอดกับนางฟ้า จนดูคล้ายกับนางฟ้ากับซาตานมาเจอกันเลย
เราคิดถึงปาจังเลย ไม่เจอกันตั้งปีแน่ะ
อ้อ ชื่อปานั่นเอง ผมคิดในใจ อันที่จริงแล้วนะ ผมว่าหน้าอย่างยายแว่นนี่ควรจะชื่อ ป้า มากกว่า ปา เพราะดูจากหน้าตาของเธอแล้ว ดูเหมือนจะเป็นพี่สาวของแม่ผมได้สบายๆเลย ถ้าบวกกับท่าทางเชยๆ เฉิ่มๆของเธอด้วยแล้วล่ะก็ เผลอๆเธออาจเป็นยายผมได้เลยนะเนี่ย
และแล้วยัยป้า เอ๊ย... ปาก็หันมาเจอผมเข้าพอดี
อ้าว เธอ อยู่ห้องเดียวกับเราด้วยหรอ เราเพิ่งกลับมาจากโครงการแลกเปลี่ยนน่ะ เธอคงไม่รู้จักเรา... เราชื่อปานะ ปาจรีย์ ยินดีรับใช้
ผมพยักหน้าให้รู้ว่า ผมรู้แล้ว
แล้วเธอล่ะ เธอชื่ออะไรหรอ เรานี่แย่จังนะ ลืมถามชื่อเธอไปซะสนิทเลย เธอก็ไม่ยอมบอกชื่อเราเลย สงสัยเธอต้องไม่อยากรู้จักเราแน่ๆเลย หรือว่ายังไง ตกลงเธอไม่อยากรู้จักเราหรอ แต่คงไม่หรอกมั้ง... เอ่อ ตกลงเธอชื่ออะไรนะ?
ยัยป้านั่งรัวคำถามเป็นชุด แต่ก็นะ... ผมไม่อยากจะทำร้ายความรู้สึกของเธอหรอก ถ้าจะไม่บอกชื่อกับเธอ มันอาจจะทำให้เธอคิดมากจนหมดอายุขัยไปเลยก็ได้
เราชื่อกาย
ยินดีทีได้รู้จักนะกาย นายคงเพิ่งมาเรียนที่นี่ตอนม. 4 น่ะสิ เราไม่เคยเห็นหน้านายเลย
เปล่าเราเรียนที่นี่มาตั้งแต่ม. 1 แต่ตอนม.ต้นผลการเรียนเราไม่ค่อยดี
อ้อ ยัยป้านั่นตอบแล้วก็เงียบไป แล้วก็พูดขึ้นมาใหม่ งั้นเราไปเข้าแถวก่อนนะ
ผมมองตามผมยาวๆที่สะบัดตามแรงวิ่งและแรงลมไป พร้อมกับคิดในใจ ไปซะได้ก็ดี
***
สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดชีวิตคือ... นางฟ้า กับ ซาตาน เป็นคู่อริกัน และทั้ง 2 อย่างนี้จะไม่มีวันเข้ากันได้เป็นอันขาด ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงเพราะเธอคนนั้นกับนางฟ้าน่ะอยู่ใกล้กันนิดเดียวเอง เผลอๆ เธอจะใกล้ชิดนางฟ้ามากกว่าคนธรรมดาอย่างผมซะอีก...
***
กาย... ตั้งใจหน่อยสิ นี่มันคะแนนสอบกลางภาคเชียวนะ... พรุ่งนี้ก็จะแสดงแล้วอ่ะ แล้วพวกแกทำอย่างเนี้ย คิดว่ามันจะได้คะแนนถึงครึ่งหรอ... นี่ชั้นไม่ได้พูดเล่นนะเว่ย ลุกขึ้นมาซ้อมละครกันเดี๋ยวนี้!
โอ้ สวรรค์... วันนี้ผมยกให้เธอเป็นทวดเลยเอ้า... ผมไม่นึกเลยว่านางฟ้าที่แสนดีของผมจะรับยัยทวดจอมโหดนี่มาเป็นเพื่อนสนิท และผมก็ไม่เคยรู้เลยว่านางฟ้าแสนสวยและยัยทวดนี่จะเข้ากันได้ดีขนาดนี้เวลาทำงาน
เดือนขอร้องล่ะนะ กาย งานนี้มันสำคัญกับเดือนมากนะ แล้วปาเค้าก็อุตส่าห์อดหลับอดนอนเขียนบทมาให้พวกเรา เขียนบทตามใจกายตั้งมากมาย จนบทจะเสียอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ปานะ ป่านนี้สงสัยคงเขียนบทกันไม่เสร็จหรอก... ลุกขึ้นมาซ้อมละครเถอะนะ นะๆๆๆ
ไหนๆนางฟ้าก็อุตส่าห์ขอร้องผมแล้ว และไหนๆ ยัยทวดก็อุตส่าห์โยนบทคนขับรถของนางเอกมาให้ผมแล้ว ผมยอมซ้อมละครบ้าๆนี่ดูก็ได้ ถึงแม้ผมจะเกลียดการแสดงละครเข้าไส้ก็เถอะ...
เออ ซ้อมก็ซ้อมวุ้ย!
ผมยอมซ้อมละครแบบเต็มที่ เพราะเห็นแก่สายตาอ้อนๆของนางฟ้าที่แสนดีของผม... เอ่อ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้อง 100% ก็คงต้องรวมเสียงกำกับสุดโหด กับสายตาอำมหิตลอดแว่นตาของยัยทวดนั่นด้วยแหละ
ในที่สุดผมก็รอดตายจากการถูกสองสาวที่สวยคนหนึ่ง และไม่สวยคนหนึ่ง กับเพื่อนๆในห้องงับหัวมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยการแสดงที่ยัยทวดนั่นวิจารณ์ไว้ว่า
แกมันมีฝีมือนะกาย แต่ไม่มีใจทำงานเอาซะเล้ย!
แล้วยัยนั่นก็บ่นกะปอดกะแปดต่ออีกนิดว่า
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความสวย สงสัยจะไม่ได้นายมาแสดงนะเนี่ย... เอ แต่สงสัยจะไม่ใช่ความสวยของชั้นหรอก ใช่ป่ะ เดือน
ยัยทวดนั่นรู้เรื่องนางฟ้าของผมได้ยังไงกันเนี่ย???
สงสัยหน้าตาผมมันจะแสดงความสงสัยจนชัดเจนมากจนเกินไปเพราะก่อนจะกลับบ้าน ยัยทวดแว่นนั่นก็เดินมากระซิบกับผมเบาๆว่า
ถ้าเป็นยัยเดือนล่ะก็ ชั้นอยากช่วยแกนะเว่ย!
ผมมองหน้ามันเหมือนจะหยั่งใจซักนิด แล้วก็คิดในใจว่า เอาวะ คนหน้าแก่คงไม่หลอกเด็กหรอก
***
ผมเคยคิดนะว่านางฟ้าคือสิ่งที่สวยงามอยู่สูงส่ง และไม่ควรจะลดตัวลงมาอยู่บนโลกให้ใครเห็นเลย(ที่จริงแล้วก็คือ ผมหวงเธอนั่นแหละครับ) แต่ในวันนั้นทำให้วันนี้ผมได้รับรู้ว่านางฟ้าที่ไม่มีใครเคยเห็นน่ะไม่ใช่นางฟ้าที่อยู่บนฟากฟ้าหรอกครับ... นางฟ้าที่ใครๆก็เห็นและยอมรับต่างหากล่ะที่อยู่บนฟากฟ้า และดูสวยงาม ดูมีความสุขอย่างเต็มที่จริงๆ
***
ผมเริ่มสนิทกับยัยทวดนั่นมากขึ้นทุกวันๆ และแอบซึ้งใจนิดหน่อยที่ยัยนั่นทำตามคำพูดที่บอกผมไว้ คือเธออยากช่วยผมเรื่องเดือน หรือนางฟ้าของผม คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทเธอนั่นแหละ
อย่าแปลกใจกับคำว่า เคย ของผมเลยนะครับ เพราะยัยทวดกับเดือนน่ะ ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาซักพักใหญ่ๆแล้ว และเหตุเกิดน่ะหรอครับ... ผมไม่อยากจะทำร้ายจิตใจของยัยทวดด้วยการพูดเรื่องนี้ซ้ำๆหรอกนะครับ แต่ถึงยังไงเรื่องจริงก็เป็นสิ่งไม่ตายไม่ใช่หรอ?
หลังจากไอ้ละครเวทีบ้าบอที่ยัยทวดนั่งเขียนบทเพื่อคะแนนสอบกลางภาค และอีกนัยหนึ่งคือปั้นนางฟ้าแสนสวยของผมให้เป็นดาวรุ่น ใครก็จดจำนางฟ้าของผมได้ในฐานะนางเอกละครเวทีที่สวย น่ารัก สดใส และมีเสน่ห์...
ผมแอบหึงเล็กน้อยนะ แล้วก็แอบโกรธยัยทวดนั่นด้วย ที่เขียนบทให้นางฟ้าของผมน่ารักซะขนาดนั้น ขนาดผมเป็นนักแสดง ยืนอยู่บนเวทีแท้ๆ ยังแอบมองเธอจนเคลิ้มเลย... ถ้าไม่ติดว่ามองหน้าเธอนานๆแล้วดันมีหน้ายัยทวดโผล่ขึ้นมาแทนนะ สงสัยงานนี้ผมได้ลืมบทแหลกลานแน่ๆ
และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนดังทุกคนก็เกิดขึ้นกับนางฟ้าของผม เธอมีหนุ่มๆเดินตามไม่เว้นแต่ละวัน ทุกวันนี้ใครๆก็อยากเป็นเพื่อนกับเธอ เธอกลายเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะจนแทบจะทำชื่อไม่ได้ เธอกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มคนดัง และก็นั่นแหละ... ที่มาของคำว่า เคย เป็นเพื่อนรักของยัยทวด
แต่ผมไม่เคยโทษเธอนะ เพราะเธอน่ารัก และมันก็ไม่ใช่ความผิดที่ใครๆจะอยากเป็นเพื่อนกับเธอเพราะเธอน่ารัก ยัยทวดเองก็เข้าใจเธอดี เพราะทุกวันนี้ยัยทวดก็ยังคงคุยกับเธออย่างปกติ และก็ยังคงทำหน้าที่แม่สื่อให้กับผมอยู่ด้วย
นี่ ไอ้กาย จะวาเลนไทน์แล้วนะเว่ย แกเตรียมดอกกุหลาบแดง 9,999 ดอกไว้ให้เดือนรึยัง
จริงสินะ ใกล้จะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว ผมนึกในใจ ได้เวลาที่ผมจะบอกรักนางฟ้าของผมแล้ว...
***
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผมก็ยังเชื่ออยู่นะว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม และผมก็ยังเชื่อมั่นในการบอกรักว่ามันเป็นการให้เกียรติ ทั้งกับความรู้สึกของตัวเอง และกับคนที่ถูกรัก แต่วันนี้ผมได้เรียนรู้บางอย่างที่มันมากกว่านั้น ผมเรียนรู้ที่รู้ว่าการที่คนๆนึงไม่ได้รักผมมันไม่ได้แปลว่า ไม่มีใครรักผม...
***
วันนี้เป็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์...
ผมนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ... ยอมรับเลยล่ะว่าผมเหนื่อยจริงๆ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไรนักหนา แต่ผมตอบได้คำเดียวว่าผมเหนื่อยเหลือเกิน สิ่งที่ผมพูดกับนางฟ้าองค์น้อยๆของผมไปนั้นมันสั้นแสนสั้นจนแทบจะไม่เสียพลังงานในการพูด สิ่งที่เธอตอบผมกลับมาต่างหากที่ยาวเหยียดเป็นกิโลเมตร ทั้งๆที่ความหมายของมันช่างสั้นและรวบรัด เมื่อพูดจริงๆแล้วมันก็คือคำๆเดียว คำว่า ไม่
ผมเหนื่อยจริงๆนะ และถ้ามันไม่เป็นการขอร้องมากเกินไปล่ะก็ ผมขอนอนอยู่อย่างนี้ซักวันโดยไม่มีคนรบกวนเถอะนะ
กริ๊งงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
สงสัยผมคงจะขอมากเกินไปจริงๆ...
- นี่ กาย แกมัวทำอะไรอยู่ห๊า นี่มันจะเข้าแถวอยู่แล้วนะ แล้วถ้าแกขาดเรียนวันนี้ล่ะก็ แกจะหมดสิทธิ์สอบนะเว่ย
เอ็งมายุ่งอะไรกับชีวิตข้านักหนาวะไอ้ปา? รำคาญว่ะ ผมกรอกเสียงอู้อี้ลงไปในโทรศัพท์ด้วยอารมณ์หงุดหงิด บวกกับความเหนื่อย
- ชั้นก็ไม่ได้อยากยุ่งกับแกหรอกนะเว่ย แต่ชั้นเห็นว่าเรามันเป็นเพื่อนกัน แล้วชั้นก็ไม่อยากให้แกเรียนซ้ำชั้น ชั้นถึงได้โทรมาหาแก นี่ถ้าไม่ได้รักกันจริงเนี่ย ชั้นไม่โทรมาให้เปลืองค่าโทรศัพท์หรอกนะยะ
ผมถอนหายใจแรงๆ เออ เดี๋ยวจะไปโรงเรียนเดี๋ยวเนี้ย
- อ้อ อีกอย่างนะ นางฟ้าของแกยังรับดอกไม้ไม่ครบเลย ถ้าวันนี้แกไม่มาโรงเรียนล่ะก็ นางฟ้าของแกโดนเทวดาอุ้มไปรับประทานแน่ๆเลย อิอิอิ
ไอ้ปาวางสายไป พร้อมกับความคิดของผมที่แล่นขึ้นมาว่า เอาวะ ถึงฟ้าจะไม่เมตตาให้กูพักผ่อน กูก็ขอขัดบัญชาฟ้าซักวันนึงเถอะ!
***
ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในวันนั้นว่า การที่เราเอาสิ่งหนึ่งออกจากสายตา มันก็ทำให้โลกทัศน์ของเรากว้างขึ้นได้ นางฟ้าองค์น้อยที่แสนน่ารักองค์นั้นนั่นเอง (โดยร่วมมือกับเธอด้วย) ที่ช่วยสอนให้ผมเปิดตาและมองไปรอบๆ เริ่มนึกถึงคนอื่น และเรียนรู้จะก้าวเดินต่อไป ถึงแม้จะผิดหวังแค่ไหนก็ตาม
***
ไอ้กาย มึงเลิกทำหน้าเป็นตูดได้มั๊ยวะ กูรำคาญ!
ผมรับรองกับท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านได้ครับ ว่านี่ไม่ใช่คำพูดของเธอ หรือนางฟ้าของผม หรือของผู้หญิงคนไหนในโรงเรียนของผมแน่นอน แต่มันเป็นเสียงของเพื่อนสนิทที่ผมไว้ใจที่สุดเองแหละครับ มันคงสมเพชผมใจแทบขาดที่บ้าบิ่นไปบอกรักผู้หญิงที่ดังที่สุดในโรงเรียนแล้วคิดว่าตัวเองจะสมหวัง
ผมหันไปมองยัยทวด คิดว่ามันคงสมน้ำหน้าผมอยู่ไม่มากก็น้อยล่ะ เพราะตั้งแต่เช้าวันนี้มันก็ยังไม่พูดกับผมเลย... เอ หรือมันจะโกรธผมนะที่ไม่ยอมมาโรงเรียนตามที่มันบอก เอาเป็นว่ารอให้ปลอดคนก่อน ผมจะไปทักมันซะหน่อยแล้วกัน
เฮ้ย ไอ้ปา ทำอะไรอยู่วะ หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว
ไอ้ปาไม่เงยหน้ามาคุยกับผม แต่ยกมือขึ้นเป็นทำนองว่า อย่าเพิ่งพูด
ผมรอจนไอ้ปามันมีทีท่าว่าจะอยากพูดกับผมขึ้นผมถึงถามมันอีกที แกทำอะไรอยู่อ่ะไอ้ปา
ไอ้ปาชูสมุดของมันให้ผมดู
เนี่ยบทละครงานประจำปี เดือนมาขอให้ชั้นเขียนให้ ไอ้ปาตอบ ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อพูดประโยคหลังว่า นางฟ้าของแกจะได้แสดงเป็นนางเอกอีกแล้วนะ
ผมนั่งลงข้างๆไอ้ปา และเริ่มพูดกับมัน
ไอ้ปา ข้าบอกรักเดือนไปแล้วแหละ แต่เค้าปฏิเสธข้า ผมต้องกล้ำกลืนอะไรซักอย่างที่มันวิ่งมาจุกอกและอาจจะปะทุออกในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง... แต่แล้วมันก็ปะทุออกมาจนได้
ข้าไม่เข้าใจเลยว่ะ ข้ารักเดือนนะเว่ย ทำไมเค้าไม่รักข้าบ้างวะ เค้ามองข้าเหมือนเป็นเศษฝุ่น ไม่สำคัญสำหรับเค้าเลยซักกะนิดเดียว ตอนนี้เพื่อนๆในกลุ่มเค้าก็ไม่มองหน้าข้า เค้าเกลียดข้าแล้วอ่ะ ไอ้ปา!!!
ไอ้ปาเงียบ... ผมก็เงียบ...
ในที่สุดไอ้ปาก็พูดขึ้นมาว่า ชั้นขอโทษนะแก ที่เป็นแม่สื่อที่ไม่ดีพอ แล้วมันก็เดินจากไป
ผมไม่ได้ตามมันไปและไม่รู้ว่ามันไปไหนตลอดบ่ายวันนั้น รู้เพียงแต่คำพูดจากเพื่อนรักของผมที่แอบมากระซิบข้างๆหูผมว่า ไอ้ปาเพื่อนแกอ่ะ มันเพิ่งเลิกกับแฟน สงสัยแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำว่ะ... แกน่าจะเห็นยัยนั่นเมื่อวาน ตอนที่แกไม่มาโรงเรียนน่ะ ตาบวมฉึ่งเลย คงจะร้องไห้หนัก
ผมฟังผ่านๆ และนึกในใจว่า อ้อ ยัยทวดนั่น... มีแฟนด้วยหรอเนี่ย?!?
***
ผมเคยมีความคิดว่า ผู้หญิงที่ไม่สวย เป็นสิ่งที่รกโลก เพราะเกิดมาแล้วก็คงไม่ได้ทำหน้าที่ของผู้หญิงที่สมบูรณ์... คือ ผมไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกใครหรอกนะ แต่ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งแรกที่ผมมองเห็นในผู้หญิงที่ผมจะชอบ ก็คือหน้าตาน่ารักๆ... ผิวใสๆ... ตาหวานๆ... แล้วก็รอยยิ้มที่อ่อนหวาน เหมือนกับนางฟ้าของผมคนนั้นไง และนี่ก็คงจะเป็นความคิดของผู้ชายทั้งโลกนั่นแหละ แต่เธอ (ร่วมกับนางฟ้าของผม) ก็สอนให้ผมรู้จักอะไรที่มันมากกว่านั้น
***
ผมเกือบจะลืมเรื่องที่นางฟ้าปฏิเสธผมไปซะแล้ว เนื่องจากว่าเพื่อนรักของผมและไอ้ปาช่างเป็นกำลังใจที่ดีของผมจริงๆ พวกมันช่วยกันให้กำลังใจผมและบอกให้ผมลองพยายามดูอีกซักยก พยายามเข้าใกล้หัวใจของนางฟ้าให้มากกว่านี้ แล้วค่อยบอกรักเธออีกซักครั้ง
ผมทำตามคำแนะนำของมันสองคนอย่างเคร่งครัด และนางฟ้าของผมก็ดูเหมือนจะกลับมาพูดกับผมบ้าง ถึงจะไม่มากเท่าแต่ก่อน แต่แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้วสำหรับผม... ไอ้ปาดูจะรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองในครั้งแรกดี มันก็เลยพยายามตีสนิทนางฟ้ามากขึ้น และยิ่งไอ้ปาสนิทกับนางฟ้ามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนนางฟ้าจะดีกับผมมากขึ้นเท่านั้น
จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ผมตั้งใจว่าจะบอกรักเธอเป็นครั้งที่ 2... วันนี้ผมสืบมาจากไอ้ปาแล้วว่านางฟ้าของผมนัดกับไอ้ปาไว้ว่าจะหลบผู้คนขึ้นไปซ้อมบทบนตึกตอน 5 โมงเย็น แล้วจะลงจากตึกตอนทุ่มนึงเพื่อจะไปซ้อมใหญ่กับกลุ่มนักแสดง และตอนที่นางฟ้าลงมาจากตึกนั่นแหละที่ไอ้ปาจะหลบไป และเปิดโอกาสให้ผมได้พูดคุยกับนางฟ้าของผมตามลำพัง
ผมยืนรอนางฟ้าอยู่ด้วยใจที่กระวนกระวาย ถึงแม้มันจะไม่กังวลเท่าครั้งแรกที่ผมบอกรักเธอ แต่ผมก็บอกได้เลยว่ามันตื่นเต้นมากๆ มือของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆได้เลยจนกระทั่งเสียงฝีเท้าและเสียงคนคุยกันดังขึ้น
เดือนว่าเดือนอ้วนไปนะปา... เดือนกลัวว่าคนดูจะคิดว่าเดือนไม่สวย เสียงเป็นกังวลของนางฟ้าดังขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงปลอบใจของไอ้ปา
ไม่หรอกน่าเดือน เดือนสวยจะตาย แถมยังแสดงเก่งด้วย
ปาอย่ามาแกล้งชมเดือนเลย เดือนรู้น่าว่าเดือนอ้วน อ้วนมากๆเลยด้วย เสียงของนางฟ้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเสียงของไอ้ปาก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
ถึงเดือนจะอ้วนนะ แต่ก็มีคนๆนึงแหละที่พร้อมจะเห็นว่าเดือนสวยเสมอไม่ว่าเดือนจะเป็นยังไงก็ตาม
เสียงฝีเท้าของทั้งสองคนหยุดลง พร้อมกับเสียงของนางฟ้าที่ดังขึ้น
ถ้าปาหมายถึงกายล่ะก็ เดือนอยากให้ปารู้ไว้นะ ว่าเดือนเบื่อกับการที่ปามาคอยทำตัวเป็นแม่สื่อให้กายกับเดือนเต็มทนแล้ว เดือนเบื่อกับชื่อผู้ชายคนนั้น แล้วถ้าปายังไม่เลิกพูดถึงกาย หรือพยายามให้เดือนชอบกายนะ เดือนจะไม่เห็นแก่ความดีที่ปาช่วยเขียนบทให้เดือนเป็นนางเอกเลย เข้าใจมั๊ย แล้วเดือนก็จะไม่ยอมคบปาเป็นเพื่อนด้วย ปาเข้าใจรึเปล่า
ไม่มีเสียงตอบรับจากไอ้ปา ผมไม่รู้ว่ามันตอบว่าอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้ผมทนยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกแล้ว และผมจะไม่เชื่อในตัวไอ้ปาอีกแล้ว... ผมรู้แล้วว่ามันไม่ได้ดีอย่างที่ผมคิดหรอก
ผมหลบมุมไปนั่งในที่ๆผมคิดแล้วว่าคงไม่มีคนหาเจอ แต่แล้วผมก็คิดผิด เมื่อไอ้ปาหย่อนก้นลงนั่งข้างๆผม พร้อมกับยื่นแก้วน้ำดื่มมาให้
ชั้นรู้หรอกนะว่าแกได้ยินที่เดือนพูดกับชั้นที่บันได มันเริ่มพูด แต่ผมไม่ตอบ... ผมยังไม่อยากพูดกับมัน
แกรู้รึเปล่าว่าทำไมเดือนถึงได้เป็นนางเอกละครเรื่องนี้ แล้วทำไมแก้วถึงได้เป็นนางรอง ทั้งๆที่มัน 2 คนน่ะ ไม่ได้เหมาะกับบทนี้เล้ย... ไอ้ปาทำเสียงสูงนิดอย่างรำคาญใจ
ผมหันมามองหน้ามันแล้วก็พบว่ามันคงจะรำคาญ 2 คนที่มันพูดถึงจริงๆ แต่ในสายตาของมันก็มีกระแสบางอย่างที่แสดงถึงความสุข
ที่เดือนได้เป็นนางเอกก็เพราะชั้นตั้งใจว่าจะให้คนที่แกรักเป็นคนที่สวยที่สุดในคืนนี้ เป็นผู้หญิงที่ใครๆก็จะต้องพูดถึง แล้วอีกอย่างนะ เดือนก็เคยเป็นเพื่อนสนิทชั้น ถึงแม้ว่าทำอย่างนี้แล้ว เดือนจะยิ่งห่างชั้นไป แต่ชั้นก็ดีใจที่ทำแล้วเดือนจะมีความสุข ได้อยู่ในสังคมที่เค้าชอบ ไอ้ปาหยุดพูด หยิบน้ำขึ้นมาจิบก่อนจะเล่าต่อ ส่วนยัยแก้วน่ะ เป็นแฟนใหม่ของแฟนเก่าชั้นเองแหละ ท่าทางเค้าคงจะรักยัยนั่นมาก ชั้นก็เลยอยากให้เค้าเห็นยัยนั่นได้เป็นดาวเด่นของคืน... แล้วอีกอย่างนึงนะ ชั้นอยากให้เค้ารู้สึกว่าชั้นจะไม่เป็นศัตรูกับเค้าเพราะเราเลิกกันหรอก แต่ชั้นจะส่งเสริมเค้าในทุกๆทาง และจะส่งเสริมคนที่เค้ารักด้วย
แล้วเอ็งมาเล่าให้ข้าฟังทำไมวะ
ก็... ชั้นอยากเล่าให้แกฟังไงว่า ไม่ได้มีแกคนเดียวที่อกหัก ที่ไม่มีแฟน... ชั้นเองก็เหมือนกัน ชั้นโดนเดือนทิ้ง ชั้นโดนแฟนทิ้ง แต่ชั้นก็อยู่ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย อยู่แบบสบายๆด้วย แล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
แล้วเอ็งไม่เสียใจหรอที่ต้องทำให้เดือนห่างเอ็ง แล้วก็ทำให้แฟนใหม่ของแฟนเก่าเอ็งเด่นกว่าน่ะ
ไม่หรอกแก ชั้นดีใจที่เห็นพวกเค้ามีความสุข ถึงชั้นจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขของพวกเค้า แต่ชั้นก็ยินดีนะ ที่ได้เป็นส่วนนีงที่ทำให้เค้ามีความสุข ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงชั้นต้อง... ต้องห่างพวกเค้ามากขึ้น
ไอ้ปาถอดแว่นตาออก... ผมเห็นว่าบนหน้ามันมีคราบน้ำตาไหลอยู่เป็นสาย
... น่าแปลกที่คนอย่างผม ซึ่งเคยมองว่าไอ้ปาเป็นแค่ยัยจอมเฉิ่ม จอมเชย จะกลับมองว่ามันเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนนึงขึ้นมาได้...
ผมยอมรับเลยว่าผมลืมรอยยิ้มแสนสวยของนางฟ้าไปซะสนิท วินาทีนั้นผมมองเห็นแค่น้ำตาที่มีค่าของผู้หญิงคนนึงที่แสนดีกับผมมาตลอด แล้วผมก็คิดในใจอีกครั้ง
ผมจะรักมันได้ไหมหว่า?
อืม... ผมตัดสินใจซะเดี๋ยวนี้เลยน่าจะดีกว่านะ และถ้าคำนี้จะเป็นคำที่ซ้ำซาก ผมก็จะขอคิดในใจอีกซักครั้งนึง
ขอบคุณนะครับนางฟ้า ที่ไม่รักผมซะก่อน
27 ธันวาคม 2547 17:40 น.
สการะตาหรา
"เราเป็นนักเรียนโรงเรียน... โรงเรียนที่อดีตเป็นวังเก่าแก่ รัชกาลที่ 5 เป็นผู้พระราชทานนาม แต่นักเรียนกลับทำตัวเหลวแหลก เข้าแถวไม่ตรงเวลา ไม่มีระเบียบวินัย" ท่านอาจารย์ผู้มีหน้าที่กล่าวสุนทรพจน์หน้าแถวก่อนเข้าเรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ทุกคำมีอัขระชัดเจน " นักเรียนบางคนยังไม่เข้าโรงเรียนก็มี ยังเล่นเกมอยู่ นักเรียนบางคนเข้ามาแล้วแต่แต่งตัวดูไม่ได้ รุ่นพี่ก็ใช่ว่าจะดีกว่ารุ่นน้อง..."
คำพูดทุกคำนั้นอาจเข้าหูซ้ายของใครบางคน หรืออาจเข้าหูขวา สุดจะรู้ แต่ที่แน่ๆทุกคำพูดนั้นจะทะลุออกทางหูด้านตรงกันข้ามของผู้ฟังโดยไม่ต้องสงสัย หรือแม้แต่คนที่พูดเองนั้นก็คงไม่สงสัยเช่นเดียวกัน
ทุกคำพูดเหล่านี้ยังคงเข้าหูข้างซ้ายแล้วทะลุหูข้างขวา หรือเข้าหูข้างขวาแล้วทะลุออกทางข้างซ้ายอยู่เป็นประจำ เหมือนเป็นอะไรซักอย่างที่เป็นแบบแผนที่จะต้องทำกันทุกปี... ทุกเดือน... ทุกอาทิตย์ แม้กระทั่ง... ทุกวัน
... แล้วทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ...
"นักเรียนโรงเรียนของเราถ้าเปรียบเทียบกับโรงเรียน... ที่อยู่ด้านตรงข้ามก็ถือว่าเหนือกว่ากันเยอะ เราโรงเรียนวัง ส่วนพวกนั้นโรงเรียนวัด... นี่เอาไปเอามาก็โรงเรียนวัดเหมือนกันนั่นล่ะ"
...พูดไปแล้วได้อะไร ใครวัง ใครวัด สรุปแล้ววัดเหมือนกัน แล้วอะไรคือประโยชน์?...
"นักเรียนหญิงก็ต้องไปซอยผม นักเรียนชายกลัวน้อยหน้าต้องไว้ผมยาวมั่ง กลัวไม่เหมือนนักเรียนหญิง... เปิดเทอมมาทีแถวนักเรียนหญิงนี่ม่านไทรย้อยกันเป็นแถว อีกไม่นานนักเรียนชายก็คงเป็นแบบนั้นบ้าง"
"วันก่อนครูไปเจอนักเรียนชายกลุ่มนึงใส่เครื่องแบบหลุดลุ่ย ดูไม่ได้ ไม่รู้คนอื่นเค้าจะว่ายังไง"
"ทำไมพวกเธอไม่สำนึกบ้างว่าพวกเธอเป็นเด็กวังนะไม่ใช่เด็กวัด"
"ทำไมพวกเธอไม่หัดดูตัวอย่างคนที่เค้าทำประโยชน์บ้าง ดูสิ ดูเวลาเค้าไปตอบปัญหากับโรงเรียนอื่น เค้าไปประกวดทำกิจกรรม แต่งตัวเรียบร้อย ผู้คนชมเชยมาถึงโรงเรียน"
"นักเรียนที่ทำความดีคือพวกที่มีหัวคิด... สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน ส่วนพวกเธอทั้งหลายที่ทำตัวไม่ได้เรื่องไม่เอาถ่านเนี่ย... คือพวกเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ครูบาอาจารย์ที่ชาวบ้านเค้าว่าสอนนักเรียนไม่เป็น ทำให้พวกเธอดีไม่ได้"
อะไรที่จำเจแบบนี้ยังคงเหมือนเดิม และจะดำเนินต่อไป... ฉันรู้ และฉันเข้าใจ ถึงแม้จะไม่แจ่มแจ้ง แต่ฉันก็เข้าใจ ส่วนจะเข้าใจว่าอะไรนั้น... ฮึ ไม่ตรงกับที่คนพูดอยากให้ฉันเข้าใจหรอกกระมัง
"ถ้าเธอไม่ได้ใส่เครื่องแบบโรงเรียนครูจะไม่ว่าอะไรเธอซักคำ แต่นี่เธอใส่ชุดนักเรียน มีตราโรงเรียนปักอยู่ที่หน้าอก เธอแบกเกียรติยศของโรงเรียนเอาไว้... แต่นี่พวกเธอไม่เคยสำนึกเลย คิดว่าตัวเองก็แค่ตัวเอง ทำอะไรไม่เคยคิดถึงคนอื่น ไม่เคยคิดว่าโรงเรียนจะเสียหายยังไง ไม่คิดว่าคนอื่นเค้าไม่ได้ด่าเธอ แต่เค้าด่าครูนี่... ครูที่พร่ำสอนเธอมาด้วยความเหนื่อยยาก ครูที่เธอไม่เคยฟัง ไม่เคยใส่ใจนี่..."