24 ตุลาคม 2553 12:44 น.
ส.ธนาศิษฏ์
คำทำนายของแม่เฒ่า วานก้า ผู้ถูกขนานนามว่า นอสตราดามุสแห่งบัลแกเรีย
วานก้า หรือชื่อจริงคุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า เป็นชาวบัลแกเรีย ซึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดเมื่อ 31 มกราคม 1911 ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย
คำทำนายครั้งแรกของคุณยาย มีขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี คือการบอกถึงสถานที่ที่แพะของพ่อที่ถูกลักไป ถูกนำไปซ่อน คุณยายบอกว่า ท่านเห็นสิ่งนี้ในฝัน
ตัวอย่าง การทำนายของคุณยายวานก้าที่ว่าแม่นๆนั้น ก็อย่างเช่นเรื่องเรือดำน้ำคูร์สค์ ของรัสเซียที่ระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ที่คุณยายทำนายไว้ตั้งแต่ปี 1980 คุณยายทำนายเรื่องนี้ว่า ในปี 1999 หรือ 2000 คูร์สค์ จะจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนทั้งโลกจะเศร้าใจกับมัน แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะเมืองคูร์สค์ อยู่ไกลจากทะเล หรือแม่น้ำ และไม่มีใครฉุกคิดว่าคุณยายทำนายถึงเรื่องดำน้ำคูร์สค์
นอกจากนั้น คุณยายวานก้า ก็ยังทำนายตั้งแต่ปี 1979 ถึงการที่สหภาพโซเวียต จะกลับคืนมาเป็นรัสเซียเหมือนเดิม เรื่องที่สหรัฐถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี ในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ตั้งแต่ปี 1989 เรื่องการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกอร์บาชอฟกับเรแกน การเข้ามาอยู่ในกลุ่ม จี 8 ของรัสเซีย การกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งของรัสเซีย การขึ้นมายิ่งใหญ่ของคนชื่อ วลาดิมีร์ และเรื่องวันตายของคุณยายเอง
คุณยายตายเมื่อ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ตรงตามที่ทำนายเอาไว้ทั้งวันที่ และเวลา
คำทำนายถึงโลกในอนาคต
2008 ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี
2016 ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์
2033 น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู
2088 เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
2164 สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
2167 เกิดศาสนาใหม่
2183 อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน
2196 ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
2262 วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
2279 พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
2302 เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 พบความลับของดวงจันทร์
2354 เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 สงครามบนดาวอังคาร
3010 ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว
คำทำนายของนอสตราดามุสกับอนาคตของโลก
คำทำนายของนอสตราดามุสจำนวน 265 บท บรรยายถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก เป็นมหาสงครามที่ยังไม่ได้ทำการสู้รบกันในขณะนี้ การขัดแย้งกันครั้งนี้ประเทศที่จะมีส่วนในการสู้รบ จะมีประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา จะมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ อาวุธแบคทีเรียและไอพิษสังหารประชากรทีละประเทศ ๆ อำนาจการทำลายล้างครั้งนี้จะมีผลกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใด ๆ เท่าที่โลกเคยประสบมา สงครามจะเริ่มก่อตัวอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังอยู่ในบรรยากาศแห่งสันติภาพ ในชั้นแรกจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในสหภาพโซเวียต ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตถูกเปลี่ยนมาเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย นอสตราดามุสพยากรณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในของสหภาพโซเวียตจะมีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของประเทศนี้ และจะนำไปสู่การฟื้นฟูมิตรภาพระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในที่สุด นอสตราดามุสเรียกชาติมหาอำนาจทั้งสองนี้เป็นปริศนาว่า สองพี่น้องแห่งภาคเหนือไกล จะคมนาคมติดต่อกันทางมหาสมุทรอาร์ติก บรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศที่มีทีท่าว่าจะสดใสนั้นจะกลับกลายไปในทางไม่ดีในทันที เพราะการเป็นพันธมิตรกันระหว่างสองอภิมหาอำนาจดังกล่าว จะมีผลกระทบกระเทือนต่อดุลอำนาจของโลกมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ สองอภิมหาอำนาจจะรวมแสนยานุภาพของตนเข้ากับแสนยานุภาพของฝ่ายยุโรปตะวันตก หลังจากนั้นไม่นานชาติต่างๆในตะวันออกไกลและตะวันออกกลางก็จะตอบโต้ด้วยการรวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมทำสงครามกับฝ่ายตะวันตก โดยฝ่ายตะวันออกไกลและฝ่ายตะวันออกกลางได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธแบคทีเรีย และอาวุธเคมีจากประเทศจีน ข้อบ่งชี้ที่อยู่ในคำทำนายของนอสตราดามุส ได้แก่ ประเทศคู่สงครามทั้งฝ่ายตะวันตกและฝ่ายตะวันออก นอกจากจะใช้อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธแบคทีเรียทำลายล้างกันอย่างกว้างขวางแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังจะรุกและตั้งรับกันโดยใช้ยุทธวิธีปกติ กล่าวคือ ใช้กำลังรบทั้งทางบกและทางเรือกันอย่างกว้างขวางพร้อมๆ กันไปด้วย ตามปกติมักจะคิดกันว่ามหาสงครามครั้งต่อไปจะเริ่มด้วยการกดปุ่มของทหารที่ซ่อนอยู่ในอุโมงค์ลึกใต้ดินและสงครามจะยุติลงในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โดยอาวุธนิวเคลียร์จะทำลายล้างอารยธรรมทั่วทั้งตะวันตกและตะวันออกเสียสิ้น แต่นักยุทธวิธีทางการทหารหาได้ยอมรับแนวความคิดเช่นนี้อีกต่อไปไม่ ในบรรดายุทธวิธีที่เป็นไปได้ว่าจะถูกนำมาใช้ในการสู้รบในสงครามโลกครั้งต่อไปนั้น ถึงแม้ว่านอสตราดามุสจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะซ่อนลำดับคำพยากรณ์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 เอาไว้ในระหว่างคำพยากรณ์อื่น ๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่า แต่จากผลของการวิจัยและค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนนี่เอง ทำให้เราสามารถค้นหาคำโคลงพยากรณ์ทั้งหลายที่เกี่ยวกับสงครามครั้งนี้จนพบ เมื่ออ่านคำพยากรณ์นี้แล้วผู้อ่านก็คงจะเกิดความรู้สึกว่า แม้แต่นอสตราดามุสเองก็เกิดความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวง ในสถานการณ์ของมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ ถึงแม้ว่าการสังหารและการสู้รบกันอย่างนองเลือดส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในดินแดนยุโรป แต่ส่วนอื่นๆ ของโลกก็หาได้รอดพ้นจากความหฤโหดของสงครามมหาประลัยนี้ไม่ อย่างไรก็ดีพวกเรายอมรับว่า จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียฝ่ายหนึ่งกับจีนแดงและกลุ่มประเทศตะวันออกไกลและตะวันออกกลางอีกฝ่ายหนึ่งนี้ เมื่อวิเคราะห์คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสในส่วนที่เกี่ยวกับสงครามครั้งใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พอที่จะแบ่งคำพยากรณ์ออกเป็น หลายช่วงหลายตอน ซึ่งแต่ตอนได้บรรยายดังต่อไปนี้
- ในช่วงแรกของสงคราม อิสราเอลจะเป็นประเทศแรกที่ตกเป็นเหยื่อของแผนพิชิตตะวันออกกลางของเหล่าประเทศอาหรับ ซึ่งฝ่ายอาหรับไม่เพียงแต่มีแผนที่จะพิชิตตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ก็ยังมีแผนที่จะพิชิตทุกประเทศในทวีปยุโรปอีกต่อไปด้วย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ประเทศกรีซกับประเทศตุรกีก็เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนถึงกับใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน กรีซเป็นฝ่ายแพ้สงครามและได้เปิดการเจรจาสันติภาพที่นครเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่การเจรจากันครั้งนี้ต้องประสบกับความล้มเหลว
- สงครามช่วงที่ สอง อุบัติขึ้นทางด้านตะวันออกไกล เมื่อจีนใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีฝ่ายตะวันตกอย่างฉับพลัน และยิงระเบิดแบคทีเรียชนิดร้ายแรงไปที่รัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปตามกระแสลมและกระแสน้ำครอบคลุมถึงประเทศต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรของฝ่ายประเทศตะวันตก หลังจากนั้นจีนก็จะใช้กำลังทหารบุกทางภาคใต้ของรัสเซีย ส่วนฝ่ายกลุ่มประเทศอาหรับ ก็ไม่ต้องการน้อยหน้ามหาอำนาจทางตะวันออกไกลคือจีน ก็จะดำเนินแผนการรบของตนบ้าง โดยเคลื่อนกำลังไปทางประเทศตะวันตก ทำการโจมตีชาติต่างๆ ที่อยู่ในเขตอิทธิพลของตน ในที่สุดกรุงโรมประเทศอิตาลีก็จะถูกทำลายอย่างย่อยยับ และจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศอิตาลี กองกำลังของฝ่ายอาหรับได้เคลื่อนตัวมุ่งสู่พรมแดนของฝรั่งเศส เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสกระโจนเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งนี้เพราะสถานการณ์บีบบังคับ สงคราม
- ในช่วงที่ สาม เริ่มขึ้นเมื่อกองทัพฝรั่งเศสเข้าไปตั้งรับฝ่ายอาหรับที่พรมแดนอิตาลี แล้วต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ในขณะที่กองทัพฝรั่งเศสกำลังรวมพลหลังการแพ้สงครามอยู่นั้น ทางด้านประเทศอังกฤษก็จะเกิดอุทกภัยอย่างร้ายแรงทั่วประเทศ เมื่อหันไปดูอิตาลีสถานการณ์กลับเลวร้ายยิ่งขึ้น องค์สันตะปาปาจะถูกบังคับให้เสด็จหนีไปยังดินแดนแห่งใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆกับที่เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งประเทศโมนาโกถูกจับกุมตัว และเมืองเวนิชในประเทศอิตาลีถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์
- ในระหว่างช่วงที่ สี่ ของสงคราม ประเทศโมนาโกจะถูกถล่มจนราบคาบ กองทัพจีนจะบุกเข้าโจมตีฝรั่งเศส กองกำลังร่วมระหว่างจีนกับอาหรับจะยกทัพเข้าโจมตีประเทศสเปน และระดมทิ้งระเบิดจนทั่วยุโรป ฝ่ายพันธมิตรตะวันตกจะปราชัยอย่างราบคาบ เมื่อสูญเสียประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และที่มั่นสุดท้ายคือเมืองบลูเจสในประเทศเบลเยี่ยม และทั่วทั้งยุโรปก็จะตกอยู่ในความยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันออกอยู่เป็นเวลานาน
- จนกระทั่งถึงช่วงที่ ห้า ของสงครามโลกครั้งที่ 3 กระแสของสงครามจะเปลี่ยนไป โดยสหรัฐอเมริกาและรัสเซียจะเป็นฝ่ายรุกบ้าง แต่กว่าจะถึงช่วงนี้ฝ่ายพันธมิตรตะวันออกจะเคลื่อนกำลังเข้าไปในละตินอเมริกาเรียบร้อยแล้ว
- ถึงแม้ว่านอสตราดามุสจะไม่ได้พยากรณ์ไว้อย่างแน่นอนว่าเมื่อใดสงครามในตะวันออกไกลจะยุติลง แต่เขาได้กล่าวไว้ว่าสงครามในแถบนั้นจะยุติลงเมื่อสองอภิมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกาและรัสเซียเริ่มใช้อาวุธเชื้อโรคกับชาวจีน และบุกโจมตีเข้าไปในดินแดนประเทศนี้ เมื่อฝ่ายพันธมิตรตะวันตกสามารถรวมกำลังพลและกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์มาทุ่มอยู่ทางด้านสมรภูมิทางยุโรป ก็จะสามารถช่วงชิงยุโรปคืนมาได้ในเวลาไม่นานนัก จะมีการใช้กองกำลังเรือดำน้ำเข้าโจมตีรวมทั้งใช้อาวุธเชื้อโรคและอาวุธนิวเคลียร์สนับสนุน กับจะมีการยุทธ์ทางเรือครั้งยิ่งใหญ่นอกฝั่งตะวันตกของประเทศสเปน และในที่สุดฝ่ายพันธมิตรตะวันตกก็จะสามารถช่วงชิงยุโรปกลับคืนมาได้ทั้งหมด เมื่อสงครามยุติลง องค์พระสันตะปาปาประมุขศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็จะเสด็จกลับนครวาติกันดังเดิม แต่เมื่อถึงขณะนั้นนครวาติกันจะถูกฝ่ายตะวันออกทำลายจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังเป็นอนุสรณ์เท่านั้น เมื่อพิจารณาในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว จะเห็นว่ามีประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ประเด็นหนึ่ง คือที่นอสตราดามุสพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2043 ว่ากลุ่มประเทศตะวันออกกลางจะมีบทบาทสำคัญในการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่ 3
ภัยพิบัติจากเชื้อโรคและการจากไปของเจ้าหญิง
คำพยากรณ์เซ็นจูรี่ เล่มที่ 4 : ภัยพิบัติจากเชื้อโรค
ในบทนี้พูดถึง การเกิดภัยพิบัติรุนแรงไปทั่วโลก โดยปรากฏตามร่างกาย ไวรัส เชื่อโรค ระบบภูมิคุ้มกัน ความอดอยากปากแห้ง ขาดแคลนอาหาร ผูคนอยู่โดยไม่มีกฏหมาย ปราศจากการเมือง
ปรากฎการ์นี้ได้เกิดขึ้นแล้วในยุคปัจจุบัน ไข้หวัดนก (Avian Influenza) เริ่มระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2460-2461 มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 20-40 ล้านคน และระบาดอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน
คำพยากรณ์เซ็นจูรี่ เล่มที่ 2 : ลูกชายคนสุดท้ายของชายที่มีชื่อเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า จะนำเจ้าหญิงไปสู่วันพักผ่อนชั่วนิรันดร์
นอสตราดามุส ได้ทำนายการสิ้นพระชนม์ ของ
เจ้าหญิงไดอาน่า
เจ้าหญิงแห่งเวลล์ได้อย่างแม่นยำ
โดยพ่อของนายโดดี อัลฟาเยด ซึ่งเป็นเจ้าของ สรรพสินค้า แฮร์รอด ชื่อดังกลาง กรุงดอนลอน มีชื่อว่า
โมฮัมหมัด ซึ่งเป็นชื่อของพระเจ้าใน ศาสนาอิสลาม ทั้งนี้ นาย โด อัล ฟาเยด เป็นเพือนชาย คนสนิทของ
เจ้าหญิงไดอาน่า ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ด้วยกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 31
สิงหาคม ที่ผ่านมา
ท้องฟ้าจะลูกเป็นไฟ เพลิงจะผลาญเข้าสู่เมืองใหม่ (New York)
คำพยากรณ์เซ็นจูรี่ เล่มที่ 6 : ท้องฟ้าจะลูกเป็นไฟ เพลิงจะผลาญเข้าสู่เมืองใหม่
ท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญ ณ องศาที่ 45 เพลิงจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหม่ในบัดดล ดวงไฟใหญ่จะแตกกระจายทะลวงพุ่งขึ้นมา
มาบัส (MABUS ) จะตายในไม่ช้า จะมีการฆ่าหมู่คนและสัตว์อย่างสยดสยอง ทันใดนั้นการแก้แค้นจะปรากฎขึ้นจากร้อยแผ่นดิน ความกระหาย อดอยาก จะเกิดชึ้นเมื่อดาวหางโคจรผ่านมา..
ศาสนาที่มีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย การต่อต้านนิกายของอะดาลูนกาทิฟผู้บุตรพวกหัวดื้อ พวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง อาลิฟ กับ อาลิฟ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง.
นั่นคือโคลงที่ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตีความไปในทางเดียวกัน เพราะนอสตราดามุสเขียนแบบไม่ค่อยจะติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก ที่สำคัญเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเวลาอย่างแน่ชัด แต่กระนั้นหลายคนตีความว่ายามที่นอสตราดามุสมองเห็นเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ตึกเวิล์ดเทรดไม่แตกต่างไปจากหอกแหลมจากฟากฟ้าจะบินมาพร้อมกับลูกไฟ
เพราะหัวของเครื่องบินที่มีปีกนั้น ดูเผินๆก็ไม่แตกต่างกับหอกขนาดยักษ์เท่าใดนัก เช่นเดียวกับการชนก็เกิดการระเบิดทันทีจนเป็นลูกไฟไปทั่วฟ้า ที่สำคัญเขาพูดถึงเมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามว่าเป็น ดินแดนที่ 45 ตรงกับเส้นรุ้งที่ 45 อันเป็นที่ตั้งของมหานครนิวยอร์กเหมือนกัน
แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่นอสตราดามุสกล่าวต่อว่า จะเกิดสงคราม ผู้คนจะล้มตายเมื่อมาบัสถูกฆ่าในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะมีการตีความต่อว่า Mabus นั้น มาจากการย้อนชื่อต้นของ USaMA Binladen(อุสมา บิน ลาเดน) ซึ่งเป็นคนที่สหรัฐมองว่าเป็นตัวการในการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ ยิ่งถ้ามองตามคำทำนายต่อ หลายคนเชื่อว่า การตายของบินลาเดน จะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสันติภาพและจะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าทุกครั้ง โดยการแก้แค้นของพวกร้อยแผ่นดิน (United State) ซึ่งก็คือ สหรัฐนั่นเอง
ส่วนอาวุธลับที่สหรัฐจะใช้จัดการกับขบวนการก่อการร้ายจนกระทั่งเกิดการตายอย่างมากมายนั้น นอสตราดามุสใช้คำว่า ดาวหางมาเยือน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ดาวหางที่นอสตราดามุสเห็นจะเป็นระบบป้องกันภัยจากอวกาศที่สหรัฐภาคภูมิใจนักหนา เช่นเดียวกับเรื่องของความอดอยาก เพราะเมื่อสหรัฐทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมาตรการแซงชั่น ป้องกันไม่ให้นำอาหารเข้าสู่ประเทศนั้นๆจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ตีความและวิเคราะห์
ในขณะที่พื้นที่ในตะวันออกไกลกำลังประสบกับความหายนะ อันสืบเนื่องมาจากอุกกาบาตตกลงมา และจากความไม่แน่นอนทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิบัติการของพวกขยายดินแดนในตะวันออกไกล ก็จะมีการเคลื่อนไหวที่สำคัญเกิดขึ้นอีก โดยนอสตราดามุสพยากรณ์ว่า จะมีผู้นำอาหรับผู้หนึ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจ ผู้นำผู้นี้จะเสริมสร้างกำลังทางการเมืองของเขา ด้วยการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามชาติอื่น ๆ โดยเริ่มแรกจะรุกรานประเทศซีเรีย อิรัก และจอร์แดน (ดินแดนเดิมของเมโสโปเตเมียโบราณ) จากนั้นจะใช้กำลังทหารจำนวนหนึ่งล้านคนบุกโจมตีอิหร่าน ตุรกี และอียิปต์ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง จอมเผด็จการอาหรับผู้นี้จะใช้กำลังทางเรือโจมตีนักบวชในนิกายโรมันคาทอลิก นอสตราดามุสไม่ได้ปิดบังอำพรางเกี่ยวกับวันเดือนปีของการโจมตีนักบวชคริสต์ครั้งนี้ เขาได้คำนวณโดยวิธีการทางดาราศาสตร์ว่า จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการโจมตีนักบวชคริสต์ดังกล่าว
จากเว็ป http://www.thainostradamus.com/
22 ตุลาคม 2553 10:11 น.
ส.ธนาศิษฏ์
เช้าอันสดใสน้ำผึ้งขับรถไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อส่งวิทยานิพนธ์เตรียมที่จะจบ เธอนั่งคุยกับ ดร.เกษม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์และเป็นนักจิตวิทยา เธอคุยถึงเรื่ององค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แล้วก็พูดถึงเรื่องที่เธอเห็นในอดีตชาติซึ่งเธอเชื่อว่าอาจารย์ท่านนี้ต้องเชื่อเธอเพราะท่านเคยถอดจิตไปยังอดีตได้
จริงเหรอคุณน้ำผึ้งที่คุณมีสัมผัสพิเศษ สามารถถอดจิตไปยังอดีตได้ ผมว่ามันวิเศษมาก ๆ เลย เพราะตัวผมเองเวลาที่หลุดออกไปต้องอาศัยการนั่งสมาธิแต่คุณจู่ ๆ ก็ไปโดยที่ไม่รู้ตัว
มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ มันเหมือนกับฝัน แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คือฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันรู้สึกว่าฉันเห็นคนในอดีตในโลกปัจจุบัน
เนื้อคู่หรือเปล่า
คงไม่หรอกค่ะอาจารย์เพราะในอดีตชาติฉันเห็นเขาเป็นแค่คนรู้จักเท่านั้นไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้นะคะ
ผมว่านะจิตของคุณอาจจะสื่อถึงกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัวก็เป็นได้ชาติที่แล้วคงจะผูกพันธ์กันมากถึงได้มาเจอกันอีกถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะฝันถึงคุณบ้างนะ แต่เขาคงไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวว่าคุณหรือใคร ๆ จะหาว่าเขาบ้า
น้ำผึ้งเดินออกจากมหาวิทยาลัยและกลับมายังบริษัททัวร์ของตัวเอง สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย
สวัสดีค่ะ
ผึ้งเธอรู้ไหมว่าพระเอกของเธอรถคว่ำอาการสาหัสมาก รีบมาด่วนเลยนะ
ที่ไหน
โรงพยาบาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ขอบใจนะส้มฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องรีบไป แต่ที่รู้ ๆ คือฉันคงนั่งเฉย ๆ รอฟังข่าวของเขาไม่ได้ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย และที่เขาเป็นแบบนั้นก็เพราะฉัน ถ้าเมื่อวานเขาไม่ไปส่งฉันกับส้มเขาคงไม่เป็นแบบนี้
น้ำผึ้งรีบขับรถจากกรุงเทพฯ ย้อนมายังลพบุรี เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เธอก็ตรงไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อถามถึงเขา แต่เธอเจอส้มเสียก่อน
ผึ้ง!!!! ทางนี้
น้ำผึ้งวิ่งตรงมายังส้มทันที เธอมาถึงหน้าห้องผ่าตัด
ใครเป็นอะไรเหรอ
คุณแก้มแฟนของผู้หมวดพระเอกของเธอกำลังเจาะเอาเลือดคั่งในสมองออก ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด
แล้วผู้หมวดล่ะ
อยู่ห้องไอซียู ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย
น้ำผึ้งนั่งรอหน้าห้องผ่าตัดอยู่ครู่หนึ่งแพทย์ก็ออกมา
ใครเป็นญาติของคุณรัศมีครับ
ผมเองครับ ผู้หมวดดำรงพูดขึ้นเขาเป็นพี่ชายของคุณแก้มแฟนสาวของผู้หมวดหนุ่มคนนั้น
ตอนนี้ต้องรอผลต่อไปนะครับต้องดูกำลังใจของเธอว่าเธอจะอยู่ได้นานแค่ไหนเพราะอาการสาหัสมาก หมอไม่สามารถบอกได้ว่าเธอจะรอดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็ต้องรอดูใจกันไปก่อนนะครับ คุณหมอเอ่ยพร้อมกับถือแฟ้มประวัติคนไข้เดินกลับเข้าไปในห้องผ่าตัดอีกครั้ง
น้ำผึ้งฟังแล้วก็ตกใจ เธอรีบวิ่งไปยังห้องไอซียูทันทีเพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้หมวดหนุ่ม เธอจับมือของเขาไว้แล้วก็ร้องไห้ เธอกระซิบข้าง ๆ หูของเขาเบา ๆ แล้วก็หยิบเครื่องรางที่ได้มาจาก ดร.เกษม ใส่ที่ข้อมือของเขา เธอนั่งมองเขาแล้วนึกอยู่ตลอดเวลาว่าต้องไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร
ผู้หมวดคะผู้หมวดรู้สึกตัวหรือยังคะผู้หมวด เสียงน้ำผึ้งเรียกเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ฟื้น แพทย์มาตรวจอาการเขาอยู่หลายครั้ง แพทย์บอกว่าอาการของเขาไม่เป็นอะไรแล้วเพียงแต่รอให้ฟื้นก็เท่านั้นเอง
ครู่หนึ่ง ผึ้งนี่เราซื้อน้ำหอมกลิ่นใหม่มาให้ แปลกดีลองดมสิ ต่ายเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นน้ำหอมขวดนั้นให้ เราจะกลับกรุงเทพฯแล้วก็เลยเอานี่มาฝาก หวังว่าเธอจะรักษาสุขภาพให้มาก ๆ นะ อย่าเจ็บป่วยจนเสียงานล่ะ เดี๋ยวไอ้ส้มมันจะน้อยใจเพราะนึกว่าเธอกินแรง...แล้วฝากบอกผู้หมวดนั่นด้วยละกันว่าหายดีนะ...ไปละ ต่ายส่งน้ำหอมให้พร้อมทั้งกล่าวลา
ผึ้งเปิดฝาขวดน้ำหอมขึ้นมาดม เธอกำลังจะฉีดน้ำหอมเพื่อลองที่มือ แต่ต่ายเดินพวดพลาดมาชนแขนจึงทำให้น้ำหอมฉีดไปทางอื่นกลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไปหมด ขอโทษนะ ลืมกระเป๋าตังค์น่ะ ไปละ ต่ายหยิบกระเป๋าสะพายแล้วรีบเดินออกไปทันที ผู้หมวดหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามอง เขายิ้มแล้วก็จับมือของเธอเอาไว้
น้ำผึ้งแก้ว!!!! เขาเรียกชื่อนี้ขึ้นมาทำให้เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีใครเรียกชื่อนี้ได้อีก เธอคิดว่ามีเพียงเธอคนเดียวเสียอีกที่รู้จักชื่อนี้
นั่นก็ต้องหมายความว่าเขารู้แล้วว่าเราเป็นคนในชาติที่แล้วแน่ ๆ.น้ำผึ้งนึก ขณะที่นายตำรวจหนุ่มเงยหน้ามองน้ำผึ้งแก้วนั้นเขาเห็นเธอใส่สไบสีทองทับสไบแพรสีเหลืองนวล ผมของเธอประบ่าสวมเข็มขัดทองประดับไปด้วยเพชรนิลจินดานุ่งผ้าจีบนางสีเขียวขี้ม้าราวกับที่เขาเห็นในความฝันทำให้เขานึกถึงหน้าพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาท ภาพความทรงจำในนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจเขาตลอดเวลา เมื่อเขามองไปที่ข้อมือของตัวเอง เขาก็เห็นกำไลที่เคยเห็นเธอสวมใส่ในความฝันยิ่งทำให้เขาถึงกับตกใจเพราะไม่คิดว่ากำไลวงนี้จะมีจริง เพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่าฝันไปเท่านั้น
กำไลหินลายพันด้วยเชือกไหมสีแสดวงนี้มาจากไหน
ของผึ้งเองค่ะดร.เกษม อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยให้มาเมื่อวานนี้ ผึ้งก็เลยเอามาใส่ให้เผื่อจะช่วยคุ้มครองป้องกันภัยได้ค่ะผู้หมวดเป็นยังไงบ้างคะ ค่อยยังชั่วหรือยัง เธอเอ่ยขึ้น แต่ท่าทางจะค่อยยังชั่วแล้วเนาะต่าย เธอหันมาหาเพื่อนสาวของเธอ
ใช่สิสลบเป็นวัน ๆ เลยนี่ ส้มเอ่ย
เหรอแล้วแก้มแฟนพี่ล่ะ
นอนรอดูอาการอยู่ค่ะไม่รู้ว่าเธอจะฟื้นหรือเปล่า
ทำไมก็เธอไม่รู้สึกตัวเลยเหมือนที่คุณเป็นนั่นแหละค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้น
ผึ้งและส้มนั่งคุยกับนายตำรวจหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ค่ะค่ะค่ะ น้ำผึ้งต้องลากลับก่อนเธอรีบไปที่สำนักงานสาขา 2 เธอไปพบคุณอุดมซึ่งเป็นนักโบราณคดี ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมืองโบราณ เธอคุยกับเขาและไปเป็นไกด์พาเขาเที่ยวชมโบราณสถานของลพบุรี
คุณทำงานที่นี่มานานแล้วเหรอครับ
ก็ไม่นานเท่าไรค่ะแต่อาศัยเป็นคนเกิดที่นี่โตที่นี่ก็เลยรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีอีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นไกด์หรอกนะคะ ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของกรมศิลปากรมากกว่า
แล้วทำไมคุณไม่ไปสอบล่ะครับ
ถ้าสอบติดก็ดีสิคะ ผึ้งหัวเราะ พอดีมีเพื่อนเรียนนิเทศศาสตร์ก็เลยคุยกันแล้วก็ตั้งสำนักงานทัวร์เล็ก ๆ ขึ้นมา แต่ทีนี้ไม่มีประสบการณ์ก็ต้องหาประสบการณ์ก่อน ฉันกับเพื่อน ๆ เลยไปสอบวัดความรู้น่ะค่ะ แต่มันเกิดฟลุ๊คขึ้นมาสอบติด ได้ใบประกอบวิชาชีพก็เลยมาทำตรงนี้ อีกอย่างช่วงนี้บริษัทพอมีลูกค้ามากขึ้นรายได้เริ่มอิ่มตัวก็ขยายสาขา ที่จริงฉันอยู่ที่เชียงใหม่มาก่อน ตอนหลังมาอยู่กรุงเทพฯ น่ะค่ะ แล้วบังเอิญตอนนี้มีการโยกย้ายสายงาน คนที่อยู่ตรงนี้ก็ลาคลอดด้วยก็เลยได้มาหาประสบการณ์ที่นี่ค่ะ
อืมลูกน้องไม่มีใครมาช่วยเหรอครับ
พวกเราเสมอกันค่ะ ไม่มีนาย ไม่มีลูกน้อง อยู่กันอย่างสบาย ๆ แต่อย่างว่าแหละค่ะเขาจะหาใครล่ะที่จะรู้เรื่องลพบุรีได้เท่าฉันกับยายส้มเพื่อนของฉันที่เติบโตมาจากพื้นถิ่นตรงนี้แล้วโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น บ้านเกิดของเราเราก็ต้องเชี่ยวชาญมากกว่าคนอื่นไม่ใช่เหรอคะ
มันก็จริงอยู่หรอกครับคุณน่ะเก่งออกขนาดนี้
ไม่ได้เก่งอะไรนักหรอกนะเพียงแต่ชอบก็เลยทำตรงนี้ คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้จบทางด้านนี้มาโดยตรง
อ้าว!!!!
ฉันเรียนจบคณิตศาสตร์มาค่ะ แต่พอชอบและคลั่งไคล้ในศิลปะและพวกสถาปัตยกรรมฉันก็เลยมาต่อโทโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ฉันก็เลยอาศัยช่วงที่ว่าง ๆ อยู่ศึกษาให้เข้าถึงแก่นเลย
เหรอครับแล้วตรงนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ
นี่เป็นหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎค่ะ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2405 สมัยรัชกาลที่ 4 ค่ะ แต่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ลองเข้าไปดูหน่อยไหมคะ
ครับ
น้ำผึ้งพาคุณอุดมชายหนุ่มผิวขาวท่าทางสมาร์ทหน้าตาคมคายเดินขึ้นไปบนตึกและพาชมรอบ ๆ พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองพอจะทราบให้เขาฟัง เมื่อเดินลงมาจากตึกเธอก็พาเขาไปชมบริเวณหมู่ตึกพระประเทียบ
หมู่ตึกที่เห็นอยู่ด้านหน้าหลังสีขาวที่ตั้งตระหง่าอยู่นี้เรียกว่าหมู่ตึกพระประเทียบค่ะ สร้างในสมัยรัชกาลที 4 เป็นที่พักของข้าราชบริภารฝ่ายใน มีทั้งหมด 8 หลัง แต่ปัจจุบันใช้สำหรับเป็นห้องประชุมหรือสัมมนาของเจ้าหน้าที่วังนารายณ์ค่ะ เดี๋ยวเราเดินไปนับไปนะคะว่ามีครบ 8 หลังหรือเปล่า ผึ้งพูดพร้อมกับพาเดินไปรอบ ๆ บริเวณนั้น เขากล่าวกันว่าคนที่ก้าวเข้ามาถึงเขตนี้ได้มีเฉพาะนางในล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงทั้งนั้น ผู้ชายที่เข้าได้มีเพียงคนเดียวคือพระมหากษัตริย์ค่ะ เธอหัวเราะขึ้นทำให้เขาหัวเราะตาม เธอพาเขามาหยุดตรงประตูทางทิศตะวันตกซึ่งถูกปิดตาย เธอมองลอดช่องลมออกไป ใกล้ ๆ กับโรงพักท่าหินเก่า ลองแอบมองนะคะ เธอเปรยขึ้น บริเวณตรงนี้คือประตูที่นางในหม่อมห้าม นางห้าม หรือพระสนมใช้เดินเท้าออกไปเล่นน้ำค่ะ สมัยโบราณบริเวณนี้จะกั้นด้วยผ้าขาวหน้าถึง 7 ชั้น ตลอดทางเรียบจนถึงท่าน้ำค่ะ นั่นไงคะท่าน้ำโบราณ แต่เป็นท่าน้ำที่จอมพล ป. มาสร้างใหม่นะคะ แต่พื้นที่เป็นศิลาแลงยังเป็นของเดิมค่ะ เธอชวนให้เขามองตาม เมื่อเขามองเขาก็หัวเราะ
ช่างสังเกตนะครับ ปกติผมว่าไกด์คนอื่น ๆ คงไม่เอาเกร็ดเล็ก ๆ แบบนี้มาเล่าหรอกมั้ง
ค่ะ ดิฉันจินตนาการขึ้นจากการอ่านน่ะค่ะ เธอพูดพร้อมกับส่องมองแล้วเหลือบสายตาไปทางด้านขวามือ ทางด้านนั้นนะคะเรียกว่าท่าขุนนางค่ะ สมัยก่อนขุนนางจะเทียบท่าตรงนั้นเพื่อมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ฯค่ะ เธอชี้ชวนให้เขามองตาม คุณอุดมยิ้ม
จากนั้นเธอก็พาเขาเดินย้อนกลับมาที่พระที่นั่งจันทรพิศาล เธอถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังกิริยา เมื่อเธอเห็นรูปเหมือนขององค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เธอก็หมอบกราบทันทีทำให้คุณอุดมต้องหมอบกราบตามไปด้วย
ไม่รู้ทำไมนะคะ ทุกทีที่ฉันเห็นรูปปั้นหรือรูปเหมือนของพระองค์ ฉันเป็นต้องหมอบกราบทุกทีเลย
คุณอุดมยิ้มแล้วก็เดินเข้าไปภายในห้องโถงด้านใน น้ำผึ้งแนะนำพร้อมทั้งบอกเรื่องราวต่าง ๆ ของข้าวของที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อย่างละเอียด
โอ๊ย!!!!
คุณอุดมคะเป็นอะไรไปคะ
คุณอุดมจู่ ๆ ก็ทรุดตัวล้มลงกับพื้น เธอหันซ้ายหันขวาพยายามหาคนมาช่วยแต่ว่าบนนั้นไม่มีใครเลย เธอจึงยกหัวของเขาขึ้นให้หนุนตักและเอายาดมให้ดม
คุณอุดมคะคุณอุดม
เสียงน้ำผึ้งเรียกอยู่ตลอดเวลา คุณอุดมก็ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด เธอช้อนหัวเขาขึ้นวางบนตัก พร้อมกับหยิบยาดมที่มีอยู่ในกระเป๋าสะพายออกมาเพื่อปฐมพยาบาล เธอกวาดสายตาไปโดยรอบ ไม่มีใครสักคนที่อยู่ข้างใน ทั้งที่ปกติแล้วที่นี่ต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมมากมาย...
เสียงนางในอื้ออึงเอะอะ ร่างของใครคนหนึ่งนอนฟุบราบอยู่กับพื้นท้องพระโรง นางในคนหนึ่งก้มลงสะกิดใครคนนั้นพร้อมทั้งยื่นมือของหล่อนมาที่จมูกของเขา กลิ่นกาละบูรหอมเย็นขึ้นเพดานจมูกทำให้ชายคนนั้นลุกขึ้นนั่ง ในขณะที่นางในทั้งหลายตกใจกระโดดออกอย่างรวดเร็ว แตกกลุ่มเป็นวงกว้าง
เกิดอะไรกันขึ้นหรือ พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ดูมีอำนาจและมีพลังยิ่งนัก
พระองค์เจ้าหญิงแก้วเพคะ อ้ายฝรั่งผู้นี้นอนแผ่แบหรา อิฉันนึกว่าตายเสียกระหม่อม เลยเอาน้ำปรุงให้ดม มันฟื้นขึ้นเจ้าค่ะ พวกอิฉันตกใจเลย... นางในคนหนึ่งเอ่ย
ตกใจหรือเกรงมันเจ้าลำเจียก... พระองค์เจ้าหญิงแก้วตรัสพร้อมกับพระสรวญเบา ๆ เอาละมีอะไรก็ไปทำซะก่อนที่เสด็จจะเข้ามา พระองค์ฯบอกกับนางในแล้วหันกลับมาหานายฝรั่งผู้นั้น ไปซะถ้ายังอยากมีหัวอยู่บนบ่า อย่ามาทำเป็นจาบจ้วงต่อหน้าเรา หากเจ้าเป็นคนไทเยี่ยงข้าไซร้เจ้าจักมิกล้ามองหน้าเราเยี่ยงนี้ เราจะละเจ้าไว้ในฐานการุณ พระองค์ตรัสทำให้นายฝรั่งคนนั้นรีบคลานหลบออกไปทันที
เราเหรอเป็นฝรั่ง เมื่อกี้เรายังอยู่กับคุณผึ้งอยู่เลย แปลก เขาเดินลงบันไดช้า ๆ พร้อมกับก้มมองตัวเองในอ่างล้างเท้า เอ้ย! เขาร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างจับที่หัว หน้า และลำคอทันที
อ้ายฝรั่งนี่บ้า สงสัยไม่เคยเห็นเงาตัวเอง ส่องเงาอยู่ได้ในน้ำล้างพระบาทนั่น หญิงผู้หนึ่งเอ่ยพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
คุณผึ้ง คุณผึ้ง... เขาเอ่ย
บังอาจนักเจ้า ปล่อยมือออกจากแม่หญิงบัดเดี๋ยวนี้ มิรู้หรือว่าแม่หญิงเป็นนางห้าม นางใน มิบังควรจักล่วงเกิน หาไม่แล้วหัวเจ้าจักขาด นางในคนหนึ่งพูดเสียงตวาดดังลั่นพร้อมกับฉุดแขนเขาออกจากแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วทันที
ไปซะ เราไม่อยากเห็นเจ้าอีก แม่หญิงน้ำผึ้งแก้วเอ่ย แม่อิ่มขอน้ำล้างแขนเราหน่อย เดี๋ยวเราจักมีราคี หล่อนเอ่ยขึ้น
จำผมไม่ได้เหรอ ผมอุดมไง? เขาเอ่ยท้วงขึ้น
บ้าจริง...หากท่านคือหลวงอุดมศักดิ์มนตรี ข้าคงเป็นเจ้าพระยากระมัง หล่อนหัวเราะดังขึ้น
ไม่ใช่ ผมชื่ออุดมศักดิ์ครับ ไม่ใช่อุดมศักดิ์มนตรี...คุณจำผมไม่ได้เหรอ เมื่อกี้เรายังนั่งคุยกันข้างบนตึกหลังนี้อยู่เลย
บัดสี...! หล่อนเอ่ยดังขึ้น เมื่อครู่อิฉันยังอยู่กับคุณหญิงแม่ปูพระแท่นให้กับเสด็จ หล่อนยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว อยู่ข้างในอยู่เลย
เอาละเจ้าเลิกเถียงกันสักที ต่อความมันยิ่งไม่จบ ต่างคนต่างแยกกันทำหน้าที่ของตนเสียเถิด ส่วนเจ้าฝรั่งนี่เดี๋ยวเราจัดการเอง พระองค์เจ้าหญิงแก้วตรัส ทุกคนก้มลงหมอบกราบ สิ้นเสียงของพระองค์ทุกคนจึงแยกย้ายกันออกไป ส่วนนายฝรั่งคนนั้นยังคงมีอาการมึนงงก้มหน้ามองเงาของตนเองในน้ำด้วยความประหลาดใจ
...เรากลายเป็นฝรั่งผมทองไปได้ยังไง ทุกคนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด แต่งตัวแปลก ๆ ท่าทีแปลก ๆ แล้วทำไมคุณผึ้งถึงบอกว่าไม่รู้จักเรา...เขานึก
เอาละเจ้าจะมาจากที่ใดเราพอจะรู้ เราขอให้เจ้าเดินกลับไปทางประตูด้านนู้นแล้วเจ้าจะได้คำตอบ พระองค์เจ้าหญิงแก้วตรัสพร้อมกับชี้บอกทางให้ ลำเจียก
เพคะกระหม่อม
เจ้าจงไปส่งอ้ายฝรั่งนี่แล้วเร่งกลับมาช่วยงานเราก่อนที่เสด็จจะมาในไม่อีกเพลา...
ลำเจียกเดินมาส่งนายฝรั่งที่ประตูทางออก ในขณะที่เขาเดินออกมานั้น เขามองไปรอบ ๆ ผู้คนขวักไขว่ พระราชวังแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นว่าเป็นเพียงซากทางโบราณคดีนั้นกลายเป็นสิ่งที่ดูสะอาดสวยงาม เป็นตึกสีขาวประดับด้วยกระจกสีชา อีกทั้งลงลักษณ์ปิดทองอย่างวิจิตรตระการตา
ขอบใจนะคุณลำเจียก เขาเอ่ยทำให้นางในคนนั้นถึงกับมองค้อนขวับแล้วเดินจากไป
เฮ้!...ยูไปไหนมา พวกเรารออยู่ เดี๋ยวก็ลงเรือกลับอยุธยาไม่ทันหรอก
นายเป็นใคร...?
ทำมาเป็นเล่นไป เราหมื่นพิทักษ์สัตยาไง อยู่บ้านท่านออกพระยาสุรียพลอัคเทพผู้ดูแลท่าเรือไงท่านจำมิได้รึ เขามีอาการรู้สึกมึนงง ทำอะไรไม่ถูก สีหน้าซีดผาดราวกับไก่ต้มสุก เป็นอะไรหรือเปล่าท่าน นายคนนั้นเอ่ยพร้อมกับเข้ามาประคอง
ผมไม่เป็นไร นี่มันปี พ.ศ.อะไรแล้วเนี่ย.... เขาเอ่ย
ปีพุทธศักราช 2228 ขอรับ
2228 อย่างงั้นเหรอ งั้นปีนี้อังกฤษก็โจมตีเราน่ะสิ เขาเอ่ย เราหลุดเข้ามาในอดีตอย่างนั้นเหรอ? คณะราชทูตฝรั่งเศสเดินทางกลับในครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์ก็ได้จัดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี หรือโกษาปานเป็นหัวหน้าคณะราชทูตเดินทางไปฝรั่งเศส นำพระราชสาส์นของพระองค์ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และได้ส่งกุลบุตร 12 คน ไปศึกษาวิชาที่ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดปรานเจ้าพระยาโกษาปานเป็นอย่างมากได้ให้เหรียญที่ระลึก และเขียนรูปภาพเหตุการณ์ไว้ด้วย เมื่อคณะราชทูตเดินทางกลับ พระองค์ได้โปรดให้มองสิเออร์ เดอลาลูแบร์ เป็นราชทูตเข้ามากรุงศรีอยุธยา พร้อมกับเจ้าพระยาโกษาปาน และได้นำทหารฝรั่งเศสจำนวน 636 นาย เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาด้วย สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ทหารฝรั่งเศสจำนวนดังกล่าว ไปรักษาป้อมที่เมืองธนบุรีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมีกำลังสองกองร้อยให้ไปรักษาเมืองมะริด ซึ่งมีอังกฤษเป็นภัยคุกคามอยู่ และในปี 2230 ก็ประกาศศึกกับอังกฤษ... เขานึก
ครู่หนึ่งขบวนคณะทูตและเจ้าพระยาโกษาปานเดินทางมา ผ่านหน้าเขา นายคนนั้นสะกิดให้ถอยหลังและหมอบลง เขาจึงเดินถอยหลังออกมาและหมอบแนบกับพื้น ...นี่คงจะมาส่งพระราชสาส์นครั้งที่สองสินะ...เขานึก
การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป ถ้าคริสตศาสนาเป็นศาสนาดีจริงแล้ว และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกแล้ว สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้ ประโยคที่เขาได้ร่ำเรียนมาดังลั่นก้องในหัวของเขา นี่เป็นคำพูดของสมเด็จพระนารายณ์ที่รงตรัสในวันนี้อย่างแน่แท้...เขานึก ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพระย่ะค่ะ...เขานึกต่อ จู่ ๆ อาการปวดหัวเกิดขึ้นรุนแรงขึ้น เขาหมอบลงกับพื้นทรุดตัวลงนอนเกลือกกลิ้งร้องโหยหวนด้วยความปวดร้าว ปวดหัวเหลือเกิน...!!!!
เฮ้ย..!!!!!!!! เขาสะดุ้งสุดตัว
คุณอุดมคะเป็นอะไรคะ
น้ำผึ้งเห็นคุณอุดมผวาจึงเรียกด้วยความตกใจคุณอุดมศักดิ์ลุกขึ้นจากตักของเธอแล้วก็ทำหน้างง ๆ
ผมเป็นอะไรไปครับ
ไม่ทราบเหมือนกันค่ะจู่ ๆ คุณก็สลบ ฉันไปตามคนมาช่วยก็ไม่มีใครอยู่ฉันก็เลยให้คุณหนุนตักแล้วก็เอายาดมให้ดมคุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ไปหาหมอไหมคะ
เอ่อไม่ครับผมคงเพลียเพราะผมนอนดึกมาหลายคืน ขอโทษด้วยนะครับ
ไม่เป็นไรค่ะนี่ก็เย็นมากแล้วเดี๋ยวเราไปชมที่สุดท้ายแล้วกลับกันเถอะนะคะ
น้ำผึ้งเดินนำหน้าคุณอุดมออกมาหน้าพิพิธภัณฑ์ เธอยิ้มนิด ๆ แล้วก็เดินคุยกับคุณอุดมไปตลอดทาง
ทางด้านนี้นะคะเป็นพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ และเป็นที่ที่พระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตค่ะ จริง ๆ แล้วที่นี่สมบูรณ์มากที่สุด แต่ที่เห็นมีสภาพเช่นนี้เพราะในสมัยธนบุรีนั้นได้นำศิลาแรงและอิฐบริเวณนี้ไปสร้างวัดแจ้งค่ะ คุณอุดมรู้จักใช่มั๊ยคะ
ครับ ผมไปบ่อยครับ
..................................6..................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
20 ตุลาคม 2553 15:07 น.
ส.ธนาศิษฏ์
เสียงปี่พาดดังลั่นอื้ออึงทั่ววังไปหมด สาว ๆ นางในนุ่งผ้าหน้านางไม่สวมเสื้อมีแต่ผ้าพาดบ่าสีทองผืนเดียวที่พอจะปกปิดกายา พวกหล่อนฟันขาวสะอาดผิดจากชาวบ้านที่อยู่นอกเขตรั้ววัง ในบรรดาหมู่สาวนางในนั้นน้ำผึ้งแก้วเป็นหญิงนางเดียวที่สวมใส่สไบนุ่งห่มมิดชิด วางจริตกิริยาอย่างนางหงส์ ผ้าที่หล่อนนุ่งห่มสมกับเป็นลูกผู้ถือยศศักดิ์ หล่อนเดินนำเหล่านางในทั้งมวลเดินเข้าไปในประตูชั้นในเพื่อตรงไปยังพระที่นั่งสุทธาสวรรย์
ขุนนางใหญ่น้อยที่มาเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงมักจะไปแอบยืนมองนางในเสมอ ๆ โดยเฉพาะน้ำผึ้งแก้วซึ่งเป็นหลานของคุณท้าวเยาวลักษณ์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านายทางสุโขทัย หล่อนจึงแต่งกายสมกับที่มีเชื้อสายเจ้าหล่อนเหมือนกับดอกฟ้าที่อยู่ท่ามกลางดอกหญ้าในสวนสวรรค์
นั่น.แม่หญิงมาแล้ว เสียงใครคนหนึ่งตะโกนบอกพวกข้าราชการที่มายืนอยู่หน้าตึกท้องพระโรง
สมเด็จฯ ท่านเล่าแม่หญิง
ทรงพระอักษรอยู่ค่ะเดี๋ยวจะเสด็จมา รอก่อนนะเจ้าค่า น้ำผึ้งแก้วตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล หล่อนเดินมายังเบื้องหลังของท้องพระโรงโดยมีนางในอีก 2 คนเดินตามมาติด ๆ
หล่อนทำไมถึงแต่งตัวไม่เหมือนหญิงใด ๆ คนอื่น ๆ เล่าขอรับท่านเสนาฯ
หล่อนเป็นผู้ทรงศักดิ์ บรรพบุรุษของหล่อนสืบเชื้อสายเจ้านายชั้นสูงมาจากสุโขทัย พ่อของหล่อนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แม่ของหล่อนเป็นคุณท้าวนางห้ามข้างใน ส่วนที่ใหญ่ที่สุดนั้นเห็นทีจะเป็นเจ้าคุณย่าของหล่อน
ทำไมหรือขอรับ
ก็เจ้าคุณย่าของหล่อนเป็นพระนมในพระองค์เจ้าหญิงแก้วและยังเป็นคนสนิทของสมเด็จฯท่านอีกด้วย ฉะนั้นคนที่จะเกี้ยวแม่หญิงก็คงจะยากหน่อย ยกเว้น
ยกเว้นอะไรหรือท่านเสนาฯ
มีคน ๆ หนึ่งที่เข้าออกบ้านนั้นได้เห็นทีคงจะเป็นคุณหลวงบดินทร์นฤนาถญาติห่าง ๆ เชื้อสายราชวงศ์พระร่วงนั่นกระมัง
คนไหนหรือขอรับ
คนที่ยืนถือลอมพอกอยู่ใต้ต้นพุดจีบนั่นไง
ท่านเสนาฯ และคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรียืนมองไปทางคุณหลวงบดินทร์นฤบาลที่ยืนทำท่าเหมือนกับรออะไรอยู่ใต้ต้นพุดจีบ ครู่หนึ่งแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วก็เดินออกมาหล่อนแอบยิ้มมุมปากแล้วก็ให้นางในคนหนึ่งนำห่อผ้าสีแดงเล็ก ๆ ยื่นให้คุณหลวง คุณหลวงก้มหัวแสดงความขอบคุณจากนั้นแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วก็เดินกลับเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน คุณหลวงบดินทร์นฤบาลแกะห่อผ้าสีแดงนั่นแล้วก็ยิ้ม
หล่อนส่งห่อหมากให้คุณหลวงบดินทร์นฤบาลด้วย!!!!
ตกใจอะไรเขาอาหลานกัน
ข้าราชบริพารทุกคนเดินเข้าไปยังท้องพระโรง จากนั้นก็หมอบกราบ คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีนั่งใกล้กับคุณหลวงบดินทร์นฤบาล เขาจึงแอบกระซิบกับคุณหลวงบดินทร์ฯ เพื่อจะพูดเรื่องแม่หญิงน้ำผึ้งแก้ว
คุณหลวงขอรับ กระผมขอคุยกับคุณหลวงได้ไหมขอรับ
ได้สิ ใต้ต้นพุดจีบนะ
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลมายืนรอคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีอยู่ใต้ต้นพุดจีบ เมื่อคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีมาถึงเขาก็เริ่มพูดเรื่องแม่หญิงน้ำผึ้งแก้วทันที
ไม่ได้!!!! หล่อนยังเด็ก คุณหลวงบดินทร์นฤบาลพูดหนักแน่นแล้วก็เดินออกจากเขตพระราชฐานมาทันที ปล่อยให้คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรียืนงงอยู่ที่ใต้ต้นพุดจีบ
อะไรวะ ถามหน่อยก็ไม่ได้ หรือว่าหวงไว้กินเอง... คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีเปรย
คุณหลวงเจ้าคะ เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงอันนิ่มนวลชวนฟัง
แม่หญิง.!!!! คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเมื่อเจอหน้าแม่หญิงน้ำผึ้งแก้ว
อ้าวขออภัยเจ้าค่ะ อิฉันคิดว่าเป็นคุณหลวงบดินทร์นฤบาล น้ำผึ้งแก้วเดินกลับไปยังเขตพระราชฐานชั้นในทันทีเพราะหล่อนไม่มีธุระที่จะคุยกับคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรี
เดี๋ยว.!!!! แม่หญิงเดี๋ยวก่อน
น้ำผึ้งแก้วหยุดชะงักแล้วก็หันกลับมาทันที หล่อนยืนนิ่งรอให้คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีเดินมาหา
มีอะไรหรือเจ้าคะ
นี่ให้แม่หญิง
อิฉันคงรับไว้ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ
ทำไมรึเจ้า
มันไม่งามเจ้าค่า
ถือว่าพี่ให้ไว้เพื่อผูกมิตรก็แล้วกัน
น้ำผึ้งแก้วจึงรับดอกพุดจีบมาแล้วก็แอบอมยิ้มนิด ๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในเขตพระราชฐานฝ่ายในทันที
เดี๋ยว!!!! แม่หญิง
มีอะไรหรือเจ้าคะ
น้ำผึ้งแก้วหยุดเดิน หล่อนไม่ยอมหันกลับมา
พี่...หลวงอุดมศักดิ์มนตรีบุตรชายเจ้าพระยาธรรมรัตน์เจ้ากรมเวียงอย่าลืมพี่เล่าเจ้า หากเจอกันก็ทักทายพี่บ้างนะเจ้า
เท่านี้ใช่ไหมเจ้าคะอิฉันต้องรีบกลับตำหนัก
น้ำผึ้งแก้วเดินลับสายตาเข้าไปในประตูเขตพระราชฐานฝ่ายใน คุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรียืนมองอยู่หน้าตึกท้องพระโรงจนกระทั่งบานประตูนั้นปิด เขาเดินยิ้มออกมาจนกระทั่งมาหยุดชะงักเมื่อเจอหน้าคุณหลวงบดินทร์นฤบาล เขาทำหน้าตาดุดันจนคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีรู้สึกกลัว
คะคะคุณหลวง!!!!!
บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับหล่อน!!!
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลทำเสียงดุดันใส่ ในตาของเขาดูน่ากลัวเหลือเกินจนคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรีตกใจ
.
ผึ้งผึ้งผึ้งเธอฟื้นแล้ว!!!!
เสียงผู้คนมากมายคุยกันจอกแจกหญิงคนหนึ่งเรียกชื่อของฉัน ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้เหลือเกิน
ฟื้นแล้วค่ะไปตามหมอมาเร็ว!!!!
ฉันรู้สึกสะลึมสะลือ มึนงงไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อกี้ฉันยังอยู่ที่วังกำลังเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ฯอยู่เลยแล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้หรือว่าเราฝันไปกันแน่
เป็นยังไงบ้างพวกเราตกใจแทบแย่จู่ ๆ เธอก็ฟุบล้มลงพวกเราคิดว่าเธอเป็นลมแต่ก็เปล่า เธอหลับไปถึงสองวันเชียวนะ
จริงเหรอมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เธอเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมส้ม
ก็ตอนที่เธอกำลังบรรยายเรื่องเขตพระราชฐานในวังให้กับผู้หมวดณรงค์และกลุ่มเพื่อน ๆ ตำรวจของเขาที่มาจากกรุงเทพฯ ฟังน่ะ พอเธอเดินมาที่พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เธอกำลังพูดถึงเรื่องการส่งพระราชสารที่ชาวฝรั่งเศสชื่ออะไรนะ
เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ กับเชอวาเลีย เดอ ฟอบัง
เออใช่!!!นั่นแหละเธอหันไปเห็นตาผู้หมวดหล่อ ๆ นั่นแล้วเธอก็หยุดพูดทันที จู่ ๆ เธอก็เดินเข้าไปหาเขา เธอจ้องเขาเหมือนกับคนรู้จักแล้วจู่ ๆ เธอก็เป็นลมฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอเป็นอะไร นี่พวกเรายังงง ๆ อยู่เลย ชั้นเห็นท่าไม่ดีเลยบอกให้พวกเขาส่งเธอมาที่โรงพยาบาล
แล้วใครมานำทัวร์ต่อล่ะ เรื่องใหญ่นะเนี่ย ถ้ายัยรัตน์นั่นรู้เอาเราตายเลยนะ ท่าทางจะแทงข้างหลังเยอะเชียวละ ผึ้งพูดอย่างกังวลใจ
ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ฉันจัดการเรื่องนี้หมดแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี ว่าแต่ฉันถามหน่อยเถอะ เธอเป็นอะไรเหรอ หรือว่าปิ๊งตาผู้หมวดนั่น
เปล่า พูดบ้า ๆ น่า ฉันแค่รู้สึกแปลก ๆ เหมือนเราเคยเจอกันมาก่อนที่ไหนสักแห่ง รู้สึกเหมือนมันนานมากแล้วอย่างนั้นแหละ
เธอปิ๊ง!เขาเหรอ ส้มเอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม แต่ฉันว่าอย่าเลย ชั้นถามมาหมดแล้วละ ตาผู้หมวดสุเมธนั่นมีแฟนแล้วละ ตัดใจเถอะเพื่อน
บ้า...ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย ผึ้งเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง รู้มั๊ยว่าตั้งแต่เราก้าวเหยียบลพบุรีมา ฉันเจอแต่เรื่องประหลาด ๆ อยู่คนเดียว มันเหมือนอะไรบางอย่างที่อยากจะให้เราค้นหาอย่างนั้นแหละ หรือมันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วก็ได้ และเธอเชื่อไหมว่าขณะที่ฉันไม่รู้สึกตัวนั้นฉันไปอดีตมา
หมายความว่าไงอย่าบอกนะว่าเธอปิ้งรักกับตาผู้หมวดหล่อนั่นแล้วก็เก็บไปฝันเคลิ้มเป็นวัน ๆ แบบนี้โธ่เพื่อนเราไม่น่าเลย
บ้าเหรอส้ม!!! ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าตาผู้หมวดคนนั้นที่ไหนสักแห่ง ฉันก็เลยจ้องมอง แต่ฉันคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนแล้วจู่ ๆ มันก็วูบไปอย่างนั้นแหละแต่ฉันกลับเห็นจุดที่ฉันยืนอยู่เป็นภาพที่แตกต่างจากปัจจุบันเหลือเกิน ฉันเห็นเขา เห็นครอบครัวของฉันทุกคน เห็นสมเด็จพระนารายณ์มหาราชฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ฝันเพราะมันดูจริงจังเหลือเกิน
ฉันว่าเธอคงเรียนหนักไป เพราะเธอทำวิทยานิพนธ์โบราณคดีเรื่องนี้อยู่ใช่มั๊ย เธอถึงได้คลั่งขนาดนี้ฉันว่าเธอน่าจะไปพบจิตแพทย์นะ
นี่ฉันไม่ได้บ้านะ
ฉันก็ไม่ได้ว่าเธอบ้านี่เพียงแต่ฉันคิดว่าเธอเครียดมากไปก็เท่านั้นเอง
น้ำผึ้งนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรเธอมองจ้องหน้าส้มเพื่อนรักของเธอ แล้วก็มองไปที่ต่าย โอ แป้ง และหนูนา
ฉันเชื่อเธอ เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับผลักประตูเข้ามา ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียงนั้น แอ่นแอ๊น! ขอให้หายเร็ว ๆ นะเพื่อน น้ำผึ้งยิ้มทันทีเมื่อเห็นยาหยีเดินมาพร้อมกับถือผลไม้เข้ามาเยี่ยม
จริงเหรอ ส้มเอ่ยแซว
จริงเพราะว่าอดีตกับปัจจุบันมันขนานกันอยู่ ฉันก็คนหนึ่งละที่ครั้งหนึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ แต่พอฉันได้ไปอยู่วัดและได้ตัดกรรมในครั้งนั้น มันทำให้ฉันเห็นภาพในอดีตชาติ และฉันก็เชื่อว่านั่นคือเรื่องจริงฉันคิดว่าเธอคงเป็นเหมือนที่ฉันเคยเป็น
ใช่ฉันเห็นภาพเมื่อสองร้อยกว่าปี ฉันเห็นเรื่องราวในอดีตชาติ
อย่าบอกนะว่าที่ยายผึ้งหลับไปเป็นวันนี่เธอถอดจิตไป เสียงส้มพูดดังขึ้น น้ำเสียงของเธอดูเหมือนกับไม่เชื่อว่าเป็นแบบนั้น
ใช่นี่เขาเรียกว่าการถอดดวงจิต บางทีเราก็ถอดดวงจิตไปโดยไม่รู้ตัว เพราะบางทีในขณะที่เรากำลังยืนอยู่ในจุดที่อดีตชาติกำลังดำเนินอยู่นั้น เกิดการทับรอยระหว่างเส้นลิขิต จึงทำให้ดวงจิตในชาตินี้หลุดลอยไปหาอดีต ทำให้เกิดนิมิตภาพเรื่องราวต่าง ๆ และดวงจิตของเรานั้นก็ได้ไปรวมกันมันจึงทำให้ภาพที่เห็นนั้นเป็นจริง
เชื่อเขาเลยว่าทั้งคู่น่าจะไปหาจิตแพทย์ ส้มยิ้มเยาะแล้วก็เดินไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ที่โซฟา
แอ๊ด..
เสียงประตูห้องพยาบาลเปิด ผู้หมวดณรงค์เดินมาพร้อมกับผู้หมวดอีกหลายคนเพื่อมาเยี่ยมน้ำผึ้ง ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส น้ำผึ้งพยายามมองหาผู้หมวดคนนั้น คนที่เธอเห็น คนที่เธอสงสัยว่าจะเป็นคนในอดีตชาติเป็นคนที่เธอเคยเห็นคนนั้น
มองหาใครอยู่เหรอครับ!!! ผู้หมวดณรงค์ถามน้ำผึ้งขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัย
จะมองหาใครล่ะ ก็มองหาพระเอกคนที่อุ้มเธอมาส่งโรงพยาบาลน่ะสิ
อ๋อผู้หมวดสุเมธน่ะเหรอ วันนี้เขาไปหาแฟนน่ะชอบเหรอผมติดต่อให้ได้นะ
นี่ผู้หมวดณรงค์ เพื่อนฉันไม่ชอบสามีของชาวบ้านหรอกนะ ส้มเอ่ยขึ้น
ผมก็ไม่ได้ว่าเขามีเมียซะหน่อย แค่แฟนเท่านั้นเองผมติดต่อได้นะ
ฉันไม่ได้ชอบเขาหรอกค่ะ คือฉันจะขอบคุณเขาเท่านั้นเอง น้ำผึ้งตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ครู่หนึ่งนายแพทย์หนุ่มก็มาขอตรวจอาการของเธอ
อาการของคุณไม่เป็นอะไรครับ กลับบ้านได้เลย แต่ผมสงสัยอยู่ว่าทำไมคุณถึงหลับไปนานขนาดนั้นถ้าคุณมีอาการไม่ดีขึ้นให้โทรติดต่อผมได้เลยนะนี่นามบัตรของผม คุณหมอเอ่ยพร้อมกับส่งนามบัตรแผ่นน้อย ๆ ให้ หรือโรแจ้งโรงพยาบาลก็ได้นะครับ
ขอบคุณค่ะ ผึ้งหยิบนามบัตรมานั่งดูพร้อมกับเก็บใส่กระเป๋า
ผึ้งออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมเพื่อน ๆ และตำรวจอีกหลายนาย ทุกคนคุยกันอย่างสนุกสนาน นาจับคู่กับผู้หมวดทิน ส้มคุยกับผู้หมวดณรงค์ ยาหยีคุยกับผู้หมวดเปรม ต่ายคุยกับโอแฟนของเขา ส่วนผึ้งนั้นไม่ยอมพูดจาอะไร เธอก้มหน้าก้มตาไปตลอดทางจนกระทั่งเธอเดินออกมาพ้นประตูโรงพยาบาลไปแล้ว เธอได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยที่สุด เธอรู้สึกว่าน้ำหอมกลิ่นนี้เหมือนกับกลิ่นของคุณหลวงอุดมศักดิ์มนตรี เธอจึงหยุดเดินและหันกลับมาหากลิ่นน้ำหอมกลิ่นนั้น เธอเดินเข้าไปจับแขนผู้ชายคนนั้นทันที
คุณ.
อ้าว!!! ผมกำลังจะไปเยี่ยมคุณอยู่พอดีเลย จะกลับบ้านเหรอครับ
ค่ะ
น้ำผึ้งยิ้มแล้วก็ยืนคุยกับผู้หมวดหนุ่มคนนี้ด้วยสีหน้าที่สดชื่นราวกับได้คุยกับแฟนเพื่อน ๆ และผู้หมวดหลายคนจึงหันกลับมามองแล้วก็ยิ้ม
คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผม
ฉันได้กลิ่นน้ำหอมค่ะ
จำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ!!!! เขาหัวเราะ
..5
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ปล.ยังแก้ไขแบบไม่สมบูรณ์นักค่ะ แต่เอามาให้อ่านก่อน
18 ตุลาคม 2553 10:40 น.
ส.ธนาศิษฏ์
เอาละค่ะ เรามาต่อกันนะคะ ส้มเอ่ย
คุณผึ้งหายดีแล้วเหรอครับคุณส้ม ผู้หมวดณรงค์เอ่ย
ค่ะ... ผึ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินถือเอกสารนำหน้าทุกคนไป ต่อไปนี้เป็นเขตพระราชฐานชั้นกลางนะคะ ทางด้านนอกประตูด้านซ้ายมือเรานี้ เราจะเห็นเพนียดช้างนะคะ เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูไปเราก็จะกลายเป็นข้าราชบริพาลสมัยโบราณแล้วนะคะ ผึ้งเอ่ยพร้อมกับมองสายตาของนายตำรวจที่แสดงอาการมึนงงราวกับจะตั้งคำถาม เธอจึงรีบเอ่ยต่อทันที คือเรามีความเชื่อกันว่า คนใดที่ต้องมาทำงานอยู่กับโบราณสถานนั้นมักจะเป็นคนในอดีตกลับชาติมาเกิด ได้มารับใช้ใกล้ชิดพระองค์ท่านหรือสิ่งก่อสร้างที่เราเคยอยู่เคยอาศัยค่ะ
ตึกสีขาวที่เห็นตรงหน้าเรานี้นะคะ เรียกว่าพระที่นั่งจันทรพิศาล ตามบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าที่ตรงนี้เคยเป็นหอประชุมองคมนตรีสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาก่อน และใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการแผ่นดิน ต่อมาเมื่อพระราชวังร้างเครื่องบนปรักหักพังรัชกาลที่ 4 โปรดฯให้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ให้มีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง และใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการชั่วคราวเมื่อครั้งที่มานมัสการรอยพระพุทธบาทสระบุรี และทรงล่องเรือต่อมาลพบุรีค่ะ ในยุคของสุนทรภู่น่ะค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอดรองและพาทุกคนขึ้นไปด้านในของตึก ปัจจุบันนี้ตึกหลังนี้ใช้เป็นแหล่งการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าพิพิธภัณฑสถานสมเด็จพระนารายณ์ค่ะ ผึ้งเอ่ยพร้อมกับนั่งพับเพียบและกราบลงที่พื้นเมื่อเห็นพระบรมรูปที่ตั้งตระหง่าอยู่บนพระแท่นทางทิศตะวันออก ทำให้ทุกคนก้มลงกราบตาม
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชค่ะ... ส้มเอ่ยพร้อมกับเหลือบไปมองนายตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังหยิบกล้องขึ้นมา ห้ามถ่ายรูปนะคะ เธอพูดเสียงดังขึ้น เชิญชมด้านในตามอัธยาศัยค่ะ
ส้มปล่อยให้นายตำรวจทั้งยี่สิบนายเดินดูข้าวของที่จัดแสดงอยู่ภายใน เมื่อมีคนสงสัยเธอจึงจะอธิบายทีละขั้นตอน ในขณะที่ผึ้งนั้นเดินผ่านไปได้ยินผู้หมวดสุเมธและผู้หมวดณรงค์กำลังคุยถึงหมวกใบหนึ่งอยู่พอดี
หมวกพระภูมิเจ้าที่ว่ะ ผู้หมวดณรงค์เอ่ย
ไม่ใช่หรอกค่ะ นี่เรียกว่าลอมพอก เป็นหมวกหรือเครื่องสวมศีรษะรูปยาวแหลมคล้ายชฎา ที่ใช้สำหรับข้าราชบริพาลที่จะเข้าเฝ้าฯ เราได้รับอิทธิพลมาจากอิหร่านค่ะ ทำจากผ้าขาว พันและผับเป็นทรงหมวก มียอดแหลม ประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีต ที่ขอบของลอมพอกจะมีเครื่องประดับแสดงชั้นยศอยู่ เป็นรูปดอกพิกุลบ้าง กลีบบัวบ้างแล้วแต่ยศค่ะ สันนิษฐานกันว่ารูปแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผ้าโพกศีรษะของมุสลิมเปอร์เซียหรือชาวอิหร่าน ผสมผสานกับรูปแบบชฎาของไทย หมวกในสมัยนั้นจึงมีลักษณะเป็นทรงสูงแบบนี้ไงคะ ซึ่งท่านโกษาปาน โกษาเหล็กใช้กันค่ะ แต่ไม่ได้หมายถึงแค่ท่านสองคนนี้เท่านั้นนะคะ ยังรวมถึงพระโหราธิบดี หรือข้าราชบริพาลคนอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้น เราจะไปต่อที่อื่นกันหรือยังคะ เดี๋ยวเวลาจะไม่พอค่ะ
ครับ ๆ ทั้งคู่รีบเดินออกจากพระที่นั่งองค์นี้และรีบไปต่อแถวเพื่อที่จะเดินไปยังหมู่ตึกที่อยู่ถัดไปอีกเพียงแค่ห้าก้าวเท่านั้น
ทางด้านตึกนี้คือพระที่นั่งพิมานมงกุฎค่ะ เป็นลักษณะคล้ายหมู่พระมณเฑียร คือมีพื้นที่ใช้สอยประโยชน์ทุกอย่างอยู่ภายใน มีทั้งห้องบรรทม ท้องพระโรง ห้องเสวยพระกระยาอาหาร ห้องทรงพระอักษร ห้องเก็บอาวุธ แบบของสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งองค์นี้เป็นแบบตะวันตก หลังคามุงกระเบื้องกาบูแบบจีน แต่ปัจจุบันใช้สำหรับเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกันกับพระที่นั่งจันทรพิศาลค่ะ เพียงแต่ที่นี่เก็บเรื่องราวตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์ไว้ด้วย... ผึ้งเอ่ยพร้อมกับพาทุกคนถอดรองเท้าและขึ้นบันไดซึ่งมีมากกว่าสิบห้าขั้น พระที่นั่งองค์นี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ค่ะ จึงได้ชื่อพระมงกุฎบวกกับคำวิวิมาน กลายเป็นพิมานมงกุฎไงคะ ผึ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับให้ทุกคนหันออกมาทางทิศตะวันออกอีกครั้ง ส่วนตรงนั้นเรียกว่าทิมดาบนะคะ ใช้สำหรับเก็บศาสตราวุธค่ะ เธอพูดเพื่อไม่ให้ใครตั้งคำถามเพราะเกรงว่าจะเสียเวลา
ทางด้านนี้นะคะจะเก็บศิวลึงค์ค่ะ ของทุกชิ้นพบที่นี่นะคะ ส้มเอ่ย
ในวังนี้เหรอครับ ผู้หมวดคนหนึ่งเอ่ย
ไม่ใช่ค่ะ หมายถึงพบในเขตจังหวัดลพบุรีค่ะผู้หมวดชิดณรงค์ ส้มพูดขึ้นพร้อมกับอ่านชื่อของเขา
ตำนานการเกิดศิวลึงค์ในทางศาสนาสากลได้กล่าวไว้ว่า ในครั้งหนึ่งเจ้าแม่กาลีซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของพระแม่อุมามหาเทวีอัครมเหสีขององค์พระศิวะมหาเทพนั้น ได้บังเกิดความกริ้วในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดร.เกษมแทรกขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาทุกคน เขายิ้มให้ส้มและผึ้งก่อนที่จะเล่าต่อ ซึ่งทรงบังเกิดความไม่พอใจอย่างมากจนกระทั่งได้เกิดโรคระบาดในหมู่บ้านทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยลมตายเป็นจำนวนมากซึ่งบรรดาชาวบ้านชาวเมือง ได้เชื่อกันว่าภัยพิบัติครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความกริ้วของเจ้าแม่กาลีเป็นแน่ดังนั้นพวกพราหมณ์จึงได้ปรึกษาหารือกันแล้วีมติให้นำดินมาปั้นเป็น รูปอวัยวะเพศของพระศิวะเพื่อถวายให้กับเจ้าแม่กาลีซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าพระแม่อุมาในภาคนี้นั้นค่อนข้างจะดุดันมิใช่น้อยการปั้นเป็น รูปอวัยวะเพศให้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ตัวแทนของพระศิวะแล้วนำไปถวายเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลีนั้นจึงน่าจะทำให้เจ้าแม่เกิดความพอใจและระงับ ความกริ้วลงได้ซึ่งปรากฏว่าเมื่อพวกพราหมณ์ได้นำเอาศิวลึงค์หรือรูปของลับนั้นไปบูชายังเทวลัยหรือศาลเจ้าที่มีรูปเคารพของเจ้าแม่กาลี ประดิษฐานอยู่และได้มีการสวดมนตร์สรรเสริญบูชาถวายเครื่องบวงสรวงสังเวยต่างๆพร้อมกับรูปศิวลึงค์นั้นปรากฏว่าเมื่อเสร็จสิ้นการบวงสรวง บูชาในพิธีกรรมนั้นบรรดาชาวบ้านชาวเมืองก็ได้รอดพ้นจากโรคระบาดที่ทำให้ป่วยไข้และล้มตายกันไปอย่างน่าอัศจรรย์นัก
ทำไมเหรอครับ ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยถาม ดร.เกษมมองลอดแว่นแล้วเล่าต่อ
เพราะหลังจากนั้น ไม่นานโรคระบาดก็ได้หายไปไม่เกิดขึ้นอีก จึงทำให้ได้มีการสร้างรูปศิวลึงค์กันอย่างแพร่หลาย และได้มีการประกอบพิธีกรรมบูชาศิวลึงค์นั้น ควบคู่ไปกับการสักการะบูชาเจ้าแม่กาลีด้วยนี่เป็นตำนานการเกิดศิวลึงค์อีกตำนานหนึ่งซึ่งยังได้ระบุว่าการที่พ่อแม่นำศิวลึงค์ขนาดเล็กๆผูก ไว้กับเชือกแล้วผูกรอบเอวของเด็ก ๆก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าแม่กาลีทำร้ายเด็กได้ เด็กที่ผูกศิวลึงค์ไว้ป้องกันตัว ก็จะแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งก็เป็นความเชื่อหนึ่งที่ยังมีให้เห็นในปัจจุบันนี้และแม้แต่ในบ้านเมืองเราก็มีปรากฏให้เห็นถึงความเชื่อนี้ด้วยเช่นกัน แต่เราจะเรียกศิวลึงค์นั้นว่าปลัดขิกในเทวลัยบางแห่งนั้น นอกจากรูปศิวลึงค์ที่สร้างเป็นรูปแท่งอวัยวะเพสชาย จากหินบาง จากดินบ้างหรือจากไม้แกะสลักบ้างแล้วนั้น ในบางแห่งจะปรากฏว่าฐานของศิวลึงค์จะมีแท่นรองรับอีกแท่นหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศหญิง เรียกกันว่าโยนี นั่นเอง การที่ได้คิดสร้างโยนีเป็นแท่นรองรับศิวลึงค์นั้นก็เพื่อให้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนองค์พระแม่อุมาที่เป็นอัครมเหสีขององค์พระศิวะมหาเทพนั่นเอง และในความหมายอันลึกซึ่งกว่านั้น ตามคติพราหมณ์ได้เชื่อกันว่าทั้งโยนีและศิวลึงค์ ซึ่งเป็นอวัยวะเพศหญิงและอวัยวะเพศชายนั้น ก็เปรียบเสมือนสิ่งของที่จะต้องคู่กันและมีพลังที่จะส่งเสริมกันให้มีอำนาจและมีพลังยิ่งใหญ่โดยแท้เสมือนกับผู้หญิงที่มักจะเป็นแรงเสริม คอยผลักดันให้ผู้ชายได้มีอำนาจมีความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงอันเป็นสิ่งที่จะต้องคู่กันและเสริมกันให้เกิดความสมบูรณ์อย่างแท้จริงในการดำเนินชีวิต ของมนุษยชาติครับ
ขอแนะนำนะคะ นี่ศาตราจารย์ด็อกเตอร์เกษม ศิริยอดเพชรทวีมีชัยค่ะ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ที่ดิฉันสองคนกำลังเรียนอยู่ค่ะ ท่านไป ๆ มา ๆ ระหว่างกรุงเทพฯกับลพบุรีค่ะ และท่านก็ศรัทธาหรือครั่งไคล้ในประวัติศาสตร์อย่างมากจนกระทั่งแต่งหนังสือทั้งบอกเล่าเชิงท่องเที่ยว และนวนิยายเกี่ยวกับโบราณคดีหลายเล่มค่ะ ได้รับความนิยมตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ถึงปัจจุบันเชียวนะคะ ผึ้งแนะนำขึ้นพร้อมกับไหว้อาจารย์ทันที เสียงทุกคนปรบมือดังขึ้นทำให้ผึ้งและส้มหันมายิ้มให้กัน
ดีนะที่ได้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจะได้ไม่มีคนขัดเวลาพูด ส้มกระซิบกระซาบกับผึ้งเบา ๆ
แล้วเวลาบูชาล่ะครับจะบูชาเพื่ออะไรครับ ผู้หมวดสุเมธเอ่ย
เป็นคำถามที่ดีครับ ในอินเดียตอนใต้จะมีการประกอบพิธีสักการะบูชาศิวลึงค์กันอย่างจริงจังโดยจัดทำกันในเมืองที่อยู่บนยอดเขาโดยจัดเป็นประจำทุกปีเรียกกัน ว่าเทศกาลบูชาศิวลึงค์โยนีหรือเทศกาล KAETIKAI หรือเทศกาล SATURNALIT เทศกาลทั้ง 2 นี้ จะทำพิธีกันค่อนข้างใหญ่โตเป็นพิเศษ มีงานเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน เครื่องบวงสรวงที่จะใช้ในพิธีกรรมนี้ก็ประกอบด้วยน้ำนมสดและพวงมาลัยดอกไม้สดเป็นพิเศษ นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องประกอบพิธีดังนี้ - ดอกไม้เหลือง - ดอกไม้แดง - ข้าวตอก - ใบมะตูม - หญ้าคา - มูลโค - มะพร้าวอ่อน - เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เช่นข้าวโพดแห้ง เมล็ดข้าวแห้ง ธูปหอมและเทียนหอมในเทศกาลนี้จะมีการตั้งรูปศิวลึงค์อยู่ณเทวสถานกลางเมืองเมื่อมีการเฉลิมฉลองและถวาย เครื่องบวงสรวงบูชาเรียบร้อยแล้วจะมีการสวดมนต์สรรเสริญบูชาพระศิวะและศิวลึงค์ด้วยการจัดเทศกาลเพื่อสักการะบูชาศิวลึงค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงนี้บรรดาชาวบ้านชาวเมืองนิยมกระทำพิธีเพื่อขอพรให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิตโดยเฉพาะความอุดมสมบูรณ์ ดร.เกษมเอ่ยพร้อมกับหยิบน้ำที่พกติดตัวมาด้วยดื่มก่อนที่จะกล่าวต่อ เวลาบูชานะครับให้ยกศิวลึงค์เพศชายขึ้นวางบนศิวลึงค์เพศหญิงแบบแท่นนี้นะครับ เขาเอ่ยพร้อมกับชี้ให้ดู จากนั้นนำน้ำที่เตรียมมานั้นรดจากด้านบน พอนี่ไหลลงมาที่ฐานด้านล่างเราก็หาภาชนะรอง ใช้สำหรับดื่ม มีคำล่ำลือว่าใครขอลูกมักจะได้ตามี่ปรารถนานักและ
งั้นถ้ากระเทยอยากได้ลูกก็มาขอได้น่ะสิครับ ผู้หมวดณรงค์เอ่ยทำให้ทุกคนหัวเราะชอบใจกันใหญ่
ไม่ขำนะครับ นี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนับถือมาก ไม่ใช่สิ่งล้อเล่น และเราไม่ควรเอาศาสนาผู้อื่นมาเป็นเรื่องขบขันนะครับ ดร.เกษมเอ่ยก่อนที่จะพาทุกคนไปยังห้องอื่น ๆ
ตามผู้รู้ไปนะคะ เดี๋ยวเรามาเจอกันข้างล่างอีกประมาณ 15 นาทีนะคะ ผึ้งเอ่ยพร้อมกับเดินจูงมือส้มเข้าไปนั่งพักในห้องขายของที่ระลึก เหนื่อยที่สุดเลย วันนี้แดดร้อนจริง ๆ
เอาน่า ก็อย่างนี้แหละทำงานวันแรก มันจะไปเหมือนกับตอนที่ทำอยู่เชียงใหม่ได้ไงล่ะ ที่นั่นอากาศออกจะดีเย็นสบาย ส้มเอ่ย แต่เธอก็อยากมาที่นี่นักไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ได้มาที่นี่วิทยานิพนธ์ของพวกเราจะเสร็จได้ยังไงล่ะ
มันก็จริงเนาะ ผึ้งเอ่ย จู่ ๆ ก็มีมือของใครคนหนึ่งส่งน้ำเย็นบรรจุขวดยื่นให้เธอทั้งคู่ทำให้เธอรีบรับและขอบคุณทันที ขอบคุณค่ะ ทั้งคู่ประสานเสียง ผู้หมวดสุเมธ! เธอประสานเสียงอีกครั้ง
บอกให้เรียกผมว่าเอกไงครับ เขาเอ่ยขึ้น
ทำไมคุณไม่ไปฟังที่อาจารย์บรรยายล่ะคะ ผึ้งถาม
ผมอยากฟังที่คุณสองคุณเล่ามากกว่า
ชีกอ ส้มเอ่ยขึ้นเบา ๆ
อะไรนะครับ
ปะ...เปล่าค่ะ ส้มเอ่ยขึ้น ตอนนี้หมดน่าที่ฉันแล้วค่ะ ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ค่ะ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะเกินขอบเขตที่ทำอยู่นะคะ
เหรอครับ
ทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ผึ้งก็เหลืบไปมองนาฬิกาที่ข้อมือ ได้เวลาแล้วส้ม ผึ้งเอ่ยพร้อมกับพยักหน้าให้ลงไปข้างล่าง
ทำไมเราต้องมาตึกนี้ล่ะครับ ในเมื่อไม่เกี่ยวอะไรกับสมเด็จพระนารายณ์ซะหน่อย สุเมธพูดขึ้น
ถึงจะไม่เกี่ยวแต่ตึกหลังนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวังนารายณ์ราชนิเวศน์ไม่ใช่เหรอคะ ผึ้งตอบ อุ๊ย! เธอมัวพูดเพลินจนเหยียบขั้นบันไดพลาด นายตำรวจหนุ่มจึงรีบดึงแขนเธอไว้เพราะเกรงว่าเธอจะตกลงไป
ระวังหน่อยสิครับเดี๋ยวก็ตกบันไดลงไปหรอก
ขอบคุณค่ะ ทำไมหมู่นี้รู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล... เธอนึก
ส้มยืนนับนายตำรวจทั้งหมด ขาดไปคนนึง!
เป็นไปได้ไง...เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูข้างในก่อนนะ ผึ้งพูดพร้อมกับเดินเข้าปางด้านล่างของพระที่นั่งพิมานมงกุฎ แต่ก็หาไม่เจอ เธอเดินออกมาหาส้มแล้วส่ายหน้า
งั้นฉันไปเอง ส้มเอ่ยพร้อมกับเร่งเดินไปรอบ ๆ พระที่นั่ง เธอเหลือบไปเห็นนายตำรวจคนหนึ่งนั่งเก็บดอกลีลาวดีจึงทำให้รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาทันที แต่เธอต้องระงับอารมณ์ ขอโทษนะคะ ทุกคนรออยู่ค่ะ ส้มเอ่ย
ครับ ๆ
ผู้ชายอะไร...เก็บดอกไม้ ส้มเปรยขึ้น
คือผมจะเอาไปทับกระดาษน่ะครับ ผมชอบสะสมดอกไม้ตามโบราณสถานครับ มันขลังดี
ระวังเถอะ...ไม่กลัวเหรอว่าจู่ ๆ ตอนกลางคืนเขาจะมาทวง ส้มเอ่ยพร้อมกับแหย่ด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น เอาของกูคืนมา.....า พร้อมกับหัวเราะและรีบเดินมารวมกับทุกคน เจอแล้ว อยู่ตรงที่หมายที่เราจะไปพอดี ส้มเอ่ย
ดี... ผึ้งพูดพร้อมกับหันมาชวนทุกคนให้เดินตาม ตรงนี้นะคะคือพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ซึ่งเป็นที่นั่งท้องพระโรงที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จออกรับคณะราชทูต หรือแขกเมืองต่างประเทศ จากบันทึกชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างอิหร่านและไทย ให้สังเกตจากประตูและหน้าต่างทรงโค้งแหลมนะคะ และที่แห่งนี้ได้นำเข้ากระจกจากต่างประเทศเข้ามาใช้ด้วย จากบันทึกบอกว่าสีทองอร่ามงามตาเมื่อต้องแสงจากเปลวเทียว ดิฉันจึงคิดว่าน่าจะเป็นกระจกสีชาค่ะ
แล้วที่นี่ใช่ที่เดียวกับที่เขาส่งพระราชสาสน์กันหรือเปล่าครับ ผู้หมวดสุเมธเอ่ย
ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เพราะจากพงศาวดารนั้นกล่าวว่า เชอวาเลีย เดอ ฟอบัง และ เชอวาเลีย เดอ โชมองต์นะคะ ท่านทั้งสองคนเป็นนายเรือโทชาวฝรั่งเศส เข้ามากับคณะทูต ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เพื่อมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับสมเด็จพระนารายณ์แห่งกรุงศรีอยุธยาของเรา เมื่อปีพ.ศ. 2228 และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดฯ ทำให้ทรงรับสั่งขอฟอบังไว้รับราชการ จากนั้นทรงแต่งตั้งให้เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ต่อมามีบรรณาศักดิ์เป็น ออกพระศักดิ์สงครามค่ะ เดี๋ยวขอตะล่อมกลับเข้ามานะคะ ท่านผู้นี้แหละค่ะที่ส่งพระราชสาสน์ด้วยมือ ปกติแล้วจะต้องส่งผ่านมหาดเล็กส่วนพระองค์ใช่มั๊ยคะ แต่ทว่าท่านผู้นี้ไม่ยอม เพราะคนที่ประเทศเขาเสมอเท่ากัน เขาเห็นว่าเขาเป็นผู้แทนพระองค์ก็ย่อมเปรียบดั่งกษัตริย์เสด็จมา จึงยื่นพระราชสานน์โดยใส่ภาชนะใช้ไม้เท้าเทินดังภาพนี้นะคะ ผึ้งชี้ให้ดู แล้วส่งให้พระนารายณ์ค่ะ แต่ไม่ใช่เมืองลพบุรีอย่างแน่นอนค่ะ เป็นที่อยุธยานะคะ
เชอวาเลีย เดอ ฟอบัง และ เชอวาเลีย เดอ โชมองต์ เป็นพี่น้องกันหรือเปล่าครับ ผู้หมวดสุเมธเอ่ย
ตาเธอเริ่มเหม่อลอย จู่ร่างของผึ้งค่อย ๆ ร่วงลงพื้นช้า ๆ ทำให้ทุกคนตกใจกันไปหมด... ฉันเป็นอะไรไปอีกแล้วเนี่ย ใครก็ได้ช่วยที...ผึ้งนึก
..4.
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
15 ตุลาคม 2553 11:27 น.
ส.ธนาศิษฏ์
ผึ้งและส้มหยิบของว่างและเดินมานั่งคุยกันบริเวณหน้าประตูเขตพระราชฐานชั้นกลาง
แม่หญิงเจ้าคะแม่หญิง!!!
น้ำผึ้งแก้วหันมายิ้มแล้วก็ถือพานดอกไม้เดินเข้มาในเขตพระราชฐานชั้นใน ในขณะที่คุณหลวงบดินทร์นฤนาถยืนมองหล่อนอยู่จนกระทั่งประตูเขตพระราชฐานฝ่ายในปิด
คุณหลวงมองกระไรหรือขอรับ!!! ทหารคนสนิทตำแหน่งขุนซึ่งติดตามเอ่ยขึ้น
ไม่ได้มองกระไรดอก แล้วลอมพอกของข้าอยู่ไหนส่งมาเร็วข้าเข้าไปร่วมประชุมไม่ทันเดี๋ยวอ้ายฝรั่งมันก็หลอกเราอีกหรอก
ประชุมเชียวหรือขอรับ แหม...เดี๋ยวนี้ใช้ศัพท์ฝรั่งเสียด้วย
เออ ๆ ข้าจักไปเข้าเฝ้า คุณหลวงบดินทร์นฤนาถพูดแก้เขิน พร้อมทั้งรีบสวมหมวกลอมพอกพร้อมกับเสื้อคลุมจากทหารคนสนิทแล้วเดินเข้าไปในท้องพระโรงสมเด็จฯ ท่านรับสั่งให้เขาไปอยู่ดูแลติดตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์คุณหลวงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเอาเสียเลยที่ต้องไปรับใช้ฝรั่งมังค่า เขาเดินตามหลังเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไป จากนั้นก็ตะบันเคี้ยวหมากคำใหญ่ด้วยความโกรธ จั่บ ๆ...เสียงหมากดังอยู่ตลอดจนทำให้ทหารคนสนิทรีบส่งกระโถนรับน้ำหมากให้ทันที
อย่ามายุ่งกับข้า...! คุณหลวงบดินทร์ฯเอ่ย
คุณหลวงบดินทร์นฤบาลต้องไปเรียนภาษาฝรั่งกับพวกสอนศาสนาเพื่อนให้รู้เท่าทันฝรั่ง เขานั่งเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระสั่งอ่านออกเขียนได้
คุณหลวงคุณหลวงขอรับ
มีอะไรรึอ้ายมิ่ง
แม่หญิงน้ำผึ้งแก้วกำลังลงเล่นน้ำกับพระสนมและหม่อมห้ามที่ท่าน้ำหลังวังขอรับ
เดี๋ยวก็หัวขาดหรอกถ้าใครรู้เข้าต้องแย่แน่ ๆ เลยเอ็งจะให้ข้าไปแอบมองอย่างนั้นรึ
กระผมขออภัยขอรับ กระผมเห็นว่าคุณหลวงชอบไปแอบมองแม่หญิงอยู่บ่อย ๆกระผมเห็นท่านมองมาตั้งแต่แม่หญิงยังไม่ตัดจุกเลยนะขอรับ
อย่าทำเป็นสู่รู้ข้าจะเรียนเอ็งมีอะไรทำก็ไปไป๊!!!
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถดุนายมิ่งทหารคนสนิทเสียเสียงเขียว จากนั้นก็ทำท่าอ่านตำราฝรั่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งนายมิ่งเดินออกไปจากห้องนานพอควร คุณหลวงจึงกระโดดออกจากหน้าต่างตึกบ้านหลวงรับราชทูตของเจ้าพระยาวิชาเยนต์แล้วก็เดินหลบออกไปยังท่าน้ำทันทีเพื่อขึ้นเรือเก๋งโดยพายไปชะลอใกล้ ๆ กับที่นางในเล่นน้ำกัน เขาแอบมองเห็นสาว ๆ หลายคนลงเล่นน้ำ สายตาของเขาสอดส่ายจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
น้ำผึ้งแก้วอยู่ไหนนะเขานึกอยู่ในใจจนกระทั่งเขาเห็นหล่อนกำลังถูกนางในสามคนขัดสีฉวีวรรณให้ด้วยขมิ้น หลังขาว ๆ ของหล่อน เนื้อนวลละมุมนละไมน่ากอดยิ่งนัก รูปร่างบอบบางดูมีทรวดทรงองเอว หล่อนไม่ต่างจากหม่อมห้ามเท่าไรนักเพราะผิวพรรณของหล่อนสมกับเป็นลูกผู้สืบเชื้อสายมาจากวังเดิม หล่อนมีเชื้อสายสุโขทัยแห่งราชวงศ์พระร่วงเจ้า
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถแอบมองหล่อนอยู่นานจนหระทั่งเหลือบไปเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายใน คุณท้าวจันทร์แก้ว เขาพูดเสียงหลงในขณะที่คุณท้าวจันทร์แก้วยืนจ้องมองมายังเรือเก๋ง เขาจึงรีบพายเรือกลับไปเก็บยังท่าทันที
สาว ๆ นางในแตกตื่นเมื่อคุณท้าวจันทร์แก้วตะโกนว่ามีคนแอบมอง เหล่าทหารมากมายรีบตามจับผู้ที่ล่วงละเมิดเขตหวงห้ามแต่ก็ไม่พบ พวกเขาพบแต่เรือเก๋งที่จอดอยู่ที่ท่าน้ำของเจ้าพระยาวิชาเยนต์หลายลำก็เท่านั้น เมื่อมีคนเข้ามายังตึกรับรองก็พบคุณหลวงบดินทร์นฤนาถนั่งอ่านหนังสืออยู่ ทุกคนจึงไม่กล้าไต่ถามการใด แล้วก็กลับไปในที่สุด
เฮ้อ!!!! โล่งอกไปทีโชคดีนะที่พายเรือกลับมาทันเวลาพอดีคุณหลวงนึก ใจของเขาเต้นรัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวความผิด เขาสงสัยอยู่ว่าคุณท้าวจันทร์แก้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาแอบมองหรือว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนกระทำแบบนี้แล้ว
คุณหลวงขอรับ
เสียงของมิ่งทำให้เขาสะดุ้งขึ้น ใจของเขาสั่นรัวเพราะเพิ่งจะหนีความผิดมา ...โทษในครั้งนี้หากถูกจับได้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเลยนะมึงอ้ายคนชั่วเอ๊ย!...เขานึก มีอะไร! เขาเอ่ยเสียงเขียว
ท่านให้มาตามไปเฝ้าฯเสด็จฯขอรับ มิ่งเอ่ย
เออ ๆ ข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ
คุณหลวงถือตำราเดินขึ้นเสรี่ยงตามเจ้าพระยาวิชาเยนต์ไปยังพระราชวัง เสรี่ยงของเขาใช้คนหามเพียงหกคน แต่สำหรับเจ้าพระยาวิชาเยนต์นั้นมีคนหามถึงยี่สิบคน เกือบเยบเท่ากับพระหมากษัตริย์หรือเจ้าฟ้าฝ่ายในเลยทีเดียว ทำให้ข้าราชบริพาลหลายคนไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เพราะเขาเป็นคนสนิทของสมเด็จพระนารายณ์
กระหม่อมพาลูกศิษย์มาถวายงานพระพุทธเจ้าค่ะ เจ้าพระยาวิชาเยนต์เอ่ยพร้อมกับเดินมานั่งยังแท่นรับรอง ในขณะที่ข้าราชบริพาลคนอื่น ๆ แสดงสีหน้าไม่พอใจ
เออ ๆ เจ้านี่มันเก่งจริง ๆ สนองพระเดชพระคุณดีเสียจริง หากเจ้านั่งเสมอพระองค์ ระวังเสียขี้กรากจะกินหัว พระโหราธิบดีเอ่ย อีกทั้งพระมหาอุปราชก็เห็นด้วยที่ฝรั่งมังค่าจะบังอาจล่วงเกินนั่งเทียบเสมอกษัตริย์
มึงไปเอานายของมึงมา พระมหาอุปราชเอ่ยพร้อมกับชี้ไปที่หารคนสนิทของเจ้าพระยาเยนต์ หนึ่งในนั้นคือคุณหลวงบดินร์ฯด้วย นายของมึงกำเริบนั่งเสมอกู นั่งเสมอเสด็จ ยศศักดิ์หรือก็แค่เจ้าพระยาหาญกล้านั่งเสมอ เทียบคู่บารมี...จับมัน! เสียงตวาดดังลั่นทำให้ทหารหลายคนวิ่งกรูเข้าไปยื้อยุดฉุดกระชากลากแขน บ้างก็อุ้มขาเพื่อให้เจ้าพระยาวิชาเยนต์ลงมานั่งกับพื้นเสมอกับข้าราชบริพาลคนอื่น ๆ
ไม่ต้องดอก...มันเป็นฝรั่งหารู้ทำเนียมไม่ ปล่อยมันเถอะ ถ้ามันอยากยืนจงให้ยืน ถ้ามันอยากนั่งจงให้มันนั่ง เสียงของพระเนตรพระกรรณดังขึ้นจากเบื้องบนทำให้ทุกคนหมอบกราบตัวสั่น
หาบังควรไม่แล้วพะย่ะค่ะ
ไม่เป็นไรดอก อย่าถือสามันเลย มันมิรู้ธรรมเนียม ท่านอุปราชก็อย่าถือโกรธนักสิ สมเด็จพระนารายณ์ตรัสพร้อมกับพระสรวญดังขึ้น เอ้าให้มันนั่งเถอะ ทรงตรัสย้ำอีกครั้งทำให้เจ้าพระยาวิชาเยนต์ยืนยืดตัวหันหน้ามายิ้มเยาะพร้อมกับเดินไปนั่งใกล้ ๆ พระมหาอุปราชทันที กูก็นั่งสูงกว่ามันดอก ขี้กรากคงไม่กินหัวมันง่าย ๆ แน่แท้ พวกเจ้าก็ดูหัวมันเถอะขัดมันเสียขนาด ทรงตรัสและสรวญดังอีกครั้ง
เจ็บใจนักอ้ายฝรั่ง สักวันกูจักล้างอายมึง พระมหาอุปราชเอ่ย มึงก็สอนนายของมึงมั่งนะอย่าให้มันลามปาม ท่านหันมาพูดกับคุณหลวงพร้อมกับตบไหล่ กูรู้ว่ามึงไม่อยากอยู่กับมัน แต่มึงก็ทนหน่อยเถอะ หมดบารมีเสด็จเมื่อไหร่มันกับกูจักเห็นดีกัน...! ไปอ้ายยิ่งอ้ายคงกูจักกลับ เสียงของท่านมหาอุปราชฟังดูแล้วว่ากำลังโกรธจัดถึงที่สุด คุณหลวงบดินทร์ก็ได้แต่ก้มหน้ารับฟังเสียนั้น ใครเลยจะหาญกล้าสอนเจ้าพระยาวิชาเยนต์ได้ในเมื่อตำแหน่งของเขาเป็นเพียงหลวงผู้ต่ำต้อยกว่าเจ้าพระยาอย่างแน่แท้...
คุณหลวงเดินเลาะมาทางหอพระด้วยความเครียด เขาเหลือบไปเห็นสาว ๆ นางในหลายคนตื่นเต้นดีใจกับน้ำพลุที่ผุดขึ้นจากสระน้ำ เขาจึงเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็นน้ำอะไรที่โผล่ขึ้นมาจากสระเหมือนกัน
อุ๊ย!!!!
น้ำผึ้งแก้ว!!!!
คุณหลวงเดินชนน้ำผึ้งแก้ว เขาเกือบจำหล่อนไม่ได้เพราะหล่อนดูเป็นสาวได้รวดเร็วเหลือเกิน ผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง กลิ่นน้ำอบจันทร์หอมรัญจวนไปหมด หล่อนคงปรุงน้ำหอมขึ้นมาใช้เองได้แล้วตามตำรับชาววัง
ขออภัยเจ้าค่า หล่อนก้มหน้าก้มตาขอโทษ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณหลวงยืนยิ้มอยู่ หล่อนถึงกับเรียกชื่อด้วยความตกใจ คุณหลวงบดินทร์นฤนาถ!!!!
ดูอะไรรึเจ้า
ดูน้ำผุดจากสระเจ้าค่า
ฝรั่งเขาเรียกว่าน้ำพลุเจ้าเคยได้ยินหรือไม่
หล่อนส่ายหน้า คุณหลวงจึงเล่าให้ฟังหลายเรื่อง จนเจ้าพระยาวิชาเยนต์เดินเข้ามาอธิบายเรื่องน้ำพลุให้หล่อนฟัง หล่อนทำท่าเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพระยาวิชาเยนต์พูดมากกว่าที่คุณหลวงพูดให้ฟังเสียอีก
พี่ต้องไปหอพระก่อนนะพรุ่งนี้เจ้าว่างรึไม่
อิฉันต้องกลับบ้านเจ้าค่าพอมีเวลาว่างบ้างมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ
เจอกันที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนะเจ้าพี่จะพาเจ้าไปกราบพระ
หล่อนยิ้มอย่างอาย ๆ แล้วก็เดินไปกับนางในที่มาด้วยกันในบรรดานางในทั้งหมดน้ำผึ้งแก้วเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่งดงาม และเป็นคนที่งามที่สุดงามยิ่งกว่าหม่อมห้ามหลายองค์เสียด้วยซ้ำ จนทำให้คุณหลวงรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเจ้าของวังจะเห็นดอกไม้ในสวนเขาจึงพูดกับเจ้าพระยาวิชาเยนต์เรื่องการสู่ขอนาง
เอาเถอะเราจะช่วยท่าน แต่ท่านอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ล่ะ
คุณหลวงบดินทร์นฤนาถมารอน้ำผึ้งแก้วที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุแต่เช้า เมื่อหล่อนมาถึง คุณหลวงก็จับมือจูงหล่อนเข้าไปในวัดทันที หล่อนสะบัดมือออกแล้วก็เดินนำหน้าคุณหลวงไป เมื่อก้มลงกราบพระคุณหลวงก็อธิฐานให้หล่อนได้ยินทันที
พี่สาบานว่าจะไม่รักใครนอกจากแม่ น้ำผึ้งแก้วขยับหลบเพราะกลัวว่าใครจะครหา คุณหลวงก็ขยับตาม เจ้าจักเชื่อพี่หรือไม่
อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกไม่อย่างนั้นอิฉันจะฟ้องเจ้าคุณย่าว่าคุณหลวงพูดจาลวนลามอิฉัน
พี่ไม่ได้ลวนลามเจ้าดอกพี่เพียงแต่พูดไปตามที่ใจปรารถนาเท่านั้นเองพี่จะไปสู่ขอเจ้าให้เป็นหน้าเป็นตา
อย่าพูดเยี่ยงนี้อีกเลย หากคุณหลวงยังเห็นว่าอิฉันเป็นหลานถ้าหากพูดอีกอิฉันจะไม่เกรงใจ อิฉันจะทูลฟ้องเสด็จฯ ท่าน พระองค์คงกริ้วถ้าหากรู้ว่าคุณหลวงพูดจาหยาบหยามกับนางห้ามตำหนักในที่วัดเยี่ยงนี้
พี่ให้คำสัตย์จริงว่าพี่จะรักเจ้าทุกชาติ ๆ ไปนี่กำไลของพี่ พี่ไปขอหลวงพ่อมาเพื่อเจ้า พี่นั่งถักร้อยกำไลด้วยตัวเองเชียวนะ พี่ให้เจ้าไว้ป้องกันภัย หล่อนไหว้แล้วก็รับมา คุณหลวงจึงใส่กำไลให้หล่อนทันที กำไลนี้มีอานุภาพยิ่ง เขาว่ากันว่ากำไลนี้จะทำให้คนรักกันจำกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนชาติไหนก็จะตามไปพบเจอ
กำไลสวยนะเจ้าคะแต่อิฉันคงรับไว้ไม่ได้ หล่อนตอบ
ทำไมล่ะ
เพราะคุณหลวงเป็นอาของอิฉันหาใช่อื่นไกล อากับหลานจักคบหาดูใจกันคงเป็นเรื่องน่าบัดสี อิฉันเป็นหลานนะเจ้าคะหาได้สายเลือดไกลไม่ ขอให้คุณหลวงระลึกไว้เสมอ หล่อนรีบกราบพระแล้วนำกำไลวงนั้นวางไว้กับพื้น อิฉันคืนเจ้าค่ะ หล่อนเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้น เขายื้อแขนหล่อนไว้ ปล่อยเถอะค่ะคุณหลวงมันไม่งาม หล่อนติพร้อมกับพยายามสลัดข้อมือ
เรามิใช่อาหลานกันโดยแท้เสียเมื่อไร เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่าพี่เป็นเพียงลูกของลูกบุญธรรมหาใช่ญาติมิตรสนิทกัน
ถึงกระนั้นคุณหลวงยังเป็นอาของอิฉัน อีกอย่างคุณหลวงก็แก่กว่าอิฉันตั้งรอบ หล่อนแย้ง
พี่ไม่สนดอกเป็นตายอย่างไรพี่จักให้คุณพ่อมาสู่ขอเจ้า คุณหลวงบดินทร์นฤบาลยิ้มหน้าบานทันที น้ำผึ้งแก้วสลัดมือทิ้งรีบวิ่งออกไป เขารีบกราบพระและเดินตามหล่อนออกไปนอกโบสถ์ เขาพาหล่อนชมบริเวณวัดจนสายจากนั้นก็ให้บ่าวพายเรือไปส่งหล่อนถึงบ้าน เขาเข้าไปคุยกับเจ้าคุณย่าอยู่หลายเรื่อง จากนั้นก็ลากลับไป
ผึ้งผึ้งผึ้งมือขยับแล้ว!!!!
เสียงผู้คนมากมายคุยกันจอกแจกหญิงคนหนึ่งเรียกชื่อของฉัน ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้เหลือเกิน
ฟื้นแล้วค่ะไปตามหมอมาเร็ว!!!! ส้มเอ่ยขึ้น
ไม่ต้องหรอก... ผึ้งเอ่ย ...เรารู้สึกสะลึมสะลือ มึนงงไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อกี้ชั้นยังอยู่ที่วัดกำลังกราบพระอยู่เลยไม่ใช่เหรอแล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้หรือว่าเราฝันไปกันแน่ผึ้งนึกพร้อมกับมองไปรอบ ๆ อาคารไม้สีเขียวอ่อน
เป็นอย่างไรบ้างพวกเราตกใจแทบแย่จู่ ๆ เธอก็ฟุบล้มลงผู้หมวดสุเมธเป็นคนอุ้มเธอเข้ามาในอาคารนะ นั่นไงตายยากจริง ๆ ส้มเอ่ยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผู้หมวดหนุ่มซึ่งถือกะละมังน้ำอุ่นพร้อมกับผ้าขนหนูผืนน้อย ๆ ส่งให้กับส้ม
ผมวุ่นคุณคงเป็นลมแดดน่ะ วันนี้แดดแรงมากเลย เออ...คุณทานข้าวเช้ามาหรือเปล่าครับ เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่นายตำรวจอีกหลายคนซึ่งอยู่นอกอาคารแอบชะเง้อคอมอง
ตายจริง...เมื่อเช้าฉันลืมพาเธอไปกินข้าวเลยอ่ะ ขอโทษทีนะ ชั้นลืมไปว่าเธอเป็นโรคกระเพาะ ส้มเอ่ย
ไม่เป็นไรหรอกส้ม เมื่อเช้าฉันกินส้มรองท้องมาแล้วไง ผึ้งเอ่ยพร้อมกับจ้องส้มเขียวหวานที่อยู่บนโต๊ะในห้องของเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้หมวดหนุ่มหันไปมองตาม
ส้มเขียวหวานลูกเดียวมันจะไปพอเลี้ยงสมองอะไรล่ะครับ ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยพร้อมกับส่งลูกอมให้ ทานก่อนนะครับน้ำตาลจะช่วยให้ไม่มึน เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้ทาน
ไม่เป็นไรค่ะ...เอ่อ...คุณ...! ผึ้งพูดเสียงหลงพร้อมกับเรียกเขา แต่นายตำรวจหนุ่มไม่ได้สนใจ เขาเดินลงจากอาคารทันที
ฉันว่าตาตำรวจคนนี้เขาแอ็คเหมือนกันนะ แต่ก็มีน้ำใจดีเนาะ เธอว่ามั๊ยล่ะ ส้มเอ่ย
เธอชอบเขาละสิ
ได้ก็ดี ส้มเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ ทำให้ผึ้งหัวเราะตาม ผึ้งลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน ครู่หนึ่งนายตำรวจหนุ่มก็เดินมาพร้อมกับข้าวกล่องสามกล่อง ซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ ส้มเอ่ยขึ้น
เราทานกันสามคนไงครับ เขาเอ่ยพร้อมกับส่งข้าวกล่องให้พวกเธอ
นับตั้งแต่เราก้าวเข้ามาที่นี่ ตั้งแต่เจอบ้านหลังนั้น... และมายืนตรงนี้ มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราพูดออกไปส้มก็ต้องว่าเราบ้าแน่ ๆ เลย... มันเกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมมันต้องเกิดกับเราคนเดียวด้วย...ผึ้งนึก
เรียกผมว่าเอกก็ได้นะครับ เขาเอ่ยพร้อมกับตักไข่ดาวในกล่องของเขาส่งให้กับผึ้ง ทานเยอะ ๆ นะครับจะได้ไม่เป็นลมไปอีก เขาเอ่ยพร้อมกับอมยิ้มในขณะที่ผึ้งเพียงแต่พยักหน้ารับและหันมามองส้มด้วยความรู้สึกแปลกใจ
......................................3.........................................